เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
กิเลสเกิดเพื่อสร้างอุปสรรค
เมื่อคืนนี้ฝนตกนิดหน่อยพอให้ชุ่ม ตกไม่มากพอให้ใบไม้ชุ่มก็ยังดี ตอนเดือนมกราต่อกุมภานี้ตามธรรมดาฝนจะตกทุกปีๆ ตั้งแต่หยุดหน้าฝนมามันก็มาเริ่มตอนนั้น จากนั้นไปก็เดือนกุมภา มีนาก็เป็นฝนตกไปเรื่อยๆ ละ นี่ตกเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าชุ่มเย็นดี ฝนตกหน้านี้ โถ หนาวจริงๆ คือหนาวผิดฝนทั้งหลายในหน้าฝน ฝนตกหน้านี้ มกรา กุมภา นี้จนจะชักไปนู่นน่ะ มันหนาวอะไรหนาวเจ็บหนาวแสบจริงๆ ฝนหน้านี้ พอเลยจากนั้นไปแล้วก็ไม่เป็นไร พอหยุดหนาวปุ๊บฝนใส่ตูมเข้ามานี่ โอ๊ พิลึกจริงๆ นี่ละที่ว่าฝนหนาวที่สุดก็คือฝนหน้านี้ ตอนมกรา กุมภา หนาวมากจริงๆ
เราออกเที่ยวกรรมฐานดูไม่ค่อยได้เว้นแต่ละปี กำลังระยะนี้มกรา กุมภา คือไม่ได้หาที่มุงที่บัง เขาก็ยังไม่ได้ขึ้น เพราะมันยังไม่ร้อน คือถ้าร้อนๆ ก็ขึ้นถ้ำ หน้านี้ก็เที่ยวอยู่ตามร่มไม้แล้วก็ไม่มีที่มุงที่บัง เวลาฝนตกมาจึง โอ๊ย หนักมากนะ เวลาฝนตก มันก็โดนกัน เรานี้อยากจะว่าทุกปีไปเลย ก็ถึงเวลานี้ออกแล้วนี่ พอออกพรรษาแล้วก็ออก ออกไปเที่ยวอยู่ตามป่าเสียก่อน พอเดือนมีนาจะก้าวถึงเมษาขึ้นเขา ถ้ำเย็น แต่เวลานี้อยู่ตามร่มไม้เสียก่อน
บางทีเสือมากัดควายอยู่ข้างๆ มุ้งก็มี หน้านี้ละ เสียงควายร้องเอิ้กอ๊ากๆ เราก็เผิงผางออกไปจากมุ้ง มันมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ล่ะ เสียงเราดังลั่นขึ้นเลย ก็เลยเงียบไป ลำน้ำอูนทางที่จะต่อเข้าไปหนองผือเป็นดง ฟังเสียงควายร้องข้างๆ ริมอูน เสือก็อยู่ทางนี้ ควายก็หากินอยู่ทางนี้ บ้านเขาอยู่ทางนั้น แล้วเราอยู่ฝั่งนี้ คือมันกัดกันใกล้บ้าน ที่เอามาพูดอยู่ กลางคืนพอฝนตกปั๊บ ฝนกระหน่ำลงมากลางคืน หน้านี้ละ เราก็ร้องเวิกวากขึ้น เสือโคร่งเข้ามากัดควาย ทีนี้ลูกมันแหละวิ่งเข้าในบ้าน แม่มันถูกเสือกัด แล้วก็ตะเกียกตะกายลงไปริมอูน ไอ้เสือตัวนี้ก็ไม่กล้าจะตามลงไป ต่อจากนั้นฝนก็เริ่มตก ลูกมันวิ่งไปบ้าน
เจ้าของเขาเห็นท่าไม่ดี อ้าว ลูกควายตัวนี้มันมายังไง ไม่ใช่เสือกัดแม่มันเหรอ เขาเลยรีบออกมา ออกมาก็พอดีมาเห็นแม่ เสือกัดอยู่ข้างนอกนี้ เขาก็เลยมาก่อไฟให้มัน ก่อไฟให้ควายเพื่อกันไม่ให้เสือมาซ้ำอีก เพราะถ้าไม่มีไฟเสือมันอาจมา ถ้ามีไฟก็แสดงถึงเครื่องหมายของคน มันก็ไม่มา เราอยู่อูนฝั่งนี้ เสืออยู่ฝั่งนู้น เขาก่อไฟไว้ฝั่งนู้น หน้านี้ละ เราไปพักอยู่ แม่น้ำอูนไหลออกไป แต่ไม่ใช่ยอดอูน ยอดอูนจริงๆ อยู่ภูเขาโน้น นั่นละตอนเวลาเราไปอยู่ภูเขาเราก็ได้อาศัยน้ำทางน้ำอูน พอบ่ายสามโมงลงมาจากภูเขา มีกระบอกไม้ไผ่กับกาน้ำ กระบอกไม้ไผ่ทางนี้เขาเรียกบั้งทิง กระบอกไม้ไผ่สะพายขึ้นพอดีกับวันหนึ่งน้ำ
กาน้ำก็กาไม่ใหญ่ เอ้อ ขนาดนี้ แล้วกระบอกไม้ไผ่ปล้องเดียวนั่นละ สะพายกระบอกน้ำ พอขึ้นไปถึงบนเขาก็ไปอาบเหงื่อเจ้าของนั่นแหละ ก็ปีนขึ้นไปมันลำบาก ลงมาก็ไปอาบน้ำ ขึ้นไปก็อาบเหงื่อเจ้าของ วันละหน คือที่ข้างบนนั้นแหละ ทำไมถึงต้องไปอยู่นั้น ทำเลภาวนาดี แต่น้ำสำคัญมาก ไปอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าขาดน้ำอยู่ไม่ได้นะ กรรมฐานนี่สำคัญอยู่น้ำ สถานทำเลถึงจะดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีน้ำอยู่ไม่ได้ ต้องมีน้ำ ตอนบ่ายลงไปอาบน้ำแล้วสะพายกระบอกน้ำกับกาพอดีกับวันหนึ่งๆ ถ้าไม่ฉันน้ำกาเดียวก็ไม่หมด ถ้าไม่ฉันจังหันนะ ถ้าไม่ฉันนี้แทบจะพูดว่าไม่ใช้น้ำ
ไปอยู่ในที่เช่นนั้น จะว่าได้ชมนิสัยวาสนาบ้างก็น่าจะได้ชม ทุกข์ลำบากลำบนอยู่ในป่าในเขาไม่มีผู้มีคน แทนที่จะมีความว้าเหว่กังวลเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนเงียบเลยนะ มีแต่สงัดกับธรรมๆ นี่เราไปอยู่คนเดียว สงัดอยู่ด้วยธรรมด้วยอารมณ์ของธรรมๆ ไม่มีอารมณ์ของโลกมาเจือปนเลย มีแต่อารมณ์ของธรรม กลางคืนเวลามันเงียบจริงๆ อากาศอยู่สูงๆ ละเอียดมากนะอากาศ เราอยู่บนหลังเขาจริงๆ ค่อยลุกลามขึ้นไปๆ สูง มันไม่ชัน ค่อยลุกลามขึ้นไปเรื่อย แล้วขึ้นหลังเขาได้ อยู่บนหลังเขา อากาศนี้รู้สึกว่าแหม ละเอียดลออมาก เหมือนกับว่าคลานเข้ามาหาเรา ร่างกายของเรามันอยู่ที่ละเอียด อากาศก็ละเอียดเหมือนกับว่าคลานเข้ามา มันซึมเข้ามา
เวลาภาวนาเงียบๆ นี่หมายถึงว่าเราจะเริ่มเข้าที่ภาวนา ถ้าธรรมดาก็ลมหายใจไม่มี หมากหัวใจทำงานตุบตับๆๆ เวลาเข้าที่สงัด จิตเริ่มเข้าสู่ที่หมากหัวใจทำงานมันจะเสียงดังตุบตับๆ อยู่ในนี้ ได้ยินชัดมาก พอจิตเริ่มเข้าที่ หมากหัวใจทำงานก็หายเงียบไปเลย จากนั้นหาย เวลาเข้าถึงที่มันจริงๆ แล้วกายก็หายเงียบไปเลย ยังเหลือแต่ความเวิ้งว้างหมด ทีนี้ร่างกายเวลาจิตมันเข้าละเอียดจริงๆ ร่างกายนี้จะหายไปตามๆ กัน คือจิตมันหมดกังวลสิ่งเหล่านี้ มีแต่ความละเอียดของจิต ความละเอียดของจิตหาจุดหาหมายไม่ได้นะ ร่างกายเป็นส่วนหยาบพอจิตเข้าสู่ตัวเองโดยเฉพาะแล้ว ร่างกายหายเงียบหมดเลย นั่น
ฟังซินักภาวนา นี่มาโม้เหรอ ทำมาแทบเป็นแทบตาย มันเป็นขนาดนั้นละ ร่างกายหายเงียบเลย คือจิตก็เข้าละเอียดสุดขีด ไม่เกี่ยวกับเรื่องร่างกายเลย นี่ละที่ว่านั่งภาวนากลางคืนหนาวๆ ถ้าว่าเข้าได้แล้วความหนาวไม่มีความหมายนะ ไม่หนาว เมื่อมันเข้าของมันเต็มที่แล้วความหนาวหายหมด จนกระทั่งจิตมันได้เวล่ำเวลาของมันเคลื่อนไหวออกมา พอเคลื่อนไหวออกมามันก็รับสิ่งภายนอกดินฟ้าอากาศนะ เริ่มหนาว ทีนี้พอเริ่มหนาวแล้วจะนอน หนาวมันก็หนาวของมัน เราก็เริ่มนอน ไม่หลับ สู้หนาวไม่ได้ แล้วกลับมานั่งอีก พอเข้าไปนั้นอีกก็หายเงียบเลย แล้วทั้งคืนมันจะตายคนเรา มันไม่ได้เดินมีแต่นั่ง
กลางวันต้องกำหนดเวล่ำเวลาเหมือนมีโปรแกรมเชียวนะ กลางวันเดินมากๆ กลางคืนลงไม่ได้ เหมือนว่าตัวแข็งไปหมดเลย มันหนาวมาก ประการหนึ่งก็คือว่าเราไม่มีผ้าห่ม ไม่ได้มีผ้าห่มติดตัวเลย มีจีวร สังฆาฏิ สังฆาฏิก็พับครึ่ง จีวรก็พับครึ่งให้เท่านั้น แล้วก็ผ้าอาบน้ำผืนหนึ่งสำหรับเช็ดบาตรอะไรๆ มีเท่านั้น จะว่าขวนขวายน้อยหรือไม่ขวนขวายน้อยฟังเอาซิ มีเท่านั้น อย่างเป็นของเหลือเฟือขึ้นไปก็มุ้ง กาน้ำ กลด มุ้งกับกลดเวลากางออกแล้วก็เป็นอันเดียวกัน บาตร สังฆาฏิ อะไรๆ ใส่ในบาตร ไม้ขีดไฟใส่ในบาตรมีเท่านั้น เสร็จแล้วพอดีสะพายเลย
พระกรรมฐานท่านจึงไปง่าย ท่านไม่มีของพะรุงพะรัง ไปง่าย มุ้ง กาน้ำ บาตร ก็ไม่เห็นมีอะไร ถ้าว่าไม้ขีดไฟก็กล่องนึงเท่านั้นอยู่ในนั้น ก็ไม่ได้ใช้ เทียนไขอย่างมากห่อหนึ่ง เอาไปมากไม่ได้ คือเราจะใช้เทียนไขเฉพาะเวลาจำเป็นจริงๆ นอกนั้นไม่ใช้ เดินจงกรมกลางคืนดึกขนาดไหนก็ตามเราไม่เคยใช้ ไม่มีไฟนะเราเป็นนิสัยอย่างนั้น จะมาจุดไฟให้คนเห็นเดินจงกรมไม่ได้ มันเป็นนิสัยอะไร ภาษาภาคอีสานเขาว่านิสัยหลักความ คือนิสัยลึกลับไม่ให้ใครเห็นภายใน ภายนอกไม่ควรเห็นไม่เห็น เพราะฉะนั้นจึงไปแต่คนเดียว
เดินจงกรมฟาดเสียเท่าไรก็ตาม ถ้ามีใครไปดูไปเห็นแล้วมันไม่ขลังความหมายว่างั้น มันขลังแบบนั้น อยู่คนเดียวเช่นอยู่หนองผือนี้ใครไปเห็นเราเดินจงกรมเมื่อไร นี่ละนิสัยอันนี้มันจึงเข้ากันได้กับไปองค์เดียวๆ เวลาจำเป็นมาอยู่กับหมู่เพื่อน เวลาหมู่เพื่อนเดินจงกรมเราเข้านั่ง ตอนเย็น ๕ โมงเย็นหมู่เพื่อนลงเดินจงกรมเราเข้าห้องนั่งภาวนาจน ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่มล่วงไปแล้วออกจากที่ภาวนามองไม่มีใคร ฟืนไฟอะไรไม่เห็นลงละที่นี่ ไฟก็ไม่มีนะเราเดินจงกรม ไม่ให้เขาเห็นในขณะที่กำลังขโมยก็เอา ส่วนอะไรๆ ไม่สนใจ ทางจงกรมจนเป็นเหวใครจะไม่รู้ใช่ไหมล่ะ เขาไม่เห็นเวลานั้นก็เอา เวลาขโมยไม่เห็นก็เอา เป็นอย่างนั้นละนิสัยอันนี้นะ เพราะฉะนั้นจึงไปตั้งแต่องค์เดียวๆ แล้วสนุกฟัดเหวี่ยง เพราะเป็นนิสัยที่ผาดโผนอยู่มาก
พ่อแม่ครูจารย์ขนาดที่ไสเราขึ้นยังต้องรั้งเอาไว้ คือท่านรู้นิสัยผาดโผนเอาจริงมากทุกอย่าง ถ้าลงอะไรจริงถ้าเราว่าจะไปองค์เดียว เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่าน นั่นท่านเอาละนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน ให้ท่านไปองค์เดียว บางทีท่านก็พูดหยอกเล่น คนหนึ่งไปแทบเป็นแทบตายกลับมาเห็นแต่หนังห่อกระดูก เวลาจะไปนี้ท่านพูดหยอกเล่นเฉยๆ เอาให้ดีนะท่านว่า ท่านว่าเอาให้ดีนะ พอว่าไปองค์เดียว เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ แล้วสุดท้ายท่านก็พูดหยอกเล่น เอาให้ดีนะ ให้ดีอะไรคนแทบตาย ท่านพูดเล่นเฉยๆ ก็รู้แล้วว่าความตั้งใจของเราเป็นยังไง
เพราะฉะนั้นการไปเที่ยวกรรมฐาน เราไปได้ด้วยความสะดวกองค์เดียวๆ ท่านไม่เคยห้าม เสริมด้วยสำหรับเรา องค์อื่นไม่ได้นะ บางทีจะไปด้วยกันสององค์ เหอ ขึ้นทันที ตั้งแต่อยู่ในวัดมันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตา แล้วมันยังจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ เท่านี้ใครจะกล้าไปใช่ไหม คือ ๒ องค์ ๓ องค์จะไป หือขึ้นเลย ตั้งแต่อยู่ในวัดนี้มันก็ตกนรกให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วออกจากนี้แล้วมันจะไปตกหลุมไหนใครจะไปดูมันล่ะ ท่านว่าเท่านั้นหมอบ ไม่กล้าไป ท่านยังไม่แน่ใจยังไม่ให้ไปความหมาย
แต่สำหรับเรา สาธุเลย ไม่เคยมีที่จะห้ามแบบนี้ ไม่มี มีแต่ส่งเด็ดเลย พอว่าเราไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันที ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เพราะท่านเห็นนิสัย นิสัยเรานี้จริงมากนะทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าลงได้จริง จริงเอาจริงๆ ขาดสะบั้นไปเลย ถ้าเวลาเล่นเอาแน่ไม่ได้ ฟังแต่ว่าเล่น เช่นอย่างเล่นกับหมาใครไปยุ่งไม่ได้นะ กำลังเล่นเขา แน่ะ เวลาเล่นเป็นอย่างนั้น เวลาจริงก็คึกคักหมาเข้ามาใกล้ไม่ได้ แน่ะเป็นอย่างนั้น เป็นนิสัยอย่างนั้น ถ้าว่าจริงๆ ถ้าว่าเล่นๆ
นี่ละที่ว่าเราก็เคยเล่าให้เพื่อนฝูงฟังแล้ว เรื่องเหล่านี้ ๙ ปีเราไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย ที่ว่ามาภาวนาอยู่อ.จักราช มาจากกรุงเทพฯ นั่นละ หยุดเรียนแล้วนั่น ปีพรรษาแรกที่จะออกปฏิบัติก็มาจำพรรษาที่ อ.จักราช มาที่นั่น พอมาถึงอ.จักราช นั่งภาวนาอยู่ปรากฏว่ามีตาปะขาวเดินเข้ามาหาเราในท่าภาวนานะ ตาปะขาวเข้ามายืนกึ๊กตรงนี้ แล้วก็นับข้อมือนับให้เราดู เราเหมือนว่านั่งดูอยู่ แกก็นับไป พอถึงข้อที่ ๙ ปั๊บนี้เงยหน้ามาดูเรา ทางนี้รับทราบกันว่า ๙ ปีสำเร็จว่างั้นนะ ทีนี้ ๙ ปีมันมีอยู่ ๒ พักซิ เพราะบวชมานี้ตั้งแต่วันบวชถึงวันนั้นก็เรียกว่า ๙ ปีใช่ไหม ตั้งแต่ออกปฏิบัติถึงวันสำเร็จที่ว่า ๙ ปีสำเร็จ นั่นก็เป็นพักหนึ่ง
ทีนี้ ๙ ปีจิตมีแต่เจริญกับเสื่อมแทบเป็นแทบตาย พอว่า ๙ ปี มันจะสำเร็จอะไรมีแต่ไฟเผาหัวอก เลยพลิกกันใหม่ เอ๊ อาจจะเป็น ๙ ปีหน้า ตอนนี้ไฟกำลังเผาหัวอกนะ เจริญเสื่อมๆ ไม่มีทางละที่จะว่า ๙ ปีสำเร็จ สำเร็จแต่กองไฟเผาหัวอก โอ๊ย ไม่ได้เรื่อง เอ้าคงเป็น ๙ ปีหน้า ก็ปฏิบัติไปถึง ๙ ปี ออกปฏิบัติจากนี้ ๑,๒,๓,๔ ถึง ๙ ปี เพื่อนฝูงเราก็ระลึกถึงท่านอยู่ ท่านพูดเข้าทีดี เราว่าถ้าว่าขลัง ขลังจริงๆ ถ้าว่าเก็บๆ จริงๆ ไม่ให้ใครทราบนะ อย่างที่ว่า ๙ ปีสำเร็จนี้ไม่เคยได้พูดให้ใครฟังเลย จนออกพรรษาในวันนั้นได้ขายโง่ให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็เป็นเพื่อนปฏิบัติเก่งเหมือนกันด้วย
เอ้อ ผมจะขายโง่ให้ท่านฟังนะวันนี้ เป็นยังไงขายยังไง ก็ที่ออกมาปฏิบัติทีแรกมานั่งภาวนาอยู่ที่อ.จักราช ก็เล่าให้ฟัง มานั้นก็มีตาปะขาวมาบอกอย่างที่ว่า ๙ ปีสำเร็จ แล้วตอนนั้นไฟกำลังเผาหัวอกเจริญเสื่อมๆ มันไม่มีทางหรอก จึงคิดเอาว่า ๙ ปีข้างหน้านี้แหละ วันออกปฏิบัตินี้ไปถึง ๙ ปีจะสำเร็จ นี่ก็ออกพรรษาแล้ววันนี้ ๙ ปีแล้วนะเราว่างั้น ไม่เคยพูดให้ใครฟังเลยจะพูดให้ท่านฟัง เรียกว่าขายโง่ก็ยอมรับ ที่ว่า ๙ ปีสำเร็จนี่ออกพรรษาแล้ววันนี้ยังไม่สำเร็จเลย แต่จิตนั้นยอมรับว่าละเอียดมาก มันยังก็บอกว่ายังละซี มันยังไม่เสร็จ
พระองค์นั้นท่านก็แก้ดีนะ อ้าว ถ้าว่า ๙ ปีสำเร็จนี้มันเพิ่งออกพรรษามานี้ จากพรรษานี้ถึงพรรษาหน้า วันเข้าพรรษาวันไหนนั่นละ ๙ ปีจะสมบูรณ์ตรงนั้นละ สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็จะตัดสินกันได้ตรงนั้น เดี๋ยวนี้จากนี้ไปวันออกพรรษาวันนี้ไปถึงวันเข้าพรรษานี่มันนานสักเท่าไร ยังมีโอกาสที่จะทำให้สำเร็จได้ หือ ว่างั้นนะ คึกคักขึ้น ทั้งๆ จิตมันก็ดีอยู่แล้วแหละ เอาจริงๆ จึงได้พูดให้ฟังว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม นั่นละตัดสินกัน ยังไม่ถึง ๙ ปี วันเข้าพรรษาไปถึงพฤษภา ซัดกันลงได้แล้ว ยอมรับมาเล่าให้ท่านฟัง เออ ยอมรับละที่นี่ว่าผ่านเรียบร้อยแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ ก็บอกออกพรรษาก็จะเอาเลยจะทำไงว่าอย่างนั้น มันต้องได้พยายามเสียก่อนซิ เพื่อนฝูงด้วยกัน พูดอะไรก็พูดกันได้ นั่นละเรื่องราว ๙ ปีจริงๆ ถึงพรรษานั้น ก็ยังไม่ถึงเดือนพฤษภา มิถุนา กรกฎา ผ่านได้ตรงนั้นแหละ
นี่เราก็ได้เล่าให้หมู่เพื่อนลูกศิษย์ลูกหาฟัง เล่าเพื่อโอ้เพื่ออวดเหรอ อวดหาอะไรเรื่องอวดเรื่องอะไรเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล เรื่องธรรมท่านไม่อวด เหตุผลกลไกมีควรจะพูดหนักเบามากน้อยท่านจะออกของท่านเอง ที่จะไปพูดโม้นั้นโม้นี้ไม่ได้ ขัดธรรมทันที พูดไม่ได้ ก็คิดดูซิ ๙ ปีสำเร็จไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย เก็บความลับของเจ้าของไว้ จนกระทั่ง ๙ ปีวันออกพรรษาจึงมาขายโง่ เพื่อนก็มาแก้ความโง่ออกให้เป็นความฉลาด ถึงเดือนพฤษภาก็ผ่านได้ ก็เป็นอย่างนั้นละ
นี่ละจึงพูดให้ฟัง คือเวลาเก็บเก็บจริงๆ นะเรา อย่างที่ว่า ๙ ปีไม่เคยพูดไหนเลย มา ๙ ปีออกบวชก็ไฟกำลังเผาหัวอกมันจะสำเร็จได้ยังไง ไม่เอา ต้องเป็น ๙ ปีนี้แหละ ออกปฏิบัติ ๙ ปีจึงสำเร็จ นั่นละพอออกปฏิบัติ ออกพรรษาจิตมันละเอียดแล้ว แต่มันยังไม่สำเร็จก็ต้องมาไขโง่ให้พระท่านฟัง นี่ออกพรรษาแล้ววันนี้ว่า ๙ ปีสำเร็จ มันยังไม่สำเร็จ มาไขโง่ให้ท่านฟัง โอ๊ย ๙ ปีนี้มันพึ่งออกพรรษา มันต้องพรรษาหน้าชนมันถึงจะเต็ม ๙ ปีว่างั้นนะ หือ ว่างั้นหรือคึกคัก ฟาดตั้งแต่เดือนพฤษภาพอดี ก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามันได้เป็นขึ้นในจิตมันแม่นยำมากนะ สิ่งเหล่านี้ไม่พูดให้ใครฟังง่ายๆ ไม่ว่าองค์ใดท่านไม่ค่อยพูดละเรื่องความรู้ภายในจิต มันเป็นขึ้นเฉพาะ เรียกว่ากิเลสเกิด ธรรมเกิด มีอยู่สองอย่างในสนามรบ กิเลสเกิดก็คือมันขัด ถ้ากิเลสเกิดขึ้นมาขัดต่อการดำเนินของธรรม ถ้าธรรมเกิดปราบกิเลสตัวมันเป็นอุปสรรค
ยกตัวอย่างเช่น เราลงมาจากภูเขา บิณฑบาต ดูเหมือน ๔-๕ กิโล ไกลนะ พอสว่างก็ออกเลย ถ้าวันไหนจะฉัน แต่ไม่ได้ฉันทุกวัน ถ้าวันไหนจะฉันกะพอว่าวันนั้นเราจะออกจากนี้ไปคงถึงหมู่บ้าน ถ้าจะช้ากว่านั้นจะไปไม่ถึงคือมันเพลียมาก ถึงขนาดนั้นไปถึงกลางทาง ไปไม่ได้แล้ว ไปนั่งเจ่าอยู่ ทีนี้กิเลสเกิดนะ พอไปนั่งเจ่า แต่จิตมันสง่างามมากนะ สว่างไสว ทางร่างกายอ่อนเปียก จะก้าวขาไปถึงที่บ้านเขาไม่ถึง แล้วไปพักอยู่กลางทาง สักเดี๋ยวกิเลสเกิดนะ เป็นคำๆ เหมือนเราพูดสู่กันฟัง หากเกิดอยู่ในหัวอก
เห็นไหมว่างั้นนะ ท่านอดอาหารกำลังจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหมว่างั้นนะ ขึ้นเป็นคำๆ ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม ขึ้นเป็นคำๆ นี่เรียกว่ากิเลสเกิดเพื่อสร้างอุปสรรคให้เราก้าวเดินไม่สะดวก อย่างน้อยก็อ่อนแอท้อแท้ลง พอทางนั้นเกิดแล้วพับทางนี้ขึ้นรับกันนะ ทีนี้ธรรมเกิดนะ ก็การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิด ฟังซิ ธรรมะกับกิเลสแก้กัน การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตาย นั่นเห็นไหมแก้กัน ดีดผึงเลยเหมือนจ่อ นั่นนี่ละธรรมเกิดแก้กิเลส กิเลสเกิดมัดเรามันจะตายเห็นไหมว่างั้น ทางนี้ก็ต้องอ่อนเป็นธรรมดาใช่ไหม แต่มันพลิกปุ๊บ กินก็กินมาตั้งแต่วันเกิด ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายๆ เหรอ เอ้า ตายก็ตาย นั่นปุ๊บดีดผึงเลย
เรื่องกิเลสเกิดธรรมเกิดนี่เป็นตลอดนะ พูดอย่างนี้พูดให้ใครฟังไม่ได้ เพราะมันเป็นอยู่ลึกๆ ก็คิดดูซิเดินจงกรมอยู่นี้ ทางจงกรมไปนี้มันไม่ได้ไปนะ มันไม่ไปเพราะอะไร คือจิตนี้มันจะเข้าข้างในหมด ไม่ออกข้างนอก ตาก็ฝ้าก็ฟางไปหมด ไม่ได้สนใจกับอะไร มีแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ในหัวอก ทีนี้ตาของเรามันก็ฝ้าฟาง มองอะไรไม่เห็น เดินซุ่มซ่ามๆ เดี๋ยวโครมครามเข้าในป่า อ้าว ป่า ถอยออกมา เดินไปๆ คืออันนี้มันไม่ถอยกันเข้าใจไหม
เหมือนนักมวยต่อยกันกรรมการเข้ามายุ่งไม่ได้เวลาพันกัน อันนี้มันกำลังพันกันซีมันก็ไม่สนใจกับอะไร โครมครามเข้าในป่า โอ๊ะ ป่า รู้ว่าป่าก็ออกมา เดินไปมาเข้าป่านั้นแล้วเข้าป่านี้อยู่อย่างงั้น คนไปเห็นเขาจะว่าบ้า คือจิตมันไม่ออกมันอยู่ภายใน มันหมุนของมันอยู่ตลอด ตาก็เลยฝ้าเลยฟางมองไม่เห็น ก้าวขาก็ก้าวสะเปะสะปะไป คนไปเห็นเขาจะว่า เออ พระองค์นี้ท่านเป็นบ้าหรือไง ว่าได้ เพราะมันผิดสังเกตของคนของพระทั้งหลายเดิน ก็ทางมีอยู่ทำไมไม่ไป โครมครามเข้าไปแล้วในป่า เราเป็นแล้ว นี่ละที่ว่ามันเป็นมันไม่ออกข้างนอกนะ มันจะหมุนอยู่ข้างในกิเลสกับธรรม เผลอกันไม่ได้พูดง่ายๆ นี่ละที่มันรุนแรงเข้าวงใน กิเลสกับธรรมนี้เผลอกันไม่ได้ ซัดกันอยู่ตลอดเวลา
ฉันจังหันนี้มันไม่ได้อยู่กับอาหารการกิน มันจะอยู่ลึกๆ นะ มันจะหมุนของมันอยู่ลึกๆ ไม่ได้ทำงานเต็มที่ก็ตาม มันก็ได้ทำแบบลึกลับของมัน พอหยุดการงานอะไรแล้วทีนี้พุ่งเลย นั่น นั่นละการภาวนา ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ นี่ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดให้ฟังนะ ไม่ได้มาโม้มาคุยมาอวดอะไรนี่นะด้วยความเมตตาที่มาเล่าให้ฟัง เวลากิเลสมีกำลังมากมันเป็นวัฏจักร มันทำงานอยู่บนหัวใจของสัตว์โลกทุกตัวสัตว์ คิดเรื่องอะไรจะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับอะไรจะเป็นเรื่องกิเลสออกเดินก่อน ออกเดินหน้าก่อนๆ นี่ที่เรายังไม่ได้เคยภาวนา แล้วผู้ภาวนายังไม่ได้หน้าได้หลังหนึ่งนะ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น
แต่เวลาภาวนาฝึกหัดไม่หยุดไม่ถอย เอาไปเอามาจิตก็ค่อยได้หลักๆ ทีนี้ก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัตินะ ทำงานแก้กิเลสเองเป็นอัตโนมัติเหมือนกันกับกิเลสมันทำงานเพื่อมันบนหัวใจสัตว์ นั่งอยู่ ยืนอยู่ นอนอยู่ก็ตามมองไปไหนนี้ พอตาเห็นพับมันจะคิดเป็นเรื่องกิเลสๆ ไปหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับอะไรจะเป็นเรื่องของกิเลสทำงานไปหมด นี่เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ แต่ก่อนเราไม่เคยคิด แต่เมื่อมาทำงานฆ่ากิเลสบนหัวใจสัตว์ มันถึงระลึกได้ อ๋อ นี่เวลากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ก็เป็นแบบที่ธรรมทำงานเพื่อฆ่ากิเลสอยู่ในหัวใจเรานี้แล จับได้
จากนั้นมันก็หมุนของมันตลอด สัมผัสอะไรปั๊บเป็นธรรมๆ แก้กิเลสทั้งนั้นๆ นี่เวลามันพลิกเป็นธรรมแล้วนะ เวลามันเป็นกิเลสมองเห็นอะไรเป็นกิเลสทั้งหมด จึงทราบได้ชัดว่า อ๋อ กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ทุกตัวสัตว์เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ทีนี้มันเลยย่นเข้ามาตัวของเรากำลังฆ่ากิเลสอยู่โดยอัตโนมัติ มันก็เป็นแบบเดียวกันหมดเมื่อถึงขั้นมันเป็นแล้วเอาไว้ไม่อยู่ มันจะหมุนของมันติ้วๆ เพราะฉะนั้นกลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะนอนไม่หลับอีก สุดท้ายต้องเอาพุทโธมา ฟังเสียนะให้ทราบ
คำว่าพุทโธคือจิตพุทโธนี้ ให้สติอยู่กับคำบริกรรมว่าพุทโธอยู่ในจุดเดียว จุดนี้เป็นจุดที่จะรวมอารมณ์เข้าสู่ความสงบ บังคับพุทโธๆ ไม่ให้เผลอ เผลอออกปัญญาแล้วนะ ออกสติออกปัญญาพุ่งๆ เลยไม่ให้ออก บังคับไว้กับพุทโธๆ พอพุทโธๆ จิตก็ค่อยสงบลงๆ หยุดแล้วการคิดภายนอก เรื่องสติปัญญาหยุดๆ แล้วก็คิดแต่อันนี้สงบลงแน่ว ถ้าจิตจะอยู่ในความสงบพักอยู่นั้นก็พักได้แล้ว อ้าว ถ้าว่าจะนอนอย่างนี้ก็หลับได้ มี ๒ อย่าง การพักภาวนาของนักจิตตภาวนา สติปัญญาอัตโนมัติต้องพักด้วยวิธีนี้ เอาพุทโธมากล่อมใจไม่ให้ออก ให้อยู่กับพุทโธๆ สติติดแนบตลอดแล้วก็ค่อยสงบลงๆ ทีนี้จะอยู่ในความสงบก็ได้ เอ้าจะปล่อยลงให้หลับ เอ้า หลับได้ มีอยู่ ๒ อย่าง
พอออกจากนั้นจิตจะมีกำลังกระปรี้กระเปร่า เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามที่เรากำลังทำงาน เป็นนักมวยต่อยกันอยู่นั่นละ นั่นละสติปัญญาฟัดกับกิเลสเรียกว่าต่อยกัน พอจิตเข้ามาสู่ความสงบเรียกว่าให้น้ำเข้าใจไหม จิตสงบแน่วแล้ว ทีนี้จะพักก็พักได้ จะนอนก็นอนได้ พอออกจากนี้แล้วดีดผึงเลย จำให้ดี นี่ละนักภาวนา เปิดให้ฟังชัดเจนเลยจึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้านในการเทศนาว่าการ ไม่ว่าธรรมขั้นใดตั้งแต่เริ่มต้นมาทีแรกจนกระทั่งถึงที่สุดหลุดพ้นไม่มีอะไรสงสัยจากใจดวงนี้ หายสงสัยหมดแล้วมาเป็นเวลา ๕๗-๕๘ ปีแล้วมัง ๒๔๙๓ จนกระทั่งถึงป่านนี้กี่ปีแล้ว
ตั้งแต่กิเลสขาดออกจากใจไม่มีกิเลสตัวใดเข้ามาแฝงเลย จึงเรียกว่าหมด ถึงจะเป็นฟืนเป็นไฟในกิริยามารยาทแสดงออก เหมือนว่าจะกริ้วจะโกรธจะกัดจะฉีกนี้มีแต่กิริยาเท่านั้น มันเป็นพลังธรรมไปแล้วนะนั่น ไม่ได้เป็นพลังกิเลส เป็นพลังธรรม พลังธรรมหมุนติ้วๆ ดุคนนั้นดุคนนี้สาดกระจายไปอย่างนั้น มันเป็นพลังธรรมไปอย่างนั้นเสีย ไอ้เรื่องว่าความโกรธก็มันหมดไปแล้วจะเอาอะไรมาโกรธ มันไม่มีจึงเรียกว่ามันหมด เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ก็จะยกตัวอย่างทิดหรวดนี่มันก็ลูกพระนี่ มันเป็นเณรอยู่นี่ละ นี่เอาตัวจริงกัน เรากำลังเขียนหนังสืออยู่กุฏิกระต๊อบเล็กๆ เวลานั้น โห การทำงานทำการข้อวัตรปฏิบัติใครทันเราเมื่อไร เพราะฉะนั้นพระเณรจึงนิ่งนอนใจอืดอาดไม่ได้กับเรา ดีดผึงๆ เพราะหัวหน้าเป็นอย่างนั้น ลูกน้องจะมาอืดอาดนอนต่อหน้าต่อตาขวางหน้าขวางตากับอาจารย์ได้ยังไงใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่อยากคอขาด ทีนี้ก็ดูนาฬิกา พอดูนาฬิกา อ้าว มันได้เวลาแล้วนี่ มันเลยเวลาแล้ว ดูนาฬิกาผิด ปุ๊บปั๊บขึ้นเลยลงปัดกวาด ปัดกวาดออกมาๆ
ธรรมดาถ้าปัดกวาดตามเวลา พระต่างองค์ต่างได้เวลาก็มีนาฬิกาทุกองค์ ท่านก็ปัดกวาดจากสถานที่ของท่านมารวมกันจุดกลางที่ศาลา พอออกมานี้ท่านก็มาเราก็มาเต็มอยู่ทางศาลา วันนั้นออกมาไม่เห็นคนสักคน พระไม่เห็นสักองค์เลย มีแต่เราร่ายบ้าอยู่คนเดียว ปัดกวาดออกมาแล้ว ขึ้น เณรนี่มันยังไงถึงเวลาปัดกวาดยังไม่เห็นใครมาปัดกวาดพระมันตายกันทั้งวัดเหรอ ใครจะกุสลาใครล่ะ มันเป็นยังไงเณร นาฬิกาได้เท่าไร เอาละนะ เณรก็บอกเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ความจริง ๔ โมงปัดกวาด มันดูนาฬิกาผิดไปเราน่ะ จึงคว้าไม้กวาดๆ ออกมา ไหนว่าอีกน่ะ นาฬิกาเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ชัดว่าเราผิด เราก็ว่าหยุดๆๆ ขึ้นทันทีเลย เห็นไหมล่ะ หยุดๆ เดี๋ยวจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด พระจะเป็นบ้ากันทั้งวัดไม่สมควร เราจะไปแก้บ้าเรา แล้วก็เดินกลับกุฏิกึ๊กๆ เณรมันคงจะหัวเราะ ก็เป็นไฟนี่จะกัดพระกัดเณร เข้าใจไหม พอว่าเราผิดเท่านั้นละ หยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เดินกึ๊กๆๆ เลย มันขบขันไหมล่ะ
อย่างนี้ละเป็นไฟเลยนะ พอเจ้าของผิดนี่พลิกปุ๊บเลย ไม่ให้มาปัดกวาด มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราก็ไป แต่ท่านยังดีท่านไม่ประชุมพระกลางคืน ไล่พระบ้าองค์นี้ออกจากวัด มาทำให้พระเณรไหวกันทั้งวัดใช่ไหมล่ะ ท่านยังให้อภัยนะ ให้ไปแก้บ้าจนกระทั่งป่านนี้ไม่ทราบว่ามันแก้ตกหรือไม่ตกก็ไม่รู้ มันจะออกมันก็ออกแบบนี้ละ เข้าใจไหมล่ะ เอาละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
จากเครือข่ายทั่วประเทศ