ธรรมว่าอย่างไรต้องยอมตามธรรมนั้น
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๑

ธรรมว่าอย่างไรต้องยอมตามธรรมนั้น

         ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง หรือ ๑๑ ตัน ๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีกถึงวันที่ ๗ กุมภา ๓๐ กิโล ๓๘ บาท ๖๕ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นทองคำ ๑๑,๖๖๘ กิโล ๕ บาท ๗๖ สตางค์ คิดเป็นเงิน ๑๑,๓๒๘,๒๒๗,๘๔๐ บาท พวกเราได้ขนสมบัติเข้าคลังหลวงคราวนี้ไม่ใช่น้อยๆ นะ

ทองคำเหล่านี้เข้าคลังหลวงทั้งหมด บรรดาพี่น้องทั้งหลายบริจาคผ่านเรานี้เข้าส่วนรวมทุกบาททุกสตางค์ ไม่รั่วไหลไปไหนเลย บริสุทธิ์สุดส่วน เราก็ภูมิใจในการได้ช่วยชาติบ้านเมืองของเรา เราไม่เอาอะไรเลย แบตลอดเลย บริสุทธิ์เต็มที่เลย ทองคำนี้ดูได้เข้าคลังหลวงแล้วมากอยู่นะ ๑๑,๖๖๘ กิโล ทองคำเข้าคลังหลวงเราในการช่วยชาติคราวนี้ ได้มากอยู่

นั่นละธรรม ธรรมเดินทางไหนบริสุทธิ์ตลอดเลย ถ้ากิเลสเข้าไปตรงไหนแหลกไปๆ หมด ถ้าธรรมไปไหนแล้วบริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน นี่เราได้พาพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองของเราก็เข้าทุกบาททุกสตางค์ ไม่ได้ไปไหนเลย นี่ละธรรมพาดำเนินบริสุทธิ์ ถ้ากิเลสพาดำเนินนี้แหลกเลย ไม่มีเหลือ

ผู้ที่ฝึกหัดนิสัยได้เรียบร้อยก็คือท่านอาจารย์คำดี ท่านอาจารย์คำดีถ้ำผาปู่ ท่านเคยเล่าให้ฟัง นี่ละท่านฝึกท่านได้เรียบเลย แต่ก่อนท่านเป็นนิสัยใจร้อน วู่วาม ทำอะไรไม่ทันใจโยนฟาดไปทุกแห่งทุกหนเลย เหตุที่จะดัดท่านได้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ไม่มีใครสอนเราได้ บทเวลาสอนก็มีเณรหนึ่งสอนเรา ท่านว่า คือนิสัยเราเป็นอย่างนั้น พอดีเณรเย็บผ้าสบงให้ท่านผิด ท่านจับผ้าสบงฉีกต่อหน้าเณรเลย ฉีกต่อหน้านั้นแล้วเณรไปนั่งอยู่ข้างต้นเสา ไปร้องไห้อยู่ต้นเสา ไปเห็นเณร เอ้อ ไม่มีใครสอนเราได้ละ ท่านนึกในใจ ก็มีเณรนี้ที่สอนเรา

ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนิสัยเช่นนี้เราจะไม่นำมาใช้ตลอดวันตาย ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านจะไม่ดุใคร ท่านบอกอย่างนี้เลย คือเณรเย็บสบงให้ท่านผิด เย็บผิดแล้วท่านดูท่านฉีกสบงต่อหน้าเณร แล้วเณรก็ไปนั่งอยู่ข้างต้นเสา ไปร้องไห้อยู่ข้างต้นเสา ท่านไปเจอเข้าก็ เอ้อ ไม่มีใครสอนเราได้ในโลกนี้ ท่านว่าอย่างนั้น บทเวลาจะสอนเราได้นี้คือเณรนี้ละ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่ดุใครเลย จนกระทั่งวันตายท่านบอกว่าท่านจะไม่ดุใคร เณรนี้ละสอนเราได้ ตั้งแต่บัดนั้นมากิริยาเหล่านั้นท่านทิ้งหมดเลย ท่านว่าอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเวลามาเห็นเราอย่างทุกวันนี้เรียบๆ คือเณรนั้นละเป็นอาจารย์สอนเรา ท่านว่าอย่างนั้น ท่านอาจารย์คำดีท่านเล่าให้ฟัง แต่ก่อนนิสัยเราใจร้อน ทำอะไรพอเหวี่ยงเหวี่ยง พอทิ้งทิ้งไปเลย ท่านว่าอย่างนั้น แล้วเณรมาเย็บสบงให้ท่านผิด ท่านก็ฉีกผ้าสบงต่อหน้าเณร พอฉีกแล้วเณรนั้นไปนั่งอยู่ข้างต้นเสาไปร้องไห้อยู่นั้น เออ ทั่วโลกไม่มีใครสอนเราได้ มีเณรนี้ละสอนเรา ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่ดุใครเลย ท่านว่าอย่างนั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาท่านจึงไม่ดุ ท่านบอกท่านไม่ดุ

แต่เวลาท่านไม่ดุท่านก็เอาเรานี่ไปอีกนะ ไม่ขึ้นต้นก็ตอนสุดท้ายท่านเทศน์ เอะอะก็ขึ้นท่านมหาบัวละ ไม่ขึ้นต้นก็ตอนสุดท้าย เด็ดขาดทุกอย่างท่านว่า ท่านบอกว่าท่านเด็ดขาดทุกอย่าง ตั้งแต่นั้นมาแล้วท่านไม่ดุใครเลย ท่านก็เอาเราไป..ท่านมหาบัวนี้เด็ดขาดทุกอย่าง แล้วหาที่ค้านไม่ได้ด้วย ท่านเอาเณรนั้นมาสอนท่าน ตั้งแต่นั้นท่านไม่ดุใครเลย ทีนี้ก็พอดี ก็แปลกอยู่นะ ท่านมีญาณอันหนึ่งสำคัญอยู่นะ ท่านภาวนา ตื่นเช้ามาท่านบอกว่าเมื่อเช้านี้ได้เหตุแล้วนะ จะมีพระองค์สำคัญมาในวัดเราเร็วๆ นี้ ท่านบอกว่าพระองค์สำคัญ พระกรรมฐานองค์สำคัญ แต่ท่านก็ไม่ระบุชื่อละ

ถึงขนาดที่ว่าท่านให้เอาพระมาเฝ้าศาลาคอยพระองค์สำคัญจะมาเร็วๆ นี้ ว่าอย่างนั้น ให้พระมาเฝ้าศาลา พระพอเห็นเราไป เราไปองค์เดียวนี่ เราขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อนไปองค์เดียว ไปขอนแก่น ไปวัดศรีฐานแต่ก่อนมันเป็นวัดป่า เดี๋ยวนี้เป็นสนามคนแล้วแหละ ตรงที่เขาเรียกสามเหลี่ยมเป็นดงนะแต่ก่อน ท่านบอกว่าท่านจะได้พบพระองค์สำคัญเร็วๆ นี้ ท่านให้พระมาเฝ้าศาลา จะได้พบพระองค์สำคัญเร็วๆ นี้แหละ ท่านรู้ของท่านนะ

แล้วพระนั้นก็มาเล่าให้เราฟัง ท่านก็เล่าตามประสาของท่าน ท่านไม่รู้ว่าเราเป็นใครแหละ เห็นเราไปองค์เดียว ผมมาอยู่ที่นี่มานั่งเฝ้าศาลา เพราะท่านอาจารย์ท่านสั่งว่าจะมีพระองค์สำคัญมาหาเราเร็วๆ นี้ ให้พระไปเฝ้าศาลา ท่านหมายถึงพระกรรมฐาน ถ้ามีพระกรรมฐานมาให้ได้พบกับเราเสียก่อน จะพบเร็วๆ นี้ท่านจะมา ผมก็ได้มาเฝ้าศาลาที่นี่แหละ เราว่า มาเฝ้าได้กี่วันแล้ว ได้สองวันนี้ละ เณรนั้นยังไม่รู้นะ ก็เราไปองค์เดียว เราก็สนุกไล่เบี้ยเณรละ ซักทุกสิ่งทุกอย่างหมด เพราะเณรไม่รู้เราว่าเป็นใคร ก็สนุกซักละซี ซักเรื่องนั้นซักเรื่องนี้

จึงมารู้เรื่องของเราทีหลัง เหตุที่จะรู้เพราะถามชื่อเรา ท่านอาจารย์ชื่อว่าอย่างไร ถามทำไม เณรนี้ก็อ้างเหตุผลถูกต้อง เวลามีพระอาคันตุกะมาที่นี่ไปเล่าให้ท่านฟังจะได้รู้ชื่อรู้นาม ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ทราบจะเอาอะไรไปกราบเรียนท่าน ตกลงเราจนตรอก ก็เลยได้บอกว่าบัว ชื่อว่าบัว ท่านอาจารย์มหาบัวเหรอ ถามไปอะไรนักหนา เราก็ซัดเข้าไป สุดท้ายเณรก็ตื่นเต้นทันทีเลย ท่านก็เล่าตรงกัน ท่านบอกพระมาเฝ้าศาลา เวลาไปท่านก็พูดตรงกัน ก็แสดงว่าเณรไม่เสแสร้งอะไรละ พูดธรรมดา นี่อันหนึ่ง

ทีนี้เวลาเราไปที่นั่นแล้ว ตอนพวกพระเอาปิ่นตงปิ่นโตไป เรานั่งอยู่ข้างๆ ก็หูดีอยู่นี่นะ เรานั่งเป็นองค์ที่สองของท่าน พอใครเอาปิ่นโตเอาหม้ออาหารอะไรเข้าไปใกล้ๆ ท่านกระซิบบอกพระนะ เรานั่งอยู่นั้น บอกว่าเสือนะนั่นๆ ให้ระวังให้ดี ใครไปใกล้ๆ เสือนะนั่น ท่านบอกมาหาเรานี้บอกว่าเสือนะอยู่นั้นระวังให้ดี ท่านบอกระวังให้ดีเสือนะนั่น ท่านบอกว่าเสือ เราก็ขบขัน คือท่านไม่ดุใครนี่ กิริยาท่าทางของพระของเณรก็เหมือนลิง ลิงพระลิงเณรนั่นแหละ ไม่ใช่ลิงคน เหมือนลิงพระลิงเณรนั่นละ ใครเข้าไปนั่น นั่นรู้ไหมเสือ ท่านกระซิบบอกว่าเสือนะนั่น

คนไหนออกไปเปลี่ยนหมดกิริยาท่าทาง แล้ววันหลังเรียบหมดทั้งวัด คือท่านไม่ดุ แต่ท่านเอาเรื่องของเราไปขู่พระเณร นี่ก็ขบขันดีท่านอาจารย์คำดี ท่านพูดอย่างนั้น ใครก้มเข้าไปนั้นเสือนะนั่น บอกเราว่าเป็นเสือ ระวังให้ดี ใครเข้าไปนั้นเสือนะนั่น ระวังให้ดีนะ ตั้งแต่นั้นมาพระเณรเรียบทั้งวัด เสือตัวนี้มา ขบขัน ท่านบอกว่าเสือนะนั่นท่านว่า ท่านกระซิบบอกพระ เรียบทั้งวัดเลยนะ คือท่านไม่ดุ ท่านก็เอาเราไปแทนตัว..ท่านอาจารย์คำดี

ท่านไม่ถือเนื้อถือตัวนะท่านอาจารย์คำดี ท่านฝึกท่านก็ได้อย่างว่า นิสัยกิริยาแต่ก่อน นิสัยวู่วามดุเดือด ตั้งแต่เณรเย็บสบงผิด ฉีกสบงต่อหน้าเณรแล้วเณรไปนั่งร้องไห้อยู่ต้นเสา นั่นละท่านบอกว่านี้ละเณรนี่ละเป็นอาจารย์สอนเรา ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่ดุใครเป็นอันขาดจนกระทั่งวันตาย ท่านจึงไม่เคยดุใครท่านว่า นั่นละเณรนั่นละเป็นตัวเหตุที่ทำให้ผมเปลี่ยนนิสัยหมดเลย แต่ก่อนผมไม่ได้เป็นนิสัยอย่างนี้นะท่านมหา นิสัยผมวู่วาม พอขว้างขว้าง พอปาปาไปอย่างนั้นละ

พอเณรเย็บสบงผิดเท่านั้นละฉีกสบงต่อหน้าเณร เณรไปนั่งแอบต้นเสาร้องไห้อยู่นั่นละ นั่นละเป็นอาจารย์สอนผม ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยดุใครเลย ก็ไม่ดุจริงๆ เรียบตลอดมา แต่ก่อนผมไม่ได้เป็นนิสัยอย่างนี้นะท่านว่า เป็นนิสัยเหมือนโจรเหมือนผู้ร้าย เอาให้ได้อย่างใจท่านว่า พอเณรเย็บสบงผิด ฉีกสบงต่อหน้าเณรแล้วเณรไปนั่งอยู่ข้างต้นเสาร้องไห้ นั่นละเป็นอาจารย์สอนผม ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยดุใครเลย ท่านก็เรียบตลอด ท่านฝึกนิสัยท่านได้จริงๆ ท่านบอกว่าไม่เคยดุใครเลยท่านว่าตั้งแต่บัดนั้นมา นี่ท่านฝึกได้นะ

ไอ้เรานี้บอกว่าจะไม่ดุใครหันหน้ามาทางนี้ เราจะไม่ดุใคร พอทางนี้หมาเห่าว้อกทางนี้ซัดหมาแล้ว นี่ก็หมาเห่าอยู่ในนู้นเราก็คันฟันอยู่นี้ เราไม่เหมือนท่านอาจารย์คำดีนะ ถ้าว่าท่านไม่ดุใครท่านไม่ดุจริงๆ เราไม่ดุทางนี้แต่ไปดุทางนี้ นิสัยท่านดีมาก ท่านฝึกได้นะ ไอ้เราไม่เคยสนใจจะฝึก ไม่เคย เรื่องดุนี่ไม่เคยสนใจจะดุ เรียกว่าร้อยทั้งร้อยเป็นธรรมทั้งนั้น จะดุก็ตามดีก็ตาม  เรียกว่าดุด้วยธรรม ถ้าผิดบอกผิดทันทีเลย

ยกตัวอย่างเช่นที่ว่าปัดกวาดออกมาที่ศาลา เราดูนาฬิกาผิด อ้าว นาฬิกาได้เวลา คือแต่ก่อนการทำข้อวัตรปฏิบัติใครทันเราเมื่อไร เพราะฉะนั้นพระเณรจึงอืดอาดไม่ได้กับเรา พอดีวันนั้นดูนาฬิกาผิด ปุ๊บปั๊บคว้าเอาไม้กวาดลงปัดกวาดเสร็จแล้วออกมา ปัดกวาดออกมา ตามธรรมดาปัดกวาดออกมาถึงหน้าศาลาพระจะเต็ม คือองค์นั้นปัดกวาดออกมาจากถิ่นฐานของตนๆ แล้วมารวมกันที่ศาลา แต่วันนั้นหายเงียบไม่มีพระเณรสักองค์เลย เราปัดกวาดออกมา ปัดกวาดออกมาที่หน้าศาลาก็มาดุเณร

เณรมันเป็นอย่างไร พระนี่มันตายกันทั้งวัดเหรอ ใครจะกุสลาใคร ถึงเวล่ำเวลาไม่รู้เหรอ มันเป็นอย่างไร นี่ยังไม่แล้วนะกลางคืนจะประชุมกันอีก ดีไม่ดีขับพระออกจากวัด เณรมันคงรำคาญ มันเห็นเราปัดกวาดออกไปนั้นมันก็เลยเอาไม้กวาดออกมากวาด เลยถามเณร ดุเณรด้วยนะ มันเป็นอย่างไรพระเณรมันตายกันทั้งวัดแล้วเหรอ ใครจะกุสลาใครนี่ ถึงเวลาปัดกวาดไม่รู้เหรอ นี่เป็นเรื่องละเอียดเมื่อไร เรื่องหยาบๆ ถึงเวลาแล้วปัดกวาดก็ทราบกันทั้งวัด แล้วมันเป็นอย่างไรวันนี้น่ะ

นาฬิกาได้เท่าไรเณร นาฬิกาพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที คือธรรมดา ๔ โมงปัดกวาด นี่เราผิด ใส่เณรเปรี้ยงๆๆ แล้วกลางคืนยังจะประชุมอีกนะนั่น พอถามนาฬิกาเณรแล้ว นาฬิกาได้เท่าไรเณร นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที พอว่าอย่างนั้นหยุดๆ ขึ้นทันทีเลยนะ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บปั๊บกลับเลย นี่ละเป็นไฟมาอย่างนั้น พอว่าเราผิดปั๊บนี่ธรรมถูกต้อง กราบธรรมทันที เราจะไปแก้บ้าเรา ไปเลย เณรมันคงหัวเราะเรา ใส่เปรี้ยงๆๆ นะนั่น เหมือนฟ้าดินถล่มนั่นละ

พอว่าเราผิดเสียเท่านั้น นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ธรรมดา ๔ โมงปัดกวาด พอว่า ๓ โมง ๒๐ เหอ ซ้ำเข้าอีก บอกว่านาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ หยุดๆ ขึ้นทันทีเลย มันจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราเดินปุ๊บๆ เณรมันคงหัวเราะ นั่นละธรรมฟังซิ คือไม่ได้ดุได้ด่าด้วยความโกรธด้วยกิเลสตัณหา ดุด่าด้วยอรรถด้วยธรรม เมื่อผิดต้องยอมรับว่าผิด นี่เราก็ผิดใช่ไหมล่ะ จึงบอกว่าหยุดๆ อย่ามาปัดกวาดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เดินกลับเลย อย่างนั้นละเรียกว่าธรรม พูดให้เป็นธรรมอย่างนั้น ที่จะไว้เนื้อไว้ตัวว่าเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ นี้ไม่ได้ นี่ไม่เหมือนใครนะ ต้องให้ลงตามธรรม เอาธรรมเป็นเกณฑ์ ธรรมว่าอย่างไรต้องยอมตามธรรมนั้น ฝืนไม่ได้

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก