เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
คนมีสติไม่ลืมตัว
ที่ศาลาใหญ่นั่นภาพเจดีย์ สร้างเจดีย์เรานะฟังว่า เรามันไม่ได้สนใจกับอะไรนะ อย่างกุฏินั่นคนนั้นเอาอันนั้นสุมเข้ามา คนนี้เอาอันนี้สุมเข้ามา ไม่ทราบว่าอะไรต่ออะไรขนเข้ามาสุมที่กุฏิเรานั่น นี่มันไม่ได้สนใจอะไรนะ ไม่ให้มีอะไรเลยกุฏิ มีหลักธรรมชาติที่พออยู่เท่านั้นพอ นั่นถูกต้องแล้ว ไม่ยุ่งวุ่นวาย เดี๋ยวนี้ยังขนอะไรเข้าไปอีกไม่รู้ ข้างๆ ห้องข้างนอกมีอะไรต่ออะไร เรายังไม่ได้ไปสั่งพระให้เอาขบวนรถไฟเข้ามา แล้วเอารถไฟไปเทลงแม่น้ำโขง มันพิลึกเหลือเกิน อยู่กุฏิไม่ทราบของใครต่อของใคร เต็มอยู่กุฏิข้างนอกขนออกไม่หวาดไม่ไหว มาเรื่อย เดี๋ยวนี้เข้าไปอีกแล้ว
เมื่อวานไม่ไปไหน ไปกราบพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรามาจากกรุงเทพฯไปกราบท่าน พอกราบท่านแล้วออกเลย คนเต็มอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ หลายจังหวัดนะ ไม่ใช่คนเฉพาะจังหวัดสกลนคร จังหวัดสกลนครก็มีเป็นคนสองคนเท่านั้น แต่ที่อื่นก็ไปกราบไหว้พิพิธภัณฑ์ เฉพาะอย่างยิ่งองค์พระธาตุของหลวงปู่มั่นเรา มามากต่อมากมากราบ หลั่งไหลเข้าออกๆ เมื่อวานนี้ พอลงรถแล้วเราก็เข้าไป คณะหนึ่งเขามาก่อนแล้ว เข้ามาเต็มอยู่ที่หน้า พอเราลงรถเขาก็รุมเข้ามาเลย รุมเข้ามาหาเรา เขาบอกมาจากวัดมเหยงค์ จังหวัดอยุธยา ว่าอย่างนั้น หลวงตาก็เคยไปเทศน์แล้ววัดมเหยงค์ อยุธยา เคยฟังหรือเปล่า ฟัง เขาไปฟังอยู่วันนั้น เขาว่า
ดูว่าวัดมเหยงค์นี่ไปเทศน์หลายหนแล้วมัง กี่หนแล้วน้า (๗ ครั้งเจ้าค่ะ) นั่นซิวัดมเหยงค์ที่อยุธยา ท่านอะไรนะอยู่ที่นั่น เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น ดูวัดดูวาน่าดู ดูกุฏิดูที่พักดูอะไรน่าดู เจ้าอาวาสก็นิมนต์เราไปเทศน์ แต่มันจำไม่ได้ไปเทศน์สักกี่ครั้ง ดูว่าเทศน์หลายครั้งอยู่นะที่วัดมเหยงค์ สนามใหญ่ๆ ตอนค่ำก็เทศน์ แล้วตอนเช้าก็ฉันจังหันกรรมฐานในป่า ร่มไม้ มีพวกหินพวกอะไรเป็นลักษณะป่า พระในวัดท่านก็มาฉันร่วมกันเต็ม เราเป็นหัวหน้า ที่ว่าวัดมเหยงค์นี่ ตอนเช้าไปฉันที่สนามว่าหญ้าก็พูดไม่ถูก คือดัดแปลงแก้ไขให้เป็นที่น่าดูคล้ายคลึงกันกับในป่าในเขา ว่าอย่างนั้นเถอะ เอาหินอะไรมาวาง เจ้าอาวาสท่านก็ดีดูทุกสิ่งทุกอย่าง คือถ้าใจเป็นธรรมแล้วดูทุกสิ่งทุกอย่างจะมีกฎมีระเบียบ มีความสวยงามน่าดู น่าดูโดยธรรมนะ ไม่ใช่น่าดูแบบโลก แบบสกปรก แบบโลกสวยงามมาก แต่มันแบบโลก แบบส้วมแบบถานก็มี ถ้าแบบธรรมแล้วนั่นละเหมาะ
นี้เราก็ไปเทศน์หลายหนแล้วที่วัดมเหยงค์ ช่วยชาติคราวนี้รู้สึกว่าเทศน์มากจริงๆ นะเรา เราอยากจะพูดว่าทั่วประเทศไทยนี้มีใครที่เทศน์มากกว่าเราตอบมา ไม่มี นั่นน่ะมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้เป็นข้อคิดได้อย่างไร ถึงได้ถามออกมาว่าใครที่เทศน์มากกว่าเรา ก็มีแต่เราเทศน์ คือธรรมะของเรานี้มีทุกขั้น ที่เทศน์สอนพระในวัดป่าบ้านตาดล้วนๆ แล้วเทศน์อยู่บนศาลานี้มีแต่ยอดธรรม เทศน์แบบหมุนติ้วเลยเชียว เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคเรื่องผลตั้งแต่พื้นๆ ทะลุเลย ส่วนมากเราเทศน์สอนพระจะเทศน์ตั้งแต่สมาธิขึ้นไป ส่วนศีลไม่สงสัยท่านเหล่านี้ ความรักศีล กันตสีโล อย่างหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านรักศีล ศีลเป็นที่รัก
ไปที่ไหนในบ้าน ทางวัดไม่ต้องว่า ธรรมดาทางวัดต้องเป็นตู้คัมภีร์แห่งธรรมอยู่แล้ว ทางบ้านถ้าบ้านไหนมีศีลมีธรรมดูทุกสิ่งทุกอย่างจะน่าดู วัดไหน..เอา..เข้าไป ถ้าวัดตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเป็นศีลเป็นธรรมจริงๆ แล้วน่าดู นั่น ถ้าวัดเป็นแบบโลกๆ วัดเป็นส้วมเป็นถานดูไม่ได้ เป็นอย่างนั้นละ นี่เราพูดตามธรรม ไม่ได้พูดเข้าข้างนั้นออกข้างนี้ เหยียบนั้นยกนี้ไม่มี ธรรม เสมอภาค
พูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงในครั้งพุทธกาล พระท่านไปบำเพ็ญในป่า มีพระมากเสียด้วย ดูประมาณสัก ๓๐-๔๐ องค์อยู่ในป่าใหญ่ ท่านไปภาวนาอยู่ในป่าใหญ่ ทีนี้พวกศรัทธาญาติโยมเขาเห็นพระไปภาวนาอยู่ในป่านั้นเป็นจำนวนมาก เขาก็จัดน้ำปานะ ภาษาเราทุกวันเรียกว่าน้ำส้มน้ำหวาน น้ำจรวดดาวเทียมอะไร มีในนั้นหมด เขาไปถวาย พอไปถึงวัดไม่เห็นพระเลย ในดงก็ไม่มี มองไปไหนไม่มีพระ สักเดี๋ยวเห็นพระองค์หนึ่งท่านเดินมานั้น แล้วพระท่านไปไหนหมด ท่านภาวนา อยู่ไหนล่ะ อยู่ในป่านี้แหละ ว่างั้น ได้น้ำส้มน้ำหวานมาถวายท่านจะปฏิบัติอย่างไร
พระนั้นก็เลยไปเอาไม้มาเคาะป๊อกๆๆ องค์ไหนก็มาละ เอาไม้เคาะให้สัญญาณพระมารวมกัน เรียกว่าระฆังก็ได้ แต่นั้นดูว่าท่านเอาไม้ไปเคาะอะไรเป็นเครื่องหมายสัญญาณให้มารวมกัน พอเอาไม้เคาะป๊อกๆ ไม่นานองค์นั้นก็มา องค์นี้ก็มา องค์ไหนมาดูลักษณะเคร่งครึมเหมือนโกรธแค้นให้กันทั้งวัด นี่ในตำรา เหมือนพระท่านโกรธแค้นกันในวัดทะเลาะกัน องค์ไหนมาเคร่งขรึมเงียบๆ เขาก็เอาน้ำส้มน้ำหวานมาถวายท่าน ผู้จัดก็จัดถวาย เสร็จเรียบร้อยแล้วลุกพรึบพรับไปเงียบเลย หายเงียบ ไม่พูดกัน ในตำรานะ
พระตั้ง ๔๐-๕๐ องค์ ต่างองค์มาอย่างเคร่งขรึมเหมือนเหมือนทะเลาะกันมา พอมาฉันแล้วต่างองค์ต่างไปเงียบเลย เขาเลยถามว่าพระทะเลาะกันเหรอ ท่านไม่ทะเลาะ ท่านมาท่านฉันแล้วท่านไป เพราะท่านมาบำเพ็ญธรรมนี่ ถ้าภาษาของหลวงตาบัวก็ท่านไม่มาหากินน้ำส้มน้ำหวานกับพวกท่านอะไรนี่น่ะ จะว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม ปากมันต่างกันนะนี่ ปากเรากับปากพระทั้งหลายผิดกันอยู่มาก อย่างที่ท่านเขียนไว้นั้นเราก็ยังเขียนซ้ำไปอีก ทางท้ายมันไม่ถึงใจ ว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันร้อนด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหาเผาลนเป็นฟืนเป็นไฟทั้งวันทั้งคืน ยืนเดินนั่งนอนหาเวลาว่างไม่ได้แล้ว พวกท่านยังมีแก่ใจมาหัวเราะกันหาอะไร โก นุ หาโส หัวเราะรื่นเริงกันหาอะไร ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง ท่านเขียนไว้
ทีนี้ภาษาเรามันแหวกแนวเข้าไปอีก ถ้าเป็นภาษาหลวงตาบัวจะว่าอย่างนี้ ก็เมื่อโลกสันนิวาสมันเป็นอย่างนี้แล้วงมบ้ากันอยู่ทำไมว่างั้น เข้าใจไหม จะเขียนว่างมบ้ากันอยู่ทำไมไม่หาที่พึ่ง นี่มันหากมีอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นจะพูดเสมอมันเป็นนิสัย อย่างที่มหาสมบัติ บุญเรือง พูดที่ว่าเรื่องเทศนาว่าการท่านอาจารย์มหาบัวเทศน์ไม่มีที่คัดค้าน พร้อมทั้งข้อเปรียบเทียบอะไรถูกต้องแม่นยำทุกอย่าง สรุปลงข้อที่สามท่านว่าแต่ท่านมีนิสัยตลก แน่ะ เขาก็เขียนไว้ ท่านมีนิสัยตลก เขาว่าอย่างนั้นแหละ ก็เราตลกมาแล้วตั้งแต่พระองค์นี้ยังไม่เกิดจะว่าไง ตลกอีก นั่นเข้าใจไหม ก็เป็นอย่างนั้นละ
นั่นละพระท่านอยู่ในป่าจริงท่านมาภาวนาที่ว่านี่จนเขาสงสัยต้องถาม พระทะเลาะกันเหรอ นั่นละท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ไม่ยุ่งกับอะไรเลย จิตอยู่กับธรรม มาอย่างนั้นละ สติอยู่กับจิต เพราะฉะนั้นจึงไม่แสดงอาการลืมตัว คนมีสติจะไม่ค่อยลืมตัว คนมีสติไม่ลืมตัว ถึงจะเป็นกิริยาอาการอะไรออกไปก็เป็นกิริยาอาการของคนมีสติอยู่ตลอดเวลา ผิดกันมากนะ พวกเราถ้าว่าเพลินก็เพลินแบบลืมเนื้อลืมตัว โศกก็โศกลืมเนื้อลืมตัวไปหมด มันไม่พอดีกับท่านผู้มีสติ ผู้มีสตินี้เรียบตลอด ไปไหนมาไหนเคลื่อนไหวไปมาสติรอบตัวๆ ไปที่ไหนน่าดูหมด ถ้ามีสติประดับแล้วน่าดูทั้งนั้น ไม่มีสติแล้วเรียกว่าบ้าก็ไม่ผิด
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|