ว่าเป็นครูสอนโลกก็ไม่ผิด
วันที่ 28 ธันวาคม 2550 เวลา 8:00 น. ความยาว 26 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ว่าเป็นครูสอนโลกก็ไม่ผิด

          ราชการหยุดตั้ง ๔ วัน ไม่ให้กินข้าว ๔ วันร้องโก้กๆ ตายพวกนี้นะ ราชการงานเมืองที่จะเป็นงานของแผ่นดินชอบหยุดเสมอๆ วงราชการเมืองไทยเรา หรือเอามาจากเมืองไหนเราไม่ทราบ เราทราบตั้งแต่เมืองไทย ในเดือนหนึ่งนี้เมืองไทยหยุดราชการไปกี่วันๆ ทำราชการงานเมืองเพียงเล็กน้อยสะแตกแต่เงินเดือน มันเป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้นเมืองไทยเรานี่น่ะ เราเป็นคนไทยเราพูดไม่เอนหน้าเอนหลัง พูดประโยชน์ของชาติคนจำนวนมากกับวงราชการ ทำงานเรียกว่าผักชีโรยหน้าๆ เห็นแก่เงินเดือนเท่านั้นละ นี่เอาให้ชัดสักหน่อยนะ

          เราปฏิบัติเราปฏิบัติของเราอย่างนี้ ไม่เหลาะๆ แหละๆ ลูบๆ คลำๆ กินมากงานน้อยดูไม่ได้นะ ทำงานเป็นผักชีโรยหน้าๆ ทางวงราชการงานเมือง แต่เงินเดือนให้ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดี ขึ้นวันละสามหนยิ่งดีเงินเดือน เข้าใจไหม ยิ่งชอบใหญ่ เงินเดือนขึ้นวันละสามหนหรือน้อยไป วันหนึ่งขึ้นห้าหนเงินเดือนในเมืองไทยเรา การงานเหยาะๆ แหยะๆ ใช้ไม่ได้นะ

ทางศาสนาของเราก็เหมือนกัน เราอย่าว่าตั้งแต่ทางโลก ทางธรรมก็เหมือนกัน ศาสนา-วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานไปแล้ว พระกลายเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในส้วมในถานคือวัด เป็นอย่างนั้นละ มันเลอะเทอะขนาดนั้น นี่ละกิเลสเหยียบหัวคน เหยียบได้ทุกหัวใจ บวชในศาสนาเข้ามาแล้วหัวโล้นๆ ก็เหยียบได้สบาย ถ้าไม่มีธรรมตีมันไว้มันเหยียบได้แหลกหมด นี่เราพูดตามธรรม ธรรมเหล่านี้ก็สอนเราด้วย ไม่ใช่เราไปสอนคนอื่น เราวิเศษวิโสมาจากไหน เอาธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นกลางๆ สอนทั้งเขาทั้งเราที่พูดเดี๋ยวนี้นะ

เหมือนอย่างพระท่านสอนโลกนั่นแหละ ประกาศศาสนา ประกาศทั้งท่านทั้งเราสอนไปด้วย ทำอะไรเหยาะๆ แหยะๆ ดูไม่ได้นะ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ โยมแม่เวลาจะไปเตรียมของไว้แล้ว คือแต่ก่อนวัดอยู่ที่สถานีวิทยุ วัดแต่ก่อนวัดบ้าน วัดจริงๆ อยู่ที่นั่น ตอนนั้นวัดร้าง ท่านพระครูท่านก็มาในงาน เขานิมนต์มาในงาน และได้รับปากรับคำเรียบร้อยแล้วว่าจะบวช พ่อพูดกับท่านตกลงเรียบร้อยนานมาแล้วแหละ วันนั้นเป็นวันที่เราจะออกเดินทางไปพร้อมกับท่านพระครูออกไป

อยู่ๆ แม่ก็....เราฟังเฉยๆ เราไม่พูดนะ แต่หัวใจมันคิดตลอด แม่ว่าอะไรๆ เราเฉย เพราะเรากับแม่มันติดพันกันมาตั้งแต่เล็กจนเป็นหนุ่ม ติดแม่นะ ไม่ได้ติดพ่อ มานั่งปั๊บใกล้ๆ นี่แม่จะบอกนะ เรื่องการเรื่องงานนี้แม่ยกให้ ทุกสิ่งทุกอย่างแม่ยกให้ แต่การหลับนอนเหมือนตายนะลูก บอกนะ การหลับนอนนี้เหมือนตายนะลูก อย่างอื่นดีหมด การหลับนอนนี้เหมือนตาย ถ้าบอกแม่ว่าแม่ปลุกหน่อยนะเท่านั้น ไม่ได้เหมือนพี่ชาย พี่ชายเขาบอกว่าแม่ปลุกหน่อยนะวันพรุ่งนี้เช้าจะไปอะไรแต่เช้า บางทีไม่ได้ปลุกเขาไปแล้ว อันนี้จับขาลากออกมามันก็ยังไม่ตื่น

แม่นี่วิตกวิจารณ์ พระท่านไปบิณฑบาตในบ้านในเมืองที่ไหนห้าทวีปกลับมาแล้วไปปลุกคุณบัวมาฉันจังหันอย่าให้แม่ได้ยินนะลูก ลูกนี้สำคัญที่สุดนอนนะลูก เราก็จับไว้ เฉยนะ แต่ความคิดนี่มันคิดจริงๆ แม่วิตกวิจารณ์กับการนอนของเรา คือถ้าลงได้บอกแม่แม่ให้ปลุกนะ ทอดธุระนะนั่น พอแม่ทราบแล้วว่าแม่จะต้องปลุกนอนเอาตายว่าเลย แม่ต้องปลุกทุกครั้งตอนเช้า เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่พูด

ทีนี้พอก้าวเข้าวัดเท่านั้นพลิกหมดเลย กิริยาอาการอะไรที่เป็นข้าศึกต่ออรรถต่อธรรมตัดหมดๆ เลย แล้วก็คำแม่สั่งเข้าสมองปึ๊กเข้าหัวใจเลย เรื่องการนอนนะลูกเหมือนตายทีเดียว พอไปแล้วทีนี้ไม่มีใครมาปลุกมาเตือนนะ เราต้องเป็นตัวของเรา เอาที่นี่จะนอนเวลาไหนดีดผึงๆ เลย ๑๘ ปี ถึงได้ฝึกหัดนอนใหม่ ตั้งแต่ก้าวเข้าวัดถึง ๑๘ พรรษานู่นน่ะ นอนนี่เหมือนเนื้อตื่นนายพราน ดีดผึงเลยทีเดียว อย่างนั้นตลอดมาได้ ๑๘ ปี เรียนหนังสือก็แบบเดียวกัน อะไรแบบเดียวกัน

การตื่นนอนของเราดีดผึงเลยทันที เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพรานนั่นละ เป็นอย่างนั้น ๑๘ ปี ฝึกจนกระทั่งมันชิน พอรู้สึกนี้ดีดผึงๆๆ เลย  ๑๘ ปีถึงได้มาฝึกใหม่ ฝึกได้น้ำได้เนื้อ ทุกวันนี้ โอ๋ย นอนพลิกทางนั้นพลิกทางนี้ พอฝึกได้แล้ว โห นี่ฝึกได้จริงๆ นะ ฝึกการตื่น มันไม่อยากตื่นเฉยเดี๋ยวนี้นะ ตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๘ พรรษา  ได้ฝึกเจ้าของใหม่ คือมันจริงทุกอย่าง เราไม่ได้เหมือนใคร ว่าอะไรเป็นอันนั้นจริงๆ เช่นอย่างฝึกการนอนของเจ้าของเหมือนกัน พอตื่นดีดผึงๆ ๑๘ ปีดีดผึงตลอดนะ ได้ถึง ๑๘ ปีถึงมาฝึกใหม่

พูดจริงๆ นะสำหรับเรานี่จริงจังมากทีเดียว เด็ดขาดทุกอย่าง ถ้าลงได้ตัดสินใจลงตรงไหนขาดสะบั้นไปเลย เจ้าของก็แก้ไม่ได้ ถ้าเหตุผลไม่เหนือเจ้าของเจ้าของได้วางลงอย่างนี้แล้วต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าเหตุผลไม่เหนือกว่า ถ้าเหนือกว่ามาแก้ได้แก้เรื่องของเจ้าของนะ เป็นอย่างนั้น นิสัยอันนี้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ จริงขนาดนั้นละ พอแม่บอกว่าการหลับนอนนะลูก เท่านั้นละ ธรรมดาแม่ไม่ได้สนใจ ถ้าไม่มีการมีงานไม่ได้ปลุกแม่ไม่สนใจ จะนอนจะตื่นเมื่อไรก็แล้วแต่ จะตายอยู่ในที่นอนแม่ก็ไม่ว่า แต่เวลาบอกให้แม่ปลุกต้องได้ปลุกทุกที พี่ชายเขาไม่ได้ปลุก เขาตื่นเขาไปเลย ทางนี้ทุกที นี่แม่วิตกมาก มันปักอยู่ในจิตนะ จากนั้นก็ตายใจแล้วว่าแม่ต้องปลุก ถึงเวลาแม่ปลุก ตายเลยนอนแบบตาย ทอดธุระ แม่ไม่รู้ เราก็ไม่เคยตอบโต้แม่เราไม่เคย เฉย

เวลาไปนี่ฝึกนอน ๑๘ ปี ฝึกใหม่ มันตื่นนอนแบบนั้นละ ตั้งแต่ก้าวเข้าวัดถึง ๑๘ พรรษา อายุพรรษาได้ ๑๘ ปี กิเลสขาดสะบั้นไปตั้งแต่พรรษา ๑๖ การตื่นการอะไรยังแบบเก่าอยู่ดีดผึงๆ เลย ฟาดอะไรก็ลงแล้ว ลงเวทีไปหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะมาต่อกรกับเราแล้ว กิเลสขาดสะบั้นไปตั้งแต่พรรษา ๑๖ เราเคยบอกแล้ว วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง นั่นเป็นวันฟัดกันกับกิเลสม้วนเสื่อลงในวันนั้น เวลาเท่านั้นแหละ จากนั้นกิริยาอาการการหลับการนอนเหมือนเก่าดีดผึงๆ ตลอด จนกระทั่งพรรษา ๑๘ ถึงได้ฝึกใหม่ ไม่อย่างนั้นมันเป็นอย่างนั้น คือมันเคยชิน พอตื่นนี่ดีดผึงๆ เลย

ทีนี้มาดูพระดูเณรนี้เราหลับตา ตาบอดหูหนวกเราดู คือมันเข้ากันไม่ได้เลยกับเราที่ได้ปฏิบัติตัวมา มันเอาจริงเอาจังทุกอย่างบอกแล้ว การประกอบความเพียรตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติ เราได้อ่อนแอท้อแท้ที่ตรงไหนๆ ไม่เคยมีเลย ถึงจะล้มลุกคลุกคลานมันก็ฟาดกันแบบล้มลุกคลุกคลาน มันไม่ถอย ได้กำลังจิตเท่าไรมันก็ยิ่งดีดของมันๆ ตลอดเวลา ที่จะท้อแท้อ่อนแอไม่มี คิดดูซิกิเลสม้วนเสื่อลงไปตั้งแต่พรรษา ๑๖ ถึงพรรษา ๑๘ ถึงได้ฝึกหัดนอนใหม่ คือเวลามันนอนมันแบบเก่าหมดทุกอย่าง มันเคยมันชิน พอตื่นนี่ดีดผึงๆ เลย

การฝึกตัวฝึกอย่างนั้นละ ที่จะอืดอาดๆ โหย ไม่ได้สำหรับเรานะ ดูหมู่ดูเพื่อนต้องหลับตาดู ปิดหูฟังถึงได้ หูหนวกตาบอด เดินไปไหนดูพระดูเณร ไปไหนเป็นอย่างนั้น แม้เช่นพระเณรก็ยังกลัว เพราะลวดลายที่มันตบมันกัดเร็วนี้คือเรานั่นแหละกับลูกศิษย์ลูกหาใส่ปั๊วะๆ ทีนี้มาหลับหูหลับตาขนาดนั้นพระเณรยังกลัวอยู่นะ เข้าใจไหม แบบหูหนวกตาบอด พระเณรเห็นยังกลัวนะ เพราะลวดลายมันยังมีอยู่นี่ แต่ก่อนเอาจริงเอาจังมาก เรื่องข้อวัตรปฏิบัติเราออกหน้าหมดเลยในวัด

พึ่งมาทิ้งตัวปล่อยเรื่องราวก็ตอนเฒ่าแก่นี่ละ แต่ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างข้อวัตรปฏิบัติ นำหน้าพระเณรทั้งนั้น เหมือนหนึ่งว่าเป็นบ๋อยของพระของเณรทั้งวัด คือนำหน้าทุกอย่างเลย ดีดผึงๆๆ เวลาเฒ่าแก่มาแล้วปล่อยละ ทีนี้ปล่อย ทำอะไรก็แล้วแต่ใคร แบบหูหนวกตาบอด แม้ที่สุดตัวเองมันก็จะไม่เอาไหนละเดี๋ยวนี้ มันปล่อยของมัน เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อน เป็นอะไรไม่สนใจ มีแต่จะปล่อย ถึงวาระของมันปล่อยมันปล่อยอย่างนั้นนะ ถึงเวลาเอาจริงเอาจังเข้มงวดกวดขันรับผิดชอบนี้ก็จริงอย่างนั้นทีเดียว เวลาปล่อยมันก็ค่อยปล่อยของมัน ค่อยปล่อยมาๆ ทุกวันนี้มันปล่อย ไม่อยากเล่นกับอะไรเลย ปล่อยไป

เรื่องใจนี้เรียกว่าเด็ดขาดตลอด ไม่มีที่จะบกพร่องได้ตำหนิติเตียนในจิตดวงนี้ แต่กิริยาอาการเป็นได้ เพราะอยู่ในสนามโลกธรรม ตัวเองก็เป็น คนอื่นเขาจะไม่มาตำหนิติชมได้อย่างไรก็เจ้าของเป็น ปล่อยตามเรื่องตามราวไป เวลาปล่อยปล่อยอย่างนั้น เวลาจริงจริงอย่างนั้น แน่ะ มันคนละอย่างๆ ทุกวันนี้มันเหมือนขอนซุงไม่ได้เรื่องได้ราว เหมือนกันกับขอนซุงไม่ผิดกัน ไปอย่างนั้นละทุกวันนี้ สำคัญแต่ว่าจิตนี้ แต่จิตไม่เป็นนะ จิตนี้จะจ้าตลอดเวลา มันจะรวดเร็วที่สุด รับเหตุการณ์ต่างๆ จิตนี่มันรับเหตุการณ์ต่างๆ รวดเร็วที่สุดเลย แต่รับก็รับเฉยๆ เหมือนขอนซุง คือไม่แสดงออกตามความคิดความเห็นความรับทราบนะ ถ้าตามนั้นโต้ตอบตามนั้นแล้วมันจะรวดเร็วที่สุดทีเดียว แต่นี้เฉยไป นี่เรื่องจิต

เรื่องกายเหมือนขอนซุง เรื่องจิตไม่ได้เป็น มันเป็นอยู่ของมันลึกๆ อย่างทุกวันนี้จิตมันก็ไม่มีอะไรต้องติแล้ว มันหมด จะติจะชมที่ตรงไหนก็หมด จะเอาอะไรมาชมมันก็ไม่เหนืออันนี้ อันนี้ว่าเลิศว่าเลอก็เลิศเลอเหนือทุกอย่าง อะไรจะมาชมก็ตกหมดเพราะมันไม่สูงเท่าอันนี้ เพราะฉะนั้นโลกธรรม ๘ จึงขาดสะบั้นไปเลย เมื่อจิตถึงที่สุดวิมุตติพ้นทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรเข้าถึง ชมก็เท่านั้น ติก็เท่านั้น ตกออกหมดเลย ไม่มีคำว่ารับ มันเป็นหลักธรรมชาติของมัน

เราได้ฝึกเต็มกำลังความสามารถของเรามาแล้ว ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็ธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ แต่เวลามาบวชมันจริงมันจังมากเรา ไปที่ไหนหมู่เพื่อนมีแต่ว่าเราดุๆ คือมันขวางหูขวางตา มันเหลาะแหละนะ ดูอะไรๆ เก้อๆ เขินๆ มันขวางตา นี่มันไม่เก้อไม่เขิน มันจริงมันจังทุกอย่าง จับอะไรติดปุ๊บๆ ๆ เลย เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อนเลยกลายเป็นเรื่องหมู่เพื่อนนี่โจมตีเรานะ รุมกันโจมตีเรา คือมันดูไม่ได้ ในหมู่เพื่อนมีแต่แบบนั้นแบบเดียวกัน มันหลายคนต่อหลายคนมันก็มารุม อย่างน้อยก็ว่าเรานี่ดุ เราดุจริงๆ ดุ ก็มันผิดนั่นแหละว่าเอา ไม่พอใจก็ว่าเราดุเสีย มันเป็นอย่างนั้น

เราย้อนมา ย้อนมาหมด ตั้งแต่ออกบวชทีแรก การปฏิบัติตัวของเรา คือมันจริงจังทุกอย่าง มันไม่เหลาะแหละ ทีนี้ไปพบเพื่อนพบฝูง นิสัยใจคอไม่เหมือนกัน มันเคยเป็นมาอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้มันก็ขวางตากับความจริงจังของเรา บางทีมีลักษณะขัดๆ กัน คือเขาไม่พอใจในคำพูดคำเตือนของเรามี เราจับได้หมดเลย ทีนี้เวลามาบวชเป็นพระเป็นผู้ใหญ่แล้วรุมเข้ามา นั่นเห็นไหมล่ะ ไอ้พวกที่รุมๆ ว่าเราไม่เห็นเป็นท่าอะไร เหลวไหลไปหมด เราที่ถูกรุมกลับมาเป็นครูสอนโลก ว่าเป็นครูสอนโลกก็ไม่ผิด เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ทุกวันนี้มันปล่อยละ มันปล่อยไปหมด กิริยาอาการมองดูอะไรๆ เหมือนหลับหูหลับตาดูไป ไม่ค่อยสนใจ แต่จิตมันไม่เป็น จิตไม่มีวัย เป็นอย่างไรมันก็แน่วของมันตลอด

เวลาออกภาวนาพูดถึงเรื่องภาวนาทุกอย่างเป็นตามนิสัยจริงจังทุกอย่าง แต่เวลาออกปฏิบัติภาวนาหลักใหญ่มุ่งใส่พระนิพพาน ลงใจหมดแล้ว มุ่งใส่พระนิพพาน จะเอาให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ อย่างอื่นไม่เอา หลังจากได้ฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นมาแล้ว เพราะเราสงสัยมรรคผลนิพพาน เราต้องการมรรคผลนิพพาน แต่ยังสงสัยว่าเราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยกลัวว่าผลจะไม่คุ้มค่ากัน อยากให้มีท่านผู้ใดผู้หนึ่งยืนยันเรื่องมรรคผลนิพพานกับเรา เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น แล้วจะเอาตายเข้าว่าต่อมรรคผลนิพพานเลย

ไปถึงพ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลย เรดาร์ท่านจับไว้หมดว่าความตั้งใจของเรามีเท่าไร ทีนี้ก็ใส่ลงอย่างเต็มเหนี่ยวๆ คนไม่เคยได้พบกัน แหม เวลาเทศน์เหมือนคนทะเลาะกันนะ เสียงท่านซัดเราเปรี้ยงๆ เราก็ถึงใจนะ มันแปลกนะถึงใจ เป็นผลบวกตลอดเลย พอลงจากท่านแล้วลงใจ ทีนี้มรรคผลนิพพานมีโดยสมบูรณ์ เอาทีนี้จะว่าอย่างไร ถามเจ้าของว่าจะจริงไหม ทางนี้ตอบทันทีเลย ไม่มีรอ ต้องตายเท่านั้น ไม่ตายให้ได้มรรคผลนิพพาน ตั้งแต่นั้นมาการประกอบความเพียรมันจึงเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็นเลย ออกกรรมฐานไปองค์เดียว ไม่เอาใครไปด้วย เรียกว่าป่าช้าอยู่กับเรา

การเป็นการตายเรารู้เราเอง เท่านั้นละ มอบเลย ๙ ปีการปฏิบัติความเพียร ไปองค์เดียวๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เสริม องค์อื่นองค์ใดไปบางทีลาไปสององค์สามองค์ท่านใส่เปรี้ยง เหอ ขึ้นเลย จะไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหน แต่อยู่นี้มันก็ตกนรกให้เห็นกันอยู่นี้ ออกจากนี้แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ แล้วใครจะไป ก็หมอบ แต่สำหรับเราไม่เคย เพราะท่านเห็นความตั้งใจ อยู่กับหมู่กับเพื่อนท่านก็ดูเราอยู่ ความตั้งใจของเราก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเราเอง องค์อื่นองค์ใดเป็นอะไรก็ช่าง แต่เราฟิตเรานี่ฟิตตลอด ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ใครจะเป็นอะไรก็ตาม บิณฑบาตได้มาเท่าไรเอาเท่านั้น พระเณรจะรู้หรือไม่รู้ ทั้งวัดอาจไม่รู้ก็ได้เพราะไม่สนใจ แต่เราปฏิบัติของเราอย่างนั้น

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก