เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
เราเป็นธรรมหมดแล้ว
ธาตุนี้อ่อนลงๆ ทุกวัน เดินเข้าไปในครัวกลับออกมานี้เหนื่อย เข้าไปครัวออกมาเหนื่อย กำลังมันอ่อนลงมาก ยิ่งมีอะไรซ้ำเข้าไปอีกยิ่งหนัก อ่อนลงเรื่อยๆ นิสัยเราเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยอ่อนแอนะ ไม่ว่าอะไรๆ มันหากมีนิสัยอย่างนั้น คึกคักขึงขังตึงตัง อ่อนแอไม่มี เข้มแข็งทุกอย่าง ทีนี้เวลาแก่นี้แล้วไปคนละโลกนะ พูดถึงเรื่องนิสัยของเรา จริงจังเข้มแข็งทุกอย่างเเต่ไหนแต่ไรมา จึงระลึกถึงคำพูดของพ่อ ที่จะบวชนี้ก็เพราะพ่อนะไม่ใช่เพราะใคร
ตามธรรมดาพ่อแม่ไม่เคยยอลูก มีแต่กดลงๆ กดตลอด แต่วันนั้นพ่อยกเรา ยกเพื่อทุ่มลง เข้าใจไหม เอาตอนจนตรอกนะ กำลังนั่งรับประทานเป็นวง อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาลอยๆ เออ กูนี้มีลูกหลายคน ว่างั้นนะไม่เคยพูดแหละ วันนั้นพูดขึ้นมา เรานี้ก็มีลูกหลายคน ลูกเหล่านั้นกูไม่สนใจกับมันแหละ กูฝากเป็นฝากตายได้แต่กับไอ้บัว ไอ้นี่ถ้ามันลงได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ ยกขึ้นเพื่อจะทุ่มลง ธรรมดาไม่เคยยอลูกละ ไอ้นี้ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ แต่กูขอให้มันบวชทีไร หูหนวกตาบอดไปหมด เฉยเลย
คือเราถ้าได้ลั่นคำเป็นจริงๆ นะ ถ้าไม่ลั่นเอาแน่ไม่ได้ มีทางออกตลอด ถ้าลงลั่นคำมัดเจ้าของเลย เป็นนิสัยอย่างนั้น ถ้าลงได้ลั่นคำแล้วเป็นจริงเป็นจังทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นฆราวาสมาไม่เคยเหลาะแหละ นี่ละพอพูดถึงเรื่องที่ว่า เรื่องการเรื่องงานอะไรกูสู้มันไม่ได้ แต่กูขอให้มันบวชทีไรมันหูหนวกตาบอด ไม่มีคำตอบคำใดเลย นี่เวลากูตายแล้ว ถ้าลูกไม่บวชให้กูแล้วกูจะจมอยู่ในนรกไม่มีวันฟื้นเลย ว่างี้นะ กูได้อาศัยลูกกูคนเดียวนี้แหละ ลูกผู้ชายหลายคนกูก็ไม่สนใจ กูหวังพึ่งไอ้นี่คนเดียวแหละ ทุกอย่างถ้ามันลงได้ทำอะไรกูสู้มันไม่ได้ ยกขึ้นแล้วทุ่มเลย เวลากูตายแล้วถ้าไอ้นี้ไม่บวชให้กูแล้วกูจะจมลงในนรกไม่มีวันฟื้นเลย
พอว่าอย่างนั้นน้ำตาร่วง พ่อนะ น้ำตาพัง มองดูแม่แม่เห็นพ่อน้ำตาร่วง แม่ก็น้ำตาร่วง เราก็โดดออก กำลังรับประทานอยู่โดดหนีไปเลย โฮ้ สะเทือนใจมาก น้ำตาพ่อร่วง รู้สึกสะเทือนใจ นี่ละทีนี้เรื่องคาราคาซังอะไรๆ ยังลงตัวไม่ได้ๆ นี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย ต้องบวชช่องเดียวเท่านั้น นอกนั้นอะไรมาผ่านไม่ได้เลย ไปกำหนดพิจารณามัดเจ้าของเลยเชียว เริ่มต้นตั้งแต่การงานทุกอย่าง โลกเขาทำได้ เราทำได้ อะไรๆ เขาทำได้ เราทำได้เรื่อยๆ พอมาถึงจุดบวชนี้ โลกเขาบวชได้ทำไมเราบวชไม่ได้ บางองค์ท่านบวชจนตายกับผ้าเหลืองท่านก็อยู่ได้ การบวชนี้ไม่ได้ติดคุกติดตะรางอะไร การบวชเป็นที่เคารพนับถือของคน ตัวเองก็ได้บุญ ภูมิใจ แล้วทำไมจึงบวชไม่ได้ ทุกอย่างเขาทำได้เราก็ทำได้ อันนี้เขาทำได้เราทำไมทำไม่ได้ นี่ละบทเวลาจะเอา ต้องได้ การไปบวชไม่ได้ติดคุกติดตะรางอะไร ไปบวชเป็นบุญเป็นกุศล
เขาติดคุกติดตะรางเขายังมีวันออกได้ นี่ไม่ใช่ไปติดคุกติดตะราง ไปบวชใครๆ ก็มีความยินดี แล้วทำไมจึงบวชไม่ได้ เอาละนะที่นี่ นี่ละมัดเจ้าของเพราะน้ำตาพ่อร่วง มัดเข้าๆ ไม่ให้มีทางออกเลย เขาทำได้เราทำไม่ได้มีอย่างเหรอ บวชก็เป็นที่เคารพนับถือ เจ้าของก็เป็นบุญเป็นกุศล ทำไมบวชไม่ได้ว่ะ เอาละมัดเข้าๆ ต้องบวชเพราะหาทางออกไม่มีแล้วนี่ มัดเข้าๆ คิดอยู่ ๓ วันนะ คิดเรื่องบวชคิดอยู่ ๓ วัน ไม่ได้เข้ามาร่วมวงรับประทานเลย ไม่มา ไม่ให้พ่อเห็นหน้าเลย นี่ละเป็นนิสัยอันนั้นละ
นี่พูดถึงเรื่องนิสัยเรื่องมันจะได้บวช เป็นอย่างนั้น น้ำตาพ่อร่วง โถ สะเทือนใจหนัก พอแม่มองไปเห็นพ่อน้ำตาร่วง แม่ก็เอาอีกละ โหย ดีดผึงเลย หนีเลย ๓ วันไม่ให้พ่อเห็นหน้าเลยไม่มากินข้าวร่วม ไปพิจารณาตัวเอง เรื่องคาราคาซังทั้งหลายนี้ขาดสะบั้นลงเลย ตีลงจะให้บวชท่าเดียว บวชไม่ใช่ติดคุกติดตะราง เขาติดคุกติดตะรางเขายังมีวันออก นี้เราไปบวชเป็นที่นิยมสมพร ทั้งตัวเองก็ได้บุญได้กุศล ทำไมทำไม่ได้ถ้าไม่หยาบเอาเสียเหลือประมาณ มัดเข้าๆ ต้องบวช ลงใจปุ๊บไม่มีทางออกจึงมาพูดกับแม่ เราไม่ลืมนะเหตุที่จะบวช
มาพูดกับแม่ก็มาขู่แม่ด้วยนะ ลูกส่วนมากติดแม่ ลูกทุกคนติดแม่ทั้งนั้นละ เราก็ติดแม่เหมือนเด็กอายุ ๕ ขวบกับแม่น่ะ เออ ที่ว่าจะให้บวชก็จะบวชละ แต่บวชแล้วอยากสึกเมื่อไรก็ได้ ใครจะมาบังคับให้เท่านั้นวันเท่านี้ปีเท่านี้เดือนค่อยสึกนี้ไม่บวช แม่ก็สาธุ เออ ลูกไปบวช พอไปบวชออกมาแล้วอุปัชฌาย์ยังไม่เลิก พระสงฆ์ยังไม่เลิก คนไปบวชลูกมีจำนวนมากมายเต็มโบสถ์ นอกโบสถ์เต็มไปหมด ลูกจะมาสึกต่อหน้าคนมากๆ แม่ก็ไม่ว่าละ แม่อยากเห็นเวลาลูกบวชเท่านั้นแม่ก็พอใจ
แล้วใครจะเป็นบ้า ไปบวชแล้วออกมาสึกต่อหน้าคนนี้มันขายหน้าขนาดไหน แม่รู้เรื่องแล้ว สาธุ ขึ้นเลย เอ้า แม่อยากเห็นเวลาบวชเท่านั้นละ แม่ก็มัดไปแบบนั้นละ ตกลงบวช แต่เวลาบวชแล้วหากจริงจังทุกอย่างนะ คือเรามันนิสัยอย่างนี้ ว่าอะไรจริงทุกอย่าง เหลาะแหละไม่ได้ นั่นละเรื่องราวมันเป็นอย่างนั้นละบวช พอบวชไปไปอ่านหนังสือธรรมะอ่านเข้าไปๆ เอ๊ะ ชอบกล อันนี้เราก็ผิดมาแล้ว อันนั้นเราก็ผิดมาแล้ว มีแต่ผิดมาแล้วทำไงจะแก้ตัวจะไม่ให้ผิด บวชไปได้เท่าไรจะไม่ให้ต้องติในศีลธรรมของตนที่บวช จนกระทั่งสึก ว่างั้นนะ จะสึกอยู่นะ ประมาณสักสองปีจะสึก มันคิดไว้แล้วจะสึก
