ทำความดีตามทางนักปราชญ์
วันที่ 23 ธันวาคม 2550 เวลา 18:00 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพ

เมื่อค่ำวันที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ทำความดีตามทางนักปราชญ์

         เหนื่อยนะคนแก่ไม่เหมือนคนหนุ่ม อยู่เฉยๆ ก็เหนื่อย ยืนเหนื่อย เดินเหนื่อย นั่งเหนื่อย นอนเหนื่อย อยู่กับเหนื่อย เหนื่อยทุกอิริยาบถ แต่ก่อนแข็งแรงนะเรา มีกิริยานิสัยแข็งแรงมาก คึกคักขึงขังตึงตัง รวดเร็ว ไม่มีใครทันง่ายๆ ละ เดินก็เก่ง เดินตั้งแต่สองชั่วโมงขึ้นไปแล้วใครเดินไม่ทันละ ดูนิสัยจะได้จากตา ตาเดินเก่งมากทีเดียว นี่ก็รู้สึกจะเหมือนกัน มันหากเป็นในตัวของมัน คือเวลาเดินไประยะสองชั่วโมงนี้ไม่เท่าไร พอสามชั่วโมง สี่ชั่วโมงไปแล้ว เอาละที่นี่เครื่องร้อนรอใครไม่ได้เลย ถ้าจะรอก็ต้องไปพักรออยู่ข้างหน้า ที่จะให้ยืนรอ รอไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ

เหมือนว่าเครื่องมันร้อน ถ้าลงได้หมุนแล้วหมุนติ้วเลย เร็ว รอใครไม่ได้ตั้งแต่สองชั่วโมงขึ้นไปแล้ว เดินเก่งมาก จนค่ำไม่ปรากฏว่าเมื่อยว่าเพลีย เดินตั้งแต่ฉันจังหันเสร็จแล้วจนกระทั่งค่ำไม่ปรากฏว่าเพลีย ตาก็เดินเก่งด้วย ดูเหมือนจะได้สายเดียวกัน อันนั้นรอใครไม่ได้ นั่นก็ดี ไอ้เราพอเดินสักสองชั่วโมงล่วงไปแล้วนั่นก็เหมือนกัน รอใครไม่ได้ เร็วหรือช้าเราต้องไปเต็มเหนี่ยวของเรา ถ้าหากว่าจะรอก็ต้องไปพักรอข้างหน้า ให้เดินรอไม่ได้ มันหากเป็นของมันเองทุกอย่าง มันร้อนของมันแล้วหมุนติ้ว รอใครไม่ได้เลย ต้องไปพักรออยู่ข้างหน้าถึงได้ เป็นอย่างนั้น นี่ละเวลายังหนุ่มน้อยแข็งแรงมาก คึกคักขึงขังตึงตัง ไม่มีคำว่าอ่อนแอท้อแท้ เป็นนิสัยอย่างนั้น ก็มาเป็นเอาตอนแก่ ตอนแก่นี้กับตอนนั้นดูไม่ออกเลย เป็นคนละคนไป

เวลาร่างกายยังดีการเทศนาว่าการนี้เหมือนกัน การเทศนาว่าการเกี่ยวกับพระปฏิบัติล้วนๆ เทศน์สอนพระปฏิบัติล้วนๆ ไม่มีคนอื่นใดมาเจือปน เทศน์สอนพระล้วนๆ นี้หมุนติ้วเลยเชียว เทศน์ตั้งแต่ขั้นจิตตภาวนาขึ้นไป สมาธิขึ้นไปเลย ศีลต่างคนต่างรักต่างสงวนของตน ไม่มีคำว่าศีลด่างพร้อยเพราะพระกรรมฐานท่านรักศีลมากทีเดียว ไม่มีคำว่าศีลด่างพร้อยด้วยเจตนา นอกจากผิดพลาดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นได้ทั่วๆ ไป แต่ที่จะให้ท่านล่วงเกินศีลด้วยเจตนาลามกนี้ เท่าที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏในวงกรรมฐานด้วยกัน ท่านมีหิริโอตตัปปะเต็มตัวๆ ศีลของท่านไม่มีด่างพร้อยเลยเชียว ก็มีตั้งแต่สมาธิปัญญาที่จะสอนให้สูงขึ้นไปด้วยความละเอียดของอรรถของธรรมของใจ

นั่นละใจที่เป็นธรรมล้วนๆ แล้ว การเทศนาว่าการสอนกันก็ง่าย ผู้ฟังก็มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างแรงกล้า ทั้งสองอย่างนี้มันก็เข้ากันได้อย่างสนิท การเทศน์นี่ก็พุ่งๆ ไปเลย ผู้ฟังก็ดูดดื่ม อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ เราไปพักอยู่กับท่านในเบื้องต้น เทศน์ถึง ๔ ชั่วโมง ฟังซิ เทศน์ ๔ ชั่วโมง ท่านก็ไม่พลิกไม่เปลี่ยน ผู้ฟังก็เหมือนหัวตอ พระเต็มศาลาเต็มกุฏิท่านนั่นแหละ แต่ก่อนท่านอยู่ศาลา ก็พระเต็มศาลา กุฏินี้เขาปลูกให้ท่านใหม่ต่างหากที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนท่านกั้นห้องที่ศาลาพัก เป็นความสะดวกสบายของท่าน นั่นละธรรมท่านไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้

ไอ้เรื่องปลูกสร้างหรูหราฟู่ฟ่า กี่ชั้นกี่ห้องกี่หับเอามาอวดกันเฉยๆ เป็นเรื่องของกิเลส อวดไม่มีสิ้นสุด เลยจะตายเพราะความอวด บางทีเจ้าของไม่มี ไปหากู้หายืมเขามาสร้างบ้านสร้างเรือนอวดโลกเขา สุดท้ายก็ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรังอันนี้เป็นเรื่องภายในคนอื่นเขาไม่รู้ แต่เจ้าของเป็นไฟเผาหัวอกนี้มีเยอะ ก็อยากโอ้อยากอวดแข่ง กิเลสมันชอบยอ ธรรมท่านไม่ชอบยอ เรื่องกิเลสนี้ชอบยอที่สุด มันตรงกันข้าม ถ้าธรรมแล้วท่านไม่ชอบยอ อยู่ที่ไหนท่านสะดวกสบาย

ดูที่อยู่ที่พักที่ภาวนาของกรรมฐานผู้ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมซิ หรูหราฟู่ฟ่าที่ไหน ร่มไม้ชายคา กระต๊อบ อยู่ แล้วก็มีทางจงกรมนี้จำเป็นมากสำหรับพระกรรมฐาน ทางจงกรมจะต้องประจำที่พักในแคร่ก็ตาม ในกระต๊อบก็ตาม กุฏิก็ตาม ทางจงกรมจะต้องมีประจำที่พักนั้น นอกจากนั้นยังมีพิเศษอยู่ในป่าลึกๆ มีของท่านเป็นพิเศษ ไปภาวนากลางวี่กลางวันเงียบๆ ไปอยู่ในป่าที่วัด เช่นวัดหนองผือ กลางวัดมันโล่งๆ เวลากลางวันไปจะไม่เห็นพระเลย จะมีองค์สององค์ที่คอยรักษาวัดเท่านั้น รักษาบริเวณวัด

เวลามีแขกคนหรือใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ก็จะไปติดต่อพระที่รอรับแขกอยู่นั้นเพียงสององค์ ดูจะไม่มากกว่านั้น ประมาณสององค์ จากนั้นก็ไม่มี พระนอกนั้นเข้าอยู่ในป่าทั้งหมด ท่านภาวนาของท่าน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาแก้กิเลสตัณหาภายในใจ  นี่คืองานของพระในครั้งพุทธกาล พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสงตรงตามตำรับตำรา ท่านไม่มีละไอ้งานวัตถุออกหน้า เดี๋ยวนี้กลายเป็นศาสนวัตถุไปหมดแล้ว ไปที่ไหนหรูหราฟู่ฟ่า มีแต่กุฏิกุฏังสูงจรดฟ้าโน่น ที่อยู่ที่พักจนน่าอายฆราวาสเขา

ฆราวาสเขาอยู่กระต๊อบกระแต๊บ อยู่ยังไงตามกำลังของเขา เขาได้อะไรเขาก็คิดถึงพระก่อน เขาไม่ค่อยสนใจจะอยู่จะกินในของดิบของดีละ เขาคิดถึงพระก่อน แล้วจัดไว้สำหรับพระ แล้วเขาก็นำไปถวายพระ ส่วนเขาเศษเหลืออะไรเขาก็กิน ไม่เศษไม่เหลือเขาก็ไม่กิน นี่คือหัวใจของประชาชนที่มีความเคารพเลื่อมใสต่อพระ เขาเป็นอย่างนั้น เราจะเห็นได้เวลาเราเป็นเด็ก พ่อกับแม่นี่เข้มงวดกวดขันมาก เวลาได้อาหารมาต้องจัดทำไว้สำหรับพระให้เรียบร้อยก่อน บอกอย่างเด็ดขาดเสียด้วยว่าห้ามไม่ให้ใครไปแตะ บอกอย่างนั้นเลย อันนี้สำหรับที่จะเอาไปวัด จัดไว้เป็นพิเศษไม่ให้ใครไปแตะเลย นอกนั้นมีอะไรก็กินกันตามเกิดตามมี แต่สำหรับที่ไว้สำหรับพระนั้นต้องเป็นพิเศษกว่าที่กินอยู่กัน นี่ปฏิบัติอย่างนั้นมา

เราก็ได้เหตุได้ผลมาจากพ่อกับแม่นั่นแหละ รู้สึกว่าศรัทธานี้เสมอกัน พ่อกับแม่นี้ศรัทธาเคารพเลื่อมใสในศาสนานี้เสมอกัน ไม่มีขัดมีแย้ง ว่าอะไรๆ ถึงไหนถึงกันเลย เราฟังมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ พ่อกับแม่มีศรัทธาเสมอกัน ใครว่าอะไรเป็นไปด้วยกันเลย ไม่มีขัดมีแย้งกัน ได้ของดิบของดีมาปุ๊บปั๊บ จัดไว้สำหรับพระก่อนแล้วเอาไว้พิเศษ ห้ามลูกๆ ทั้งหลายไม่ให้มาแตะต้อง อันนี้จะเอาไปวัดบอกอย่างงั้นเลย นอกนั้นมันเศษเหลืออะไรก็กินกันไป ส่วนนั้นต้องพิเศษตลอดมา เราก็ยึดเอาได้จากพ่อแม่เข้มงวดกวดขันในของทานทั้งหลายที่ได้มา อะไรอันดีๆ ของทานนำมาทานหมดนั่นแหละ เศษเหลืออะไรเจ้าของถึงจะกิน ไม่เศษก็ไม่เอา ยกทานไปหมดเลย

นี่เรายกตัวอย่างก็คือว่าพ่อกับแม่เป็นเสียเอง เราฟังอยู่ตลอดเวลา พ่อกับแม่นี้ไม่มีคำขัดคำแย้งกัน เรื่องการบุญการกุศล ถึงไหนถึงกัน การจะทำบุญให้ทาน ทอดกฐิน ส่วนมากไม่ค่อยมีผ้าป่า จะทอดกฐินอะไรๆ นี้ถึงไหนถึงกัน ว่าเท่าไรพ่อ ว่าเท่าไรแม่ ว่าเท่าไรถึงกันเลย ไม่เคยเห็นมีการคัดค้าน เอากี่บาทๆ ซัดลงไปเลย นี่จึงเรียกว่าศรัทธาเสมอกัน จึงไม่มีข้อขัดแย้งกันระหว่างพ่อกับแม่ นี่ละความเคารพเลื่อมใสในศาสนาของเขาเอง ที่ได้มามากน้อยนี้ไม่ค่อยสนใจจะอยู่จะกิน สนใจตั้งแต่ของที่จะนำไปวัดไปทำบุญให้ทานมากกว่า ได้มาแล้วจัดไว้เป็นพิเศษทันทีๆ เลย บอกว่าใครไปแตะไม่ได้เสียด้วย สั่งไว้อย่างเด็ดขาดเลย เป็นอย่างนี้เรื่อยมา

เราเป็นเด็กเราดูอยู่ ทีนี้เวลาโตขึ้นมา ศรัทธาทั้งสองไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เสมอกัน เราโตขึ้นมาก็ดูมาเรื่อยๆ การทำบุญให้ทานแม้จะเป็นคนทุกข์คนจน อยู่บ้านนอกบ้านนาหาเช้ากินเย็นในสิ่งทั้งหลายก็ตาม ส่วนข้าวไม่อด ข้าวทำใส่ยุ้งไว้เต็มยุ้ง ในบ้านในเรือน ส่วนกับนั้นแหละ จะอดจะอยากขาดแคลนบ้างก็ตาม แต่เวลาได้ของดิบของดีมานี้จะต้องแยกไว้ทันที พ่อกับแม่มีศรัทธาเสมอกัน พ่อไม่แยก แม่ก็แยก อย่างนั้นตลอดมาจนกระทั่งเราออกบวช นี่เรียกว่าศรัทธาเสมอกัน เคารพเลื่อมใสมากทางวัดทางวา ได้อะไรๆ มานี้ต้องคิดถึงพระถึงวัดเสียก่อน ส่วนเจ้าของเหมือนว่าเศษว่าเดน ได้กินก็กิน ไม่กินก็ไม่สนใจ ขอให้ได้ทำบุญให้ทานเป็นที่พอใจ นี่ก็รู้สึกว่าเราซาบซึ้งภายในใจเมื่อภายหลังนี้นะ

แต่ก่อนก็ไม่ทราบอะไรเป็นแต่สังเกต ฟังอยู่เท่านั้น แต่เวลาโตขึ้นมานี้ก็ได้นำเรื่องของพ่อของแม่มาคิดมาอ่าน จนกระทั่งเข้าบวชนี้ก็ยิ่งนำเรื่องของพ่อแม่มาคิดมาอ่าน เฉพาะอย่างยิ่งพ่อน้ำตาร่วง ขอให้เราบวช ไอ้เราก็เป็นนิสัยอย่างนี้ ถ้าไม่ลั่นคำแล้วจะเอาความจริงไม่ได้กับเรา อะไรก็ตามถ้านิ่งๆ แล้วไม่เป็นความจริง เอาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไม่ได้ ถ้าลั่นคำแล้วแน่เลย เป็นอย่างนั้น

นี่ก็ขอให้บวชหลายครั้งหลายหนเราก็นิ่งๆ เฉยๆ ครั้นต่อมามันจะถึงกาลเวลาอันควรเกี่ยวกับการบวชก็ไม่ทราบแหละ วันนั้นรับประทานอยู่ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกหลายๆ คนเต็มละ อยู่ๆ พ่อก็พูดขึ้นมาในวงอาหารนั้นแหละ นี่เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ต้นเหตุที่จะให้เราบวชนะ อยู่เงียบๆ บทเวลาจะพูดก็ เอ้อ ว่างี้นะ กูก็มีลูกหลายคน ลูกชายก็หลายคน ลูกหญิงกูไม่พูดถึงมันแหละว่างั้น แต่ลูกชายนี้สำคัญที่ไอ้บัวนี้น่ะว่างั้นนะ

ตามธรรมดาพ่อไม่เคยยอลูกนะ แต่วันนั้นยกยอขึ้นเพื่อจะทุ่มลงนั้นแหละ ไม่ใช่อะไร แต่ไอ้บัวนี่ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ บอกอย่างนี้เลย แต่สำคัญที่กูขอให้มันบวชนี้มันเฉยตลอดมา ถ้าอาศัยไอ้นี่บวชให้ไม่ได้แล้ว กูตายนี้จะต้องจมลงนรก ไม่มีใครลากกูขึ้นจากแดนนรกได้เลย ถ้าไอ้นี้ไม่ลาก กูหวังคนเดียวนี้แหละว่างั้น ส่วนหน้าที่การงานกูไม่มีที่ต้องติ กูสู้มันไม่ได้ว่าอย่างนี้เลย แต่เวลาบวชนี้มันหูหนวกตาบอดมันเฉยเลย เวลากูตายแล้วนี้ก็จมลงในนรก ไม่มีลูกคนใดจะลากกูขึ้นจากแดนนรกได้แหละ ถ้าไอ้นี้ลากไม่ได้แล้ว พอว่าได้เท่านั้นน้ำตาร่วงเลย

กำลังรับประทานอาหารอยู่นะ น้ำตาพ่อนี้พังลง แม่พอมองเห็นน้ำตาพ่อพัง แม่ก็พัง ไอ้เรากำลังกินข้าวอยู่ด้วยกัน ลุกทันทีเลย สะเทือนใจเอาอย่างมากทีเดียว ไม่ใช่สะเทือนธรรมดา ถึงพ่อได้น้ำตาตก ร้องไห้เพราะการไม่บวชของเรานี้ เอาไปพิจารณาอยู่สามวัน พิจารณาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาจริงเอาจัง เพราะนิสัยนี้เป็นนิสัยจริงจังมากอยู่ เออ วันนี้ได้เห็นน้ำตาพ่อร่วงเพราะความเสียใจ อาศัยลูกไม่ทราบว่ากี่คน ไม่เป็นท่าเป็นทาง จะปล่อยให้พ่อนี้จมลงนรกแต่ผู้เดียวทั้งๆ ที่มีลูกหลายคนไม่สมควรเลย นั่น ขึ้นตรงนี้ละนะ พ่อเสียใจ เสียใจเอามาก มีลูกกี่คนไม่มีจะได้หวังพึ่งใครได้เลย ยอมตกนรกคนเดียว เท่านี้นะ

นี่ละเอามาพิจารณา แล้วก็มาพิจารณาเจ้าของมันเป็นยังไง  การบวชนี้เขาก็บวชกันทั้งแผ่นดินเมืองไทยเรา เขาบวชได้ทั้งนั้น งานอื่นงานใดเขาทำได้เราทำได้  งานใดเขาทำได้เราก็ทำได้ แต่งานบวชนี้เขาทำกันได้ทั่วเมืองไทยแต่เราทำไมจึงทำไม่ได้ เป็นเพราะเหตุไร ถึงขนาดน้ำตาพ่อร่วงลงอย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง เอ้าที่นี่มัดกันนะ เอ้าพิจารณาตัวเองไปคิดอยู่สามวัน ลงจุดบวชหมดเลย มัดเจ้าของตลอด เอา งานใดจะหลบหลีกปลีกไปไหน การบวช บวชได้สึกได้ โลกเขาบวชได้สึกได้

พ่อแม่ที่อยากให้เราบวชก็ไม่ได้บังคับบัญชาเรา ว่าบวชแล้วต้องอยู่เท่านั้นปีเท่านี้เดือนอะไร อยากจะให้บวชเป็นกำลังใจ หรือน้ำใจให้พ่อแม่ดีใจเพียงเท่านั้น ทำไมเราจะบวชไม่ได้ อย่างอื่นโลกเขาทำได้ เราก็ทำได้ แต่การบวชโลกเขาทำได้เราทำไมถึงทำไม่ได้ เป็นเพราะเหตุไร ถึงขนาดน้ำตาร่วง น้ำตาพ่อร่วงไม่สมควรอย่างยิ่งเลย นี่ละที่นี่ตัดสินใจมัดเจ้าของ การบวชก็ไม่เห็นว่าไปติดคุกติดตะราง บวชก็มีคนเคารพนับถือ บวชก็ได้บุญได้กุศล บางองค์ท่านบวชแล้วสึกมาก็มี ไม่สึกมาก็มี บางองค์ท่านเป็นสมภารเจ้าวัดตายกับผ้าเหลืองท่านก็ไม่เห็นมีอะไร

แต่เราทำไมจึงบวชไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อบังคับว่าต้องอยู่เท่านั้นวันเท่านี้ปีเท่านี้เดือน ทำไมถึงบวชไม่ได้ จนกระทั่งน้ำตาพ่อร่วง อย่างนี้ไม่สมควรเลย มัดนะที่นี่ มัดเจ้าของ เอาละยังไงต้องบวช คราวนี้ต้องบวชแล้ว  เรื่องทั้งหลายก็ล้มระนาวไปหมด พอตัดสินใจเรียบร้อยแล้วก็กลับมาหาแม่ เพราะเราสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ ตั้งแต่เด็กจนใหญ่ จนเป็นหนุ่มขึ้นมาก็ติดแม่ สนิทกับแม่มาก พอมาก็มาพูดเชิงขู่แม่แหละ เอ้อที่ว่าจะให้บวชนั้นจะบวชให้ละ แต่การบวชนี้อยากสึกเมื่อไรเราก็สึกได้ ใครจะมาบังคับบัญชาให้อยู่เท่านั้นปีเท่านี้เดือนแล้วเราไม่บวช ถ้าจะบวชแล้วให้สึกตามอัธยาศัยนั้นจะบวชให้แหละว่างั้น

แม่ฉลาดกว่าลูก แม่ก็สาธุขึ้นทันทีเลย เอ้อ สาธุ เอ้าลูกไปบวชนี้ พอบวชเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาอุปัชฌาย์ยังไม่กลับ พระอันดับที่ไปนั่งหัตถบาสให้บวชก็ยังไม่กลับ ประชาชนที่ไปบวชให้ลูกก็ยังไม่กลับ เต็มโบสถ์เต็มบริเวณนั้นอยู่ ลูกจะสึกออกมาแม่ก็ไม่ว่า แม่อยากเห็นผ้าเหลืองลูกในขณะที่บวชเท่านั้น แม่ก็เป็นที่พอใจ นั่น ไม่ขัดนะ ถ้าขัดไม่บวช แล้วใครจะไปสึกได้ ออกมาอุปัชฌาย์ก็ยังอยู่ พระทั้งหลายที่ไปนั่งหัตถบาสบวชก็ยัง ประชาชนเต็มโบสถ์ ข้างโบสถ์บริเวณนั้นเต็มไปหมด แล้วจะไปสึกต่อหน้าต่อตามันจะสึกได้ลงคอหรือ ไม่บวชเสียดีกว่าจะไปขายหน้าในเวลาบวชเช่นนั้น

แม่ฉลาดกว่าลูกจึงบอกว่า ออกมาแล้วจะสึกต่อหน้าต่อตาคนมากๆ แม่ก็ไม่ว่า แม่อยากเห็นผ้าเหลืองในเวลาบวช โน่นน่ะปัญญาของแม่ ลงใจบวช นี่ละเรื่องราว พอลงใจบวชแล้วพ่อก็ดีใจที่สุดเลย หาเครื่องบริขารในการบวช พี่ชายเขาเคยบวชก่อนแล้ว สั่งพี่ชายขาดตัวเลยให้ไปหาแต่ของดีๆ มาให้มันบวช อันนี้ยากเหลือเกิน กูพูดกับมันไม่รู้กี่ครั้งกี่หน มันไม่เคยรับปากกูว่าจะบวช คราวนี้รับปากแล้ว กูเป็นที่แน่ใจ เอ้าเครื่องบวชชนิดใดๆ เอาของดีๆ มานะ ว่าอย่างนี้เลย สมใจกูที่อยากให้มันบวช พี่ชายก็จัดให้เรียบร้อยไปบวช นั่นละเรื่องราว

ครั้นบวชเข้ามาแล้วก็อ่านอรรถอ่านธรรม คิดไว้ว่าเวลาบวชนี้จะรักษาสิกขาบทวินัยให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ให้มีด่างพร้อยและขาดทะลุเป็นอันขาด จนกระทั่งถึงวันสึก เผื่อจะได้บุญกุศลอันนี้ไปสวรรค์ ความคิดของตัวเองเวลาบวช ครั้นบวชแล้วอ่านไปๆ อ่านหลักธรรมหลักวินัยหลักศาสนา อ่านไป ท่านพูดถึงเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหมโลก พูดถึงเรื่องนิพพาน จิตใจค่อยหมุนไป เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ก็อยากไปสวรรค์เพราะสวรรค์มีอายุยืนนาน เสวยทิพย์สมบัติ ผู้ไปอยู่สวรรค์มีความสุขความสบายมากยิ่งกว่าผู้อยู่แดนมนุษย์ แล้วสวรรค์ก็มีหลายชั้น มีความสุขเป็นลำดับลำดา ยิ่งขึ้นพรหมโลกแล้วก็ยิ่งสูง สูงเป็นลำดับ

ทีนี้เข้านิพพานมาทับปั๊วะเข้าไปนี้ ยิ่งถึงนิพพานแล้วเป็นอันว่าไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป นิพพานนี้เที่ยง เป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ว่าอย่างนี้ ผู้ใดบวชปฏิบัติตนให้ถึงนิพพาน ผู้นั้นเรียกว่าเป็นผู้ที่เลิศเลอ แล้วเป็นถึงขั้นนิพพานด้วย เลิศเลอด้วย นี้จิตมันก็ก้าวตาม อยากไปสวรรค์แล้วอยากไปพรหมโลก พอไปถึงนิพพาน ท่านพรรณนาคุณค่าหรืออานิสงส์แห่งนิพพานให้ฟังแล้ว จิตมันติดตรงนั้นละที่นี่ ต่อไปเลยอยากไปนิพพานที่นี่นะ ไอ้เรื่องจะสิกขาลาเพศไปไหนก็จางไปๆ จิตมันดูดดื่มถึงนิพพานมากที่นี่นะ

สวรรค์ก็ดูดทีแรก พรหมโลกดูดอันดับสอง พอถึงนิพพาน พรรณนาคุณค่าของนิพพานถึงแล้วไม่มาเกิด มาแก่ เจ็บ ตาย แล้วเป็นบรมสุข อยู่ตลอดอนันตกาล นิพพานนี้เยี่ยมสุดเลยในบรรดาโลกธาตุอันนี้ไม่มีสิ่งใดสู้นิพพานได้ ท่านสอนว่าอย่างนั้น จิตเลยหมุนเข้าสู่นิพพาน จิตไปหนักอยู่ที่นิพพานที่นี่นะ  สวรรค์พรหมโลกเลยกลายเป็นว่าไม่มีความหมาย จิตเลยมุ่งต่อนิพพานไป ทีนี้เวลาเรียนหนังสือ เรียนก็เรียน แต่จิตมุ่งต่อนิพพานอยู่เสมอ

แล้วก็มีข้อสงสัยว่า หากว่าเราปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเพื่อมรรคผลนิพพานนั้น แล้วมรรคผลนิพพานจะมีตอบแทนการปฏิบัติของเราอยู่หรือไม่ หรือว่าสาบสูญไปไหนหมดแล้ว นี่อันหนึ่งสงสัย สงสัยอันนี้ทำให้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยในการอยากไปนิพพาน กลัวว่าอยากเฉยๆ ไม่มีนิพพานต้อนรับ แล้วก็คิดขอให้เราได้พบครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตาม ท่านพูดให้เป็นที่แน่ใจว่านิพพานมีอยู่อย่างสมบูรณ์ เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น แล้วจะเอาตายเข้าว่าเพื่อนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น

พอหยุดจากการศึกษาเล่าเรียนแล้วก็บึ่งเข้าไปหาหลวงปู่มั่นเลย ตั้งหน้าตั้งตาจะฟังเหตุฟังผลของมรรคผลนิพพาน ยังมีอยู่หรือไม่ เพราะความตั้งใจเรานี้สุดขีดแล้ว เป็นแต่เพียงว่าจะมีนิพพานต้อนรับหรือไม่เท่านั้น พอไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านกางเรดาร์ไว้เรียบร้อยแล้ว ไปก็ใส่เปรี้ยงเลยทันที เหมือนว่าคนไม่เคยเห็นกันมาทะเลาะกัน เหมือนคนทะเลาะกัน เสียงลั่น ท่านมาหาอะไร มาหาบุญกุศล มาหามรรคผลนิพพานเหรอ ท่านว่า ขึ้นอย่างรุนแรงเสียด้วยไม่ใช่ธรรมดา

ท่านชี้ไปเลยที่นี่ ตั้งแต่ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศว่าไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน พรรณนาไปจนกระทั่งหมดโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ธรรม เอาอย่างนี้ยันลงๆ รวมเข้ามาที่นี่ มรรคผลนิพพานแท้ กิเลสแท้อยู่ที่ใจ อย่าไปหาให้เสียเวล่ำเวลาอันนั้นเป็นหลักธรรมชาติที่เขามีมาดั้งเดิม ไม่วิเศษวิโสเลิศเลอหรือเลวทรามแหละ เขามีอยู่ตามสภาพของเขา อย่าไปกังวล บุญบาปนรกสวรรค์อยู่ที่ใจเป็นผู้จะก้าวเคลื่อนไปสู่สถานที่นั้นๆ ตามความชั่วความดีของตน นั่นท่านออกอย่างนี้ จากนั้นก็ย่นเข้ามาว่าอยู่ที่ใจๆ

ทีแรกท่านพรรณนาไปตามเรื่องบาปเรื่องบุญ ว่าอยู่ที่ใจผู้จะเคลื่อนย้ายออกไปเสวยกรรมของตนที่ทำไว้ดีและชั่ว  ท่านแยกออกไปๆ เวลาสรุปความเข้ามาแล้วรวมลงที่ใจเลยที่นี่ ธรรมอยู่ที่ใจ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจไม่อยู่ที่อื่น ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถสัมผัสสัมพันธ์รับรองบาปบุญมรรคผลนิพพานได้ มีใจเท่านั้น นั่นขึ้นแล้วนะ จากนั้นก็ย้ำลงที่ใจๆ ใจนี้รออยู่แล้วที่จะรับมรรคผลนิพพาน กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบควรแก่มรรคผลนิพพาน

มรรคผลนิพพานไม่ลำเอียง มีมาแต่กาลไหนๆ ผู้ปฏิบัติตนจนถึงมรรคผลนิพพานก็มีจำนวนนับไม่ได้เลย เรามาปฏิบัติแบบไหนถึงจะไม่พบมรรคผลนิพพาน เมื่อปฏิบัติดีอยู่ มรรคผลนิพพานก็ต้องอยู่ในหัวอกของเราจนได้ ท่านสอนออกมา ย่นเข้ามาถึงจิตตภาวนา ที่จะเบิกกว้างมรรคผลนิพพานให้เห็นประจักษ์อย่างชัดเจนนั้นต้องเบิกด้วยจิตตภาวนา อันนี้เป็นธรรมสำคัญมากทีเดียว ธรรมทั้งหลาย บุญทั้งหลายมาเป็นบริษัทบริวารของจิตตภาวนา ท่านว่างั้น

จิตตภาวนานี้เป็นเหมือนกับทำนบใหญ่ บุญกุศลที่สร้างมาด้วยการให้ทานมากน้อยเพียงไร นานเท่าไร รักษามาเท่าไร บำเพ็ญมาเท่าไรจะมารวมอยู่ที่จิตตภาวนา ที่เรียกว่าทำนบใหญ่แห่งกุศลทั้งหลาย จะมารวมอยู่ที่นี่ เอ้า ให้ท่านเร่งทางจิตตภาวนาให้ดี มรรคผลนิพพานจะอยู่ในเงื้อมมือจนได้นั้นแล ท่านเทศน์นี้เข้มข้นมากนะ ก็สมกับเจตนาที่เราไปด้วยความมุ่งมั่นอยากจะทราบเรื่องมรรคผลนิพพานให้ประจักษ์ใจ แล้วจะได้ทุ่มกันลงแบบเป็นแบบตายเลย เพราะนิสัยเราเป็นอย่างนั้น

ท่านเทศน์เต็มเหนี่ยวหายสงสัย เรื่องมรรคผลนิพพานหายสงสัยเลย ประจักษ์แจ้ง ยังเหลือแต่ว่าเราจะเอาจริงหรือไม่จริงเท่านั้น นั่น เรื่องมรรคผลนิพพานแม้กิเลสยังมีอยู่ภายในใจ แต่ความสงสัยมรรคผลนิพพานนี้ไม่มีเลย ทั้งๆ ที่กิเลสมีมันก็ควรจะสงสัยมรรคผลนิพพานแต่มันกลับไม่สงสัยทั้งๆ ที่มีกิเลสอยู่ แต่ก่อนมันสงสัย พอได้ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้ว  เปิดหมดเลย ทีนี้พอฟังถึงใจนะ ไม่ใช่ธรรมดา สมเจตนาที่ไปหาท่าน ท่านก็ทุ่มลงอย่างเต็มเหนี่ยว เรียกว่าหมดคัมภีร์ในหัวอกท่าน ทุ่มลงให้หมด เราก็ฟังเต็มหัวอกเรา พอใจ หายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน พอก้าวลงจากท่านมาแล้วด้วยความภาคภูมิใจ

ที่นี่สมหวังสมเจตนาละ ลงมายังไม่ถึงที่พักเลย มาก็ตั้งปัญหาขึ้นถามตัวเองว่า เป็นยังไงไปฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นวันนี้ ถามตัวเองนะ ท่านสอนว่ายังไง แล้วเป็นยังไง ทางนี้ตอบกันทันทีไม่รอเลย บอกว่าเอาตายเข้าสู้ ตายเท่านั้น ไม่ตายให้ได้มรรคผลนิพพานครองใจ ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ว่าอย่างนั้นเลย พระอรหันต์กับมรรคผลนิพพานเป็นคู่เคียงกัน มีอยู่ทั้งสอง เราต้องเอาให้ได้ ไม่ได้เอาตายเท่านั้น ตอบเจ้าของขึ้นอย่างทันทีทันใด เอ้าเอาตายเท่านั้นเพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว จากนั้นมาก็ฟัดเลย

นั่นล่ะที่นี่ความเพียรของเราจึงหนักมาก ตั้งแต่พรรษาเจ็ดที่เข้าไปหาท่าน ฟังธรรมะอย่างถึงใจมาแล้ว จากนั้นมาทีนี้ก็เรียกว่าเอากันอย่างเต็มเหนี่ยว เอาเป็นเอาตาย ตกนรกทั้งเป็นเลยเทียวไม่ได้คำนึง จะเอามรรคผลนิพพานให้ได้ ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เด็ดอยู่ภายในใจนะ มันไม่สนใจกับใครจะเชื่อไม่เชื่อ ใครจะว่าเป็นบ้าเป็นบอก็ตาม แต่จิตดวงนี้ไม่ไปไหน มุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว เชื่ออย่างถึงใจที่พ่อแม่ครูจารย์สอนถึงเรื่องมรรคผลนิพพาน เหมือนว่านี่น่ะๆ ตาบอดหรือไม่เห็นหรือ นี่น่ะๆ มันถึงใจ  พอมาแล้วก็ฟัดกันเลย เอาจริงเอาจังด้วย

ไปภาวนานี้ไปคนเดียว ไม่เคยไปกับหมู่กับเพื่อนกับคนใดเลยมันขัดต่อนิสัยของเรา เพราะนิสัยของเราถ้าไปกับหมู่กับเพื่อนคนใด สองคนก็ตาม มันเป็นน้ำไหลบ่า ไหลลงทางนั้น ไหลไปทางนี้ มันไม่พุ่งออกช่องเดียว คือเป็นห่วงใยกันลึกๆ นั่นละความรับผิดชอบซึ่งกันและกันมันหากมี ตั้งแต่สัตว์เขาก็ยังมีความรับผิดชอบกัน เหตุใดมนุษย์แล้วยิ่งเป็นพระด้วยแล้ว จะไม่มีความรับผิดชอบได้ไง อันนี้ละสิ่งลึกลับมันทำให้เป็นสัญญาอารมณ์ ไม่ให้พุ่งลงตามจุดที่หมาย ถ้าไปคนเดียวแล้วมันมีช่องเดียวพุ่งเลย ป่าช้าอยู่กับเรา ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้น เป็นก็เรา ตายก็เรา ยังไงต้องเอาให้ได้เรื่องมรรคผลนิพพาน พ้นมือไปไม่ได้เลย ต้องเอาตายเข้าว่าเลย

นี่ละเด็ด ตั้งแต่ฟังเทศน์หลวงปู่มั่นมานี้มันก็เด็ดขาดของมันจริงๆ ก็ชมอยู่เรื่องนิสัยนี้เด็ดจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาออกภาวนานี้ไปคนเดียวๆ ไม่ให้หมู่เพื่อนไปเกี่ยวข้อง มันจะเป็นน้ำไหลบ่า ไปคนเดียวๆ เข้าป่าเข้าเขา ท่านก็ส่งเสริมเสียด้วย ท่านว่าไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย เอ้อ ท่านมหาให้ไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านว่างี้เลย แต่เวลาพระองค์อื่นลาท่านไปเที่ยว ไปอีกแง่นึงนะ บางทีไปด้วยกันสององค์ สามองค์ ลาท่านจะไปเที่ยว ขึ้นทันทีเลย เหอ ตั้งแต่อยู่ในวัดนี้มันก็ตกนรกหมกไหม้ให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนอีกล่ะ แล้วใครจะกล้าไป เมื่อท่านพูดอย่างนั้นมันก็หมอบ

ส่วนเรานี่ไม่มี พอได้โอกาสแล้วกราบลาท่านไปเที่ยวทีไร คือการกราบลาท่านก็ต้องมีมารยาท ต้องใช้ความเคารพทุกสิ่งทุกอย่าง สมควรจะกราบลาท่าน ต้องถามถึงหน้าที่การงาน เพราะเรารับผิดชอบภายในวัดอยู่อย่างลึกลับเกี่ยวข้องกับพระกับเณร ไม่ให้มันระเกะระกะในสายหูสายตาของท่าน เราต้องเข้มงวดกวดขันดูแลพระเณร นี่ละที่ว่าจะลาไป มีงานมีการอะไรบ้างในวัดอันนี้ เมื่อท่านบอกว่าไม่มีแล้วก็ ถ้าไม่มีก็อยากจะกราบลาไปทำความเพียรภาวนาสักระยะหนึ่ง บอกระยะนะ เพราะท่านหวังพึ่งเราตลอดเกี่ยวกับพระกับเณร

นี่ท่านก็เปิดแล้วว่าจะไปทางไหนๆ ก็กราบเรียนท่านว่าจะไปทางนั้นทางนี้ ไปกี่องค์ท่านว่า บอกว่าไปองค์เดียว ขึ้นทันทีเลย เอ้อ ท่านมหาต้องไปองค์เดียว คนอื่นอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านไม่เคยห้ามเรื่องไปเที่ยวคนเดียว เพราะท่านดูความตั้งใจของเรา อยู่กับท่านมานานแสนนานแล้ว ท่านรู้นิสัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างว่าเราไปเพื่อธรรมล้วนๆ สมบัติอะไรต่างๆ ที่เขามาบริจาคมากน้อยเราไม่เคยสนใจ แจกให้หมู่เพื่อนเสร็จตามคำสั่งของท่านแล้ว ปล่อยเลยๆ เพราะเราสมาทานมีผ้าสามผืนติดตัว แต่ไม่ได้กราบเรียนท่านให้ทราบเท่านั้น สบง จีวร สังฆาฏิ

แต่ก่อนเราก็มีผ้าอาบน้ำผืนหนึ่ง มีสี่สำหรับเช็ดบาตร สำหรับอาบน้ำอาบท่าเท่านั้น มีประจำเป็นสมาทานไว้ในตัวเสร็จ เวลามีอะไรมาจึงไม่เคยสนใจ ออกเลย  ปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา เวลาไปจึงไปองค์เดียว ไปองค์เดียวนี้เอาตามใจชอบเจ้าของ ถ้าไปหลายองค์ เช่นอย่างเราอดอาหาร หมู่เพื่อนไม่อด เห็นเราอดก็จะเกรงอกเกรงใจเราก็จะอดตาม มันก็ไม่สะดวก อย่างนี้ละ เพราะฉะนั้นเราไปองค์เดียวนี้อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันก็ตาม เป็นตายป่าช้าอยู่กับเรา เรารู้แล้ว ทีนี้มันก็พุ่งของมันเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ไปกรรมฐานนี้ไปองค์เดียวเท่านั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ส่งเสริม เราไปองค์เดียวๆ ตลอดนะ กับองค์อื่นองค์ใดนี้ไป บางทีมีเพื่อนมีฝูงท่านยังว่าอยู่ แต่กับเราไม่เคยค้านนะพอใจทุกสิ่ง เพราะท่านเห็นความตั้งใจเวลาอยู่ เอาจริงเอาจังอยู่กับหมู่กับเพื่อน ทุกสิ่งทุกอย่างแม้อาหารการกินอย่างนี้ พระในวัดจะรู้เราว่าเราปฏิบัติต่อเราอย่างไรบ้างหรือไม่ แต่พ่อแม่ครูจารย์ทราบชัดเจน เราจะเห็นได้ชัด เวลาเราบิณฑบาตเราเอาของที่บิณฑบาตมาได้เท่านั้น ได้อะไรก็ตาม ได้มาเราจัดเอาสักนิดหน่อย แล้วเอาบาตรไปซุกไว้ข้างฝา แล้วก็ไปจัดอาหารถวายท่าน เสร็จแล้วก็มาฉันของเราพอยังอัตภาพให้เป็นไป เวลาอยู่กับหมู่กับเพื่อนก็ฉันแค่ ๖๐%

ถ้าไปคนเดียวนี้อยากอดกี่วันก็ได้ เป็นอัธยาศัยของเราเอง แต่อยู่ในเพื่อนฝูงเป็นผู้ได้ดูแลเพื่อนฝูงอยู่ ก็ฉันสักวันนึงๆ ประมาณ ๖๐% ไม่ให้อิ่มอย่างนี้เป็นประจำ เราทำของเราไม่ให้ใครทราบ บิณฑบาตได้มาเท่านั้น ไม่เอาอะไรอีก ท่านยังอุตส่าห์ใส่บาตรเรา นี่ละตาแหลมคมไหมล่ะ พระเณรในวัดรู้หรือไม่รู้ว่าเราทำยังไง แต่ท่านรู้ ปุ๊บปั๊บใส่บาตรเรา ท่านใส่อยู่เรื่อย นานๆ ใส่ทีนึง ท่านก็ไม่ซ้ำซาก แต่เวลาท่านใส่เราแล้ว ผู้หนึ่งจอมปราชญ์ ผู้หนึ่งจอมโง่ ท่านใส่แล้วเราต้องฉันให้ท่านเพราะจอมปราชญ์มาใส่ให้เรา ถ้าคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด ปฏิบัติอย่างนี้เรื่อยมา ท่านรู้นิสัยของเราทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าตั้งอกตั้งใจขนาดไหน เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยวไปองค์เดียว ท่านเอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่น เอาจริงเอาจังมากเรื่อยมา

นี่ละการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน ก็ได้ลงใจแล้ว ทีนี้ปฏิบัติจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ไม่ได้อยู่ต่ำๆ นะให้ได้ครองความเป็นพระอรหันต์ ให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้ เพราะฉะนั้นความเพียรทุกสิ่งทุกอย่างจึงแข็งแกร่งๆ ทีเดียว ไปก็ไปแต่องค์เดียวๆ เรื่อยมา เวลามาฟังธรรมะของท่านยิ่งเพิ่ม เพิ่มแล้วออกปฏิบัติก็ยิ่งเพิ่มกำลังใจมากเข้าๆ นี่ละการปฏิบัติของเรา เราทำมาอย่างนั้น เอาจริงเอาจังมากทีเดียว พอแน่ใจแล้วว่านิพพานมีอยู่เท่านั้น ยังไงให้ได้นิพพาน อย่างไรให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ใครจะว่าเป็นบ้าเป็นบออะไร ไม่สนใจกับใคร แต่จิตมุ่งไปตามความเชื่อของครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนแล้วมันลงเลยเชียว

ทีนี้การกระทำก็ทำแบบเดียวกัน ไปธุดงคกรรมฐานไปองค์เดียวๆ ตลอดมา เราไม่เคยไปกับใคร พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็ไม่เคยห้าม ไม่เคยคัดค้าน ปล่อยให้ไปตามลำพังคนเดียวแล้วเสริมเสียด้วย เอ้อ ท่านมหาไปคนเดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ แน่ะ ให้ท่านไปองค์เดียว เพราะท่านเห็นความตั้งใจขนาดไหน อย่างนี้เรื่อยมาจนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแล้วก็ ทีนี้จิตตอนนั้นมันหมุนติ้วแล้วแหละ

ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่มันก็หมุนแล้ว หมุนเป็นอัตโนมัติ ความเพียรเป็นอัตโนมัติไม่มีหยุดมียั้ง กลางคืนบางคืนไม่ได้นอน นอนไม่หลับ กลางวันก็ยังจะไม่นอน เพราะจิตทำงาน ธรรมทำงานฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนหมุนติ้วๆ ตลอดเวลา ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่นู้น เคยได้ไปสนทนาธรรมะกับท่านมาตลอด ทีนี้เวลาท่านมรณภาพไปแล้ว อันนี้มันก็หมุนของมัน ท่านมรณภาพเดือนพฤศจิกา ธาตุขันธ์ของท่านก็เพียบจนถึงขั้นสลายไปในเดือนพฤศจิกา

ทางธาตุขันธ์ท่านเพียบ ทีนี้ทางจิตของเราก็เพียบ เกี่ยวกับเรื่องฟัดกับกิเลส ไม่ได้หลับได้นอนทั้งวันทั้งคืน เดือนพฤศจิกาจนกระทั่งถึงเดือนพฤษภา จากพฤศจิกาไปถึงเดือนพฤษภาวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ วันนั้นเป็นวันตัดสินกันระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน หลังจากได้ฟังอรรถฟังธรรมจากพ่อแม่ครูจารย์อย่างถึงใจแล้ว ก็ไปตัดสินกันในวันนั้น เป็นเวลากี่ปีมาแล้ว นี่ละสมใจ หายสงสัยทุกอย่าง โลกธาตุนี้ไม่มีจุดไหนต่อมใดที่จะได้พึ่งที่อาศัย ว่าจะใหญ่ยิ่งกว่าธรรมกับใจซึ่งเป็นอันเดียวกันนี้ ไม่มีอะไรใหญ่กว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วครอบโลกธาตุ พอใจ

นี่ละธรรมไปยุติกันในคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่ม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ฟ้าดินถล่ม เหตุใดจึงว่าฟ้าดินถล่ม ฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขาแต่เรื่องกายกับจิตนี้แสดงอย่างผาดโผนมาก เวลามันจะขาดกัน กิเลสจะขาดสะบั้นไปจากใจนี้ ร่างกายนี้สะดุ้งปึ๋งเลยทีเดียว สะดุ้งกันอย่างแรงนะ กิเลสกับจิตขาดจากกัน มันกดมันถ่วงกันมาสักกี่กัปกี่กัลป์ มันเหนียวมันแน่นขนาดไหน พาให้เกิดให้ตายกองกันมานี้นับกัปนับกัลป์ไม่ได้ พึ่งมาขาดสะบั้นในคืนวันนั้นละ ที่ว่าเวลา ๕ ทุ่มพอดี

เพราะฉะนั้นร่างกายจึงกระเด็นเลย อยู่ธรรมดานี้กระเด็นขึ้นเลยเชียว เพราะมันรุนแรงภายในใจ ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน สะดุ้งถึงกาย กายพุ่งเลยเชียวนะ นี่ละเราก็เรียกอันนี้ละว่าฟ้าดินถล่ม เราไม่ไปเรียกฟ้าดินข้างนอกนะ เรียกฟ้าดินร่างกายของเรา ระหว่างจิตกับกิเลสมันซัดกัน เวลาขาดจากกันมันดีดผึงขนาดนั้นนะ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่ม เป็นเวลากี่ปีมาแล้ว นี่ละกิเลสได้ขาดออกไป

ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยมีกิเลสตัวใดแม้เม็ดหินเม็ดทรายได้เข้ามาผ่านในจิตใจ ให้ได้เอะใจว่า เหอ กิเลสตัวนี้กูก็ฟัดมึงเต็มที่เต็มฐานแบบว่าเป็นตายไปด้วยกัน นึกว่ามึงม้วนเสื่อไปแล้ว มึงโผล่หน้ามาจากไหนอีก ให้ได้เห็นหน้ามันแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยมีเลย นั่นจึงว่าดับแท้ ถ้าลงดับแล้วหายังไงก็ไม่เจอ จึงเรียกว่าไม่มี เรียกว่าสิ้น ความโลภก็สิ้น ความโกรธก็สิ้น ความหลงก็สิ้น ราคะตัณหาภายในหัวใจก็สิ้น สิ้นไปหมดโดยประการทั้งปวง ขึ้นชื่อว่าสมมุติในจิตนั้นสิ้นหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ นั่นเรียกว่าสิ้น

วันนี้ได้พูดธรรมะ มันเกี่ยวโยงอะไรมาถึงธรรมขั้นนี้ ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่การปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เริ่มแรกมาเป็นเวลา ๙ ปีพอดี พรรษา ๗ พรรษา ๑๖  ตัดสินกันลงได้เป็นเวลา ๙ ปีทั้งๆ ที่ฟัดกันเสียจนเหมือนตกนรกทั้งเป็น เป็นเวลา ๙ ปี ไปภาวนากรรมฐานไปองค์เดียวๆ ฟัดกันขนาดนั้นละ ไม่ใช่ทำอย่างย่อหย่อนอ่อนข้อนะ เราคิดย้อนหลังเรื่องความเพียรของเราว่า เราได้มีความอ่อนแอท้อแท้ที่ตรงไหน ไม่มี บอกได้เลยว่า ไม่มี ถึงจะล้มลุกคลุกคลานเพราะอำนาจของกิเลส ตีกบาลก็ตามเถอะ เรามีแต่กำปั้นก็ฟัดกันไม่ถอยด้วยกำปั้นของเราเอง ไม่มีถอย จนกระทั่งวาระสุดท้ายขาดสะบั้นไปเลยไม่มีเหลือ

ตั้งแต่บัดนั้นมาเราจะเรียกว่าลืมหูลืมตาก็ได้แหละ มองดูอะไรนี้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ได้ระเวียงระวังอะไรว่าจะเป็นภัยแก่ตนเองจากกิเลสประเภทต่างๆ แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเลย ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นเวลา ๕๐ กว่าปีแล้วมัง ดูเหมือน ๕๖-๕๗ ปีนี้ละมัง นี่ละตั้งแต่กิเลสมันขาดสะบั้นลงไป ก็ยังเหลือแต่กิริยาอาการภายนอก สำหรับภายในผ่านสมมุติทั้งปวงไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีสมมุติใดที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องภายในใจนั้นเลย เป็นวิมุตติหลุดพ้นล้วนๆ

ส่วนกิริยาอาการธาตุขันธ์นี้มันเป็นสมมุติ มันก็อยู่ในสนามแห่งโลกธรรมได้เป็นธรรมดาเหมือนท่านเหมือนเรา ควรติก็ติได้ ควรชมก็ชมได้ เขาติได้ เขาชมได้ เราติได้ เราชมได้อันนี้ สำหรับอันนี้มันเป็นสมมุติด้วยกัน อยู่ในสนามแห่งโลกธรรมจึงต้องมีการติเตียน ติฉินนินทาชมเชยสรรเสริญได้ ส่วนธรรมชาตินั้นหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ

นี่ละการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนโลก หลอกลวงโลกเหรอ   พิจารณาซิ   สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามนี้ เพราะธรรมนั้นชอบทุกอย่างหาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ที่จะต้องติก็ติเรานี่ มันข้ามเขตข้ามแดน ออกนอกลู่นอกทางของธรรมไปเรื่อยๆ จึงห่างเหินไปได้ สุดท้ายกลายไปลงนรกอเวจีก็มี มันข้ามธรรมไปไกลขนาดนั้นละ ไกลจนลงนรกอเวจีก็มี มันไม่ฟังเสียงธรรมเลย ไม่มีบาปไม่มีบุญ อยากทำอะไรก็ทำตามชอบใจ ความชอบใจคือเรื่องของกิเลส มันกดถ่วงจิตใจให้ลงทางต่ำ  ด้วยการชอบทำของไม่ดีทั้งหลายก็พาเจ้าของจมลงในนรกจนได้นั้นแหละ

ถ้าต่างคนต่างระวัง ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม มันอยากทำบาป ไม่ทำ มันอยากทำอะไรขึ้นชื่อว่ากิเลสเป็นภัยตลอด เมื่อมันเป็นภัยตลอดเราจะทำหาอะไร จะฝืนมันมาเป็นภัยต่อตัวเองด้วยการทำบาป มีอย่างเหรอ เราต้องดัดของเราอย่างนั้นซิ ทำความดีตามทางนักปราชญ์ จอมปราชญ์แท้ๆ พระพุทธเจ้าสอนธรรมไม่ได้มาหลอกลวงโลก แต่กิเลสหลอกลวงได้ตลอดทุกหัวใจ ออกแง่ไหนมุมใดมีแต่หลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้น เราก็เชื่อมันมาตลอด ไม่เคยเห็นเข็ดหลาบอิ่มพอ เพราะกิเลสต้มตุ๋น หลอกเราเรื่องนั้นหลอกเราเรื่องนี้มาประจำทุกหัวใจนั้นแหละ เรายังไม่เห็นเข็ดหลาบอิ่มพอ ธรรมท่านไม่ได้หลอก สอนยังไงเป็นอย่างนั้น

ให้พากันตั้งใจปฏิบัติธรรมนะ เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้วแหละ มันมีปัญหาอยู่กับเรานี้ละ ตัวขวางอรรถขวางธรรมคือตัวกิเลสมันขวางธรรม เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ ก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยในธาตุในขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ.

พูดท้ายเทศน์

วันนี้ไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่นที่ถ้ำสาริกา พอฉันเสร็จแล้วก็ออกไป ไปกราบท่านเสร็จแล้วกลับมา ที่ถ้ำสาริกาที่ท่านอยู่นั่น หลวงปู่มั่นเรา เราไม่ขึ้นละ ขึ้นไม่ไหวแล้ว ขึ้นไปอยู่พักหนึ่งเท่านั้นลง โน่นทองเหลืองอร่าม คราวที่แล้วเราก็ได้มอบเข้าตั้ง ๖๐๐ กิโล ต่อไปนี้จะเริ่มอีก ตั้งอีกก็ได้บอกพี่น้องทั้งหลายเอาตั้งอีกนะ ทองคำเรารู้สึกว่าน้อยมากในคลังหลวง มันควรจะได้ในระยะนี้เราว่า แล้วก็ได้ อย่างเมื่อ ๒ วันนี้ก็มอบ ๖๐๐ กิโล จึงให้ตั้งอีกสักพักหนึ่ง เรายังไม่ตาย เอาตั้งอีก พูดตรงๆ ทองคำให้ได้สักพักหนึ่ง เข้า ขนเข้าซิ เราไม่มีขนออก ขนเข้าเท่านั้นแหละ

ทองคำที่ได้ตอนเช้าถึงวันนี้ ได้ ๑ กิโล ๑๖ บาท ๔๓ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๕ ถึงค่ำวันนี้ได้ ๒๔ กิโล ๓๓ บาท ๔๙ สตางค์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึม ๑๗ กิโล ๒๒ บาท ๒ สตางค์ ได้เพิ่มเข้าอีก รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๖๕๔ กิโล ๕๔ บาท ๙๑ สตางค์ ได้เยอะนะ ตั้งหมื่นกว่ากิโล ทองคำที่เราช่วยชาติคราวนี้ ได้ ๑๑,๖๕๔ กิโลไม่นับเศษ แล้วยังจะได้อีก

วันพรุ่งนี้ก็ไปวัด ตอนบ่ายไป ออกจากนี้ไป (ประมาณบ่าย ๓ โมงกว่าๆ หลวงตาก็ไปวัด) เผาเวลา ๔ โมง ๓ โมงกว่าเราก็ออกพอดี ทางวัดหาที่เผาที่ไหนก็ไม่ได้ วัดต่างๆ ต้องมีเมรุ ไม่มีไม่ได้ คนตายเกลื่อน ตายก็ต้องวิ่งเข้าวัด เป็นวิ่งเข้าวัด ตายก็วิ่งเข้าวัด ให้ว่ายังไง วัดต้องเป็นที่พึ่งตลอดทั้งเป็นทั้งตายแหละ แต่สำคัญที่เวลามันมีชีวิตอยู่ มันหันหน้าเข้าวัดเข้าธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมันหันไปหาตั้งแต่ความเพลิดความเพลินเป็นบ้ากันทั้งศาลาเลย ไอ้ลูกศิษย์หลวงตาบัวมักจะเป็นอย่างนั้นนะนี่ หรือหลวงตาบัวพาเป็นนา

เราไม่อยากจะพูดแรงเกินไปตอนนี้ เราอาจจะพาเป็นแต่ก่อนก็ได้ อันนี้เราพูดเบาๆ ไม่พูดแรงละ มันเข้าเนื้อเจ้าของซี ว่าให้ลูกศิษย์ละว่าดังๆ เจ้าของเป็นยังไงติด เพราะฉะนั้นจึงถอยออกมาเพื่อรับ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ เรื่องศาสนาเราเลื่อมใสมาแต่ไหนนะ ตั้งแต่เป็นเด็กจนกระทั่งถึงผู้ใหญ่ เคารพเลื่อมใสมาตลอด มันก็เป็นเองนะ พอเกิดมาก็มาเห็นวัดเห็นวา เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ เลื่อมใสมาเรื่อยตั้งแต่โน้น จนกระทั่งได้บวชแหละ

ทองคำที่ได้ตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้ได้ ๑ กิโล ๑๖ บาท ๔๓ สตางค์ ที่ได้มาตั้งแต่วันที่ ๕ มาถึงวันนี้ ๒๔ กิโล ๓๓ บาท ๔๙ สตางค์ ได้ถึง ๒๔ กิโล ได้เยอะอยู่

เขาหย่อนบัตรกันเหรอท่านเจ้าคุณ เขาหย่อนบัตรกันเหรอวันนี้ อะไร หย่อนบัตรเรื่องอะไรสมัครผู้แทนหรืออะไร (ผู้แทนครับ เลือกส.ส.ครับ เลือกปาร์ตี้ลิสต์ด้วยครับ เลือกผู้แทนของพรรคด้วย ตอนนี้กำลังนับคะแนนยุ่งอยู่ครับ) ผลยังไม่ตกออกมา (ก็มีบ้างแล้วที่พอคาดเดาเอา เขาพอคาดเดากันได้แล้ว) เดาว่าไง เดามาซิน่ะ เราก็ว่าไปงั้น แต่เราไม่อยากฟังนะ เอ้าเดามาซิ จะไปฟังของปลอมมันอยากฟังอะไร วันนี้เขาเรียกวันอะไร (วันเลือกตั้งผู้แทน) จากนั้นไปจะมีอะไรอีก (ต่อไปเขาก็มารวมกันมาจับมือกันแล้วก็มาเป็นรัฐบาล) รวมหัวกันมา (รวมหัวกันเป็นรัฐบาลแล้วก็เลือกคนหนึ่งมาเป็นนายก นายกก็เลือกหลายๆ คนมาเป็นรัฐมนตรี อย่างว่าแหละแล้วก็เข้าส้วมเข้าถาน)

อันนี้ละเราเบื่อเมืองไทยเรา เราพูดจริงๆ เราเบื่อเมืองไทยเรา ให้ใครมาเป็นผู้ใหญ่ๆ เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน จับหางดึงออกหางขาดยังไม่ยอมออก มันกินยังไม่อิ่มไม่พอ เข้าใจไหม เบื่อจริงๆ นิสัยเลอะเทอะเห็นแก่ได้แก่กินเหลือเกิน อู๊ย ไม่มีศาสนาเลยละ ทั้งๆที่เกิดในเมืองพุทธ ลูกชาวพุทธ แต่เวลาอย่างนี้แล้วดูไม่ได้นะ เมื่อเร็วๆ นี้ก็อะไรที่ว่าโทรศัพท์ลึกลับมาหาเรา ปั๊วะเข้ามาหาเลยแหละ แต่ก็ถูก เพราะคนนี้เราเคยเตือน เราเคยเตือนตัวนี้อยู่แล้วนี่ ตัวที่เป็นอยู่เวลานี้มาขอโทษเรานี่ เราเตือนตั้งแต่นั้น

นั่นเห็นไหมเจ้าของยังไม่รู้ตัวเป็นนายก ไอ้อยู่ฉากหลัง มันเป็นเครื่องมือของไอ้อยู่ฉากหลัง เข้าใจไหมเราเตือนเข้าไปๆ พอฟังแย็บๆๆ เข้าใจทันทีๆ เดี๋ยวนี้มันดูตัวฉากหลังนั้นมันกำลังทำงานนะ ตัวนายกเองไม่ได้ทำนะ จริงไหมล่ะ ยอมบอกมาว่าถูกต้ม นั่นผิดไหมล่ะ ก็เราเตือนมาตั้งแต่ต้นแล้ว นี่พูดจริงๆ นะเรา ฟังเวลาทำงานๆ มีแต่ผู้เป็นนายกทำงาน ผู้เป็นนายกคอยทำตามเขาๆ เราฟังไป มันฟังชอบกลอยู่นะนั่น เราก็ได้ออกพูดไป เดี๋ยวนี้ตัวนายกเองไม่ได้ทำงานนะ มันเป็นยังไง เราว่าอย่างนี้ เป็นเครื่องมือของใครโน่นน่ะ เอาขนาดนั้นนะ มันเป็นเครื่องมือของใคร นั่นเอาอย่างนั้นละ

สุดท้ายก็โทรศัพท์ปุ๊บเข้ามาหาเราเลย มายอม เห็นโทษเห็นภัย มาขอขมาเรา ที่เราพูดคำไหนถูกต้องทุกคำ นั่น ก็เราพูดเป็นธรรมจะผิดไปไหน ก็ดูแล้วพิจารณาเรียบร้อยแล้ว การตำหนิก็ตำหนิโดยธรรม มันก็เป็นอย่างที่เราว่า เมื่อวานนี้โทรเข้ามา มาขอโทษ ขออภัย ถูกต้ม ก็ถูกต้มแล้วเรารู้มาตั้งแต่ต้น ไอ้ตัวต้มเขาตัวแสบๆ นี่น่ะ  มันต้มคนนี้นะ เราเตือนมันก็ยังไม่ฟังเสียง มันก็บ้ายศนี่ก็ดี แล้วเป็นเครื่องมือของเขา อยู่ข้างหลัง ฉากหลังๆ เขาใช้เสียแหลก เสร็จแล้วก็ตัวเปื่อยก็ตัวเราเอง เขาไม่ได้เปื่อยเป็นอย่างนั้นละ มันผิดไหมล่ะ

พระแท้ๆ เป็นยังไงพูดผิดที่ตรงไหน ไม่ได้ไปดูการดูงานอะไร ดูแต่กิริยาอาการที่แสดงออกมาเท่านั้น เราก็เตือนไปๆ แล้วก็ไม่ฟังคำเรา มันก็เป็นอย่างที่ว่าแล้วมายอมโทษ ขอโทษเรา เกิดประโยชน์อะไร จนเน่าเฟะแล้วจะมาขอโทษเรา เกิดประโยชน์อะไร เราไม่อยากฟังเสียงนะ เป็นอย่างนั้นละ ท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนั้นละ เราเตือนมันไม่ผิดนี่นะ ฟังแย็บๆๆ ฟังๆๆ ตลอด โอ๊ มนุษย์เรานี้แหม คอยแทงข้างหลังๆ หักหลัง แทงข้างหลังกัน เก่งมากนะ ไว้ใจไม่ได้นะมนุษย์นี่ พระธรรมเราไม่เป็น เฉพาะวัดป่าบ้านตาดนี้เด็ดขาดเลยเชียว มีไม่ได้เลย มีเวลาไหนไล่ออกจากวัดเดี๋ยวนั้นเลย เราไม่เหมือนใครนะ

มีพระจำนวนสักเท่าไร กฎระเบียบการข้อปฏิบัติเสมอกันหมด ใครเป็นแสลงตาไม่ได้ ต้องให้เป็นอย่างนั้น เรียบ ปกครองอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงมีมากมีน้อย กฎระเบียบหลักธรรมหลักวินัยที่ปฏิบัติใช้ให้เสมอกันหมด ไอ้แบบแฝงๆ ไม่ได้สำหรับเรา ตำหนิไปตรงไหนไม่เห็นผิดวะ เราอยู่นอกๆ ฟังเสียงมันรู้นะ ก็ฟังเสียงแย็บๆๆ ออกมาแง่ไหนๆ มุมไหนๆ เรารู้ทันทีๆ แล้วออกตามนั้นละ ไม่ผิด จะว่าเราสอดรู้สอดเห็น ก็ไม่สอด เราไม่เคยสอด แต่เวลาแสดงออกมาปั๊บมันเข้าใจทันทีๆ จะให้ว่าอะไรก็มันเข้าใจเอง พิจารณาตามนั้นปั๊บๆๆๆ ไปเลย เข้าใจๆ

สำหรับวัดป่าบ้านตาดแล้วจะมีพระเท่าไรๆ แบบเดียวกันหมด เคลื่อนไม่ได้นะ เราปกครองเป็นอย่างนั้น ให้ตรงเป๋งแบบเดียวกันหมดเลย ใครมาแสลงตาอย่างน้อยเรียกมาซักถามเป็นรายๆ แต่ไม่เคยได้เรียกเพราะท่านทำดีอยู่แล้วตลอดมา ถ้าหากว่าจะเป็นอย่างนั้น จากนั้นก็ไล่ออกจากวัดทันที ไม่ต้องพูดซ้ำๆ ซากๆ ให้เสียเวล่ำเวลาเพราะสอนมาเต็มกำลัง เต็มภูมิ หมดภูมิแล้ว สอนแล้วทำไมจึงต้องมาเป็นอย่างนี้ให้เห็นล่ะ นั่นละตรงที่มันเอากัน เอาเด็ดตรงนี้ละสอนมาเต็มภูมิแล้ว ควรแล้วหรือที่จะอนุโลม อนุโลมไม่ได้ ไล่เลยเป็นอย่างงั้น เป็นไงท่านเจ้าคุณฟังเหล่านี้ อันนี้กรรมฐานปกครองกันเป็นอย่างนั้น เอาจริงเอาจังนะกรรมฐานปกครอง จริงจังทุกอย่าง ถ้าผิดเจ้าของก็ยอมรับว่าผิดทันทีเลย ถ้าไม่ผิดใครผิดก็ซัดกันทันที

พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็ระลึกได้ คือวันนั้นเราเป็นบ้า ดูจะเขียนหนังสืออะไร ดูนาฬิกา ดูผิด คือการทำข้อวัตรปฏิบัติเรากับพระกับเณรจะเสมอกันหมด ดีไม่ดี ไม่ทันเราตั้งแต่ยังหนุ่มน้อยนะ ข้อวัตรปฏิบัติประหนึ่งว่าเราออกหน้าตลอด วันนั้นมันเผลอยังไงไม่รู้ เขียนหนังสืออะไรเราดูนาฬิกา เอ๊ะ แล้วกันนี่ นาฬิกาเลยเวลาแล้วโดดลงไปคว้าไม้กวาด กวาดออกไปปุบปับๆ ของตัวเรียบร้อยแล้วกวาดออกไปข้างนอก ธรรมดาข้างนอกจะต้องเต็มหมดแล้วพระในศาลา คือท่านจะกวาดที่ของท่านๆ มารวมกันที่นั่น เราก็กวาดที่ของเราเสร็จแล้ว ออกไปรวมกัน ก็พอดีกับพระมาเต็มหมด

วันนั้นออกไปไม่เห็นเลย เรากวาดของเราเสร็จเรียบร้อยแล้วออกไปไม่เห็น อ้าว พระเณรไปยังไงกันหมด ตายกันทั้งวัดแล้วใครจะมากุสลาใครล่ะ  สักเดี๋ยวเณรมันคงรำคาญตา มันก็ด้อมๆ ออกมา เณร ขึ้นเลย เป็นยังไงวันนี้ พระมันตายกันทั้งวัดแล้วเหรอ ใครจะกุสลาใคร ถึงเวลาแล้วไม่รู้เหรอ มันเป็นยังไง นี่ยังไม่แล้วนะนี่ ถ้าสมมุติว่าได้ผิดดังที่เราว่าจริงๆ แล้ว คืนวันนั้นต้องประชุมกัน ดีไม่ดีพระจะถูกขับออกจากวัดกี่องค์ไม่รู้ละ พอไปถาม นาฬิกาได้เท่าไรเณร ใส่อย่างคึกคักเดี๋ยวนั้นเหมือนจะกัดจะฉีก ก็มันจริงอย่างนั้นนี่ เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้นละ

ถึงเวล่ำเวลาแล้วมันเป็นยังไง พระมันตายกันหมดทั้งวัดใครจะกุสลาใครล่ะ นาฬิกาได้เท่าไรเณร มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เหอขึ้นอีก เพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ธรรมดาบ่าย ๔ โมงปัดกวาด ไอ้เราเป็นบ้าฟาดตั้งแต่โน้น ๓ โมง ๒๐ นาที มาถาม เณรก็ตอบว่าเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ขึ้นหืออีกทีนึง ว่าเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ก็แสดงว่าเราผิด หยุดๆๆ พระอย่ามาปัดกวาด มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราก็เดินกลับปุ๊บเลย ก็อย่างนั้นละ จะไปแก้บ้าเรา

แต่ดีที่พระเณรไม่ประชุมกันขับเราออกจากวัด ท่านยังอนุโลมอยู่ เข้าใจไหม ถ้าธรรมดาต้องขับเราออกจากวัด อยู่ๆ มาหาเรื่อง สมภารวัดมันเป็นยังไง ขับมันออกจากวัดพอดี แต่ท่านก็อนุโลม ท่านไม่ว่าอะไร เราเป็นบ้าของเราเอง เอ้า หยุดๆๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บๆ กลับเลย เณรมันคงจะหัวเราะ เหมือนไฟนะเวลาขึ้นนี่เหมือนไฟ ปุ๊บๆ เพราะมันเป็นธรรมทั้งนั้นนี่นะ ถึงจะว่าอย่างนั้นมันก็ไม่มีความโกรธความเคียดแค้นมันเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อผิดตรงไหนยอมรับทันทีเลยๆ

นี่เราเป็นคนผิด หยุดๆๆ เดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด อย่ามาปัดกวาดเดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บไปเลย ไม่ทราบว่าแก้หรือไม่แก้บ้า พอผ่านพ้นโทษไปแล้วก็ไปเลย พระเณรท่านก็ไม่ว่าอะไร แต่เณรคงจะเล่าให้พระฟัง เพราะเสียงแผดเหมือนฟ้าดินถล่ม พอเราผิดเท่านั้น หยุดๆๆ ทันที เราจะไปแก้บ้าเรา กลับปุ๊บเลย ก็อย่างนั้นแหละ นี่เรียกว่าธรรม เข้าใจไหม ธรรมเป็นอย่างนั้นละ ไม่มีที่ว่าจะไว้ศักดิ์ศรีตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ ไว้ศักดิ์ศรีอย่างนั้นไม่มี ต้องมีไว้ลวดลายซิใช่ไหมธรรมดา ผิดขนาดนั้นแล้วยังต้องไว้ลวดลายเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ นี่ไม่ไว้ ผิดจะไว้ลวดลายอะไร มันผิดนี่ ผู้ใหญ่ผิดยิ่งร้าย นั่นจึงบอกว่าหยุดๆๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัดเราจะไปแก้บ้าเรา เดินกลับเลย

เป็นอย่างนั้นล่ะท่านเจ้าคุณ พระกรรมฐานปกครอง เฉพาะอย่างยิ่งคือเรา เอาเด็ดขาดเฉียบขาดทุกอย่างเลย การประพฤติปฏิบัติเคลื่อนไม่ได้เลย พระเณรจึงเรียบตลอด พระเณรเรียบร้อยตลอดเลย เพราะท่านก็ความเกรงความกลัว กลัวโดยธรรม ไม่มีโทษนี่นะ กลัวโดยธรรม เกรงโดยธรรม เกรงกลัวเลื่อมใส เพราะเราพูดอะไรมันไม่ได้ผิดนี่ ท่านจะมาตำหนิเราที่ตรงไหนก็ตำหนิไม่ได้ซิ ท่านก็เคารพเท่านั้นเอง

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกได้ในครัวโรงน้ำร้อนนั่น ถึงเวลาประมาณบ่าย ๒ โมง องค์ไหนท่านจะฉัน ท่านก็ด้อมๆ มาที่ครัวน้ำร้อน ฉันน้ำร้อน องค์ไหนไม่ฉันท่านก็ไม่มา องค์ไหนอยากฉันท่านก็มา ไม่อยากฉันท่านก็ไม่มา พอดีวันนั้นเห็นพระ ๒-๓ องค์อยู่นั่น เรามาจากกุฏิเรา เดินมาทางหน้าศาลา มองไปเห็นพระท่านอยู่ครัว ไกลอยู่นะ เราจะลงไปน้ำบ่อ จะไปดูน้ำบ่อ พอเรากลับขึ้นมาดูแก้วน้ำร้อนทั้งล้มทั้งอะไรเกลื่อน น้ำร้อนอะไรเกลื่อนอยู่ตามนั้น

พอขึ้นมา อ้าว มันยังไงกัน มันทั้งกินทั้งเททิ้งยังไงกันนี่เราว่างั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ คือพระท่านกำลังฉันน้ำร้อน พอท่านเห็นท่านอาจารย์ท่านทิ้งแก้วแล้วเปิดเลย โห กลัวอย่างนี้ไม่ถูก เอาอีกแล้วนะ การรับหมู่รับเพื่อนไว้ ผมไม่ได้รับไว้เพื่อจะดุจะด่าหาเหตุหาผลไม่ได้ จะกัดจะฉีกหาเหตุหาผลไม่ได้ ผิดถูกชั่วดีว่าไปตามธรรม การทำอย่างนี้ไม่ถูก เอาแล้วนะนั่น ก็มันไม่ถูกจริงๆ กลัวเกินเหตุเกินผล โอ้ แก้วน้ำเกลื่อนอยู่ตามนั้น แก้วน้ำล้มระนาวไป เห็นเราเท่านั้นแตกฮือไปเลย กลัวหากไม่ยอมหนีนะนั่น แปลกอยู่ ท่านกลัวเรื่องกลัว เคารพไม่ใช่กลัวอะไร กลัวเป็นธรรม เคารพเป็นธรรม ท่านทำของท่านอย่างนั้นละ เราก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ก็ไม่ยอมหนีไปไหนนะ กลัวก็กลัวอย่างนั้น หากอยู่อย่างนั้น จะว่ายังไง

คือเรื่องความเป็นธรรมนี่เสมอหน้ากันหมดในวัดนี้ ไม่มีเอียง ไม่มีสูงมีต่ำ ไม่มีมากมีน้อย ความเสมอภาคเหมือนกันหมดในวัดนั้น ความเสมอภาคเป็นสำคัญมีมากมีน้อยเฉลี่ยให้ทั่วถึงกันหมด นี่ละเป็นความเสมอภาค ไม่มีเอียง อยู่กันเป็นสุข ผู้มีมากมี ผู้มีน้อยมี  ผู้ไม่มีไม่มีอย่างนี้ไม่สงบ มีเท่าไรถึงไหนถึงกัน เรียกว่าสงบเพราะเป็นธรรม เป็นอย่างงั้นนะ นี่ปฏิบัติมาอย่างนั้นกับหมู่กับเพื่อน ในวัดนั้นเราไม่รับมากเฉยๆ นะ นี่ก็มีตั้ง ๕๐ กว่าคือเรากำหนดในพรรษานั้น เราจะกำหนดเพียง ๕๐ องค์ ไม่ให้มากกว่านั้น

คือทางจงกรมที่ภาวนาพอดี ปีนี้ปาเข้าไปเสีย ๕๘ ไม่ทราบว่าไปหาเดินจงกรมในโพรงไม้ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็มันจำกัด คือเรารับไว้จำกัดความเพียร ปีนี้ฟาดเข้าไปเสีย ๕๘ ท่านจะอยู่ยังไงก็ไม่รู้ละ ธรรมดา ๕๐ พอดีกับสถานที่ทำความพากเพียร เพราะวัดนั้นเอาจริงเอาจังความพากเพียร ในบริเวณศาลาใครเข้าไปไม่ได้ เราห้ามเสียเอง ไม่ให้เข้าไปยุ่ง ให้เป็นทำเลความเพียรของท่านหมดเลย หากมีความจำเป็นที่จะมีผู้อยากไปดูไปชมอะไรนี้ก็ให้มีพระนำไปเลย ไปดู ทุกแห่งทุกหนที่ควรจะดู พระนำไปเองอย่างนั้นได้

ถ้าธรรมดาไปสุ่มสี่สุ่มห้านี่ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม เว้นแต่คนรับใช้พระ ๒-๓ คน ที่เขาเข้าออกของเขา เป็นอย่างนั้น นอกจากนั้นเป็นบริเวณพระทำความเพียรทั้งหมดเลย มีศาลาเท่านั้น พอไปถึงเขตศาลาให้ออกๆ ทั้งหมดแหละ การประกอบความเพียรไม่มีวันมีคืน เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา สติกับจิตจับกันตลอดเรียกว่าภาวนา นั่นละฆ่ากิเลส ท่านฆ่าอย่างนั้น สติดีเท่าไรจิตยิ่งดี ยิ่งตั้งรากตั้งฐานได้ ถ้าขาดสติขาดความเพียร ความเพียรจึงเป็นสำคัญมากทีเดียว ความเพียรสำคัญมากอยู่ที่สติ สติเป็นสำคัญ

กำแพงข้างนอกนี้เวลานี้มีพระขยับขยายออกไปบ้างแล้ว มีกุฏิอยู่ห่างๆ ข้างนอก ส่วนภายในพระท่านคงสนิทใจที่เคยอยู่นั้นแล้ว ไม่ค่อยออกไปนะ อยู่ข้างนอกมีน้อยมาก ไม่ค่อยมีองค์ไหนออกไป คือออกไปมันโล่งยังไงชอบกลอยู่ พอออกไปรู้สึกมันโล่ง มองไปที่ไหนเวิ้งว้าง โล่ง ท่านเลยไม่ชอบ ไปอยู่ไม่กี่องค์นะ สัก ๓-๔ องค์ ไปอยู่ลึกๆ ทางโน้น ลึกๆ ทางด้านใน ถ้าอยู่โล่งอย่างนี้ ท่านไม่ออกมา นี่ทำเลคน อยู่ศาลาใหญ่ท่านไม่ออกมา ท่านอยู่ลึกๆ โน้น ถ้าว่าออกมาจากกำแพงใน ท่านก็ออกมาเลย

มีพระก็เท่านั้นละ เรากำหนดให้ ๕๐ องค์ไม่ให้มากกว่านั้น ทำข้อวัตรปฏิบัตินี้เรียบกันหมดเลย เราไม่ได้บอกละอันนี้ ไม่เคยได้บอก เรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีอันนี้พรึบๆๆ เสร็จเรียบเลยเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันถึงอยู่ด้วยกันได้ ถ้าคนหนึ่งๆ ไม่ทำไม่ดีนะ สร้างความแตกแยกในเพื่อนฝูงด้วยกัน คนนี้ทำ คนนั้นไม่ทำแตกแยกแล้วนั่น ไม่สามัคคี ถ้าต่างคนต่างทำด้วยความสามัคคีแล้วก็เรียบไป ไม่มีใครหนักใจ เบาใจกับผู้ใด เป็นอย่างนั้น

ท่านเอาจริงๆ ความเพียรไม่ใช่ท่านทำเล่นๆ นะ ท่านเอาจริง คือเราเปิดให้หมดเรื่องหน้าที่การงานไม่ให้มี เราส่งเสริม การงานอะไรก็ตามในวัดป่าบ้านตาดไม่ให้มี ให้มีแต่การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หากว่ามีความจำเป็นที่เราจะขอร้องท่านมาช่วยชั่วขณะมีบ้าง นานๆ มีที ธรรมดาไม่มี นั่นละท่านทำความเพียรตลอด พระฝรั่งก็ไม่รับมาก ดูประมาณสัก ๔-๕ องค์หรือไง เท่านั้นไม่มาก พระฝรั่งไม่มาก ๔-๕ องค์ คือเราไม่รับมากกว่านั้น

พระฝรั่งเยอะนะอยากมาอยู่ แต่เราไม่รับมาก เราแบ่งไว้เพื่อคนไทยภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทยเข้าไปที่นั่น ก็แบ่งให้ทั่วถึงกัน เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเจ้าของ ต้องให้ได้ดี จึงแบ่งทางพระฝรั่งประเทศนั้นหนึ่งองค์ ประเทศนี้สององค์อย่างมาก เป็นประเทศๆ ประเทศนั้นหนึ่งองค์ๆ ไปอย่างนั้น

วันนี้เทศน์เรื่องอะไรบ้าง ดูเหมือนแตกแขนงไปหลายแห่งเทศน์วันนี้ (ที่ว่าโยมพ่อน้ำตาร่วง แล้วโยมแม่ก็ร้องไห้ตาม หลวงตาก็หนีจากวงข้าวไปสามวัน พิจารณาว่าเขาบวชมาทั่วทั้งหมู่บ้าน เขาบวชแล้วเขาก็สึก หลวงตาพิจารณาแล้วปลงเลยบวชให้ แล้วไปบอกโยมแม่) นั่นละน้ำตาพ่อ กระเทือนใจมาก ถ้าออกจากนั้นมาก็จะเป็นโกโรโกโสไปก็ไม่ทราบละ พอน้ำตาพ่อร่วงเท่านั้น โห สามวันไม่มาร่วมวงด้วยละ ไม่ให้เห็นหน้าด้วย ไปพิจารณาตัวเอง มัดตัวเอง ไล่เบี้ยเข้าไป เขาทำได้เราทำได้ๆ อันนี้เขาทำได้ การบวช เขาทำกันทั้งประเทศแล้วทำไมเราทำไม่ได้ มัดกันซิ เอ้าต้องได้ ซัดเลย คือเรามัดเรื่องบวช

มันก็แปลกนะ เคยพูดแล้วว่าบวชทีแรกอยากไปสวรรค์ ครั้นบวชดูธรรมะเข้าๆ สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ทีนี้มันดึงดูดเข้าไปหานิพพานซิ มันเลยหมุนใจไปทางนิพพาน พอเรียนหยุดแล้วก็พุ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็ชี้เรื่องนิพพานเลย มันก็เอาใหญ่เลย เพราะฉะนั้นความเพียรมันถึงกล้าซิ ความเพียรกล้าจริงๆ เรา เพราะเราลงใจแล้วกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรื่องมรรคผลนิพพาน ความอยากไปมรรคผลนิพพานนี้อยากไป แต่นี้มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่หรือไม่น้า ถ้าเราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีผลตอบแทนก็เสียกำลังเสียเวล่ำเวลาเปล่าๆ

แล้วใครเป็นผู้ที่จะปลดเปลื้องภาระเรื่องสงสัยมรรคผลนิพพานเราได้ ก็มีแต่หลวงปู่มั่นเท่านั้น จึงบึ่งมาหาท่าน เข้าไปหาท่าน ท่านก็ชี้ลงทันทีเหมือนว่าท่านกางเรดาร์เอาไว้ ไล่มรรคผลนิพพาน อันนั้นไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม อันนั้นไม่ใช่กิเลส ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ไล่ไปหมด ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไล่เข้าไปๆ หาตรงนี้ กิเลสอยู่ที่นี่  ธรรมะอยู่ที่นี่ มรรคผลนิพพานอยู่ที่นี่ ไล่เข้าไป เอ้าเปิดให้ได้เปิดด้วยจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าเปิดด้วยการภาวนา สาวกเปิดด้วยการภาวนา เอ้าเปิดให้ได้ ลงใจปึ๋งเลย ไอ้เราก็เป็นนิสัยอย่างนี้ ถ้าหากว่ามันคาราคาซังมันไม่สนิทใจที่จะทำนะ อะไรก็ตาม ถ้าลงใจแล้วถึงไหนถึงกันเลย

พอนึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น พูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานเหมือนว่านี่น่ะๆ อยู่งั้น ตาบอดเหรอนี่น่ะ มันก็ลง พอลงแม้กิเลสเต็มหัวใจก็ตาม จะให้สงสัยมรรคผลนิพพานหมด ไม่มีสงสัย ทีนี้ก็พุ่งใหญ่เลย นั่นเป็นอย่างนั้นละ เราปฏิบัติมันก็สมหวัง พูดง่ายๆ อย่างนี้แหละ เพราะทำด้วยความลงใจจริงๆ ท่านสอนหมดแล้วมรรคผลนิพพานไม่สงสัยแล้ว แล้วทีนี้จะเอายังไง ก็บอกว่าเอาตายเข้าว่า มันก็ฟัดกันจริงๆ เอาเป็นเอาตายเท่านั้น แต่มันก็ไม่ตาย สุดท้ายกิเลสก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ กิเลสตายหมดแล้วถามหาทำไมมรรคผลนิพพาน

ก็อันนี้ปิดมรรคผลนิพพาน เรื่องกิเลสเท่านั้นปิด ไม่มีอะไรปิดมรรคผลนิพพาน มีกิเลสเท่านั้น เปิดออกหมดแล้วจ้าขึ้นมาเลย ถามหาทำไม แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ตาม พูดแล้ว สาธุ ทูลถามท่านทำไม สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างอยู่แล้วนั่น ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตนโดยลำดับลำดา จนกระทั่งขั้นสุดท้ายก็อยู่ในธรรมบทนี้หมดแล้ว พอจ้าขึ้นมาเท่านั้น แม้แต่พระอัญญตรภิกขุท่านไปทูลถามพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะขั้นสูง พอไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎี ฝนกระหน่ำใหญ่เลย ขึ้นไม่ได้ ฝนตกจากชายคาลงมานี้ ตั้งขึ้นเป็นต่อมเป็นฟองแล้วแตกไปๆ ท่านเลยบรรลุธรรมปึ๋งเดี๋ยวนั้น พอฝนตกหยุดกลับเลย นั่น ท่านเลยไม่ถาม อย่างนั้นแหละ ก็มีเท่านั้นละ แค่นี้นะ

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก