เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
นรกอเวจีค่อยพูดทีหลัง ขอให้ชนะพอ
วันนี้ก็จะต้องได้ไปดูตึกอีกนะ ทั้งหมอทั้งพระมาขอ พระที่มาขอในโรงพยาบาลเดียวกันเกี่ยวกับตึกสงฆ์อาพาธ พระขอหมอก็ขอโรงพยาบาลเดียวกันนั่นแหละ คงจะให้พระท่านสนับสนุนช่วยท่า ถ้ามีแต่หมออาจว่ากำลังไม่พอเลยให้พระมาขออีก ก็โรงพยาบาลเดียวกันนั่นแหละ ตึกสงฆ์อาพาธว่างั้น นี่จะเริ่มขึ้นอีกแล้ว ตึกขึ้นอีกแล้ว ถ้าเริ่มคราวนี้ก็จะเป็น ๒ หลังขึ้นอีกแล้ว นี่ก็พึ่ง ๒ หลังผ่านมาเรียบร้อย ทางโรงเรียนพอเสร็จ ทางนี้ขึ้นแล้ว เพราะมีผู้ขออยู่ทั่ว ๆ ไป เป็นแต่เพียงว่ากำลังเราไม่พอรอไว้เป็นจังหวะ ๆ
เมื่อวานนี้ก็ไปโรงพยาบาลคอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ เราตั้งนาฬิกาดูจากนี้ไปถึงโรงพยาบาลคอนสวรรค์ ๒ ชั่วโมง ๑๗ นาที ก็ในราวนี้แหละ ราวสกลนครแถวนี้ จะไกลกว่านี้นิดหน่อย เพราะ ๒ ชั่วโมงนี้เป็นเขตสกลนคร เช่น ไปวัดสุทธาวาส ๒ ชั่วโมง อันนี้ก็ ๒ ชั่วโมง ๑๗ นาที คิดว่าพอ ๆ กัน อันนี้ก็ให้เหมือนกัน พอ ๆ กันอีกแหละ เมื่อวานซืนนี้ให้บ้านแท่น เครื่องอุลตราซาวน์กับเครื่องกระตุ้นหัวใจ คอนสวรรค์นี่ให้อุลตราซาวน์เครื่องหนึ่ง ยูนิตทำฟันเครื่องหนึ่ง อุปกรณ์การให้น้ำเกลือเด็กก็ให้ เขามีสองฝ่าย ฝ่ายหญิงฝ่ายชาย ถ้ามีอันเดียวก็เคลื่อนย้ายไปยาก เราเลยให้ทั้งสองฝ่ายชายฝ่ายหญิง อุลตราซาวน์มักจะจำเป็นอยู่เสมอ บ้านแท่นก็ได้ให้ ถามเอ็กซเรย์ว่าดีอยู่ เพราะเราได้ตั้งหน้าไปแล้วก็เรียกว่าเหมือนเป็นกรณีพิเศษ ถ้าตั้งหน้าไปดูโรงพยาบาลไหนคือตั้งหน้าจะสงเคราะห์ เขาขออะไรมักจะให้เสมอ ๆ ถามอะไรเขาก็บอกพอเป็นไป เขาก็ตอบแบบเห็นใจเรานั่นแหละ เกรงใจเรา
ที่ไหนขาดแคลนอยู่ที่ลึก ๆ เราชอบซอกซอนเข้าไป ไปทุกแห่งที่ไหนที่ลึก ๆ ลับ ๆ เรามักจะเข้าเสมอ แต่ที่ทั่ว ๆ ไปไม่ค่อยไป คือปล่อยให้ค่อยถูไถกันไปเถอะว่างั้น ที่มันซอกแซกลึก ๆ นี้มันจำเป็นจริง ๆ เราจึงเข้าเสมอแล้วก็สงเคราะห์เรื่อย ๆ ถามเรื่อย เพราะคนไข้เป็นความจำเป็นมากโรงพยาบาล คิดดูในหลวงท่านอย่างคุยกันไม่ใช่เรื่องอะไรนะ มีแต่เรื่องโรงพยาบาล ๙๐% มีแต่เรื่องโรงพยาบาล เพราะเราสนใจกับโรงพยาบาลมากเกี่ยวกับคนไข้ มหาเศรษฐีก็เถอะถ้าลงเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ไม่มีอะไรมีคุณค่ายิ่งกว่าความหวังที่ได้ตั้งไว้กับโรงพยาบาล นี่ละอันสำคัญนะ เราเห็นจุดนี้ละ
จะว่ามั่งมีศรีสุขอะไร ๆ ก็ตามมันช่วยอะไรไม่ได้นี่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยลบเลย ถอนปุ๊บมาเลย จิตวิ่งเข้าใส่หมอใส่ยา ชีวิตจิตใจไปอยู่กับหมอกับยา ถ้าเครื่องมือหรือยาไม่มีนี้หมอก้าวไม่ออก คนไข้ก็หมดหวัง แล้วหมดหวังมีน้อยเมื่อไร ใครเข้ามาหมดหวัง ๆ เป็นยังไง นั่น เราถึงเอาใจใส่เป็นพิเศษ ถึงขนาดว่าติดหนี้เราก็ยอมติด ติดอื่นเราไม่ติดนะ สร้างมามากต่อมาก โรงร่ำโรงเรียน สถานสงเคราะห์ ที่ราชการต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยว่างั้นเถอะ เราไม่ได้ติดหนี้นะ แต่โรงพยาบาลมักติดบ่อย พอเขาขอเครื่องมือ เครื่องมือนี้มันจำเป็นอะไรมันจะคิดแล้วนะ เครื่องมือนี้มีความจำเป็นต่อคนไข้มากเท่าไร นี่มันก็วิ่งถึงคนไข้ มาอยู่จุดนี้หมด
มาทบทวน เวลานี้เงินเราก็ไม่มีทำยังไง มันจะเอาเงินไม่มีมาอวดมาขวางเข้าใจไหมล่ะ ก็ยกน้ำหนักใส่กันซี ยานี่พาคนรอดตายได้นะ นั่นบทเวลาจะเอา พวกหยูกพวกยา เครื่องมือเหล่านี้พาคนรอดตายได้ ว่าเงินไม่พอ ๆ ไม่เห็นช่วยคนได้ เอาเลยนะบทเวลาจะเอา เงินไม่พอ ๆ นี้ไม่เห็นช่วยคนได้ เอาละที่นี่พอเหตุผลเข้ากันได้แล้ว ทางไหนหนักกว่าก็ใส่ปึ๋งไปเลย เพราะฉะนั้นการพูดทุกสิ่งทุกอย่าเราจะเน้นถึงเรื่องน้ำหนัก เรื่องธรรมแล้วไม่สนใจที่โลกกิเลสมันรักมันสงวนมันกีดกัน คือเรื่องความเลวของมัน มันกีดกันไว้ทุกด้านทุกทาง รักสงวนมาก นี่เรื่องของกิเลส
พอพูดอะไรมันจะหาเรื่องขึ้นมาเลย ตอบโต้หรือคัดค้านต้านทาน หาเรื่องว่าพูดสกปรกบ้าง พูดหยาบโลน พูดดุพูดด่า เพราะกิเลสมันชอบสรรเสริญ กิเลสชอบที่สุดเรื่องสรรเสริญ อยู่ที่ไหน ๆ ก็ตาม คือธรรมดา ๆ แม้แต่คนไข้อยู่บนเตียงนี้ ลองไปถามดูซิ คุยกันให้เขาเพลินสักหน่อย เราก็ไปคุยกับเขา ย้อนหาอดีตของเขาอะไร ๆ เขา เขาจะเล่ามาทันทีเลยเพื่อระบายความทุกข์ อดีตของเขาเป็นมาอย่างนั้น ๆ กว่าจะมาถึงอย่างนี้ ความจำเป็นเขาได้เพลินครู่หนึ่งก็เอา ยกยอเขาเข้าแล้วก็ขึ้นเป็นบ้าเลย บ้าบนเตียงนั่นแหละเข้าใจไหม ถึงอ่านชัดนะ
อู๊ย ธรรมะนี้อ่านละเอียดลออมาก กิเลสไปปิดไปกั้นไว้ตรงไหน ธรรมะจะสอดรู้หมด ๆ แต่ธรรมะไม่เหมือนกิเลส ไม่อัดอั้นตันใจ ไม่อยากพูดอยากจา ไม่อยากโม้อยากอวด ธรรมะพอทุกอย่างพอตลอด ธรรมะไปด้วยความพอ จึงไม่กดไม่ถ่วง ไม่ดึงไม่ดูด เสมอ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น เหตุการณ์อะไรที่สัมผัสสัมพันธ์ที่จะได้รับประโยชน์มากน้อย เราจะเริ่มออกตามนั้น ๆ ถ้าไม่สมควรจะออกดึงก็ไม่ออก ธรรมะเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมะนี้เรียกว่าพอ ไม่มีคำว่าสรรเสริญ คำนินทา อย่างนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย ไม่มี มีน้ำหนักเท่ากัน พอผ่านมานี้ก็ไปเลย ๆ เกาะไม่ได้เกาะไม่ติดเป็นหลักธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นคำสรรเสริญกับคำนินทา จึงมีน้ำหนักเท่ากัน เขาด่าเขาว่าเรากับเขามาสรรเสริญเราก็อันเดียวกัน แน่ะ เป็นอย่างนั้นเสีย คืออันนี้พอแล้ว พอ ไม่รับทุกสิ่งทุกอย่างไม่รับเลย แต่กิเลสนี้หิวโหยตลอดเวลา เรื่องคำสรรเสริญนี่กิเลสตัวจอมทีเดียว หิวตลอดเวลา ความยกยอสรรเสริญชอบมากสุด เป็นหัวใจของกิเลสเลยคือความชมเชยสรรเสริญ ธรรมนี้วางตรงกลาง ไม่เอาทั้งนั้น สรรเสริญไม่เอา นินทาไม่เอา พอ ๆ เพราะฉะนั้นจึงเหนือสิ่งเหล่านั้นซิ พอหมดเลย ธรรมเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ธรรมท่านไม่เคยเกี่ยวข้องนะว่า แบบที่กิเลสมันคิดมันอ่านเป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นอะไรขึ้นมาก็ตาม ธรรมะจะคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วน ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโลกทั่ว ๆ ไป ธรรมจะออกอย่างนั้นไปเรื่อย ธรรมจึงไม่มีคำว่าหยาบว่าโลน ท่านไม่สนใจ เหมือนกับที่นี่สกปรก น้ำชะล้างลงไปปั๊วะเลย เท่านั้นเอง จะว่าสกปรกไม่สกปรก จะเหยียบก็ไม่เหยียบ ที่นี้สกปรกสาดลงไป ๆ ที่ไหนคดงอถากไป นายช่างถากเขาเป็นอย่างนั้น ไม้ต้นหนึ่งนี้มันไม่เสมอกัน ที่บางแห่งเป็นคดเป็นงอ บางแห่งตรง ตรงเขาก็ถากไปตามตรง ถ้าคดงอขวานก็หนักเอง ๆ ธรรมะเป็นอย่างนั้น เสมอไปอย่างนั้น
พูดให้ฟังทุกคนนะ อย่าพากันเป็นบ้ายอ นั่งนอนอยู่บนเตียงเขาไปยอก็เป็นบ้าจนตกเตียง อู๊ย ทุกขัง มันเป็นบ้าอย่างนั้นนะเป็นบ้ายอ กิเลสนี้บ้ายอไม่มีอะไรเกินกิเลส ทุกข์จนขนาดไหนก็ตาม โหย เวลานี้แกทุกข์ แต่ก่อนแกมั่งมี แล้วต่อไปแกจะมั่งมีต่อไปอีก แกทุกข์เพียงเท่านี้ละ โอ๋ย เป็นบ้าขึ้นเลยทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เรื่องอะไรนะ เพียงยอเท่านั้นเป็นบ้าแล้ว อย่างนั้นละยอกิเลสยอยากอะไร ยอแป๊บเดียวพุ่งเลยขึ้นเลย ถ้าเป็นบั้งไฟก็ไม่ได้จุดไฟละมันขึ้นก่อน ดีไม่ดีเจ้าของที่กำลังจับหางบั้งไฟนี้ฟาดเจ้าของขึ้นด้วยเลย มันพุ่งใหญ่เลยพวกบ้ายอ
กิเลสคือบ้ายอ ให้แปลออกเสียนะ วันนี้หลวงตาจะแปลให้ฟัง กิเลสคืออะไร คือบ้ายอ บ้ายอไม่มีเกินกิเลส หิวโหยสุดยอดคือกิเลส ไม่มีคำว่าอิ่มพอ เอาอะไรมาให้ก็มาเถอะ เหมือนไฟได้เชื้อ ไสเชื้อเข้าไปเท่าไรยิ่งแสดงเปลวจรดเมฆ ๆ คือกิเลส ให้พอกับเชื้อไม่มี เหมือนไฟไม่พอเชื้อ กิเลสไม่พอความเยินยอสรรเสริญ ยกยอเท่าไรเป็นบ้าไปเลยสด ๆ ร้อน ๆ นี่เราก็ไม่อยากพูดมากเรากลัวกำแพงวัดเราจะแตก เราพูดแหย่เข้าไปนี่ พวกนี้เขาเก่งนะเมื่อคืนนี้ เขานั่งภาวนาได้ ๓๐ นาที ขึ้นละนะ เริ่มขึ้นแล้ว พอว่าเขาได้ ๔๐ นาที ๕๐ นาที ถึงมันจะไม่ได้นั่งก็ตามมันก็ดีใจ แล้วยิ่งไปยอเสียด้วย อันนี้เขายิ่งเก่งนะ วันนี้เขาพักผ่อนเสียหน่อยแล้วเขาจะเอาใหญ่ อู๋ย เป็นบ้าเลย ธรรมชาติมันเอาใหญ่คือเสื่อกับหมอน ถ้าไปดูแล้วไปดูเสื่อกับหมอน อย่าไปดูทางจงกรม
ถ้าเราบอกว่า เครื่องชมเชยเราวันนี้เราติดมือมาเล็กน้อยว่างั้นนะ ตามความจริงพวกนี้มันเก่งอย่างนั้นเราก็ชมเชย แต่เครื่องชมเชยเรามีน้อยวันนี้ เอามาได้เพียงกำเดียวมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่นี่ มันจะโดดเข้าไปเลย อยู่ที่ไหนมันจะว่าไปเอามาให้มัน เอาไปยกยอมันเข้าใจไหม กำแพงวัดนี้แตกเลยพวกนี้น่ะ แตกเลยไม่ได้กินกระทั่งข้าวขอให้ได้คำสรรเสริญก็พอ ได้คำยอสักนิดหนึ่งก็พอ กำแพงวัดนี้แตก เมื่อคืนนี้แมวก็มา แมวไม่เอากำแพงวัดแตกนะ แต่พวกนี้มันเอาแตก มันเอาไปหาอันนั้น คือที่ยกยอเราไม่ได้เอาติดตัวมา อยู่ที่นู่นที่นี่เราว่าอย่างนี้นะ ไหน ๆ อยู่ที่ไหน บางคนไม่ถามทั้งวิ่งทั้งมองมา ถ้าจะถามกลัวเขาจะแซงหน้าเข้าใจไหม พวกบ้าแซง เป็นอย่างนั้นนะ มันถึงได้อ่านออก
นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน เป็นอย่างนั้นละ คือเลิศขนาดที่กิเลสปิดมิดขนาดไหนนี้เห็นหมดเลย ไม่เห็นฆ่ามันไม่ได้ ฆ่าไม่ได้เลิศไม่ได้ กิเลสตัวเลว ฆ่ากิเลสได้แล้วตัวเลิศ โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ฆ่าความโกรธความฉุนเฉียวได้แล้วอยู่ไหนเป็นสุขหมด แน่ะท่านแปล เป็นสุขหมดเลย ก็ตัวนี้เองตัวกวน กวนมากที่สุดคือตัวนี้
อยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาวนานะ อยากให้เห็นจิตของอัศจรรย์อยู่นี่นะไม่อยู่ที่ไหน เวลาได้เปิดออกแล้ว โอ๋ย ผิดคาดผิดหมาย คาดหมายไม่ถูกเลย ปัจจุบันขึ้นล้วน ๆ เป็นหลักธรรมชาติ ขึ้นล้วน ๆ ผึงขึ้นมานี้เราคาดคิดไม่ได้เลย ผิดไปหมดคาดยังไงไม่ถูก นี่ความอัศจรรย์ของจิต เวลานี้ถูกกิเลสบีบ เพราะกิเลสมันเลว มีมากมีน้อยทำคนให้เลว ๆ มีมากเท่าไรหมดคุณค่าหมดราคา สังคมไม่ยอมรับเลย ถือว่าเป็นพิษต่อสังคม เป็นภัยต่อสังคมอย่างมากมาย คือคนที่กิเลสหนา ๆ ไม่รู้จักบุญจักบาป มีแต่ความดื้อความด้านหาญทำ ที่จะเอาให้ได้อย่างใจ ๆ มีตั้งแต่กิเลสทั้งนั้นนะ จะให้ได้อย่างใจ ๆ ชนะเขาแล้วเป็นพอ ชนะเขาเป็นพอ จะลงนรกอเวจีค่อยพูดกันทีหลัง ขอให้ได้ชนะพอ นี่กิเลสเอาสด ๆ ร้อน ๆ นะ ไม่ได้คาดหน้าคาดหลัง
ถ้าธรรมะนี่คาดทันที อันใดควรไม่ควรนี้ธรรมะจะกางไว้หมด ไม่ควรแล้วไม่ไป ควรแล้วผึง ๆ เลย นั่นคือธรรมะ ถ้าควรแล้วยากลำบากก็ตามอุตส่าห์พยายาม ดีดผึง ๆ เลยถ้าธรรมะ ถ้ากิเลสนี้อ่อนเปียก ๆ เป็นอย่างนั้นละ เป็นในหัวใจเราทุกคนให้รู้ ถ้าลงมันได้หนา ๆ แล้วมันไม่มีบาปมีบุญนะ บาปนี้มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ บุญมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่สนใจเสียอย่างเดียวเท่านั้นมันก็ไม่รับ จิตไม่สนใจเสียอย่างเดียวไม่รับอะไรทั้งนั้น จะรับตั้งแต่สิ่งชั่วช้าลามกเผาตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพระองค์ไหนที่ปฏิเสธว่านรกไม่มี ไม่มีเลยนะ สอนเป็นเสียงเดียวกันหมดเลย เพราะจ้าอยู่ตลอดเวลาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่ใช่วันนี้วานนี้นะ ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ที่มีประจำสัตวโลกนี้มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ สัตวโลกเสวยกันมาก็ไม่ยอมรับความเสวยของตัวเอง ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี พ้นจากนรกขึ้นมาแล้วกิเลสมันก็ปิดทางเสีย ไม่ให้มองเห็นเลยว่าเราเคยตกนรกมา แล้วมันก็เปิดทางให้ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นทางความชั่วให้กว้างขวางออกไป มันก็บืนทางนั้นอีก ตกอีกอยู่อย่างนั้นนะ เอาอีก ๆ
อย่างพระพุทธเจ้าท่านทรงพิจารณา ปุพเพนิวาสานุสติญาณ แต่ก่อนพระองค์ยังไม่ทราบ พอบรรลุธรรม ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้นี้ ไปภพใดชาติใดเป็นทางท่องเที่ยว ทางอยู่ทางเสวยของเราคนเดียวหมดเลย ไปที่ไหนไม่บกพร่อง ว่าเราไม่เคยไปตรงนั้นไม่มี ไปหมด ไม่ว่านรกสวรรค์นี้ไปหมด ไปหมดเลย เปรตผีอสุรกายประเภทต่าง ๆ ซอกแซกไปหมดไปตก เพราะอำนาจแห่งกรรมที่ทำไม่รู้ประสีประสานั่นแหละพาให้เป็นไป เวลามันจ้าขึ้นหลังเป็นอย่างนั้น ขยะแขยง ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วนะ ผ่านมาเรียบร้อยแล้วยังขยะแขยงในภพชาติของตน มันสมบุกสมบันได้รับความทุกข์ความทรมาน
แต่สำคัญที่จิตมันไม่เคยตายนั่นซิ จะไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ จิตนี้ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่เคยฉิบหาย เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าจิตตายไม่เป็น ไม่เคยตาย เวลาที่มันป้วนเปี้ยนอยู่ในวัฏวน คลุกเคล้าไปด้วยความทุกข์ความทรมาน ฟืนไฟเผาไหม้ตลอดเวลามาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เผา มันก็ยอมรับว่าเผา ก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่เคยฉิบหาย พออุตส่าห์พยายามบำเพ็ญ อย่างพระพุทธเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วพิจารณาย้อนหลังในภพชาติของพระองค์จนขยะแขยง โถ มันไปได้ขนาดนี้เทียวนะ ไม่ใช่น้อย ๆ จิตวิญญาณดวงนี้ไปได้ทุกแห่งทุกหน ที่ไหนที่ว่างว่าจิตวิญญาณดวงนี้ไม่เคยไปเกิด ไม่เคยเสวยกรรมเสวยบุญไม่มี ไปทั้งนั้น พรหมโลกก็ไป
พรหมโลกก็อยู่ในกฎอนิจจัง ๗ หมื่นปี ๘ หมื่นปี ๙ หมื่นปี ท่านบอกไว้ในพรหมโลก อายุยืนนาน แต่ก็ไม่พ้นกฎอนิจจัง มันก็ค่อยเปลี่ยนไปด้วยความเชื่องช้าของมัน เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศล ที่ทำอกุศลบาปกรรมมันก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยความเชื่องช้าเหมือนกัน จนกว่าจะสิ้นกรรมก็เป็นหลายกัปหลายกัลป์ แล้วก็ผ่านขึ้นมาจนได้นั่นแหละ กฎอนิจจัง โลกนี้เป็นโลกกฎอนิจจัง ไปอยู่ที่ไหนต้องมีเปลี่ยนเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว มีพระนิพพานเท่านั้นไม่เปลี่ยน นอกนั้นเปลี่ยนหมด พระนิพพานพ้นจากนี้ไปแล้ว กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลย
นี่พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้า เวลาทรงทราบจนขยะแขยง ทั้ง ๆ ที่ภพเหล่านั้นสุขทุกข์ขนาดไหนเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่กลับย้อนหลังไปขยะ ๆ กลัว แล้วก็พิจารณาดูสัตว์ทั้งหลายอีกก็แบบเดียวกันอีก สัตว์แต่ละตัว ๆ มากขนาดไหน พระองค์เพียงพระองค์เดียวขนาดนั้น ทีนี้สัตว์นี้มากขนาดไหน จึงไม่มีเลยในโลกธาตุนี้ที่ว่าว่าง สัตว์ไม่ได้เสวยกรรมไม่มี จึงประมวลอันนั้นเข้ามาหาต้นเหตุของมัน มันเป็นไปอย่างนี้เพราะอะไร ดังได้พูดเมื่อสองวันนี้ มันก็ขึ้น อวิชฺชาปจฺจยา นี่ต้นรากเหง้าเค้ามูลของมันอยู่ตรงนี้ พอถอนพรวดออกมาแล้วหมดเลย
อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ คหการํ คเวสฺสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ แสดงไว้ในปฐมโพธิกาลที่พระองค์ทรงตรัสรู้ทีแรกนะ แสดงว่าเราเคยเกิดมานี้ชาตินี่มากมาย อเนกชาติ คือไม่เพียงชาติหนึ่งชาติเดียว มากต่อมากที่เกิดตายมานี้ เที่ยวเกิดในภพชาติต่าง ๆ จากนั้นมาแล้วเราก็ได้ถอนแล้ว พวกตัณหา พวกอวิชชาซึ่งพาให้เกิดแล้วตายเล่าซ้ำ ๆ ซาก ๆ เราถอนให้ขาดสะบั้นลงหมดแล้ว แต่นี้ต่อไปจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว นั่นปฐมโพธิกาลท่านแสดงไว้ คือได้เห็นชัดเจนแล้วไม่เกิด ทีนี้ไม่เกิดเป็นอะไร
นี่ละจิตดวงนี้ที่ว่าไปอยู่ในนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ฉิบหาย พอพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว นี้แลคือธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าฉิบหาย นี้แลคือธรรมธาตุครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ ที่จิตพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายบริสุทธิ์แล้ว กลายเป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ มาแต่กัปไหนกัลป์ใดก็ไม่รู้ครอบโลกธาตุ นี่ท่านว่าธรรมมี บาปบุญมีออกจากธรรมมา ใครไปทำก็เป็นบาปเป็นบุญไปเรื่อย ๆ พื้นฐานของธรรมมี ธรรมคือความไม่ลำเอียง เสมออยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ แล้วพวกเราเป็นยังไง ศาสดาของเรามันมากจริง ๆ นะ ครั้นเวลาครูบาอาจารย์สอนนี้มันก็ฟังบ้าง ห่วงเสื่อห่วงหมอนบ้าง ฟังไม่ฟังเฉย ๆ ห่วงเสื่อห่วงหมอน ที่นอนหมอนมุ้ง มันก็ห่วงไปอย่างนั้น แต่ยังดียังแย็บมาฟังธรรมบ้าง พอจากธรรมไปแล้วก็บึ่งเลยทีเดียวที่นี่ ไม่ต้องติดเครื่องแหละรถ ฟาดคันเร่งไปเลย เหยียบคันเร่งไปใหญ่เลย มันก็จมเอา ๆ คือสิ่งที่มันจะลากลงมันดึงมันดูดตลอดเวลาไม่ได้อ่อนตัว กิเลสไม่มีคำว่าอ่อนตัว เหมือนสายยางเราดึงไว้ พอหลุดมือปั๊บดีดพุบกลับเลย มันมีกำลังดึงของมันอยู่แล้ว พอเราเผลอนิดหนึ่งมันลากลงแล้ว ๆ อย่างนั้น
นี่หมายถึงจิตที่ไม่มีกำลัง ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นอย่างเดียวกันหมดตลอดไปนะ มันเป็นบางกาลเวลาที่ตั้งตัวยังไม่ได้ ล้มลุกคลุกคลาน ดังที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาลืมเมื่อไร สด ๆ ร้อน ๆ เลยเราไม่ลืมนะ นั่นละที่เราแก้กันได้ก็เพราะความโกรธความเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเรานี้ ถึงขนาดน้ำตาร่วง ออกกูออกมึงเทียวนะ โถ มึงทำกูขนาดนี้เทียวหรือ ๆ คือมันถึงใจ สู้ ๆ มันไม่ได้เลย เหมือนสู้เสือด้วยกำปั้น ใส่ทีไรมันตบทีไรเลือดสาด ๆ เรามีแต่กำปั้นไปสู้มัน น้ำตาร่วง ไปอีกเอาอีก เอาอีกหงายอีก ไปอีกกลับมาอีก เอาอีกหงายอีก เอาไม่ถอย ๆ หลายครั้งหลายหนกิเลสก็หงายให้เห็นบ้าง หือ มึงก็มีท้องเหมือนกันเหรอ กูนึกว่ากูหงายท้องให้มึงดูตลอดเวลา มึงก็มีท้องเหมือนกัน มันก็ซัดใหญ่เลย นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละเริ่มต้นมันตั้งหลักได้ก็เป็นในหัวใจดวงนี้
เวลามันล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไรนะ เราไม่ลืมเลย ตั้งสตินี้ตั้งไม่อยู่เห็นถนัดชัดเจนจนงงในเจ้าของ หือ ตั้งยังไงตั้งสติ มันความเพียรยังไงนี่ตั้งพับล้มผล็อย ตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่นะ นี่ละอำนาจของกิเลสที่มันรุนแรง รุนแรงในหัวใจเราสด ๆ ร้อน ๆ ได้เอามาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เวลามันรุนแรงขนาดนั้นจริง ๆ นะ ตั้งไม่อยู่เลย ถึงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขา แต่ไม่นานนะ น้ำตาร่วงนี่เคียดแค้นสุดขีด กลับมาฝึกเอาเต็มเหนี่ยวกลับไปอีก ซัดอีกหงายมาอีก ไม่ถอย เอาอีก จนกระทั่งได้จังหวะแล้วมันก็หงายให้เห็นบ้าง พอมันหงายให้เห็นบ้างพอเป็นสักขีพยาน หือ มึงก็มีท้องเหมือนกูเหรอ ทีนี้ก็ซัดใหญ่ จากนั้นก็ค่อยตั้งได้ ๆ ดังที่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ตั้งไม่หยุดไม่ถอย
ความเคียดแค้นนี้ฝังลึก นี่ละความเคียดแค้นเป็นธรรมทำเจ้าของให้ดี ไม่ใช่ความเคียดแค้นแบบเคียดแค้นให้สัตว์ตัวใดบุคคลผู้ใดก็ตาม นั้นเป็นกิเลสทั้งมวล ความเคียดแค้นให้กิเลสตัวเป็นภัยซึ่งฝังในหัวใจเจ้าของเพื่อจะแก้มันออกนี้ เป็นความเคียดแค้นที่เป็นธรรม เป็นมรรค เอาอันนี้ละฟัดกัน จากนั้นก็ตั้งได้ ๆ ถึงขั้นตั้งได้สบาย ๆ จิตเป็นสมาธิอยู่ไหนสบายหมด ไม่ได้กังวลอะไรกับการอยู่การกินการหลับการนอนอะไรไม่มี อยู่ในภูเขานี้ก็เป็นเพื่อนกับป่ากับเขาไปเสียเราคนเดียว ถ้าว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองมันก็ไม่ผิดนะ ขั้นสมาธิก็เป็นทองแล้วขั้นหนึ่ง จากนั้นก็ทองธรรมชาติทองเลิศเลอเรื่อย ๆ
ทีนี้ธรรมมีกำลังก็เห็นแล้วที่นี่นะ ตั้งสติพับนี้อยู่เลย ๆ ฟัดกิเลสขาดไป ๆ เร่งเข้า ๆ อะไรเป็นเครื่องอุปกรณ์ของความเพียรของเรามันก็ต้องหมุนหา เช่น การพักผ่อนนอนหลับ การอยู่การกิน ต้องพิจารณาตัดทอนกันออก ๆ อันไหนที่จะเป็นเครื่องกดถ่วงให้ความเพียรล่าช้าตัดออก ๆ เพื่อความเพียรจะได้เร่งตัว วิธีการฝึกทรมานเป็นอย่างนั้นนะ เช่นอย่างพระท่านฉันจังหันแต่น้อย ๆ นั่นละอุบายวิธีการ การตั้งสติ เฉพาะอย่างยิ่งการตั้งสติตั้งได้ง่ายก่อนอื่นนะ ตั้งสติได้แล้วปัญญาก็ค่อยมี ถ้าสติไม่มีอย่ามาหาญพูดนะว่าตั้งให้เป็นปัญญาเลยนี่ฉิบหายแหลกในปัจจุบัน นี่เคยมาแล้วนะ
จิตกำลังหิวโหยกับอารมณ์อยู่นี้ ตั้งให้เป็นปัญญาปั๊บออกเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นสมุทัยล้วน ๆ ไปเลย ถ้าจิตอิ่มอารมณ์คือจิตมีความสงบ เรียกว่าอิ่มอารมณ์ ไม่อยากดูอยากเห็นอยากรู้สิ่งต่าง ๆ ถือเป็นการกวนใจด้วยซ้ำไป ไม่อยากคิดมันกวนใจ นั่นเกี่ยวกับว่าจิตสงบ ไม่อยากคิด ยุ่ง แต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้มันจะตาย ทีนี้เวลามันสงบลงไปแล้ว คิดไม่อยากคิดมันยุ่ง นี่ละทีนี้ออกทางด้านปัญญา อันนี้ก็เป็นขั้นหนึ่งที่พออยู่พอกินพอเป็นพอไป มืดแจ้งมันไม่ได้สนใจ จะสง่าอยู่ภายในใจ อะไร ๆ มีอะไรมันไม่สนใจยิ่งกว่าความสง่างามภายในจิตใจ เอิบอิ่มนี้ตลอด
จากนั้นก็เร่งทางปัญญา เครื่องมือที่ฆ่ากิเลสจริง ๆ คือปัญญา สมาธิตีตะล่อมอารมณ์ทั้งหลายเข้ามาสู่ความสงบไม่หิวโหย แต่ฆ่ากิเลสไม่ได้ ตีกิเลสสงบเข้ามา พอออกทางด้านปัญญา นี้ละเป็นอุบายวิธีการบุกเบิกกิเลส มีหนักเบามากน้อยเท่าไรปัญญาออกมันจะรู้ของมันเรื่อย ๆ ตามขั้นตาม |