ปฏิปทาของเราที่ดำเนินมา
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๑

ปฏิปทาของเราที่ดำเนินมา

       กิเลสคือความเศร้าหมองมืดตื้อ ผลของมันเป็นความทุกข์ร้อน ผลของกิเลสทำให้สัตว์ได้รับความทุกข์ร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ธรรมเป็นน้ำดับไฟหรือชะล้างกิเลสซึ่งเป็นตัวสกปรกให้เบาบางลงไป ความสุขก็ค่อยปรากฏขึ้นมา เราเริ่มต้นตั้งแต่ฝึกหัดภาวนาอ่านวิถีจิตของเจ้าของที่มันผาดโผนโจนทะยาน ถึงกับน้ำตาร่วงบนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ เราเองเป็นผู้เป็นได้นำมายืนยันว่าไม่ผิดจากความเป็นจริงที่เราผ่านมา นี่ละเวลากิเลสผาดโผน โผนจริงๆ

พ่อแม่ครูจารย์เรานี้ คือหลวงปู่มั่นเรานี้ท่านเป็นสำนักโรงงานใหญ่สำหรับซักฟอกความสกปรกแห่งจิตใจของบรรดาลูกศิษย์ ลูกศิษย์ลูกหาได้รับการอบรมแล้วก็เข้าป่าเข้าเขาฝึกฝนอบรม ใครได้อุบายวิธีการใด หรือว่าสู้กิเลสไม่ได้เพราะเหตุใดก็มาเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ชี้แจงเหตุผลกลไกเบิกทางให้แล้วก็ไปๆ สำหรับเราเองที่ได้ประจักษ์นี้ก็คือว่าน้ำตาร่วงบนภูเขา เราเป็นจริงๆ นั่นละเวลากิเลสมันผาดโผน เอาขนาดเราจะสู้กับมันอย่างเต็มเหนี่ยวๆ มันฟาดเราจนน้ำตาร่วงบนภูเขา คือสู้มันไม่ได้ ตั้งสติพับล้มพร้อมเลย ไม่ได้ตั้งอยู่นะ ตั้งเพื่อล้มๆ

กระแสของจิตมันไม่ให้ตั้งตัวได้เลย สติตั้งได้ ก็เรียกว่าเป็นท่าทางแห่งการทำใจให้สงบได้ ถ้าสติตั้งไม่ได้ใจหาความสงบไม่ได้เลย เวลาเอากันจริงๆ สติตั้งไม่อยู่นะ คือกระแสของกิเลสมันรุนแรง ตั้งพับล้มๆ ตั้งเพื่อล้มไม่ใช่ตั้งเพื่ออยู่ นี่ก็เต็มหัวใจเรา เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะเราสอนเราเองมันเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่เป็นโลก ไม่เป็นความสกปรกโสมมอะไร เพราะเรื่องของธรรม กิเลสหยาบธรรมต้องหยาบ ซัดกัน น้ำตาร่วงบนภูเขา นี่ขึ้นแล้วทางนี้ขึ้นนะ เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ ว่าอย่างนั้นละ เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยต่อตัวเองอยู่ภายในจิตใจ สู้มันไม่ได้ ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ อยู่บนภูเขา

มันเป็นอุทานหรือว่าเป็นลักษณะท้าทายกันอยู่ภายในใจ เหอ มึงเอากูนะ มึงกูคือซัดกิเลสในใจเจ้าของเอง มึงเอากูถึงขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วง ทีนี้ก็ลงบทตัดสินกันว่า เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เวลานี้กูสู้มึงไม่ได้กูยอมรับ โรงงานใหญ่ของเราคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ลงจากนั้นก็ไปหาท่าน พูดถึงเรื่องเหตุผลกลไกที่สู้กิเลสไม่ได้ก็ต้องเล่าให้ท่านฟังหมด ท่านบอกอุบายวิธีการ การฝึกการทรมานตน

นี่ละครูบาอาจารย์เฉลียวฉลาดอย่างนั้นนะ ไม่อย่างนั้นสอนลูกศิษย์ให้เป็นอรรถเป็นธรรมไม่ได้ เราก็ไม่ค่อยคิดเวลาฝึกหัดทีแรกถ้าว่าฉันก็เต็มเหนี่ยว ถ้าว่านอนก็หมอนแตก เสื่อขาด แต่ว่าจะสู้กับกิเลส ก็ไม่ทราบเอาอะไรไปสู้ มันหากเป็นอยู่ในใจ จนท่านหาอุบายสอน เออ ที่สติตั้งไม่อยู่นี้มันมีสิ่งผลักดันอยู่ภายใน นั่นท่านว่านะ การอยู่กินหลับนอน ท่านขึ้นต้นนี่ละพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ถ้าอยู่แบบสบายกิเลสเอาให้แหลกตลอด ท่านว่าอย่างนั้น อยู่กินสบายนอนสบายเรียกว่าขึ้นเขียงให้กิเลสสับยำตลอดเวลา

นี่ได้ฟังไหมอุบายครูบาอาจารย์สอนเรา ต้องมีฟัดมีเหวี่ยง การต่อสู้กัน นักมวยเขาต่อสู้กัน เขาต่างคนต่างฟัดต่างเหวี่ยงกันเต็มสติกำลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายที่เขาต่อสู้กัน นั่นท่านว่า เราที่ต่อสู้กับกิเลสด้วยธรรมเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องหาอุบายวิธีการหลายอย่างมาใช้ เราจะมีแต่ความตั้งใจเฉยๆ ล้มเหลว ท่านว่า นี่ละครูบาอาจารย์สอนเราเราจำได้ มันมีกำลังอะไรมากมายนักมันถึงตั้งสติไม่อยู่ ทำให้ล้มเหลวๆ นี่แสดงว่ากำลังวังชาทางด้านร่างกายมากเป็นเครื่องหนุนของกิเลสได้ดี

นั่นฟังซิน่ะ คือกินมากนอนมากเป็นเครื่องส่งเสริมของกิเลส ทำให้ความเพียรของเราล้มเหลวๆ เอา ให้ตัดทอนลง ฟังซิท่านพูด กินมากให้กินแต่น้อย นอนมากให้นอนแต่น้อย ให้ดัดมันลง แล้วความเพียรคือสติให้ตั้งไม่ถอย ท่านว่าอย่างนั้น เอา สังเกตดู ให้ลดการกิน ลดการนอน นี่ละครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ลูกหา การกินถ้ากินมากมันเหมือนหมูขึ้นเขียงไม่มีลวดลายอะไรเลย เอาๆ กินน้อย นอนน้อย พักไม่กิน นั่นท่านพูดเป็นหลายขั้นหลายตอน กิเลสมันอาศัยอันนี้ละเป็นเครื่องมือเป็นกำลังของมันทำลายเรา ให้เราทำความเพียรไม่สะดวก ดีไม่ดีล้มเหลว

จับอันนั้นปุ๊บๆ เพราะฟังฟังจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ฟังอย่างเอาจริงเอาจัง เราที่ไม่เข้าใจอุบายใดพอท่านว่าปั๊บจับปุ๊บๆๆ นำมาปฏิบัติทันทีๆ มันก็เห็นผลอย่างท่านว่า เอา ลดอาหารลงมันเป็นอย่างไร ลดการนอนลง เอาทีนี้ความเพียรสติตั้งให้ดีจะเป็นผลประโยชน์อย่างไรบ้างดูกันตรงนี้ ซัดไปซัดมามันก็ได้เงื่อน อ๋อ การกินนี่ก็ตัดทอนความเพียร การกินมากตัดทอนความเพียร สติไม่ดี นอนมากสติไม่ดี เป็นเครื่องส่งเสริม ทีนี้ตัดลง อาหารกินแต่น้อย นอนนอนแต่น้อย ต่อจากนั้นตัดบ้างอาหารไม่กิน

เอา สังเกตดูสติเป็นอย่างไร ตั้งสติ สติค่อยดีขึ้นๆ พอดีขึ้นจับได้ ดีเพราะเหตุไร เช่นดีเพราะผ่อนอาหาร เอา ผ่อน ดีเพราะการอดนอน เอา อด ผ่อนนอนมากเข้าๆ สุดท้ายการกินตัดบ้างไม่กินบ้างอะไรบ้างสติค่อยดีขึ้นๆ จับได้เอามาทบทวนกัน ความเพียรค่อยก้าวขึ้นๆ พอจับเงื่อนได้แล้วทีนี้มันก็เอาละ แต่นิสัยเรามันมักจะผาดโผนตลอดนะ แม้แต่ครูบาอาจารย์ท่านไสเราขึ้นนี้ท่านยังต้องได้รั้งเราไว้ เพราะมันผาดโผนมากแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าลงใจในจุดไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย นี่ก็ลงใจซัดกับกิเลสมันก็เอาอย่างเดียวกัน

สติตั้งได้เพราะเหตุนี้ๆ ทีนี้ลดลงๆ อาหารลดลง ไม่กิน ไม่กินเท่าไรภาวนายิ่งดีๆ แล้วตัดอาหาร การฉันอาหารฉันเมื่อไรก็ได้ มีกำลังวังชาเหมือนม้าแข่งหลังจากฉันเสร็จแล้ว เวลาเรามาจากภูเขาเดินไปถึงหมู่บ้านเขาไม่ถึง ไปหยุดแค่กลางทาง มันเดินไม่ไหว อ่อนปวกเปียกไม่มีกำลัง พอฉันเสร็จแล้วกลับมานี่เหมือนม้าแข่ง กำลังมันขึ้นรวดเร็วทางร่างกาย แต่กำลังทางด้านจิตใจขึ้นช้าขึ้นยาก จึงต้องได้ดัดเพื่อจิตใจให้มาก เช่นอดอาหาร สุดท้าย ก็อดอาหาร อดมากเข้าๆ เห็นว่าภาวนาดีก็ซัดทางด้านอดอาหาร นี่มันผาดโผน สุดท้ายไม่ค่อยกินละที่นี่ ภาวนาไม่ดี

อดอาหารไปเท่าไรจิตมันยิ่งดีด คือร่างกายของเรานี้อ่อนเปียกแต่จิตนี้เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า สง่างามอยู่ภายใน ทีนี้มันก็เอาจิต เพราะเรามุ่งแต่จิต ร่างกายกินเมื่อไรก็ได้กำลังวังชายากอะไร ซัดกันเอาเสียจนท้องเสีย อย่างนั้นละ คือเรามันผาดโผน มันไม่ค่อยกิน กี่วันๆ จึงฉันหนหนึ่งๆ นี่ก็เคยได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังมีกรรมฐานองค์ไหน แต่กรรมฐานองค์นี้มี เห็นประจักษ์ พวกชาวบ้านเขาอยู่ในป่าในเขาเขายังรู้เรื่องของเรา เรื่องเป็นเรื่องตายของเรา แต่นิสัยเราเคยทำอย่างนั้นมาตลอดเขาไม่รู้ เขาพึ่งรู้เวลาเราไปพักอยู่กับเขา

ไปบิณฑบาตสักวันหนึ่งหายเงียบๆ ไปเรื่อย มันจะตายจริงๆ ก็ด้อมๆ ไปบิณฑบาตเสียวันหนึ่ง หายเงียบ ทีนี้เขาตีเกราะประชุม ไม่ใช่เล่นๆ นะ สองสามสี่ห้าหลังคาเรือนก็ตามเขามีสัญญาณเขาเคาะป๊อกๆ ให้ชาวบ้านมาประชุม มาประชุมใครว่าอย่างไร พระองค์นี่น่ะ เขาว่าอย่างนั้น มาอยู่กับเรา ตั้งแต่มาอยู่นี้ไม่ทราบว่ากี่วันเห็นด้อมๆ มาบิณฑบาตทีหนึ่งหายเงียบๆ หายเงียบอยู่อย่างนี้นานแล้ว เป็นยังไง ตั้งแต่ตั้งบ้านมาเราก็ไม่เคยเห็น เขาว่าอย่างนั้นนะผู้ใหญ่บ้านเขา

แล้วพระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดานะ ให้ไปถามท่านดูเป็นอย่างไรท่านถึงอดอาหารเอามากมาย ไม่ค่อยขบค่อยฉันเป็นอะไร แต่เวลาไปให้ระวังนะเขาบอก ผู้ใหญ่บ้านเขาให้ระวัง พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดา พระองค์นี้เป็นมหา เดี๋ยวท่านจะสับเอาแหลกนะ เขาเตือนกัน เขาก็รุมกันมา มาอะไรนี่น่ะ จะมาแห่พระเวสเข้าเมืองเหรอ นี่ไม่ใช่พระเวสนะ ไม่ใช่ เขาก็มาเล่าให้ฟังว่าผู้ใหญ่บ้านเขาตีเกราะประชุมเห็นท่านไม่ค่อยฉันจังหัน แล้วเป็นอย่างไร ท่านทำไมถึงไม่ฉันจังหันให้ไปถามท่าน แล้วเขาก็บอกว่าให้ระวังให้ดีนะพระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดา เป็นมหานะ เดี๋ยวท่านจะสับเอา

มีเท่านั้นเหรอ ท่านไม่ตายแล้วเหรอ หนึ่ง ที่สองท่านไม่โมโหโทโสอยู่เหรอ สองข้อนี่สำคัญมาก แล้วก็มาถามเป็นอย่างไรตายหรือยัง เอ๊ ก็ไม่เห็นท่านตาย ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วโมโหโทโสอยู่ไหม ท่านก็ไม่เห็นโมโหโทโส มีเท่านั้นเหรอ มีเท่านั้น ไปกลับ ไม่ถึงสิบนาทีไล่แตกฮือเลย กลับ อย่างนั้นละ เขาตีเกราะประชุมก็มี เรามันเป็นนิสัยอย่างนั้น มันมักผาดโผนก็ยังบอก ทำอะไรมันจริงมันจัง แต่ก็เห็นผลทุกอย่าง

เราไม่ได้ตำหนิในปฏิปทาการดำเนินของเรา ว่าท้อแท้อ่อนแอเหลวไหลปวกเปียก ไม่มี ถึงจะเป็นล้มลุกคลุกคลานซัดกัน ระหว่างนักมวยฟัดกันนี้ล้มลุกคลุกคลาน เขาล้มเราล้ม เขาลุกเราลุก ซัดกันอย่างหนักอยู่ตลอดมาอย่างนั้น จนกระทั่งถึงตั้งตัวได้ นี่ละปฏิปทาของเราที่ดำเนินมา แต่สรุปความลงแล้วว่าเหมาะสมกับนิสัยเราหยาบ นิสัยเรานี้มันหยาบจริงๆ ถ้าธรรมดานั่งทำความพากความเพียรนั่งธรรมดาหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมงอย่างนี้หยุด หรือเดินจงกรมชั่วโมงสองชั่วโมงหยุดมันไม่ได้เรื่องนะ ทำอะไรมันต้องมีผาดโผน

ถ้าว่านั่งก็ฟาดเสียจนก้นแตก ฟังซิน่ะ ถ้าธรรมดามันจะก้นแตกเหรอ นี่นั่งก้นแตกนะเรา นั่งภาวนาตลอดรุ่งมันจะไม่แตกได้อย่างไร ไม่ใช่นั่งคืนหนึ่งคืนเดียวนะ นั่งวันนี้งดวันนี้ หนึ่งคืนหรือสองคืนแล้วเอาอีกๆ หลายครั้งหลายหนก้นแตก เป็นอย่างนั้นละนั่งภาวนา แต่ที่นั่งภาวนาถึงขนาดก้นแตกนั้นพอกันกับความอัศจรรย์ของจิต เวลามันจนตรอกจนมุมคนเรามันไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ เวลาจนตรอกจนมุมสติปัญญามันจะหาทางออก ฟัดกับกิเลสจนได้เหตุได้ผลได้ความอัศจรรย์ขึ้นมาในเวลาจนตรอกจนมุมเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงมักนั่งภาวนาตลอดรุ่งเสมอ เวลาจนตรอกจนมุมสติปัญญามาเอง มันซัดกัน นี่ละเราทำมาเรื่อยๆ อย่างนี้

นี่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ถอดออกจากตัวเองเป็นผู้ทำเองมาพูดให้ฟัง จะโกหกไปที่ไหน ใครจะว่าโอ้อวดให้มันว่า ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยนั่งภาวนา เรามานั่งภาวนาจนก้นแตกมันยังไม่ยอมเชื่อ ให้มันเชื่อกันทั้งโคตรมันโคตรนอนเหมือนหมูนั่น เข้าใจไหม พวกนอนเหมือนหมูพวกนี้ เราไม่ได้เหมือนหมู นี้ฟัดกับกิเลสจนกระทั่งจ้าขึ้นมาในจิตใจ สอนโลกเวลานี้ไม่มีสะทกสะท้านแล้ว พูดให้มันชัดเจนจากผลแห่งการปฏิบัติของเรามาเอาเป็นเอาตายเข้าว่า นั่งภาวนาก็จนก้นแตก พ่อแม่ครูจารย์ได้รั้งเอาไว้ๆ เพราะนิสัยมันผาดโผน ว่าอะไรจริงทุกอย่าง ถ้าลงได้ลงใจแล้วเป็นก็เป็น ตายก็ตาย ซัดเลย ไม่มีคำว่าเหยาะๆ แหยะๆ

พอพูดถึงขั้นนี้แล้วเป็นขั้นในวาระสุดท้าย เราก็ไม่เคยพูดในคำพูดเช่นนี้นะ วาระนั้นเป็นวาระที่ท่านป่วยในพรรษานั้น ทีนี้จิตใจของเราก็หมุนเป็นธรรมจักร ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันโดยอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าบังคับบัญชา ต้องได้บังคับเอาไว้ มันจะเลยเถิดความเพียร กลางคืนทั้งคืนไม่หลับเลยก็มี บางทีกลางวันไม่หลับก็มี มันซัดกันอยู่ภายใน นี่ละเรื่องธรรมะเมื่อมีกำลังแล้วฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน กับกิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติของมันทั่วโลกดินแดน

เราก็ไม่เคยคิดข้อนี้ แต่เวลาธรรมอันนี้ขึ้นมามันฟัดกับกิเลสนี้เป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นความเพียรตลอด แม้ที่สุดนั่งฉันจังหันนี้มันไม่ได้อยู่กับอาหารนะ มันอยู่ลึกๆ มันหมุนกันอยู่ลึกๆๆ ถึงขั้นมันจะฆ่ากิเลส ไม่อยู่ มีแต่จะฆ่ากิเลสๆ ตลอดเวลา กลางคืนนอนไม่หลับ คือจิตมันหมุนตลอด กลางวันก็นอนไม่หลับ นี่ละความเพียรถึงขั้นอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนเราก็ทราบกันแต่ว่ากิเลสมันทำลายหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน แต่เวลาธรรมมีกำลังมันก็ฆ่าแบบเดียวกัน ถึงขั้นที่มันทำลายกิเลสนี้ทำลายตลอดเวลา ถ้ากิเลสไม่หมดจากใจเสียเมื่อไรเป็นไม่ถอย ถอยไม่ได้เลย นี่เป็นแล้วนี่

อย่างที่พระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก จะไม่แตกอย่างไร เมื่อความจริงเข้าถึงกันแล้วมันยอมกันเอง ถ้าลงได้ลงทางจงกรมนี่ไม่รู้จักหยุด จนกระทั่งก้าวขาไม่ออก เป็นอย่างนั้นนะ คือมันลืม ความเพียรกับกิเลสมันฟัดกันอยู่ภายใน ตานี้ฝ้าฟาง มันมองข้างนอกไม่เห็น คือจิตเข้าข้างในหมด มันซัดกับกิเลสอยู่ภายใน ตาเลยฝ้าเลยฟาง เดินจงกรมโซซัดโซเซ ไปโดนต้นไม้บ้าง ไปโดนป่าบ้าง เหอ ป่าๆ แล้วกลับเข้ามาเดินไป คือจิตมันหมุนของมัน

ฟังซิท่านทั้งหลาย เรื่องการฆ่ากิเลส เหตุที่จะได้ธรรมมาสอนโลกเราทำมาอย่างนี้ ถึงขั้นมันเป็นเป็นอย่างนี้ละ ตาฝ้าตาฟาง คือจิตมันไม่ออกมันหมุนอยู่ภายใน แล้วก็โซเซเข้าป่า แล้วกลับออกมาเดินไป แล้วเข้าป่านี้ คนเห็นเขาจะว่าบ้าละ ว่าก็ช่างเขาซิ ก็เราไม่ได้เป็นบ้า เราจะฆ่ากิเลสตัวบ้าใหญ่ต่างหาก เข้าใจไหม บ้าไม่เลิกคือกิเลส เราจะฆ่ามัน นี่ละเวลามันหมุนของมันเป็นอย่างนี้ หมุนตลอดเลย

เมื่อทำได้ทุกอย่างแล้วก็พูดได้เต็มปาก ถ้าไม่ได้ทำคุยโม้ไปหาอะไร ไม่มีความอาจหาญชาญชัย จืดๆ ชืดๆ ถ้าลงความเป็นจริงออกอย่างไรแล้วผึงๆ เลย นี่ออกมาจากความเป็นจริง ซัดกันกับกิเลสก็อย่างนั้น ฟาดเสียจนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อลง ขาดสะบั้นลงไปเลย นี่ก็พูดให้ฟัง อยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นเป็นวันกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ เหมือนหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ร่างกายนี้ดีดผึงเลยเชียว กิเลสกับธรรมขาดจากกันในหัวใจนี้แรงนะ ร่างกายเรานี้ดีดผึงเลย มันรุนแรงมากจึงเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา มันเป็นเฉพาะร่างกายกับจิตใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นจากกัน ดีดผึงเลย เป็นอย่างนั้นละ

ตั้งแต่นั้นมาก็ลืมตาอ้าปากได้แล้ว พูดได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาให้มันชัดเจน บอกว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา จะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว มันหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วภายในใจ ว่างหมดขึ้นชื่อว่าสมมุติ แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เข้ามาเกี่ยวข้องในจิตใจได้เลย สมมุติก็คือกิเลส มีมากมีน้อยเป็นเสี้ยนเป็นหนาม เวลามันอยู่ภายในจิตใจมากน้อยก็เหมือนผงเข้าตาแหละ มีน้อยก็เหมือนผงเข้าตา เมื่อมันหมดเสียจริงๆ แล้วก็โล่งไปหมด ไม่มีอะไร กิเลสขาดสะบั้นจากใจ ใจก็โล่งไปหมดเลย

เอา เป็นตายที่ไหนไม่ได้คำนึง ประสาธาตุขันธ์ ถึงเวลามันจะไปมันก็ไปของมัน ยังไม่ถึงเวลาก็อยู่กินไปนอนไปอย่างนี้แหละ ดูกันไป ไม่ได้เป็นอารมณ์กัน ไม่ยึดไม่ถือกัน แต่รับผิดชอบกันเพียงเท่านั้นละ แต่ก่อนมีทั้งยึดทั้งถือเป็นเครื่องกังวล แต่เวลามันถึงที่ของมันแล้วไม่มีกังวล มันเป็นอะไรก็ดูอาการของมัน เมื่อมันอยู่ไม่ได้จะไปเหรอ ไปซิ นั่น ดีดผึงเลย นี่การประกอบความพากเพียรเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในชาตินี้เรียกว่าชาติที่สุดยอดของเราเรื่องกองทุกข์ในการประกอบความเพียร

จากนั้นเราก็ช่วยโลกดังที่เห็นนี่ เห็นไหมล่ะ เราช่วยโลกเราเอาอะไรติดไม้ติดมือมาเราไม่มีนะ เราช่วยโลกทั้งหมดเลย สมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยช่วยส่วนรวมๆ สำหรับเราเองเราไม่เอา พอทุกอย่างแล้ว เปิดเผยหมด พากันจำเอา นี่ละการปฏิบัติธรรมเมื่อถึงขั้นพอแล้วไม่เอาอะไร จิตใจเปิดโล่งหมด ปล่อยวางโดยประการทั้งปวง สมมุติทั้งปวงไม่มี เอาละพอ วันนี้ว่าจะไม่เทศน์มากก็เอาล่ะ นี่ก็ออกทั่วประเทศไทย ให้ได้ฟังสักทีธรรมะประเภทนี้ ไม่ค่อยมีใครเทศน์ หนึ่งอาจจะปฏิบัติไม่ได้อย่างนั้น สองอาจรู้ไม่ได้อย่างนั้นก็ได้ นี่ปฏิบัติปฏิบัติอย่างนี้ รู้ก็รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ พูดได้อย่างนี้

(โรงพยาบาลจังหวัดลพบุรี มากราบขอความอนุเคราะห์เครื่องมือผ่าตัดต้อกระจกราคา ๒,๖๕๐,๐๐๐ บาท) เราก็ไม่มีเงินจะทำอย่างไร คือไหลออกตลอด มีแต่ไหลออกตลอด ผู้ที่เข้ามาขอก็ขอตลอดเหมือนกัน ผู้ที่ให้ให้จนไม่มี แต่นี้เราไม่มีเงินแล้วนะ หมดเงิน ไหลออกตลอด ส่วนมากก็คือโรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง ทั่วประเทศไทยโรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่เราช่วยโลกอยู่เวลานี้ ทั่วประเทศไทยนะทุกภาค เราได้ช่วยทุกภาคๆ โรงพยาบาล โรงพยาบาลพิสดารมาก พวกเตียงพวกอะไรมากต่อมาก (ขอเครื่องมือผ่าตัดต้อกระจก ราคา ๒,๖๕๐,๐๐๐ บาท) ให้อันเดียวก่อนนะ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก