เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
จิตดวงนี้เป็นจิตธรรมธาตุ
เขากำลังโจมตีอยู่เห็นไหมล่ะ ตะกี้นี้พูดว่ายังไงเราจำไม่ได้ละ ที่เขาพูดในรถ การบ้านการเมืองกับเราแข่งกันว่าใครเป็นผู้โกหกเก่ง เขาก็หาว่าหลวงตาบัวโกหกเก่ง อย่างนั้นใช่ไหมล่ะ ว่าอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่อยากว่าก็แล้วแต่ เราไม่มีอะไรละกับขี้หมูขี้หมานี่ (เขาหาเหตุมาว่าหลวงตาโดยที่เขารู้กันเอง) ว่าก็เป็นเรื่องของเขาเองไม่เป็นไรแหละ เราไม่เป็นอะไร เขาว่าอะไรจะเลวขนาดไหน เราก็เป็นเราอยู่นี้แหละ ให้เขาว่ามาซิ สามโลกธาตุให้ว่ามาเลย แต่ละโลกธาตุให้ยกโคตรมาเลย เท่านั้นแหละเรา ไม่มีเรื่องอะไรกับใคร ดูโลกมันดูพอแล้ว
อะไรๆ เขาก็ว่ามา ก็เขาไม่มีของดิบของดีพอจะมาอวดโลก เขามีแต่ของเลวๆ มาอวดก็อวดอย่างนั้นแหละ ถ้าหูเรามีก็จำให้ดี เอาของเขาไปปฏิบัติไปนรกทั้งเป็นนะ เรานี้ไม่ฟัง เฉยเลย เหมือนหมาปล่อยหำนั่นแหละ มันเฉยนะ ถ้าคนปล่อยตบนู้นตบนี้เป็นบ้านะ หมาปล่อยหำเขาไม่ตบ เขาเฉย จึงเรียกว่าหมาปล่อยหำ นี่เราก็แบบหมาปล่อยหำจะเป็นอะไรไป ใครจะว่าอะไรก็ว่ามาซิ โลกเขามีปาก เขาคิดของเขาพูดของเขาเองเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราก็เรื่องของเรา จะมีอะไรกัน ก็เท่านั้นเอง เขาจะพูดอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เหตุกับผลอยู่กับเขาหมด เราไม่ได้ก่อเหตุ ผลจะมาหาเราได้ยังไง ก็เท่านั้นเอง
เงินที่ได้มาเป็นเช็คเป็นอะไรเราเอาเข้าธนาคารในกรุงเทพเอาไว้ๆ เวลาทางนี้จำเป็นถอนออกมาจ่ายทางนี้ๆ อยู่อุดรก็เหมือนกัน อยู่อุดรก็เอาไว้ในบัญชี พอจำเป็นก็ถอนออกมาจ่ายทางอุดร ทางนี้จำเป็นก็จ่ายทางนี้ๆ ที่เช็คเอามาเราเอาเข้าธนาคารทางนี้หมดเลย เผื่อเวลาจำเป็นก็ถอนออกจ่ายตามความจำเป็น ในบริเวณกรุงเทพนี่หมดแหละ คือเราเขียนใบถอนให้พร้อมแล้ว ให้เขาถือเอาใบถอนไปถอนออกมาจ่ายตามความจำเป็น ช่วยโลกช่วยอย่างนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นใครจะว่าอะไร ที่เขาหาเรื่องต่างๆ มาโจมตีเราอะไร อย่าไปฟังนะเสียเวล่ำเวลา รำคาญหูเปล่าๆ เราทำอย่างไรต่อพี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วนี่ ผิดถูกดีชั่วเห็นอยู่ด้วยตาของเราเองเป็นยังไง เขาโจมตีแบบไหนก็จะล้มไปตามเขาๆ ล้มอะไร ก็คนชั่วให้เป็นแบบชั่วของเขา เราเป็นคนดีเฉยอยู่ซิจะเป็นอะไรไป เขาบอกว่าจอมโกหกเดี๋ยวนี้มาอยู่ในหลวงตาบัวหมด เราสร้างให้โลกแทบเป็นแทบตายมีแต่เรื่องโกหกโลกอย่างนี้ละ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนั่นละคือเขาสร้างความดีให้โลก มันขบขันตรงนี้
เออ จิตใจของโลกมันขุ่นมันมัวเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ได้ออกอยู่ไม่ได้นะ ถ้าได้ระบายออกแล้วก็ว่าเป็นความสุขสบายเท่านั้นก็เอา ทั้งๆ ที่เป็นไฟเผาตัวแหละ
ธรรมะพระพุทธเจ้าทรงแสดงเองก็ดี บรรดาสาวกทั้งหลายที่เป็นพระอรหัตอรหันต์แสดงก็ดี เวลาออกมานี้เป็นธรรมออกมากับเสียงล้วนๆ ไม่มีแต่เพียงเสียงแต่ธรรมไม่มี สมมุติว่าเราเรียนมาด้วยความจดความจำอย่างนี้เวลามาก็มีแต่เสียงธรรม องค์ธรรมแท้ไม่ได้ออกมาด้วย ผิดกันตรงนี้ สำหรับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายแสดงออกมาเสียงกับธรรมออกมาพร้อมกัน พระสาวกก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายจึงมีน้ำหนักต่างกันมากทีเดียว กับเราได้แต่เสียงมา ท่านมีธรรมออกมากับเสียงพร้อมกันทีเดียวๆ
เวลาเทศน์สอนนี้เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ได้ยินหมด มนุษย์มนาเรารวมแล้วบรรลุธรรมเป็นจำนวนมากมาย เพราะธรรมกับเสียงออกมาพร้อมกัน เสียงก็เป็นความจริงไปด้วย เพราะธรรมพาให้จริง นี่แหละความรู้ความเห็นที่เป็นอยู่ในใจออกมาทำประโยชน์แก่โลก มีความต่างกันกับผู้ที่นำธรรมออกมาแสดงเป็นผู้ทรงธรรมไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เรียนจดจำมาธรรมดาก็ได้แต่เสียงธรรมมา ตัวอรรถธรรมจริงๆ แม้ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ เทศน์ไม่แน่ใจ การฟังก็มีผลอย่างเดียวกัน ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ครั้งพุทธกาลท่านเทศนาว่าการบรรดาพุทธบริษัทมาฟังธรรม นับแต่เทวบุตรเทวดาลงมาจนกระทั่งถึงมนุษย์เราจำนวนมากมาย การบรรลุธรรมคือผลที่เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายนั้นจึงต่างกันมากมาย เทียบไม่ได้ ในการเทศน์ธรรมดาเราด้วยความจำกับเทศน์ด้วยความจริงที่ออกมาจากจิตใจ นี่ละศาสนามันสำคัญอยู่ที่ผู้ทรงธรรมไว้นำออกมา กับผู้ที่ทรงความจำไว้แล้วนำออกมาก็มีแต่ความจำ หากเป็นประโยชน์อยู่ไม่มากก็น้อย ไม่ใช่ว่าปฏิเสธว่าไม่เป็นประโยชน์ คือเป็นประโยชน์เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีน้ำหนักมากเท่าท่านผู้ทรงธรรมไว้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วแสดงออกมานั้นมีผลมากสำหรับผู้ฟัง
อันนี้แต่ก่อนมีมากนะ เพราะท่านผู้ปฏิบัติธรรมแต่ก่อนมีจำนวนมากมาย ถ้าว่าพระเจ้าพระสงฆ์ส่วนมากมีแต่ออกประพฤติปฏิบัติ พอบรรพชาอุปสมบทเรียบร้อยแล้วก็ไล่เข้าป่าเข้าเขา ป่าเขาถ้าหากว่าเราเรียกอย่างสมัยปัจจุบันนี้ก็เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่า ป่าแห่งอรรถแห่งธรรม ผู้ไปบำเพ็ญอบรมศึกษาอยู่ในป่า ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขาดังที่ท่านแนะนำสอนให้ไปนั้น ผลที่ตกออกมาจึงปรากฏต่างกัน ออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า องค์นี้เป็นพระโสดา องค์นั้นเป็นพระสกิทาคา องค์นี้เป็นพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นำธรรมที่สำเร็จเป็นผลจากตัวเองแล้วนี้ไปแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก ก็ได้ผลเป็นที่พอใจๆ ตามกำลังนิสัยวาสนาของตน เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นมากที่ควรจะให้ใกล้ชิดติดกับหัวใจของเรา
ไปที่ไหนอย่าลืมธรรม แม้คิดจะโกรธจะเคียดจะแค้น พอธรรมปรากฏขึ้นในใจเท่านั้นเองสิ่งเหล่านี้จะค่อยระงับดับลงไปทันที เพราะเป็นน้ำดับไฟ ระลึกถึงธรรมปั๊บก็เท่ากับระลึกถึงน้ำที่มาดับไฟของกิเลสที่มันกำลังแสดงฤทธิ์เดชอยู่ในเวลานั้น นี่ละธรรมกับใจจึงให้ติดกันไป จะไม่ผาดโผนโจนทะยานมนุษย์เรา ถ้ามีแต่เรื่องของกิเลสตัณหานี้เป็นฟืนเป็นไฟ พลิกหน้าพลิกหลังร้อยสันพันคม ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม มีแต่เสียงกิเลสว่าจะทำบ้านเมืองหรือโลกให้เจริญ กลายเป็นคว่ำบ้านคว่ำเมืองให้เหลวแหลกแหวกแนว มีแต่เถ้าแต่ถ่านไปได้ด้วยอำนาจของกิเลสพานำ
นี่ละใครที่ว่าอยากเป็นผู้ใหญ่กำลังเป็นบ้ากันอยู่เวลานี้ จะคัดเลือกหรือจะอะไรวันที่เท่านั้นเท่านี้ จะตั้งรัฐบาลใหม่นั่นน่ะ กำลังแย่งกันยุ่งกันด้วยกิเลสตัณหา ไม่ได้ยุ่งด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม ครั้นได้มาแล้วก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาบ้านเผาเมือง ตับปอดประชาชนจะไม่มีเหลือ เพราะตัวพุงใหญ่ๆ นั้นแหละมันกินมันกลืน กินไม่หยุดไม่ถอยคือกิเลสกินสัตว์โลก ธรรมมีคำว่าพอ เรื่องกิเลสแล้วไม่มีคำว่าพอ ได้เท่าไรเหมือนกับเราไสเชื้อเข้าไฟ ได้เท่าไรยิ่งอยากๆ อยากมากทีเดียว เหมือนไสเชื้อเข้าไฟ เปลวของมันแสดงออกจรดเมฆๆ
เปลวของกิเลสคือความอยากความทะเยอทะยาน ที่มันได้รับเชื้อไฟเข้าไปแล้วมันก็ลุกลามอย่างนั้น จึงหาความสุขไม่ได้มนุษย์เรา ถ้าปราศจากธรรมเสียอย่างเดียวไม่มีความสุข ใครอย่าไปคิดข้ามหัวพระพุทธเจ้า ข้ามหัวธรรมของพระพุทธเจ้า-พระสงฆ์สาวกไป ว่าจะเอาดีเอาเด่น เอาความสุขความเจริญ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป เหยียบหัวธรรมไปนั้นไม่มีหวัง อย่าไปคิดนะ ให้อยู่ในอรรถในธรรมนี้จะสม่ำเสมอ เหมือนหนึ่งว่าได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปทุกฝีก้าว ถ้าผู้มีธรรมในใจไม่ลืมตัวง่ายๆ นะ ถ้าไม่มีธรรมแล้วลืมตัว
ดังที่เห็นมาแล้วนี้เราสลดสังเวชนะ เราเป็นพระไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง แต่การแนะนำสั่งสอนสั่งสอนได้หมดตลอดเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ไม่ใช่เพียงสอนได้มนุษย์ของเราเท่านั้น สอนได้หมด ธรรมเหล่านี้จึงนำมาพูดได้ทั้งนั้น มนุษย์มนาครองบ้านครองเมืองมันเอากิเลสตัณหาเข้าไปครอง เอาหอกเอาหลาว เอาฟืนเอาไฟเผากันเข้าๆ ยกคนใดขึ้นมาว่าจะพาครองบ้านครองเมือง มันกลายเป็นยกยักษ์ยกผีขึ้นมากินบ้านกินเมืองแหลกเหลวเป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมด
อย่างนี้ละมนุษย์สัตว์โลกที่มีกิเลสมันไม่ฟังเสียงครูคือธรรม ถ้าฟังเสียงครูคือธรรมแล้วจะสงบร่มเย็นคนเรา กิเลสมันจะเอาให้ผิดคาดผิดหมายทุกอย่าง ถ้าธรรมแล้วมีอยู่ในขอบเขต ไม่ผิดคาดผิดหมาย ผลก็เป็นความสงบร่มเย็น ถ้าเป็นกิเลสแล้วผลออกมามีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กัน นี่ละกิเลสกับธรรมอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน ได้ไม่พอคือกิเลส ได้มาเท่าไรพอ มีความอบอุ่นเย็นใจสบายใจนั้นคือธรรม การปฏิบัติธรรมมันไม่ไปหาละนะ ผู้ปฏิบัติธรรมหนักในธรรมมากเท่าไรๆ เรื่องภายนอกที่เคยเป็นฟืนเป็นไฟมาแต่ก่อน ที่ตนถือว่าเป็นแก้วเป็นแหวนเป็นเทวบุตรเทวดา มันก็เห็นไปตามความจริงคือฟืนคือไฟ มันไม่ได้เห็นว่าเป็นของเลิศเลออะไรยิ่งกว่าธรรม การปฏิบัติธรรมได้มากเท่าไรยิ่งเย็น ยิ่งสงบเย็นไป
นี่การปฏิบัติธรรม ที่ให้เห็นชัดเจนก็คือผู้ปฏิบัติจิตตภาวนา เช่นอย่างท่านไปอยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม มุ่งมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจนี้เป็นผู้ฝึกผู้ทรมานได้รับความทุกข์ความลำบากมากที่สุด แต่โลกเขามองไม่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าก็สลบถึงสามหน นั่นฟังซิ ทุกข์หรือไม่ทุกข์คนเรา นั่นละแสวงหาธรรม ทีนี้ผู้ไปบำเพ็ญตนอยู่ในป่าในเขาก็เช่นเดียวกัน เสาะแสวงหาธรรม จิตใจอยู่กับธรรมๆ การอยู่การกินใช้สอยทุกอย่างความเป็นอยู่ไม่สนใจ ยิ่งกว่าการปฏิบัติธรรมด้วยการประกอบความพากเพียรทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน เว้นแต่หลับซึ่งเป็นของสุดวิสัย ตื่นขึ้นมาสติปัญญาเครื่องทำงานก้าวแล้ว ทีนี้ความพากความเพียร ความอดความทน ความอุตส่าห์พยายามนี้ไปด้วยกันๆ
สุดท้ายจิตใจที่มันผาดโผนโจนทะยานอยู่ในผู้เริ่มปฏิบัติ ที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวพิษภัยของกิเลส และไม่รู้เรื่องรู้ราวคุณค่าของธรรมก็เริ่มปรากฏขึ้นจากการอบรมจิตใจ ตัวคึกตัวคะนองนั้นแลคือตัวไฟเผาใจ น้ำดับไฟได้แก่ธรรมความสงบ มีสติให้ดี รักษาจิต เอาลองไม่ให้มันคิดมันปรุงมันจะเป็นอย่างไร ในเบื้องต้นเอาอย่างนี้ก่อน เราคิดก็ให้คิดแต่งานของธรรม เช่นคิดพุทโธก็เป็นงานของธรรม ธัมโม สังโฆ หรือธรรมบทใดก็ตามนั้นเรียกว่างานของธรรม มีสติกำกับงานนั้นๆ ผลจะเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมาๆ แก่ผู้ปฏิบัติโดยลำดับ จนกระทั่งถึงว่ายันได้เลยถ้ามีสติในการประกอบความพากเพียร กับเรื่องความสงบร่มเย็น เรียกว่ายันกันได้เลย จนกระทั่งถึงความแน่นหนามั่นคงของใจ
ที่ว่าอะไรในโลกนี้เป็นทุกข์ที่สุด อะไรในโลกนี้เป็นสุขที่สุดเป็นบรมสุข สุดท้ายทั้งสองอย่างนี้ก็มาได้ที่ใจดวงเดียว ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศกว้างแสนกว้างกี่ขอบเขตจักรวาล เขาไม่มีความทุกข์ความลำบากลำบน ความสุขความเจริญอะไรเขาก็ไม่มี สิ่งที่มีก็คือว่ามีที่ใจ สิ่งเหล่านั้นมาปรากฏอยู่ที่ใจของสัตว์โลก สัตว์โลกได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายเพราะไปในทางผิด เมื่อผิดไปเท่าไรก็ยิ่งเดือดร้อนวุ่นวาย สมบัติเงินทองข้าวของมีมาก็เป็นการเสี่ยงทาย ถ้าไม่มีธรรมเข้ากำกับรักษาสิ่งเหล่านั้นเป็นของไม่แน่นอน เสี่ยงอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้เมื่อมีธรรมเข้าสู่ใจสิ่งเหล่านั้นก็ค่อยเย็นไป ๆ เอา มีมาก็มี สิ้นไปก็สิ้นไป ได้มาเสียไปเป็นของคู่กัน ก็รู้เท่าทันกัน แต่การปฏิบัติทางด้านจิตใจมีความสม่ำเสมอ เย็นสบาย นี่เป็นสมบัติที่สบายคือธรรมสมบัติ เกิดขึ้นจากการภาวนา วัตถุสมบัติเกิดขึ้นด้วยความจำเป็นของธาตุของขันธ์ ความเป็นอยู่แห่งร่างกายของสัตว์โลก ทั้งเขาทั้งเราก็ต้องประคับประคอง บำรุงรักษาขวนขวายกันไปอย่างนั้นแหละ แต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ คือธรรมกับใจ อย่าให้ห่างเหินจากกัน อันนี้เป็นสิ่งที่แน่นอนมากทีเดียว
ภายนอกเราก็อุตส่าห์วิ่งเต้นขวนขวาย การกินกินทุกวันทุกเวลา นอนทุกวันเวลา ใช้สอยทุกวันทุกเวลา ไม่ขวนขวายหาการหางานจะได้อะไรมากินมาใช้มาสอย มันจำเป็นต้องได้ทำ ทำเพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อความจำเป็นของความเป็นอยู่ ชีวิตจิตใจของเราของท่านต้องขวนขวาย แต่ภายในใจแห้งผากจากอรรถจากธรรม ยิ่งเป็นความรุ่มร้อนยิ่งกว่าสิ่งใดนั้นก็ให้กลับใจขึ้นมาอบรมบำรุงจิตใจให้มีความสงบเย็น ถ้าใจมีความสงบเย็นแล้วจะเย็นไปหมด ใจเย็นนี้เย็นหมด ถ้าร้อนก็ร้อนหมดแดนโลกธาตุ อยู่ที่ใจดวงเดียว
เพราะฉะนั้นจึงอบรมใจอันเป็นเรื่องใหญ่โตนี้ ให้เป็นคู่เคียงกันไปกับการเสาะแสวงหาด้วยการทำมาหาเลี้ยงชีพ ให้ทำกันไป ส่วนจิตใจก็เสาะแสวงหาธรรม ซึ่งเป็นอาหารอันเลิศเลอ ไม่มีอาหารใดเสมอธรรมเข้าสู่ใจ ทางด้านวัตถุเครื่องอาศัยปัจจัยไปวันหนึ่งๆ ก็ให้วิ่งเต้นขวนขวายเช่นเดียวกัน ให้มีความสม่ำเสมออย่างนี้ ผู้นั้นอยู่ก็เย็นใจ ไปก็หายห่วง เวลามีธาตุมีขันธ์ก็ได้อาศัยปัจจัยทั้งหลายสมบัติเงินทองข้าวของมาเพื่อเยียวยารักษา ทางภายในใจก็ขวนขวายหาคุณงามความดีคือธรรม
สมถธรรมคือความสงบร่มเย็นให้มีแก่จิตใจโดยสม่ำเสมอ ภายนอกก็ได้อาหารเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา ภายในก็ได้ธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ จิตใจก็มีความสงบร่มเย็น นี่ละสำคัญอยู่ที่นี่ ใจถ้าได้ลงถึงขั้นความสงบตลอดถึงความสงบจนเป็นธรรมธาตุแล้วนี้ไม่มีอะไรเสมอในโลกทั้งสามนี้ จิตอบรมจนกระทั่งถึงเป็นธรรมธาตุ ดังพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่าน นี้คือท่านผู้ทรงธรรมธาตุภายในจิตใจไว้โดยสมบูรณ์ จิตใจธรรมดานั่นละที่มันมีกิเลสคละเคล้ากันอยู่ทั้งสุขทั้งทุกข์สับปนกันไป แต่เวลาชำระมากเข้าๆ สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟที่เกิดจากกิเลสมันก็ค่อยเบาตัวลงไปๆ สิ่งที่เป็นธรรมเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นก็มีหนาแน่นขึ้นมาๆ จิตก็เลยสบาย นั่น
นี่ละความสุขความทุกข์หาจริงๆ รู้จริงๆ หาได้ที่ใจ รู้ได้ที่ใจ ที่อื่นก็ดังท่านๆ เราๆ ไม่เคยเห็นเจอ แต่โดนกันทั้งวันกับเรื่องทุกข์ ไปหาทุกข์ไม่เห็นทุกข์แต่โดนทุกข์ทั้งวัน หาความสุขไม่เจอในเรื่องความสุขกลับไปโดนเอาแต่ความทุกข์ ถ้าหาให้เป็นไปด้วยธรรมเทียบเคียงกันไปแล้วก็จะได้ทั้งความสุขความทุกข์ มีปัญญาเกิดขึ้นๆ ในเวลาประสบเหตุการณ์ต่างๆ สติปัญญามีสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมแล้วนำมาพิจารณาใคร่ครวญแก้ไขดัดแปลงแล้วก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ นั้นแหละ
ขอให้พี่น้องทั้งหลายสนใจทางด้านจิตตภาวนาด้วยนะ การให้ทานเราเคยให้มาเป็นประจำ ไม่มีทางสงสัยว่าบ้านใดเรือนใดสำหรับเราที่เป็นชาวพุทธ ได้มาที่จะกินเปล่าๆ กลืนเปล่าๆ โดยให้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นั่งเฝ้ากินของเศษของเดนเรานี้ไม่เคยมีสำหรับชาวพุทธเรา ได้มาอะไรก็คิดถึงพระก่อนเลยละ อะไรที่เป็นของดิบของดีจะไม่คิดถึงตัวเองสำหรับชาวพุทธ จะคิดถึงพระเจ้า-พระสงฆ์-การทำบุญให้ทานนี้ก่อนอื่นๆ นี่เป็นนิสัยของชาวพุทธเรา
ทีนี้เวลาค่อยกลมกลืนเข้าสู่ใจแล้ว จิตใจก็มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงคือบุญคือกุศล ภายนอกก็มีอาหารที่เราอุตส่าห์พยายามหามาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกัน ก็อยู่ได้สบายๆ ภพนี้เราก็ไม่อัดอั้นตันใจเพราะบุญเราก็สร้าง การให้ทานเราก็ให้ อยากจะว่าทุกครอบครัวไปเลยในชาวพุทธของเรา ไม่ได้คำนึงถึงความอดอยากขาดแคลนของตัวเอง มีเท่าไรระลึกถึงพระก่อนๆ เพราะจิตใจอยู่กับธรรม ต้องเป็นอย่างนั้นด้วยกันนั้นแหละ
ทีนี้ให้พยายามทำดังที่ว่ามานี้ ทางด้านจิตใจก็ให้ชำระสะสาง มันมีกิเลสตัวสำคัญอยู่ภายในใจ นั้นละตัวฟืนตัวไฟ ไม่ขึ้นอยู่กับความมีความจนนะ คนมีก็เป็นทุกข์ได้ คนจนก็เป็นทุกข์ได้ ถ้าไม่มีธรรมรักษาใจ ถ้ามีธรรมรักษาคนมีก็มีความสุข คนจนก็มีความสุข ขอให้มีธรรมแทรกอยู่ในนั้นเถอะ ถ้ามีแต่อย่างเดียวคือโลก โลกหรือโลภได้ไม่พออย่างเดียวมีแต่กองทุกข์ เราเห็นไหมนี่มีตั้งแต่พวกเศรษฐีกุฎุมพีมาปกครองเหย้าเรือน แล้วก็มีแต่ตัวพุงใหญ่ๆ มาพร้อมกันด้วย มานี้กินบ้านกินเมืองกินตับกินปอดประชาชน มีเท่าไรเป็นไม่เหลือๆ ด้วยอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ที่เขาเสกขึ้นให้เป็นหัวหน้า เลยกลายเป็นหัวหน้าป่าเถื่อน เป็นยักษ์เป็นผีป่าเถื่อนกินบ้านกินเมืองไปหมด
นี้ล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสไม่มองเห็นโทษของตัวเอง และไม่มองเห็นธรรม สุดท้ายก็มีแต่โทษเต็มตัวๆ อยู่ที่ไหนก็ร้อน ในเมืองไทยว่ากว่างก็ไม่กว้างโดดไปอยู่เมืองนั้นว่าจะเย็นไม่เย็น โดดไปเมืองไหนๆ ก็ไฟเผาอยู่ที่หัวใจ ความโลภไม่พออยู่ในหัวใจ มันก็ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปเรื่อยๆ นี่ละความไม่มีธรรม ใครเก่งกว่าศาสดาจะต้องจม ผู้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมคือฟังเสียงศาสดา ผู้นั้นจะพอมีขื่อมีแปเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ ไม่ว้าเหว่เสียอย่างเดียว ทั้งๆ ที่สมบัติเงินทองข้าวของมีเต็มบ้านเต็มเรือน แต่เวลาตายตายไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยสำหรับคนโง่ เห็นแก่ความโลภอย่างเดียวเป็นอย่างนั้น ถ้าคนมีธรรมแล้วเห็นทั้งสองฝ่าย เป็นความดิบความดีด้วยกัน ให้พากันคำนึง
การบำเพ็ญจิตใจนี้เป็นของยากอยู่นะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทีแรกจิตใจมันรุนแรง กระแสของกิเลสนี้เหมือนกับคลื่นมหาสมุทร ตั้งสติภาวนานี้เหมือนกับเอาฝ่ามือกั้นคลื่นมหาสมุทร เอาไว้ไม่อยู่ ต้องเผลอต้องไผลอะไรจนได้นั้นแหละ แต่เอาไม่หยุดไม่ถอยสติก็ค่อยดีขึ้นๆ คลื่นแห่งกิเลสทั้งหลายที่เคยปะทะกันกับสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเราก็ค่อยเบาลงๆ ธรรมะก็ค่อยเจริญขึ้นมาได้ กลายเป็นธรรมที่อัศจรรย์ขึ้นในใจโดยไม่เคยคิดเคยคาดมาแต่ก่อนตั้งแต่เกิดมา ก็ได้เจอขึ้นแล้วที่จิตใจของนักภาวนา ผู้มีความรักใคร่ใกล้ชิดกับอรรถกับธรรม เข้าที่เข้าฐานเข้าสู่ภาวนาสงบใจ
เพราะใจนี้วุ่นวายทั้งวันไม่มีความสงบ ถ้าติดเครื่องแล้วดับไม่ลง ต้องเอาธรรมเข้าไปดับเครื่องจึงจะสงบลงได้ นี่ให้ทำกันไป ทำกันไปมากเข้าๆ มันจะเห็นชัดเจน จิตใจที่มีธรรมเข้าสู่ตัวเองแล้วจะค่อยมีความยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาภายในจิตใจ เรียกว่ามีทางออก ไม่ใช่ถูกปิดตันท่าเดียว พอมีธรรมเข้าสู่ใจใจจะพอมีทางออกเป็นลำดับลำดา เพราะฉะนั้นจึงให้อบรมจิตใจให้ดี การภาวนาเบื้องต้นยากด้วยกันทุกคน อย่าเข้าใจว่าการภาวนาง่าย ยกไว้เสียในบุคคล ๔ ประเภท เรายกมาเพียงสองอย่าง ขิปปาภิญญา ผู้ที่รู้ได้เร็ว ทันธาภิญญา รู้ได้ช้า ๔ ประเภท แต่เราแยกออกมาสองประเภท
ถ้าผู้มีอุปนิสัยปัจจัยรวดเร็วพร้อมที่จะรู้จะเห็นธรรมอยู่แล้วนั้นเรียกว่า ขิปปาภิญญา ยกตัวอย่างเช่น พระพาหิยะ แต่ก่อนท่านได้บำเพ็ญภาวนา ตกน้ำตกท่าอะไร ในมหาสมุทรทะเลหลวงท่านก็เคยตกมา ทีนี้พอมาเกิดในชาตินี้เป็นฆราวาสมีความเคารพเลื่อมใสพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง พระองค์เสด็จไปบิณฑบาตอยู่ นี้ก็ตามท่าน ท่านบอกให้พักเสียก่อนเรากำลังเดินบิณฑบาต นี้ก็ติดตามเรื่อยเลย จนกระทั่งไปถึงวาระอันสมควรแล้วพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้ฟัง
ประเภทขิปปาภิญญาที่รู้ได้เร็ว พอท่านแย้มธรรมะออกไปเท่านั้น พระพาหิยะ บรรลุอรหัตผลทันทีเลย นั่น นี่ละที่ว่าผู้บรรลุธรรมได้เร็ว อยู่รอพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อยก็รอไม่ได้ พระพุทธเจ้าไปที่ไหนตามเสด็จตลอดๆ นี่ถึงขั้นรอไม่ได้ๆ พระพุทธเจ้าก็หันพระพักตร์ เข้ามาแนะนำสั่งสอนไม่กี่ประโยคก็บรรลุธรรมเป็นอรหัตบุคคลขึ้นมา นี้ประเภทที่รู้ได้เร็ว ประเภทที่ช้าก็ให้บืนกันไป ช้าเท่าไรก็ยิ่งขี้เกียจขี้คร้านจมไปเลยนะ ความขี้เกียจขี้คร้านไม่พาใครได้มรรคได้ผลอะไรละ ความอุตส่าห์พยายามความขยันหมั่นเพียรนี้ต่างหากจะพาคนให้ได้ดิบได้ดี ให้พยายามพยุงจิตใจของเราให้ดี
จิตใจนี้เวลามันเลิศเลิศจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา เราไม่เคยเห็นสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้จะเลิศเลอเลยจิตดวงบริสุทธิ์นี้ไป ไม่มี จิตดวงนี้เป็นจิตธรรมธาตุ เลิศเลอสุดยอดเลย นี้ละเวลาฝึกฝนอบรมได้แล้วเป็นอย่างนี้ ธรรมธาตุนี้เที่ยงด้วย เหมือนกับว่านิพพานเที่ยง เป็นไวพจน์ของกันและกัน คือธรรมธาตุก็ดี นิพพานก็ดี เที่ยงด้วยกัน นี่ละการอบรม เอาให้ดี ให้พิจารณา ธรรมะพระพุทธเจ้าที่ศาสดาองค์เอกสอนไว้นั้นเป็นธรรมะปัจจุบันธรรมตลอด ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย
กาลนั้นเวลานี้กินไปๆ มืดแจ้งกินไป เดือนปีนาทีโมงกินไปอย่างนี้ไม่มี มีตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศเขาเปลี่ยนตามธรรมชาติ แต่ธรรมก็เป็นธรรมตามธรรมชาติของตน ไม่มีสิ่งใดมายักย้ายผันแปรให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ผู้ปฏิบัติได้ผลเป็นลำดับลำดา เรียกว่าอกาลิโก ทำชั่วได้ชั่วทุกเวลาที่ทำ ทำดีได้ดีทุกเวลาที่ทำเหมือนกัน ให้อุตส่าห์พยายาม กาลนี้เวลานี้เป็นกาลอันควร ชีวิตของเราก็ยังพอเป็นไปตามความเป็นอยู่พูวายของเราก็พอถูไถกันไป ส่วนภายในจิตใจที่จะเสาะแสวงหาความดีเข้าสนับสนุนตนก็อย่าพากันนอนใจ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
จิตนี้เมื่อถึงขั้นเลิศแล้วไม่มีอะไรเสมอ เลิศจริงๆ เรียกว่าโลกธรรม ๘ ขาดสะบั้นไปหมดเลย อะไรจะเอื้อมเข้ามา มาชมเชยสรรเสริญหรือมาติฉินนินทาขาดไปด้วยกันหมด เพราะไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมที่ว่าธรรมธาตุ นั่นละให้พากันจำเอา วันนี้ก็ไม่เทศน์มากมายนักละ เพราะเหนื่อยเทศน์ทั้งวันๆ เหนื่อย เอาละพอ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|