พอบวชเข้าไปไปอ่านหนังสือ เอ๊ะ ชอบกลๆ จิตใจก็หนักเข้าๆ หนักไปทางนั้น หนักเข้าจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน นู่นน่ะมันหนักเข้า ดื่มเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงว่า เอา ถ้ามีท่านผู้หนึ่งผู้ใดมายืนยันเรื่องมรรคผลนิพพานว่ามีอยู่นี้ เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านองค์นั้นหรือผู้นั้น แล้วเราจะเอาตายเข้าว่าเลย มาก็บึ่งหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย เรื่องราวเป็นอย่างนั้น เพราะชื่อเสียงท่านโด่งดังมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก จะไปหาท่านให้ตัดสินเรื่องมรรคผลนิพพาน เอาตรงนั้นแหละ ไปก็เข้าไปหาท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลย เหมือนว่าเรดาร์ท่านจับไว้หมดแล้ว ไปก็ใส่เปรี้ยงเลย เหอ ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลยนะ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอหรือมาหาอะไร ใส่เข้าตรงนี้เลย
เข้มข้นด้วยนะ เพราะตรงกับเจตนาของเราที่รุนแรงมาก ธรรมะท่านตอบรับเรานี้รุนแรงมากเหมือนกัน ท่านก็ชี้ไปต้นไม้ภูเขาไม่ใช่กิเลสไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไล่ไปหมดจนกระทั่งครอบโลกธาตุ ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน รวมลงแล้วสิ่งทั้งหลายไม่มีเป็นบาปเป็นบุญเป็นมรรคผลนิพพาน ลงที่ใจแห่งเดียว มรรคผลนิพพานแท้ บาปแท้บุญแท้อยู่ที่ใจ ท่านใส่ลงไปเปรี้ยงๆ เอา ทำใจให้ได้นะ มรรคผลนิพพานไม่ต้องถามละ อยู่ที่ใจแห่งเดียวนี่ละ ลงใจปึ๋งเลย ท่านสงเคราะห์เต็มที่เลยหลวงปู่มั่น
พอออกมาแล้วถามตัวเอง ยังไม่ถึงกุฏินะ พอลงไปแล้วว่ายังไงที่นี่ ฟังธรรมท่านอย่างถึงใจแล้ว ทีนี้เราจะว่ายังไง ตัวเราเองจะว่ายังไง เอาตายเข้าว่าเลย นั่นตัดสินกัน ต้องตายเข้าว่าเท่านั้น เอาให้ได้มรรคผลนิพพาน มันเด็ดต่อเด็ดใส่กัน ธรรมะท่านก็เด็ด เจตนาของเราก็เด็ดใส่กันรับกันเปรี้ยงๆ พอลงใจแล้วที่นี่ก็เอาละนะ นี่มันนิสัยผาดโผนด้วยไม่ใช่ธรรมดา ถ้าลงว่าอะไรแล้วจริงทุกอย่างบอกแล้ว ไม่มีคำว่าเหลาะแหละ พอออกจากท่านแล้วลงใจแล้วที่นี่เอาตายเข้าว่า เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอา ท่านยืนยันรับรองทุกอย่างแล้ว เราตั้งใจมาหาอรรถหาธรรม ท่านยื่นให้เราไม่รับมีหรือ เอาตายเข้าว่าเลยให้ได้มรรคผลนิพพานในชาตินี้
ตั้งแต่นั้นมาก็ซัดกันจริงๆ ตกนรกอยู่ ๙ ปีเรา คือเอาจริงไม่ใช่เล่นๆ นะ ไปเที่ยวกรรมฐานไปองค์เดียว แล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็ส่งเสริมด้วย ถ้าท่านอนุญาติให้ไปแล้ว แล้วจะไปกี่องค์ล่ะ ไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย เอ้า ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน บอกเลย ให้ไปองค์เดียว บางทีท่านก็พูดหยอกเล่นเพราะเห็นนิสัยของเราจริงจังมาก จริงจังทุกอย่าง อยู่กับหมู่กับเพื่อนไม่ได้เหมือนหมู่เหมือนเพื่อนนะ ใครจะทำอะไรๆ ก็ช่าง เราต้องปฏิบัติตัวของเราให้เคร่งครัด ข้อวัตรปฏิบัติของเราเต็มตัวๆ ตลอด ไม่มองใครละ ดูเจ้าของเท่านั้น
บิณฑบาตได้มาเท่าไรได้เท่านั้นพอๆๆ จนพ่อแม่ครูจารย์ท่านไปขอใส่บาตรให้ ท่านรู้ คนอื่นไม่รู้นะ พระทั้งวัดไม่รู้ พอบิณฑบาตได้มาแล้วจัดอะไรปุ๊บปั๊บๆ ใส่บาตรซ่อนข้างฝา เอาฝาปิดแล้วก็ออกมาจัดอาหารให้ท่าน ทุกอย่างเราเป็นคนดูแลบาตรของท่าน จัดเรียบร้อยแล้วก็มานั่งปั๊บฉัน ฉันนิดหน่อยๆ เท่านั้นละเพราะขึ้นเวทีแล้วนี่ ถ้าอยู่กับหมู่เพื่อนฉันทุกวัน ฉันประมาณสัก ๖๐% ถ้าไปคนเดียวอยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันกี่วันก็ตามจนกระทั่งท้องเสีย มีแต่เรื่องอดอาหารแหละมากเรา เพราะมันดีทางอดอาหาร ถ้าอดอาหารสติดี ภาวนาก้าวหน้า พอฉันลงไปมากน้อยมันจะรู้ตัวของมัน เหมือนรถบรรทุกของหนัก เป็นอย่างนั้นละ
เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยฉัน จนท้องเสียแหละเรา จนกระทั่งถึงพรรษา ๑๖ ตัดสินกันขาดสะบั้นลงไปแล้วระหว่างกิเลสกับใจ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว พรรษา ๑๖ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ จำได้ขนาดนั้น ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ตั้งแต่นั้นมาฉันไปเรื่อยๆ นะไม่อดอาหาร แต่ท้องมันได้เสียพอแล้วระหว่าง ๙ ปีนี้ อาหารนี่ไม่ค่อยสนใจ คือมุ่งแต่อรรถแต่ธรรมอย่างเดียว คือเวลาผ่อนอาหาร อดอาหาร ภาวนามันดีๆ มันก็ไม่สนใจกับธาตุกับขันธ์ บทเวลาจะหันหน้ามาบำรุงธาตุขันธ์มันเสียแล้วท้อง ท้องเสีย เสียมาจนกระทั่งดูอายุจะถึง ๘๐ แล้วมั้ง ตอนจะช่วยชาติบ้านเมืองนั่นละ ออกมาช่วยชาติ
ทีนี้ธาตุของเราก็อ่อน มันจะตายในระหว่างพรรษานั่นละความรู้สึกของเรา ทีนี้ก็มีหมอคนหนึ่งที่ว่าหมอเติ้ง แกได้ยามา คือหมอเขาตรวจแล้วเขาบอกว่าท่านเป็นมะเร็งในลำไส้ เขาไม่กล้าพูด เขากลัวเราเสียใจ แต่เขากระซิบกันภายนอก หมอเขาตรวจแล้วเขาบอกว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ ก็เรียกว่าไม่มีหวัง แต่ไปได้ยาหมอเติ้งนี่มาฉัน โอ๊ย นี่ก็เหมือนปาฏิหาริย์ยาขนานนี้ก็ดี พอฉันยาเข้าไปเขาก็ชี้แจงให้ทราบก่อนจะฉัน เวลาฉันลงไปมันจะถ่าย โรคมีมากเท่าไรมันจะถ่ายมากเท่านั้น แต่ไม่เพลียเหมือนถ่ายโรค ถ่ายด้วยยานี้ไม่เพลีย เอา มันจะถ่ายขนาดไหนปล่อยให้มันถ่ายไปไม่เพลีย แกว่าอย่างนั้น ถ้าถ่ายโรคแล้วเพลีย ถ่ายยานี้ไม่เพลีย
พอฉันยาลงไปแล้วดีดผึงๆ เลย แล้วก็ถ่ายอย่างหมอเขาว่า เอา ถ่ายก็ถ่ายไปไม่เป็นไร เมื่อโรคเบาลงไปมันจะเบาของมันไปเอง ก็เลยหายได้ นั่นละถึงได้ช่วยชาติบ้านเมืองมาทุกวันนี้ เป็นอย่างนั้นละ
ใน ๙ ปีนี้เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นเลย ไปภาวนาไม่เอาใครไป ไปคนเดียวๆ มันมักจะอดอาหารนี่ซิ มันเสียท้อง จากนั้นมาแล้วทีนี้ลงเวที กิเลสกับจิตกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นลงไปแล้ว เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้ฉันจังหันฉันไปทุกวัน แต่ฉันไปเท่าไรท้องมันเสียพอแล้ว แก้เท่าไรก็ไม่ตก ๖-๗ วันถ่ายสักทีหนึ่งถ่ายออกหมดท้องเลยนะถ่าย เวลาสัก ๖-๗ วันถ่ายทีหนึ่งๆ จนกระทั่งถึงนู่นละจะช่วยชาติบ้านเมือง ได้ยาหมอเติ้งมาฉันจึงได้ฟื้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จะตายมันก็ไม่ตายนะแปลกอยู่ จนกระทั่งทุกวันนี้ท้องก็หายปรกติไม่มีอะไร
สมบุกสมบันมากเวลาออกปฏิบัติ ๙ ปีเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ดัดเจ้าของ ไม่ใช่ดัดใครดัดเจ้าของ ไปนี่ไม่ไปอยู่ บ้านไหนมีหลายหลังคาเรือน ยิ่งไปอยู่นอกบ้านเขารุมออกไปหา โอ๊ย บ้านนี้ไม่เป็นท่าแหละ คือว่าบ้านนี้ไม่เป็นท่าหมายความว่าเขาจะมากวนเรา จะไม่ได้ภาวนา หาหลบหลีกอยู่ตามบ้านเล็กๆ น้อยๆ สี่หลังคาเรือนห้าหลังคาเรือนบนภูเขา ไปอยู่อย่างนั้นละเรื่อยมา จนกระทั่งตัดสินกันขาดสะบั้นลงไปแล้วระหว่างกิเลสกับธรรมกับจิต
ทีนี้หมู่เพื่อนรุมตลอด แต่เราหากหลบเหมือนผู้ต้องหา หลบหมู่เพื่อน เพราะพ่อแม่ครูจารย์เสียไปแล้ว ไม่มีที่เกาะ พระเณรก็พรึบๆ ละซิ และตอนนั้นท่านยังมีแย็บออกด้วยนะ ตอนท่านป่วยในกลางพรรษาพระนวดเส้นถวายท่าน แต่ท่านไม่เล่าให้เราฟัง เออ เวลาผมตายพวกท่านทั้งหลายจะไปอาศัยใครล่ะ จะไปเกาะใครล่ะ แต่ตอนนั้นจิตของเรามันหมุนติ้วนะนั่น หมุนติ้วไม่มีวันมีคืน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันโดยอัตโนมัติ ในพรรษานั้นท่านเพียบทางธาตุขันธ์ เราก็เพียบทางด้านจิตใจ
ท่านจึงถามขึ้นมาอย่างนั้น นี่เวลาผมตายพวกท่านจะไปอาศัยใครล่ะ ไม่มีใครพูดละท่านพูดของท่านองค์เดียว สักเดี๋ยวขึ้นมาอีก เออ ให้อาศัยท่านมหานะ ท่านมหาสำคัญอยู่นะทั้งภายนอกภายใน ภายนอกได้แก่ข้อวัตรปฏิบัติศีลธรรมไม่มีที่ต้องติ ความหมายว่าอย่างนั้น ทางธรรมนี่ก็หมุนติ้วแล้วท่านได้ทราบแล้ว ไปหาท่านธรรมนี่หมุนแล้ว เวลาผมตายให้อาศัยท่านมหานะ ท่านมหาสำคัญอยู่นะทั้งภายในภายนอก เวลาท่านเสียไปพระเณรจึงเกาะเรา หลบหลีกตลอด ไปคนเดียวได้ตลอดนะนั่น ไปอยู่ไม่นาน ไปอยู่บ้านนี้อาทิตย์หนึ่งสองอาทิตย์หลบๆ ไปคนเดียวๆๆ ตลอดอยู่อย่างนั้น แล้วหมู่เพื่อนเกาะตลอดนะ จากนั้นมาก็เกาะมาเรื่อยอย่างทุกวันนี้ละพระเณร
พูดถึงเรื่องเอาจริงเอาจังต่อมรรคผลนิพพานเอาจริง จริงมากทีเดียว ฟาดเสียตกนรกทั้งเป็นอยู่ ๙ ปี ทำความเพียรเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น เพราะเจ้าของไปคนเดียว ป่าช้าอยู่กับตัวคนเดียว การเป็นการตายเจ้าของรู้ก่อนอื่น นั่น ซัดกัน ให้กิเลสขาดสะบั้นละเป็นที่พอใจ ตายเมื่อไรได้ จึงเอาหนักเอาหนานะการประกอบความพากเพียร สุดท้ายก็ฟาดกิเลสม้วนเสื่อได้ หมู่เพื่อนก็เกาะพรึบเลยละ จนกระทั่งทุกวันนี้มันน้อยเมื่อไร เลยกว้างขวางทั่วประเทศไทยการเทศนาว่าการของเรา
พระในประเทศไทยดูจะไม่มีใครเทศน์มากยิ่งกว่าเราละมัง เอา พิจารณาซิ ไม่ว่าที่ไหนๆ เทศน์หมดตั้งแต่สนามหลวงลงมา ใช่ไหมล่ะ มันหมดแล้วประเทศไทย ที่เราเทศน์นี่เทศน์หมด ลงขึ้นสนามหลวงแล้วก็หมด ก็อย่างนั้นละ เรียกว่าใหญ่ที่สุดก็คือสนามหลวง เทศน์งานนั้นงานนี้ไม่กำหนดนะ สนามหลวงเป็นอันดับหนึ่งก็ไปเทศน์แล้ว ทีนี้การเทศนาว่าการคนทั้งหลายเขาก็จะไปคิดแบบโลกละซี เรามันไม่เป็นโลก เป็นธรรมหมดแล้วในทางใจ
เช่นอย่างเทศน์สนามหลวงนี้ พูดง่ายๆ ว่าน้องสาวนี่มันทั้งร้องห่มร้องไห้ มันกลัวพี่ชายจะไปขายหน้าอยู่ที่สนามหลวง แม่สุวรรณนี่ ทั้งร้องห่มร้องไห้ทั้งอะไร ทีวีเขามาจ้ออยู่แล้วใกล้เวลาจะออก เขาจะดูทางทีวีในบ้านนี่น่ะ ว่าพี่ชายจะไปเทศน์ออกสนามหลวงคราวนี้ เทศน์คราวนี้คราวใหญ่โตมาก พี่ชายเราจะขึ้นเทศน์จะไปขายหน้าเราไหม น้องสาวนี่ทั้งร้องห่มร้องไห้นะนี่ ขึ้นไปก็จ้อ ทีวีเขาออก คอยเวลา จวนเวลาเท่าไรนี่ทั้งปวดขี้ปวดเยี่ยวน้องสาวนั่นน่ะ มันเป็นห่วงพี่ชายกลัวจะไปขายหน้า ว่าอย่างนั้นนะ
ทีนี้พี่ชายเป็นอย่างไรมันก็ไม่รู้นี่นะใช่ไหม มันก็เอาแต่เรื่องความเห็นความเป็นของมันละมาพูดมาคิดมาอ่าน ทั้งจะปวดขี้ปวดเยี่ยว เรามันไม่มีอะไร จวนเท่าไรทางนี้ยิ่งจ้อ ทั้งร้องห่มร้องไห้ โอ๊ย กลัวพี่ชายจะไปขายหน้าคนทั้งประเทศ ว่าอย่างนั้นนะ นี่เขาจะออกทั่วประเทศ ทั้งร้องห่มร้องไห้ทั้งอยากดู ขบขัน นี่ละพูดให้มันชัดเจนเสีย แม่สุวรรณเขาชื่อตัน น้องสาว เดี๋ยวนี้อายุ ๘๐ กว่าแล้วแหละ พอจวนเวลาเท่าไรตามันจ้องทางนู้น ทั้งน้ำตาร่วงกลัวพี่ชายจะไปขายหน้าคนทั้งประเทศ
พอเห็นพี่ชายขึ้นไปจ้อดู พอพี่ชายออกมาเวทีแล้วทีนี้ดูลักษณะท่าทางของพี่ชายเราจะสั่นจะตื่นเต้น จะกระสับกระส่าย เขาก็อยากคิดอย่างนั้น พอเห็นขึ้นบนธรรมาสน์ดูลักษณะท่าทาง อ้าว ว่าอย่างนั้นนะ เห็นขึ้นไปแล้วเลยเห็นเสมออยู่อย่างนั้น มันก็ยิ่งจ้อ ทีนี้พอได้เวลาปั๊บเทศน์แล้ว แกนั่งเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง ทางนี้ทั้งจะปวดขี้ปวดเยี่ยว เวลาจะแสดงออกจะเป็นอย่างไรเล่า เห็นน้องสาวคนนี้ละมันพิลึกพิลั่น มันร้องห่มร้องไห้
พอเทศน์ไปๆ ทีนี้ความคิดของมันที่คิดเบื้องต้นนี่ผิดไปหมดแล้ว พอเริ่มต้นก็เรื่อยๆๆ เอ๊ะๆ ชอบกลๆ ลักษณะจะตื่นเต้นกับใครไม่มีเลย ขึ้นไปเหมือนราชสีห์ว่าอย่างนั้นนะ เฉยอยู่อย่างนั้น เวลาจะเทศน์ก็หลับตาสักครู่หนึ่ง ทางนี้ทั้งขี้ก็จะทะลักออก บั้งไฟจะขึ้นหรือไม่ขึ้นเข้าใจไหม ถ้าบั้งไฟไม่ขึ้นเขาก็จะหามผู้ทำบั้งไฟนั่นลงตม ถ้าบั้งไฟขึ้นเขาก็จะหามนี้แห่รอบเมือง มันมีอยู่สองอย่าง นี่จะลงตมหรือจะไปรอบเมืองนะพี่ชายของเรานี่ ปวดขี้ปวดเยี่ยวมาพร้อมกันหมด
พอขึ้นไปแล้วอะไรก็ธรรมดาอยู่หมด ไม่เห็นมีแปลกอะไร ขึ้นไปก็เฉยอยู่อย่างนั้น เป็นลักษณะแปลกๆ น่าจะกลัวเหมือนเราคิดไว้ไม่กลัว จากนั้นธรรมะก็เริ่มเรื่อยๆ ต่อไปนานเข้าๆ อ้าว ชอบกลๆ ทีนี้ทางนี้ก็เลยจ่อฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเราอีก ไม่ไปสนใจกับคนมากนัก คอยจ่อฟังเสียงธรรม เสียงธรรมไปเรื่อยๆ ทางนี้เลยเพลินฟังเสียงธรรมไป จนกระทั่งจบ โล่งใจ ผ่านสนามหลวงใหญ่โตมาแล้วโล่งใจแล้ว โอ้..เหมือนไม่เกิดในท้องเดียวกันเลยนะ พี่ชายของเรากับเรานี้เหมือนไม่เกิดในท้องเดียวกันเลย ไปเอาความรู้ความเห็นการเทศนาว่าการมาจากไหน ทีนี้มาอัศจรรย์กัณฑ์เทศน์ คำพูดอย่างนี้เราไม่เคยได้ยินตั้งแต่เกิดมา อยู่ด้วยกันมาจนกระทั่งออกบวชก็ไม่เคยได้ยิน แล้วนี่ไปเอามาจากไหนๆ ทีนี้อัศจรรย์นะ เหมือนไม่เกิดในท้องเดียวกัน มันเป็นอย่างนั้นน้องสาว วันนี้ได้เปิดเปิดเสียเข้าใจไหม น้องสาวเป็นบ้าก็พี่ชายไม่ได้เป็นบ้าด้วย
ธรรมครอบโลกธาตุจะมาอะไรดูคนมีมากมีน้อยที่ไหน แทนที่จะไปดูว่าคนมากคนน้อยจะประหม่าพรั่นพรึงมันไม่มี มีแต่คนที่มามากน้อยนี้ ธรรมะประเภทไหนควรจะออกรับประชาชนให้ได้ผลประโยชน์ทั่วถึงกัน แน่ะ มันไปอย่างนั้นนะ พอนั่งปั๊บมองไปนี่ดู จิตมันไปรอบแล้วนี่ พอได้ความทุกอย่างแล้วนั่งนิ่งละที่นี่ มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นนี่ ก็ธรรมมันครอบโลกธาตุแล้วจะไปกลัวอะไรขี้หมูขี้หมาส้วมๆ ถานๆ อย่างนี้ เข้าใจไหมล่ะ จะมาสนใจอะไรกับส้วมๆ ถานๆ ก็มีแต่ธรรมะควรแก่คนประเภทใดบ้าง เพราะมานี่มันมากต่อมาก ให้ได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน
จากนั้นก็เริ่มเทศน์เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามไม่มีธรรมะแบบเด็ดขาด แกงหม้อใหญ่ก็เทศน์ไป ไม่ขึ้นนะ ถ้ามีผู้ปฏิบัติ สนใจปฏิบัติเช่นพระกรรมฐานมานั่งฟังมากๆ นี้มันจะขึ้นผึงๆ ถ้ามีแต่ประชาชนก็เป็นแกงหม้อใหญ่ ตีพุ่มนั้นพุ่มนี้ไปอย่างนั้นละ ตีพุ่มไหนก็ตีเบาๆ กลัวจะถูกหัวเด็ก กลัวจะถูกหัวคนแก่ อันธพาลมันก็ลอยนวลละซีใช่ไหมล่ะ เทศน์อย่างนั้นละ เทศน์เด็ดไม่ได้ คนจำนวนมากต้องเทศน์ไปตามสภาพของคน
มันไม่ได้เป็นกับใครนี่นะ ใครจะว่าอะไรเป็นอย่างไร ว่าสูงว่าต่ำว่าอะไรมันไม่มี ธรรมเหนือหมดแล้วนี่ มีแต่คอยดู เทศน์จะควรได้ประโยชน์มากน้อยให้ทั่วถึงกันแค่ไหน มันไปเท่านั้นเอง จากนั้นก็ออก ถ้าคนประเภทไหนที่ควรแก่ธรรมะประเภทใดแล้วมันจะไปตามนั้นละ มันจะไม่ขึ้น ถ้ามีคนที่มุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมต่อมรรคผลนิพพานอย่างแรงกล้าอยู่แล้วมาฟังมันดีดทันทีเลยนะ จูงกันทันทีเลย เร่งที่สุด ธรรมะประเภทแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี่จะเป็นธรรมะประเภทเด็ดที่สุดเลย พุ่งๆ ดังที่เทศน์สอนพระบนศาลาแต่ก่อน ไม่มีใครมาเกี่ยวข้องเทศน์อย่างนั้นนะ ทุกวันนี้ไม่ได้ละ ธาตุขันธ์ก็อ่อน คนที่จะฟังธรรมะประเภทนั้นก็มีแต่แกงหม้อใหญ่ จะไปเทศน์เด็ดๆ เดี่ยวๆ ไม่ได้นะ ถ้าเป็นเทศน์สอนพระนี่เด็ด พุ่งๆๆ
นี่เราพูดถึงเรื่องธรรมะ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรม จึงรวมได้ว่าทุกข์มหันตทุกข์ก็ดี-สุขเป็นบรมสุขก็ดีไม่เหนือจากใจ สรุปเรื่องกองทุกข์ทั้งหลายมาแล้วต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมที่ไหน กว้างแสนกว้างขอบเขตจักรวาลไม่มีกองทุกข์อยู่ที่นั่น ความสุขก็ไม่มีอยู่ที่นั่น เวลามามีมามีอยู่ที่หัวใจ สุขก็ดี บรมสุขก็ดี ทุกข์มหันตทุกข์ก็ดีอยู่ที่หัวใจ แก้ตรงนี้ที่กิเลสมันหุ้มห่อให้เกิดความทุกข์เหล่านี้ออก ออกหมดแล้วจ้าเลย ก็มีเท่านั้น จะมีที่ไหน
ธรรมะประเภทนี้ใครเทศน์วะ นี่มันเต็มอยู่ในหัวใจนี่เทศน์ได้ทุกขนาดของธรรม ตั้งแต่พื้นถึงพระนิพพาน ไม่โอ้ไม่อวดไม่คุยไม่โม้นะ เพราะมันบรรจุอยู่นี้เต็มหมดแล้ว ไปกล้าไปกลัวกับสิ่งใดในโลกอันนี้ไม่มี ธรรมะเป็นโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกเหนือสมมุติแล้วจะไปหากล้าหากลัวกับกองมูตรกองคูถ กลัวกับพวกส้วมพวกถานหาอะไร ธรรมะเป็นอย่างไรสูงขนาดไหน เอาละพอแล้ว เทศน์ไปเทศน์มาวันนี้ไปใหญ่
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
จากเครือข่ายทั่วประเทศ
|