เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
นักธรรมะต้องยอมรับ
ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๑ ตันกับ ๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีก ๒๗ กิโล ๕๘ บาท รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวนทองคำ ๑๑,๖๖๔ กิโล ๓๓ บาท ๔๗ สตางค์ ทองคำที่เราพากันช่วยชาติคราวนี้อุ้มชาติของเราได้ทองคำ ๑๑,๖๖๔ กิโล ๓๓ บาท ๔๗ สตางค์ นี่ละความอุตส่าห์พยายามพยุงชาติของตัวเองต้องพยุงอย่างนี้ จะเห็นแก่กินแก่กลืนเรื่อย รีดไถดูไม่ได้นะ ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเป็นหมาตัวใหญ่ กินไม่หยุดไม่ถอย กินไม่อิ่มไม่พอคือวงราชการตัวแสบๆ ผู้ดีเราไม่ว่า ตัวราชการตัวแสบๆ ตัวยักษ์ใหญ่กินตับกินปอดประชาชน ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน เขายกขึ้นให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายกลับกินตับกินปอดเขา เลอะเทอะมากทีเดียวเมืองไทยวงราชการเราสกปรกมาก
นี่พูดตามหลักธรรมหลักความจริง กิเลสมันไม่ได้ยอมพูดอย่างนี้ กินอย่างนั้นกลืนอย่างนี้มันบอกว่าบริสุทธิ์ที่สุด กิเลสเป็นอย่างนั้น การออกตัวไม่มีใครเกินกิเลส ติดคุกติดตะรางอย่างนี้ นี้ทำไมมาติดคุกติดตะราง เขาหาว่า แล้วความจริงเป็นจริงๆ หรือ เป็นจริงๆ นั้นแหละ นี่ละกิเลสมันไม่ยอมรับความจริง มันเลอะเทอะจริงๆ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธศาสนาแท้ๆ ทำไมความโลภโลเลความสกปรกมันถึงเต็มอยู่ในเมืองไทยเรา มันเป็นอย่างไร มันไม่ได้ถือพุทธศาสนาอะไรเลย มันเป็นกาฝากกัดศาสนา กัดผู้กัดคน กัดชาวพุทธด้วยกัน
นี่ละภาษาธรรมท่านทั้งหลายฟังเอา ภาษาธรรมพูดอย่างตรงไปตรงมา ภาษากิเลสร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคม กินกลืนรีดไถคดโกงมีแต่เรื่องกิเลสกินบ้านกินเมือง ธรรมท่านไม่กิน เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นที่ตายใจของโลกได้ตลอดมา พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์ไหน ตรัสรู้ธรรมอันนี้ละ บริสุทธิ์ผุดผ่อง เราตัวเท่าหนูเราพูดจริงๆ ที่ช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้บาทหนึ่งเราไม่เคยมีความรู้สึกว่าเราได้หยิบเอาของที่บริจาคมาเพื่อส่วนรวมมาเป็นของตน เราไม่เคยมี บริสุทธิ์เต็มส่วน ทุกอย่างบริสุทธิ์เต็มส่วน ตายใจได้เลย
อย่างทองคำที่นำเข้าคลังหลวงก็เหมือนกัน เวลานี้ตั้งเป็นหมื่นของน้อยเมื่อไร ได้ทองคำตั้ง ๑๑,๖๖๔ กิโล ๓๓ บาท ๔๗ สตางค์ นี่ละเข้าหมดเลย คนมาเกี่ยวข้องกับเราที่รับใช้เราต้องเป็นหัวใจเดียวกับเรา บริสุทธิ์สุดส่วนเหมือนกัน ถ้าจับได้รายไหนขนาบเลย ไล่ออกทันทีเลย ไม่ไว้หน้า มันจะทำความเสียหายแก่ส่วนรวม ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑,๖๖๔ กิโล ทองคำฟังซิน่ะ นี่ได้เข้าคลังหลวงเรา พวกเราไม่หามาเข้าใครจะหา พวกกินพวกกลืนพวกทำลายสมบัติของคลังหลวงก็คือพวกเรา จะไปหาฟ้องร้องผู้ใด เช่นเมืองไทยเราล่มจมใครมาทำให้ล่มจม ประเทศเขตแดนที่ไหนที่เขามีอำนาจใหญ่โตเขาก็ไม่เคยมาเบียดเบียน มาทำลาย แต่เป็นพวกเราเองทำลายเราเอง มันก็จมละซิ
ทองคำเราก็ได้เข้าดังที่กล่าวมานี้ ส่วนดอลลาร์เราเข้าตั้งแต่ต้น ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่าดอลล์ จากนั้นมาเงินดอลลาร์ต้องได้หมุนเข้ามาช่วยเงินไทยที่นำออกไปช่วยโลกไม่พอ ตั้งแต่เราหยุดการเทศนาว่าการช่วยชาติมาแล้วพวกเงินทองร่อยหรอลงไปๆ แต่ผู้มาขอหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ เงินที่จะช่วยชาติบ้านเมืองก่อนั้นสร้างนี้ตามที่เขามาติดต่อด้วยความจำเป็นของเขามันไม่พอสำหรับเงินไทย ดอลลาร์มีเท่าไรเลยดึงดอลลาร์ออกมาช่วยเงินไทยนะ แต่ก่อนดอลลาร์เข้าคลังหลวง ทีนี้เห็นว่าไม่ไหวเงินไทยเราช่วยชาติไม่ไหวต้องเอาดอลลาร์มา มีเท่าไรดอลลาร์ออกมาทางนี้หมด ส่วนทองคำร้อยทั้งร้อยไม่แตะ เข้าตลอด
เรื่องธรรมนี่ตายใจได้เลยละ เรื่องกิเลสเป็นมหายักษ์มหาโจรกาฝาก กาฝากมหาภัย เราดูซิต้นไม้ต้นไหนที่มีกาฝากมากๆ ไม่นานตาย ตั้งแต่เริ่มกาฝากจับต้นไม้นี้จะค่อยอับเฉาลงไปๆ เพราะกาฝากมันเอาเนื้อหนังของต้นไม้มากินเป็นอาหารของมัน อันนี้ก็เหมือนกันคนกาฝากใช้ไม่ได้นะ อาศัยส่วนรวมกินตับกินปอดส่วนรวม นี่พูดโดยธรรมให้ท่านทั้งหลายฟัง คำพูดเช่นนี้ไม่มีใครพูดนะ เขาเกรงเราเราเกรงเขา ต่างคนต่างเกรง ต่างคนต่างกินต่างคนต่างกลืนไปแล้ว ธรรมะไม่เกรงใคร พูดอย่างตรงไปตรงมาเลย
เราพูดถึงว่าธรรมะตรงไปตรงมา เราเคยพูดให้พี่น้องฟังแล้วมัง คือแต่ก่อนเราหนุ่มน้อยนี่นะ การทำข้อวัตรปฏิบัติพระเณรไม่ทันเรานะ เราเป็นแนวหน้าๆ ตลอด ข้อวัตรปฏิบัติปัดกวาดเช็ดถูใครจะมาทันเรา ไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระเณรจะมาอืดอาดอยู่ได้อย่างไร หัวหน้าหมุนตัวเป็นกงจักรอยู่ ลูกน้องจะมานอนใจได้หรือ นอนไม่ได้สำหรับวัดป่าบ้านตาด นอนไม่ได้จริงๆ เพียงตาจับองค์ไหนเหมือนว่าสลบไปเลย มันจริงจังมาก ขนาดสายตาก็จริง เพราะดูด้วยความจงใจทุกสิ่งทุกอย่าง กระแสของจิตจะไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่สักแต่ว่าดู สักแต่ว่าฟังเฉยๆ
ถ้าพูดถึงเรื่องข้อวัตรปฏิบัติใครจะทันหัวหน้า เราเป็นหัวหน้าแต่ก่อน หมุนติ้วๆ พระเณรก็ต้องหมุนไปตาม ไม่หมุนไม่ได้ ก็พอดีดูจะเป็นเขียนหนังสืออะไรอยู่กระต๊อบเล็กๆ นั่งเขียนหนังสืออะไรเผลอไป เอานาฬิกามาดู อ้าว คึกคักแล้วนะ มันเลยเวลาปัดกวาดแล้วนี่ คือกำหนดกันเวลาปัดกวาด ๔ โมงเย็น ไม่ต้องมีระฆัง ต่างองค์ต่างมีนาฬิกาถึงเวลาแล้วรู้กัน ปัดกวาดตามที่ฐานของตนแล้วก็มารวมกันที่ศาลา เราก็ปัดกวาดที่ฐานของเราก็มารวมที่ศาลา
วันนั้นดูนาฬิกาผิดไป ปุ๊บปั๊บ โธ่ ตาย นาฬิกาเลยเวลาไปแล้ว ปุ๊บปั๊บมาเอาไม้กวาดปัดกวาดข้างในออกมาข้างนอก ไม่เห็นพระสักองค์ มีเณรเดียวเฝ้าศาลาอยู่ ตามธรรมดาพอเรากวาดออกมาข้างนอกจะเห็นพระเณรเต็มอยู่บริเวณนี้แล้ว ต่างองค์ต่าง กวาดที่ของตนๆ ออกมาสู่ส่วนรวมคือศาลาเต็มอยู่แล้ว วันนั้นไม่เห็นสักองค์เดียวเลย เราปัดกวาดออกมา ก็ขึ้นเลยละ เณร พระวัดนี้มันตายหมดแล้วเหรอ ใครจะไปกุสลาใครเมื่อพระตายหมดทั้งวัด ไม่รู้หรือเวลาปัดกวาด เวลาได้เท่าไร ถามเณร เณรมันคงรำคาญเราร่ายบ้าออกมา
เหอ เวลาเท่าไร มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ คือบ่าย ๔ โมงปัดกวาด แล้ว ๓ โมง ๒๐ เราปัดกวาดก่อน ๓ โมง ๒๐ แล้ว เราว่าเลยเวลาที่พระปัดออกมา นาฬิกาได้เท่าไร พระมันตายหมดทั้งวัดใครจะมากุสลาใคร นาฬิกาได้เท่าไร มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ หือ ขึ้นอีกนะนาฬิกาได้เท่าไร ว่าอีกน่ะ มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ พอว่า ๓ โมง ๒๐ มันไม่ถึง ๔ โมง เราเป็นบ้าต่างหาก พอว่าอย่างนั้น หยุดๆ ขึ้นทันทีเลยเทียว พระจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด หยุดๆ เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บๆ ไปเลย นั่นจึงว่านักธรรมะใช่ไหม พูดตรงไปตรงมา ผิดต้องบอกว่าผิด
เวลาดุไม่ใช่เล่นๆ นะ ถ้าเราถูกพระทั้งวัดผิดนี้ประชุมกันละกลางคืน ดีไม่ดีจะถูกขับไล่ออกจากวัด ทีนี้เราผิดพระยังให้อภัยไปแก้บ้า เราไม่ถูกขับ ขับสมภารออกจากวัดใช่ไหม พระเณรท่านยังให้อภัยเราให้ไปแก้บ้าตัวเอง อย่างนั้นเรื่องธรรมะต้องยอมรับซิ ไม่ยอมรับไม่ได้ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เช่นอย่างวันนั้นถ้าผิดก็ประกาศให้ทราบทั่วกันหมดแล้วในวัด คือประกาศหนเดียวเท่านั้นการปัดกวาดมันก็รู้กัน
เวลาบ่าย ๔ โมงปั๊บ ต่างคนต่างมีนาฬิกา ปัดกวาดจากที่ของตนออกมา มารวมกันที่ศาลา นี่เป็นปรกติของวัดนี้ทำมาอย่างนั้นตลอดมา จากนั้นก็ขนน้ำขึ้นใส่ตุ่มใส่ไหเรียบร้อย ปัดกวาดเช็ดถูข้างบน(ศาลา) แล้วเข้าที่ภาวนาเงียบไม่ยุ่งไม่เหยิงกับใคร เป็นอย่างนั้นตลอดมา แต่วันนั้นเรามันเผลอละซิ มาขู่พระเณรว้อๆ จะขับพระเณร กลางคืนจะประชุมดีไม่ดีไล่ออกจากวัดหมดเลย มาทำเล่นๆ ได้เหรอ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกเป็นผู้บัญญัติบัญญังไว้ แล้วมาทำเล่นๆ ก็มาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปซิ นั่น เอาตรงนั้นละ ครั้นแล้วเราผิด เพียงแต่บอกว่าให้พระเณรหยุดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา แล้วไปเลย พระเณรท่านก็ให้อภัย ท่านไม่ขับเราออกจากวัด ถ้าพระเณรผิดทั้งวัดจะขับหมดเลย เราจะอยู่คนเดียวเรา
พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมต้องตรงไปตรงมาแน่วแน่ เข้าข้างนั้นข้างนี้ไม่ได้ เอียงไม่ได้ไม่ใช่ธรรม ตายใจไม่ได้ เป็นหัวหน้าก็ตายใจไม่ได้ เข้าตัว เข้าพวกเพื่อนของตัว เข้าลูกศิษย์ของตัว ใครใกล้ชิดติดพันกับตัวเล็งไปหาคนนั้นๆ รักคนนั้น ชังคนนี้ ใช้ไม่ได้เลย สำหรับวัดนี้ไม่มี มีไม่ได้ ธรรมประกาศติดหัวใจอยู่กับทุกคนๆ เรียนมาทุกคน ศาสดาองค์เอกคือธรรมวินัยอยู่กับทุกคนที่เรียนมา ฝืนไปไม่ได้ นั่นละศาสดาองค์เอกคือธรรมวินัย ต้องปฏิบัติตามนั้น เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าว ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว ถ้าข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัยแล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป นั่น เรื่องใหญ่โต ธรรมและวินัยนั่นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราผ่านไปแล้ว คือตายไปแล้ว ให้ถือธรรมวินัยเป็นหลักเป็นเกณฑ์ จะเท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา นั่นความถูกต้องเป็นอย่างนั้น
วัดนี้ก็เลอะเทอะไปพอแล้วแหละ ที่เราพูดนี่พูดตั้งแต่ปฏิบัติมาแต่ก่อน เดี๋ยวนี้เลอะเทอะมาก แต่เมื่อมันพออนุโลมได้เราก็หลับหูหลับตาดูเฉยๆ ไม่ว่าอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องหลับหูหลับตาเอา เหมือนไม่รู้ไม่เห็นไปบ้างอะไรบ้าง ทำให้ไม่รุนแรง ถ้ามันจะกระทบกระเทือนกับธรรมกับวินัยจริงๆ ก็เริ่มเอากันละ เริ่มเตือนเริ่มสอน ถ้าไม่ผิดธรรมวินัยแต่จะทำให้มัวหมองนั่นเหมือนว่าหูหนวกตาบอดไป ดูบ้างไม่ดูบ้าง เช่นความอืดอาดเนือยนายนี้จะว่าผิดธรรมผิดวินัยหรือไม่ผิดใช่ไหมล่ะ นี่ละผู้ปฏิบัติจริงๆ เพื่ออรรถเพื่อธรรมเข้มแข็งทุกอย่าง สติสตัง-ปัญญาเคลื่อนไหวไปมานี่หมุนตัวตลอดเวลา
ใครจะเป็นนักเก็บความรู้สึกได้ดีสุขุมคัมภีรภาพยิ่งกว่าพระ พระเป็นผู้เก็บความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เป็นผู้สุขุมคัมภีรภาพ เป็นผู้มีสติปัญญารอบตัว เคลื่อนไหวไปไหนสติปัญญาตามไปเลย ติดตัวไปเลย นั่นเรื่องของพระแท้ๆ เป็นอย่างนั้น เรื่องของพระเทวทัตคอยแต่ทำลายศาสดา เหยียบหัวพระพุทธเจ้าด้วยการเหยียบธรรมเหยียบวินัย ข้ามเกินธรรมวินัย วัดนี้เราก็อนุโลมเต็มที่แล้วนะ ที่อยู่ทุกวันนี้ เพราะมันมากต่อมาก ข้างในก็มาเอง นั่นน่ะเต็มอยู่ข้างใน อันนี้มาเกี่ยวกับเราโดยเฉพาะ องค์ไหนจะมาจะเข้าจะออกเกี่ยวกับเราโดยเฉพาะตลอด เพราะหลักการปกครองตามธรรมวินัยเป็นอย่างนั้น ต้องเข้าหาเจ้าอาวาส เข้าหาหัวหน้า ใครจะเข้าจะออกเราต้องทราบทุกรายไป
แต่ส่วนทางนั้นมันเข้ามันออกอะไร มันเข้ามันออกได้ทุกเวลาพวกในครัว เข้าไปแล้วไปกัดกันหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เราไม่ได้ตามเข้าไปดู มันเข้าไปแล้วมันไปกัดกันอยู่ในครัวก็ไม่ทราบนะ เรียกว่าอนุโลมเต็มที่ หลับหูหลับตาปกครองหมู่เพื่อน อย่าเข้าใจว่าวัดป่าบ้านตาดเคร่งครัดนะ ไม่ได้เคร่ง หลับหูหลับตาอนุโลมผ่อนผันเมื่ออะไรไม่กระทบกระเทือนธรรมวินัยมากนักก็อนุโลมไปๆ ถ้าอะไรกระทบกระเทือนธรรมวินัยคือองค์ศาสดาไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้ตรงเป๋งทุกคนๆ ให้มีขอบเขตทำทุกอย่างๆ ทำอะไรเหลาะๆ แหละๆ โลเลโลกเลก หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ไม่ได้นะ
ศาสดาองค์เอกได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาองค์เอก เป็นครูสอนโลกทั้งสาม กามโลก รูปโลก อรูปโลก ศาสดาองค์เอกสอนทั้งนั้นแหละ เราจะไปเหยียบย่ำทำลายศาสดาไม่ได้ เรื่องศาสนาเป็นของเล่นเมื่อไร กิเลสต่างหากมันถือศาสนาเป็นของเล่น เตะไปเตะมาเหมือนเขาเตะฟุตบอล เอาศาสนาเป็นฟุตบอล ฝีเท้าคือกิเลสของหัวใจหน้าด้านของโลกมันเตะไป เหยียบไป ย่ำไปย่ำมา ศาสดาองค์เอกแท้อะไรจะเลิศยิ่งกว่า
พากันมาวัดมาวาก็มา นี่เรามักจะออกเสมอตอนเย็นๆ พอสี่โมงครึ่งล่วงไปแล้วจะเริ่มออกมา เป็นเวลาไล่คนออกจากวัดแล้ว ประตูก็เริ่มปิด จากนั้นประตูเล็กก็ปิด ถ้าประตูเล็กปิดแล้วเข้าไม่ได้นะ เรามักจะออกตอนสี่โมงครึ่งไป ส่วนมากจะเป็นห้าโมงไปแล้วออกไปดู ใครจะมาที่ไหนก็ตามถ้าเราออกไปแล้วต้องไล่เบี้ยกันหาเหตุหาผล มาธุระอะไร ถาม ถ้ามาเด้นๆ ด้านๆ ไปเดี๋ยวนี้ วัดนี้มีขอบเขตมีหลักมีเกณฑ์ อย่ามาเพ่นพ่าน ไล่เดี๋ยวนั้นเลย
บางทีรถบัสมาตั้งสามคันสี่คันเลยเวลาแล้วที่จะเข้ามาวัดนี้ รถบัสรถใหญ่สามคันสี่คันมาจอดพร้อมกันที่หน้าประตู พอดีเราออกไป ออกไปหัวหน้าโดดลงรถก็วิ่งเข้ามาหา มาอะไร บอกว่ามาเที่ยวชมวัด ชมอะไรวัด วัดเต็มบ้านเต็มเมืองจะไปชมวัดไหนก็ตาม วัดนี้ไม่จำเป็นต้องมาชม ท่านปฏิบัติของท่านเอง ไปกลับ ไล่เลย เอา ค้านมาซิที่พูด ธรรมอ่อนข้อต่อโลกสงสารถูกเหยียบแหลก ธรรมต้องแข็งแกร่ง การปฏิบัติตัวเองก็แข็งแกร่งอย่างนั้นถึงเป็นไปได้ ตัวเหลวๆ แหลกๆ ไปสอนคนให้ดีไม่ได้นะ ศาสดาไม่ใช่ศาสดาเหลวแหลกพอที่พวกเราจะเหยียบหัวท่านไป
พากันฟังเอานะ ศาสนาเป็นของเล่นเมื่อไร ถ้าต่างคนมีศาสนาบ้านเมืองก็สงบร่มเย็น หน้าที่การงานสะอาดสะอ้าน ผัวกับเมียไม่ทะเลาะเป็นหมากัดกัน ส่วนมากเป็นผัวเป็นเมียกันสองสามวัน วันที่สี่ต่างคนต่างแหลมเขี้ยวแหลมฟันใส่กัน แว้ๆๆ เดี๋ยวกัดกัน เพราะฉะนั้นเราจึงถามพอมานี้ นี่แฟน แล้วเอากันมาได้กี่ปี ถามเสียก่อน ได้เท่านั้นปี ทะเลาะกันกี่หน ไม่ทราบจะบอกอย่างไร ผัวดูหน้าเมีย เมียดูหน้าผัว ตอบไม่ออก ทะเลาะกันกี่หน กัดกันกี่ครั้ง เราว่าอย่างนั้นนะ
มันหากเป็นอย่างนั้น ผัวเมียอยู่ด้วยกันไม่นานละต่อไปตามธรรมดาธรรมชาติของครอบครัวเหย้าเรือน เราไม่ได้มีผัวมีเมียแต่รู้จัก เพราะธรรมละเอียดกว่านั้น อยู่กันไปเรียกว่าเป็นผัวเป็นเมียกันไม่กี่วันต่อไปก็เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตายกัน ทีนี้ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันก็กัดกันเรื่อย เลือดสาด ถูกไหมล่ะ ไม่ถูกได้อย่างไร ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันมันกัดกันเรื่อยนะ โอ้ ศาสนาเป็นของละเอียดลออมากนะ ไม่ใช่ของเล่น
ให้พากันเข้าวัดเข้าวาหาท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้คติเครื่องเตือนใจเป็นสิริมงคล เพียงก้าวเข้ามาในวัดเท่านี้ดูน่าเกรงขามแล้วนั่น เพราะตัวของท่านทำตัวของท่านให้มีราค่ำราคาตลอดเวลา ไม่เหินห่างจากธรรมจากวินัยการปฏิบัติ ทีนี้ใครเข้ามาก็น่าดูน่าชมซิ เอาละพูดเท่านั้น
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
จากเครือข่ายทั่วประเทศ
|