เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
พระพุทธเจ้าให้เห็นภัยในความเกิด
ไปไหนก็ไปปลงธรรมสังเวชทั้งนั้น เข้าไปในวัดก็ปลงธรรมสังเวช ไปโรงพยาบาลก็ปลงธรรมสังเวชด้วยอรรถด้วยธรรม.... ไปโรงพยาบาลก็ได้พิจารณาอีกแง่หนึ่ง ไปวัดที่มีเมรุเผาศพก็พิจารณาอีกแง่หนึ่ง โลกอันนี้มันโลกฟืนโลกไฟ โลกหาความร่มเย็นเป็นสุขไม่ได้ เป็นอย่างนั้น วัดไหนในกรุงเทพที่มีเมรุนี้ก็ไหลเข้าเลย ทางวัดต้องได้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้ให้เป็นเวล่ำเวลา เรายังไม่ลืมที่พอเราถามท่าน(พระครูหลั่ง) ปุ๊บเรื่องเผาศพแม่บ้านผู้กำกับ เพราะท่านไปหาเราที่สวนแสงธรรม ก็พอดีจังหวะที่เรากำหนดจะเผาศพแม่บ้านผู้กำกับ ยังไม่ได้กำหนดเวล่ำเวลา
พอไปก็ตกลงกับผู้กำกับ เพราะผู้กำกับก็อยู่ที่นั่น ตกลงกันเดี๋ยวนั้นเลย ผู้กำกับจะว่ายังไง เอ้ากำหนดเดี๋ยวนี้ นี่เราก็จะกลับวันนั้นเราบอก ถ้าศพจะเกี่ยวกับเราก็ให้บอกวันเลย ทางนี้ก็ปุ๊บปั๊บๆ เอาวันที่ ๒๔ เอาเวลาเท่าไร พอดีพระครูหลั่งไป ปุ๊บปั๊บถามพระครูหลั่งเดี๋ยวนั้นเลย ทางนั้นก็รีบนับข้อมือ เพราะมันเรียงลำดับๆ เผาศพ ปุ๊บปั๊บให้เดี๋ยวนั้นเลย กับเราตกลงกันเอาเดี๋ยวนั้น เออเอาเลย บอกผู้กำกับเอาตามนั้นปุ๊บ เผาศพวันที่ ๒๔ ดูเหมือนบ่าย ๓ โมงครึ่งหรือไง บ่าย ๔ โมงกว่าก็มีอีกๆ อย่างนั้นแหละ
โถ ไปที่ไหนได้ปลงธรรมสังเวชทุกแห่งทุกหน เข้าไปในโรงพยาบาลก็ได้ปลง ดูโรงพยาบาล ใครก็ไหลเข้ามาๆ คนไข้ไหลเข้ามาๆ หมอก็รักษาเต็มความสามารถ เมื่อสุดความสามารถแล้วก็ต้องตาย เตียงหนึ่งๆ บรรจุคนตายสักเท่าไรๆ แต่ละเตียงๆ ขนกันออก ขนไปรักษา รักษาไม่ไหวขนออก เป็นป่าช้าอยู่กับโรงพยาบาล ได้พิจารณา
ถ้าเป็นนักภาวนาจะรู้ทันทีในโรงพยาบาล นั่นละป่าผีอยู่นั้น กลางคืนพวกตายแล้วแทนที่..คือมันมีกรรมหลายประเภท กรรมหนักทำชั่วไม่รอ พอตายแล้วก็ผึงลงเลย กรรมดีมีมากก็ไม่รอ พอตายแล้วผึงขึ้นเลย กรรมที่คาราคาซังขายไม่ออก วิ่งหาตลาดขาย เข้าใจไหม คนตายแล้ววิ่งหาตลาดขาย ขายไม่ออกนี่พวกสัมภเวสี วิ่งหาที่เกิดที่อยู่ วิ่งอยู่ในโรงพยาบาล จิตวิญญาณสัมภเวสีอยู่ในนั้นเยอะนะ พวกนี้ละพวกสัมภเวสี หนักทางดีทางชั่ว หนักพอให้ไปกระตุกคนดีๆ เขานอนอยู่บนเตียงก็ไปจับขาเขากระตุก ไอ้พวกนี้พวกกวน ไปจับขาเขากระตุกจะให้ไปเกิดที่ไหน ว่าอย่างนั้นความหมาย อู๊ย ทุกประเภท
จิตนี้ดูซิ พระพุทธเจ้าพูดไม่มีผิดแม้แง่หนึ่ง พวกตาบอดฟังไม่ได้ศัพท์ได้แสงด้วยกันหมด พระพุทธเจ้าพูดด้วยโลกวิทูรู้กระจ่างแจ้งภายนอกภายใน รู้หมด แล้วรับสั่งตรัสสอนไว้ตามเป็นจริงๆ ไม่ผิดเพี้ยน แต่คนตาบอดมันไม่เห็นไปจับขากระตุก ว่าผีหลอก ว่าอย่างนั้นนะ อย่างแรงก็จับขาเขากระตุก อย่างหนึ่งกระซิบกระซาบอยู่ในโรงพยาบาลกับคนป่วย มีทุกแบบอยู่ในโรงพยาบาล
เพราะจิตดวงนี้ไม่เคยตาย คือไม่เคยฉิบหายเลย ไม่ทราบว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลายของจิตดวงนี้อยู่ที่ไหน เวลาตายถ้าพูดถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานด้วยจิตดวงนี้ที่ชำระเรียบร้อยแล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย ผู้สิ้นสุด หมดกิเลส หมดสมมุติโดยประการทั้งปวง จิตดวงนี้ก็เป็นธรรมธาตุ ที่ท่านเรียกว่านิพพานๆ คือจิตธรรมธาตุ ให้มันเห็นชัดๆ ในหัวใจซินักปฏิบัติ เอามาพูดปาวๆ ได้เหรอ พูดตามหลักความเป็นจริงที่เป็นอย่างนั้นๆ
ตามรอยของจิตมา รอยมันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ถ้าหากว่าไม่บริสุทธิ์มันก็หมุนของมันอยู่อย่างนั้นตลอด ให้สูญไม่สูญ ไปดีไปชั่วตามอำนาจแห่งกรรมกด ทั้งพยุงทั้งกด ถ้าผู้สร้างความดีแล้วก็พยุงขึ้นๆ ถ้าสร้างความชั่วกดลงๆ โอ๊ย น่าทุเรศนะเรื่องวัฏวน พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เห็นภัยในความเกิด ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ความเกิดกับการตายมันสร้างกองทุกข์ ความเกิดกับตายนี่ไม่ใช่เล่น เวลาจะตายแล้วจิตนี่มันดิ้นของมัน ทั้งห่วงหน้าห่วงหลัง ผู้ทำบาปทำกรรมยิ่งทุกข์มาก เวลาจะตายพญามัจจุราชดึงเข้ามา ทีนี้กรรมดีกรรมชั่วก็แย่งกัน จะไปทางดีทางชั่วสร้างไว้มากน้อยเพียงไร ดี-ชั่ว ถ้าสร้างดีดีมีแน่นหนามากกว่าก็ไปทางดี ถ้าสร้างความชั่วชั่วมีน้ำหนักมากกว่าก็ดึงลง ดึงจิตดวงนี้ละลง จิตดวงนี้เหมือนกับว่าเป็นผู้ต้องหา จะพาไปทางไหน อยู่อย่างนั้นละ
อยู่สวนแสงธรรมถ้าเป็นกลางคืนก็ได้เทศน์ทุกคืน อยู่สวนแสงธรรมเทศน์ทุกคืน เทศน์ออกวิทยุทั่วประเทศไทย สุดท้ายมีแต่คำเทศน์หลวงตาบัวออกทั่วประเทศไทยเลย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายส่วนมากก็เป็นกรรมฐาน ส่วนอื่นไม่เห็นมีเข้าไปเทศน์ที่ออกวิทยุ มีกรรมฐาน ทีนี้กรรมฐานสุดท้ายก็มาเราออกหน้า เทศน์ทางวิทยุออกๆ หน้าไปเลย ไปอยู่นั้นก็ได้เทศน์ทุกคืนๆ เทศน์นี้ก็ออกทางวิทยุ เดี๋ยวนี้ก็ออก ออกวิทยุทั่วประเทศไทย
เรื่องจิตมันไม่เคยสูญเคยสิ้น ให้พากันจำเอา ไม่เคยสูญจิตไม่สูญ ท่องเที่ยว เรียกว่านักท่องเที่ยวคือจิต ไปกับดีกับชั่วละ พัวพันกันไป ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งจะขึ้นสูง ทั้งจะลงต่ำ อยู่ในจิตดวงนี้ จิตดวงนี้เป็นผู้ต้องหาที่จะลากไปทางไหน เพราะฉะนั้นจึงให้พากันสร้างความดี จิตดวงนี้มีความดีแล้วความชั่วก็ลากลงไม่ได้ ความดีพยุงไปเลยๆ ถ้าถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานเป็นธรรมธาตุไปเลย
ถ้าลงจิตว่าสิ้นกิเลสแล้วก็เรียกว่าจิตเป็นธรรมธาตุ สิ้นกิเลสก็สิ้นความทุกข์ กิเลสเป็นผู้สร้างกองทุกข์มากน้อยสร้างทั้งนั้นๆ แม้ที่สุดนิดๆ อยู่ในจิตก็เป็น เหมือนว่าเป็นผิวเป็นผง กิเลสละเอียดขนาดนั้นมันก็ยังสร้างกองทุกข์ให้เห็นอยู่ ถ้าจิตละเอียดเหนือมันแล้วรู้หมดเลย เวลาจิตทางด้านธรรมะมากเข้าๆความบริสุทธิ์ใกล้เข้ามาๆ อยู่ระหว่างความบริสุทธิ์กับจิตที่จะก้าวถึงนี้ก็ยังมีทุกข์นะ ทุกข์ยังมี ทุกข์น้อยๆ นั่นละมันแสดงให้เห็นว่ายังมีอยู่ กิเลสมีอยู่ ทุกข์มีอยู่
กิเลสเป็นผู้สร้างทุกข์ กิเลสมีมากน้อยสร้างทุกข์ไปโดยลำดับ แม้จวนจะสิ้นแล้วก็ยังสร้างอยู่ตลอด และตามส่วนละเอียดของกิเลส สิ้นปุ๊บแล้วหมด กิเลสหมด ทีนี้หมดทุกข์เลย ไม่มีเหลือ นี่ละกิเลสเป็นตัวสร้างความทุกข์ การพูดนี้ต้องพูดทางด้านจิตตภาวนา อย่างอื่นไม่รู้กันทั้งนั้น ถ้านักภาวนาเอาจริงเอาจังรู้อรรถรู้ธรรมจริงๆ รู้หมดเรื่องเหล่านี้ วิถีของจิตที่ก้าวเดินมีอุปสรรคขวากหนามกั้นทางอยู่อย่างไรๆ บ้าง จิตดวงนี้จะรู้ทันทีๆ ขวากหนามก็คือกิเลสมันกั้นไปๆ ละเอียดเท่าไรก็ยังกั้นกันอยู่นั้นละ ถึงกั้นไม่อยู่ได้กั้นก็เอา
จิตถ้ามีธรรมมากแล้วกิเลสจะกั้นธรรมไม่อยู่ หากกั้น มีมากมีน้อยก็เป็นเสี้ยนเป็นหนามปักจนได้นั่นแหละ ไม่ใช่แต่ว่าแต่หอกแต่หลาวปักนะ เสี้ยนหนามก็ปักได้ กิเลสตัวละเอียดๆ ปักได้ปักจิต สร้างอยู่นั่นละจนกระทั่งหมด โล่งละ ไปหมด ไม่มี ท่านจึงสอนให้ภาวนาเพื่อชำระพวกเสี้ยนพวกหนาม พวกหอกพวกหลาว ที่มันทิ่มแทงหัวใจตลอดเวลา จากภพนี้ภพนั้นมีแต่หอกแต่หลาวทิ่มแทงหัวใจ เมื่ออันนี้สิ้นแล้วหมด ไม่มีเหลือเลย
ธรรมเหล่านี้ใครจะพูด ถ้าไม่ใช่นักภาวนาผู้รู้อรรถรู้ธรรมจริงๆ พูดไม่ถูก เพราะไม่รู้ โดนอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่รู้ เหมือนตาบอดโดนไม้ โดนขวากโดนหนามโดนตลอด ไม่เห็นหากโดนตลอด ยิ่งไม่เห็นยิ่งมืดเท่าไรยิ่งโดนมาก จิตที่มืดบอดเท่าไรยิ่งโดนแต่กองทุกข์ จิตสว่างไปแล้วก็ค่อยมีหลบมีหลีกบ้าง เอาจนกระทั่งหมดเลย กิเลสหมด หมดทุกอย่างที่นี่ เสี้ยนหนามอะไรไม่มี ขาดสะบั้นไปหมด โล่งไปเลย ครอบโลกธาตุ จิตที่พ้นจากสิ่งหล่านี้แล้วมันสว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุ ถ้าเราจะว่าครอบมันจ้าอยู่อย่างนั้นนะ นั่นหมด หมดขวากหมดหนามหมดสิ่งทิ่มแทงหัวใจ ทีนี้มีแต่ความโล่งไปหมดเลย
อย่างที่ท่านสอนพระโมฆราช ให้มีสติทุกเมื่อ ขึ้นสติก่อนนะ โมฆราชเธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเป็นเขาเป็นเราซึ่งเป็นก้างขวางคอออกเสีย จะพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอย่างนี้ พอพิจารณาตามนั้นแล้วพระโมฆราชก็ว่างไปเลย ทีนี้ใครก็ตามถ้าพิจารณาแบบพระโมฆราชเป็นพระโมฆราชหมด ลงจิตเข้าถึงขั้นนี้แล้วเป็นอันเดียวกันหมด จึงเรียกว่าโมฆราชได้ พระอรหันต์โมฆราชทั้งนั้นแหละ ว่างหมดไม่มีอะไรเข้ามาเสียดแทงจิตใจ
การปฏิบัติธรรมนี่ละผลของธรรม เอาจนกระทั่งโล่งหมด หมดข้าศึกโดยประการทั้งปวงทั้งที่มีชีวิตอยู่นี้ไม่มีทุกข์ทางใจ พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ทางใจ ทุกข์ก็คือทางใจต้องเกิดจากกิเลส ถ้าทุกข์ทางธาตุทางขันธ์ เกิดจากดินฟ้าอากาศที่กระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน มีร้อนบ้างหนาวบ้างอะไรบ้างเลยเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เป็นหวัดเป็นไอเพราะกระทบกับดินฟ้าอากาศ แต่จิตนี่กระทบกับกิเลส ถ้ากิเลสมีมากมีน้อยก็กระทบกันอยู่ภายใน จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีอะไรกระทบ โล่งหมด นั่นจิตถ้าได้ชำระให้เสร็จสิ้นลงไปแล้วเป็นอย่างนั้น
ให้พากันภาวนา อยู่ภายในวัดอย่าหาแต่เพ่งโทษเพ่งกรณ์กัน มันไม่เกิดประโยชน์ ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้านะ ไอ้วิชาหมากัดกัน ไม่ว่าไปที่ไหนเรียนวิชาหมาเต็มพุงๆ เขาก็หมาเราก็หมา ออกไปก็ยิงเขี้ยวยิงฟันใส่กัน กัดกัน ทะเลาะกัน เอากิเลสตัณหาหรือเอาฟืนเอาไฟไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ไปกัดกันต่อหน้าต่อตาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้มีความสงบ อย่าส่ายแส่วุ่นวายหาเรื่องของผู้อื่นใด นอกจากหัวใจของเราเป็นตัววุ่นวาย ให้ดูตรงนี้ ดูตรงที่ว่าคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้กับคนนั้นคนนี้
คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าของเป็นอย่างไร ตัวมันสร้างมันสร้างอยู่ในหัวใจไม่ดูมันเลย ถ้าดูอันนี้เรื่องเหล่านั้นจะสงบเข้ามาทันทีๆ ถ้าไม่ดูอันนี้วันยังค่ำไม่มีความสงบ ไปก็ไปสร้างแต่กองทุกข์ให้ตัวเองด้วยการกระทบกระเทือนคนนั้นคนนี้ภายในจิตใจอย่างน้อย มากกว่านั้นก็ออกทะเลาะกัน เลยกลายเป็นวิชาหมากัดกันไปหมดทั้งชาวบ้านชาววัด ไม่มีความหมายนะ พากันพิจารณาให้ดี
เราไปไหนเราก็ไม่มีเวลาว่างแหละ เทศน์ตลอดเวลา พูดอย่างนี้ก็ออกทั่วประเทศไทย มันหากมีรอรับ เครื่องรับอยู่นี้มี ออกๆ ทั่วประเทศไทย ไปที่ไหนก็เทศน์ปั๊บอันนี้ออกทั่วประเทศไทย แต่เทศน์ของเรานี่เราพูดจริงๆ เราเทศน์ตามหลักความเป็นจริง ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ ทางเดินของธรรมตรงแน่วๆ ไม่มีเอนมีเอียง ไม่เห็นมีคำว่าโมกโขโลกนะ เห็นแก่หน้าแก่ตากันในธรรมทั้งหลายไม่มี มีแต่หลักความจริง พูดตามหลักความจริง ผิดบอกผิด ถูกบอกว่าถูกไปเลย นี่เรียกว่าธรรม
เอาละวันนี้เหนื่อย เรามีธุระของเราไปอยู่นะให้พร (ทองคำเช้าวันนี้ได้ ๑๐ บาท ๒๙ สตางค์ครับ) เออพอใจ
(ลูกศิษย์กราบเรียนรายชื่อผู้ถวายทำบุญกับหลวงตา) อะไรก็มารายงานๆ เอามาให้ ให้แล้วไปเลยๆ มันไม่ได้เหรอ ต้องมารายงานคนนั้นเอานั้นมาให้ คนนี้มาให้ ยุ่ง รำคาญ ให้แล้วก็ไปมันไม่ได้เหรอ คนนั้นมารายงานคนนี้มารายงาน สตางค์หนึ่งก็มารายงาน สองสตางค์มารายงานให้เรารับทราบตลอดเวลา มันใช้ไม่ได้นะ ศรัทธามีแล้ว บุญกุศลมีขึ้นมาแล้ว เอาปุ๊บปั๊บไปเลย นั่น เข้าใจไหมล่ะ คนนั้นเท่านั้นมา มาจากที่นั่น ผู้นั้นมาผู้นี้มายุ่งนะ มันอะไรกันพวกนี้น่ะ ถวายมาซิ บุญกุศลเป็นของผู้ให้ทานนี่นะ ไม่ใช่ไปอยู่กับความประกาศนะ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|