เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพมหานคร
เมื่อค่ำวันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
สำนักงานของพระกรรมฐาน
อาหารที่ควรฉันๆ ให้กระจายไป พระอยู่ที่ไหนๆ บ้าง เอามาจ่อใส่แต่หลวงตาๆ เคารพหลวงตา เลื่อมใสหลวงตา เอามาให้แต่หลวงตากิน พระเหล่านั้นเลยไม่ได้กิน เขาไม่เคารพ เขาไม่เลื่อมใส เขาเลื่อมใสแต่หลวงตาองค์เดียวนี่แหละ เพราะฉะนั้นหลวงตานี้จึงท้องป่องเลย ป่องตลอดเวลา
(โยมถวายที่นอน) มีแต่ที่หลับที่นอนดีๆ พระพุทธเจ้าสอนพระไม่ให้ลืมตัว สอนให้ตั้งสติอยู่ตลอดเวลาระหว่างการกิน จึงให้มีสติปัญญาพิจารณาสิ่งที่กิน ควรกินหรือไม่ควรกินมากน้อยเพียงไร การกินการอยู่การใช้สอย ท่านสอนอย่างนี้ อุจฺจาสยน มหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ เขาไม่ได้เป็นเจ้าคัมภีร์ พระเป็นเจ้าคัมภีร์ จะปฏิบัติยังไง นี่ละตรงนี้ ท่านห้ามตั้งแต่ศีล ๘ ขึ้นไป ไม่ให้นั่งและนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงและใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี คือมันนุ่มเกินไป นอนเหมือนเซ็นใบตายแล้วค่อยนอน ไม่ใช่ผู้นอนด้วยความมีสติสตัง ตั้งหน้าตั้งตาชำระกิเลสอยู่ภายในใจ ขัดกัน
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ตรงไหน เตือนก็เตือนให้ระวังกิเลสทั้งนั้นๆ ทุกอย่างการอยู่การกิน การใช้การสอย อดๆ อยากๆ ขาดๆ แคลนๆ ไม่ให้สมบูรณ์พูนผล นี่ละธรรมสอน ผู้จะละกิเลสต้องเอาความอดอยากขาดแคลน ความทุกข์ความลำบากฟาดกันกับกิเลส ถ้าจะเอาแบบหมูขึ้นเขียงไปสู้กิเลสนี้ ก็เป็นลาบหมูไปเลย เข้าใจ
เราดูทุกกิทุกกี คือตามแบบตามฉบับเรียนมา เพราะท่านสอนให้ปฏิบัติตาม ไม่ได้สอนเพียงสักแต่ว่าอ่านเฉยๆ ฟังเฉยๆ โดยไม่สนใจปฏิบัติ นี่ท่านสอนเพื่อปฏิบัติโดยตรง ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เฉพาะสอนพระนี้ละเอียดลออมากทีเดียว ตั้งแต่ศีล ๘ ขึ้นไปก็ห้ามแล้ว ไม่ให้นั่งให้นอนเหนือที่นั่งที่นอนอันสูงและใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี มันนุ่มมันลืมตัว ท่านสอนไว้แล้วไม่ให้ลืมตัว ศาสนากับเราผู้ปฏิบัติศาสนานี้ มันห่างกันเหมือนหนึ่งว่าเป็นคนละโลก พระองค์ทรงแสดงไว้เรื่อง.อปัณณกปฏิปทา คือการปฏิบัติมีแต่ความถูกต้องโดยถ่ายเดียว ไม่มีความผิดไปแทรกในการปฏิบัตินั้นเลย นี่เรียกว่า อปัณณกปฏิปทา การปฏิบัติไม่ผิด
แล้วมีอะไรท่านก็สอนในหลักของการปฏิบัติไม่ผิดเรื่อยมา เช่นอย่างการหลับการนอน นี่เอาแล้วนะ การสำรวมระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรนี้ ข้าศึกจะประสานเข้ามาในขณะนั้น ให้มีสติติดแนบๆ กับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับตา หู จมูก ลิ้น กาย เฉพาะอย่างยิ่งจิตเป็นตัวก่อเรื่องก่อราวอยู่แล้ว สติจ่ออยู่ตรงนั้น มันแสดงออกเรื่องราวอะไร แล้วมีอะไรเข้ามาสัมผัส มันเป็นภัยขึ้นมาเพราะสิ่งใดมาสัมผัส นั่นละท่านสอน นี่หมายถึงท่านสอนพระ ท่านสอนละเอียดลออมากทีเดียว การอยู่การกินทุกอย่างไม่ให้กินแบบลืมเนื้อลืมตัว
พอพูดเรื่องนี้เราก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นของเรา ซึ่งเราเทิดทูนสุดหัวใจ ไปหาท่านด้วยความตั้งอกตั้งใจเต็มกำลัง เพราะท่านจะเป็นผู้เปลื้องเรื่องความสงสัยในมรรคผลนิพพาน ซึ่งตรงกันกับเจตนาของเราที่มีอย่างแรงกล้าเลยว่า มุ่งต่อมรรคผลนิพพานแดนพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวในชาตินี้ ยังไงถึงกิเลสเต็มหัวใจก็จะไม่ให้มีเหลือ จะให้กิเลสม้วนเสื่อทั้งหมดเลย ครองอรหัตบุคคลขึ้นมาภายในใจ แล้วครองนิพพานเรียกว่าเป็นธรรมธาตุขึ้นภายในใจ โดยไม่ให้มีอะไรสงสัยเคลือบแคลงในตัวเองที่จะแบ่งรับแบ่งสู้นี้ไม่ให้มี
ตั้งหน้าตั้งตาไปฟังเทศน์ท่าน ตั้งจริงๆ เพราะนิสัยนี้ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว นิสัยนี้จริงจังมากทีเดียว ผาดโผนโจนทะยาน เป็นนิสัยอย่างนั้น แต่ก็พอเหมาะกับกิเลสมันผาดโผนโจนทะยานมาตลอด ทีนี้เวลาได้ธรรมะประเภทนี้ออกรับกันมันก็แก้กันได้ๆ เป็นลำดับ พอพูดไปก็ลืมแล้วนะ เกี่ยวกับเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น พูดเรื่องอะไร ลืม เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นละความจำ พูดไปหลงลืมไปเรื่อยๆ
ที่นอนของท่านเราดูนะ มีเสื่อเท่านั้น แล้วผ้าจะเป็นผ้าอาบน้ำหรือผ้าเราธรรมดาปูบนที่นอน ไม่ให้มีนุ่มๆ นวลๆ เลย นั่นละท่านปฏิบัติ เราไปดูที่นอนเลย โห ท่านสิ้นแล้วขนาดนี้ ท่านยังไว้ลวดลายแห่งนักสู้ไม่ลดราวาศอกเลย คือการปฏิบัติของท่านเป็นกิริยาของนักรบอยู่ตลอด ทั้งๆ กิเลสนี้ขาดสะบั้นไปจากหัวใจท่านเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าเราจะพูดอย่างในสมัยปัจจุบันก็คือ หลวงปู่มั่นเรานี้คือเพชรน้ำหนึ่ง ได้แก่พระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันเราไม่สงสัย
เพราะได้อยู่กับท่านมามากต่อมากนานแสนนาน ธรรมะลึกตื้นหยาบละเอียดท่านถอดออกมาสอนหมดเลยทีเดียว แม้ที่สุดเวลาท่านจะหลุดจะพ้นท่านก็ได้อธิบายให้ฟังสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับท่าน ถ้าอยู่ทั่วๆ ไปท่านไม่ได้พูดนะเรื่องอย่างนี้ไม่พูด แต่ท่านพูดธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ปฏิปทาเพื่อความพ้นทุกข์ แก้ถอดถอนกิเลสไปโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้เอาท่านมายันนะ ไม่เอา เราก็จับเอาตามนี้แหละ จับตามนี้
เรื่องแก้กิเลสท่านสมบุกสมบันมากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ทุกอย่างท่านไม่ชินกับอะไรเลย ทีนี้ก็มาเข้ากันกับที่ว่า ส่วนมากพระในครั้งพุทธกาลท่านฉันในบาตรทั้งนั้นแหละ ในตำรามีอยู่ทุกอย่าง บอกอะไรก็บอกบาตรๆ ไม่ได้บอกภาชนะถ้วยชามนามกรอะไร ใครก็เรียน ใครก็เห็นในตำรา มีแต่เอะอะก็ในบาตรๆๆ ทั้งนั้น ทีนี้พอไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ดูท่านฉัน พอไปไม่นานนะ ท่านฉันอย่างนั้นอยู่แล้ว เราไปท่านก็คงจะเอาเรดาร์ท่านจับเรื่องความสนใจของเรา เพราะสนใจทุกแง่ทุกมุมในบรรดาความเคลื่อนไหวของพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ จะไม่ให้มีอะไรเรี่ยราดสาดกระจายไปไหนเลย จะกว้านเข้ามาๆ สู่หัวใจ บูชาสุดหัวใจไปเลย
ทีนี้เวลาไปฉันกับท่านก็ดูท่านฉัน ท่านคงจะคิด เพราะเราคิดในแง่เรื่องช้อน ฉันช้อนในบาตร ไม่นาน ท่านจะทราบแล้ว ท่านจับได้แล้วคือเราจิตจ่อ จดจ่อตรงนั้นอยู่แล้ว พอไปไม่กี่วันท่านว่า การขบการฉันของพระ โลกทั้งหลายเขาถือว่าเป็นคุณเป็นประโยชน์ เขาไม่ได้คิดเรื่องภัยเรื่องผิดเรื่องพลาดประการใดเลยในการขบการฉันการรับประทาน แต่เรานี่มันอดไม่ได้ นี่ละตอนสำคัญ ฉันนี้เราไม่ได้ฉันเพื่อเป็นคุณเป็นประโยชน์โดยถ่ายเดียว แต่เพื่อเยียวยาธาตุขันธ์ที่มันต้องอาศัยอาหารการบริโภคนี้ไปเพียงวันหนึ่งๆ เพื่อความเพียรอันหนักแน่นและเพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น เราไม่ได้ฉันเพื่อความเห็นบุญเห็นคุณในอาหาร ท่านว่าอย่างนี้ เรียกว่าฉันด้วยความเห็นโทษมีสติตลอดเวลา
ทีนี้ท่านก็มาพูดตอนนี้ว่า ฉันในบาตรนี้ก็ฉันด้วยความเห็นโทษ แล้วทีนี้เอาช้อนไปตักอาหารในบาตรมาฉันๆ มันก็ไม่ใช่ฉันเพื่อความเห็นโทษ แต่ฉันเพื่อความเห็นคุณของกิเลสที่จะให้เป็นเหตุเป็นกรรมหรือเป็นโทษ เหยียบอรรถเหยียบธรรมในการฉัน ท่านว่างั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ฉัน นี่นะท่านพูด เพราะเราไปท่านไม่ฉันอยู่แล้ว แต่เราจ่อในจุดนี้อยู่ คือแต่ก่อนก็เห็นพระกรรมฐานท่านฉันจังหันท่านมีช้อนตักอยู่ในบาตรอยู่ เราก็สงสัยไม่เป็นที่ลงใจ จึงมีอันนี้ละมาปักใจเอาไว้ เวลาไปหาท่านก็จึงจ่อลงในจุดที่ว่าท่านฉันอาหารในบาตร ท่านฉันช้อนด้วยหรือเปล่า ไปนั่นไม่เห็นเลยนะ
แต่ก็มีพวกเทวทัตแทรกอยู่ในอรรถในธรรมในพระท่านผู้ดีวิเศษอยู่นั้นแล มีอยู่จนได้ เห็นฉันช้อนในบาตรๆ แทรกอยู่ เราไปดู เอ๊ะ องค์ท่านเองไม่เห็นฉันช้อนเลย แล้วพระเหล่านี้มันหน้าด้านมาจากไหน จึงมาเก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ เอาช้อนตักอาหารในบาตรมาฉันแบบหน้าด้าน นี่มันเป็นในจิตเรานะ เพราะเราจับจริงๆ หาเหตุหาผลจริงๆ พระนี้ก็ว่ามาศึกษากับท่านมาก่อนเราอยู่กับท่าน แล้วเหตุใดจึงเอาช้อนมาตักอาหารในบาตรกินด้วยความหน้าด้านอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน มันก็แย็บติดหัวใจท่าน
เวลาท่านพูดว่าการฉันนี้เราไม่ได้ฉันเพื่อความเห็นคุณในอาหารการบริโภค ไม่เห็นคุณในการบำรุงธาตุขันธ์โดยถ่ายเดียว เราฉันเพื่อระงับดับความทุกขเวทนาทั้งหลาย และเพื่อบำรุงเครื่องมือนี้ที่จะก้าวเดินในทางความเพียรเพื่อฆ่ากิเลสต่างหาก เราไม่ได้ฉันเพื่อความสดสวยงดงาม เพื่อความอ้วนท้วน ความสุขความสบายแต่ประการใดท่านว่า ท่านเลยไม่ฉันในบาตร การเอาช้อนฉันในบาตรไม่จัดว่าเป็นผู้เห็นคุณ ไม่เห็นจำเป็นอะไรกับช้อน เอามาเป็นความจำเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่กิเลสอุตริขึ้นมา ท่านก็บอกว่าท่านไม่ฉันช้อน เวลาเราไปก็ไม่เห็นท่านฉันช้อน เราก็ปุ๊บทันทีเลย ไม่มีคำว่าช้อน ฉันอาหารในบาตร
ทีนี้ก็มีพระหน้าด้านฉันช้อนในบาตรให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ในท่ามกลางวัดของพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านครองอยู่นั้นแล ให้เห็นชัดๆ อย่างนี้เอามาพูดให้ชัดเจน พระหน้าด้านมันมีนะ มันถกมันเถียงกับครูบาอาจารย์ มี มันสอดมันแทรกมันเหน็บมันแนม มี เราเห็นด้วยตาของเราเอง จนกระทั่งว่าพระองค์นั้นกับเรานี้เข้ากันไม่ได้เลยในหัวใจ แต่กิริยาอาการเข้าอยู่ธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป เป็นแต่เพียงไม่สนิทใจ กิริยาที่จะให้เป็นความสนิทจริงๆ ไม่มี เป็นแต่เพียงว่าคบค้าสมาคมกันธรรมดา เพราะภายในใจมันไม่ลง ที่เถียงครูบาอาจารย์หนึ่ง แล้วไปทำตัวเองเป็นพระหน้าด้านขัดต่อการดำเนินของท่านที่พาดำเนินมา ในนามความเป็นครูเป็นอาจารย์ ไปขัดต่อธรรมของท่านที่พาดำเนินนี้จึงไม่สนิทใจ นี่เป็นเรื่องที่นำมาคิดตลอด
ทีนี้เวลามองเห็นพระกรรมฐานเอาช้อนฉันในบาตรๆ มันขวางหัวใจ วัดใดที่ไปเห็นอย่างนั้นแล้วเราไม่เข้านะ ทุกวันนี้ก็ไม่เข้า เพราะว่าไปนี่ไปดู ไม่ใช่ธรรมดา ไปวัดนั้นไปวัดนี้ ดูปฏิปทาเครื่องดำเนิน ไปเวลาอื่นไปดูอย่างหนึ่ง ถ้าไปเวลาฉันก็ดูเวลาฉันเป็นยังไงๆ เห็นแก่ปากแก่ท้อง ตะกละตะกลาม ลุกลี้ลุกลนอะไรบ้าง ดู เพราะพระเรานี้ถ้าเป็นพระเห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วเป็นพระที่เลวมากที่สุด พระต้องเป็นผู้มีความอดความทนเก็บความรู้สึก มีความสงบเสงี่ยม เก็บความรู้สึกไว้ได้ดี การอยู่การกินไม่ตะกละตะกลามนั้นเรียกว่าพระของศาสดา ถ้าไปตะกละตะกลามแล้วขายตัวเองเลย ไม่ใช่พระ พระก็เป็นพระกาฝากทำลายต้นไม้
ต้นไม้ต้นใดที่มีกาฝากมากเท่าไร ต้นไม้ต้นนั้นหาความสดชื่นไม่มี ต่อไปถ้ากาฝากมีมากต้นไม้ต้นนั้นต้องตาย เพราะมันดูดกินเอาเนื้อหนังของต้นไม้นั้นเข้าไปเป็นอาหารหล่อเลี้ยงลำต้นของมัน กาฝากแทรกอยู่ในต้นไม้เป็นอย่างนั้น กาฝากคือกิเลสที่เป็นกาฝากแทรกในธรรมของผู้ปฏิบัติ ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน หากมีกิเลสแทรกเข้าไปเช่น อย่างฉันอาหาร ฉันช้อนอยู่ในบาตรพระกรรมฐานเรานี้มันขวางตานะ เราพูดจริงๆ
สำหรับวัดเรานี้ตั้งแต่ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มาแล้วทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยไม่ฉัน แล้วคอยไปจับเรื่องของท่าน ท่านไม่เคยฉันช้อน ท่านฉันด้วยความเห็นภัยจริงๆ ไม่ได้ฉันด้วยความลุกลี้ลุกลนตะกละตะกลามในอาหารการกินแต่อย่างใด สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ไม่มีเลย เรียกว่าฉันด้วยความเห็นภัยจริงๆ มีอะไรมาก็หยิบฉันเล็กๆ น้อยๆ มิหนำซ้ำเราเป็นผู้ดูแลบาตรของท่านเสียด้วย เราไปดู การจัดบาตรของท่าน อาหารอะไรๆ เราก็อยากให้ท่านฉันของดิบของดีด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาท่านเต็มหัวใจ หาตั้งแต่อะไรที่ว่าถูกกับธาตุกับขันธ์ของท่าน เราเป็นคนจัดของใส่บาตรให้ท่านเอง เสร็จแล้วถึงจะเอาบาตรเจ้าของมาวางแอบไว้ข้างๆ ไม่ให้มีใครไปยุ่งได้นะ สำหรับเราพระมายุ่งไม่ได้
อีกประการหนึ่งพระก็กลัวเรารองๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นลงมา เพราะเราเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่ได้ไปอยู่ด้วยความร่ำรวยสวยงาม ด้วยอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ อยู่ด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ เรื่องอะไรๆ ที่จะมา จึงไม่ค่อยแตะค่อยต้องไม่ค่อยเอา ถ้าว่าผ้าก็มีเพียง ๓ ผืนนี้เท่านั้น นี้เป็นประจำ สมาทานผ้า ๓ ผืน จีวร สบง สังฆาฏิ ผืนที่ ๔ ก็คือผ้าอาบน้ำสำหรับเช็ดบาตร สำหรับอาบน้ำมีเท่านั้นเป็นประจำตัวมาตลอดเลยเป็นอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นเวลาท่านเห็นอะไร ด้วยความเมตตาของท่านเห็นว่าเราบกพร่อง ท่านจึงเอาไปทำ บางทีเอาผ้าไปบังสุกุลเรา ท่านทำเป็นเชิงทดลอง จอมปราชญ์ทดลองจอมโง่ อย่างผ้าห่มอย่างนี้เป็นต้น
เพราะเราไม่เคยห่มผ้ากันหนาว สำหรับเราไม่มีพูดได้เด็ดขาดเลย เนื่องจากการฝึกทรมานตนเอง มีอะไรๆ ถ้าจะเป็นการส่งเสริมกิเลสเพื่อความสุขสบายนี้เราตัดออกๆ เลย ผ้าห่มเราจึงไม่เคยมี เราไม่เคยห่มผ้าห่มนะ ทีนี้ท่านก็เห็นจนได้นั้นแหละ ท่านเอาผ้าห่มของท่านที่ท่านห่มอยู่ทุกวัน เพราะเราพับ เราเก็บ เราตากอยู่ทุกวัน ผ้านั้นทำไมจะไม่ทราบ ครั้นเวลาท่านจะทำแล้วก็ไปกุฏิ กุฏิเราก็สูงแค่นี้ พอเข้าไปเห็นแล้ว เห็นผ้าห่มที่ท่านห่มอยู่ทุกวันนั้นแหละ เอาไป โห วางไว้อย่างเป็นศาสตราจารย์ชั้นเอก เอาวางไว้เป็นครูสอนชั้นเอก วางอย่างเรียบร้อย มีเทียนมีดอกไม้ แล้วมีผ้าประคดวางพัน วางไว้กลางที่นอนของเรา
พอเราเดินไป เอ๊ะ นี่ใครเอาผ้ามาบังสุกุลให้เรา พอไปดูแล้วที่ไหนได้ มันเป็นผ้าของท่านที่ห่มอยู่ทุกวัน เราปฏิบัติต่อท่านด้วยผ้าผืนนี้อยู่เป็นประจำก็รู้ละซิ พอมองเห็น โอ๊ย ตายนี่พ่อแม่ครูจารย์เอาผ้าห่มมาบังสุกุลเราแล้วนี่ ทำยังไงนะ เราก้มลงกราบด้วยความเทิดทูนสุดหัวใจ แล้วก็ชักบังสุกุลผ้าห่มผืนนั้น ที่ท่านเอาผ้าที่ท่านห่มอยู่ทุกวันมาบังสุกุลเรา ก็เพราะว่าถ้าเป็นผ้าใหม่ ผ้าในวัดนี้มีเต็มไปหมด ผ้าห่มไม่อด แต่ทำไมเราไม่เอานี่อันหนึ่ง ถ้าท่านเอาผ้าใหม่มาบังฯ กลัวเราจะไม่เอา ท่านต้องเอาผ้าของท่านที่ห่มอยู่มาบังสุกุลให้เรา เราก็ต้องเทิดทูนบุญคุณท่าน ชักผ้าบังสุกุลและห่มให้ท่านในเวลาอยู่นั้น แต่ถ้าออกนอกวัดไปเที่ยวแล้ว ก็พับเก็บเรียบร้อยบูชาไว้วางไว้แล้วไปเลย นี่เราปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างนั้น
พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เรียกว่าเพชรน้ำหนึ่ง ไม่เพียงแต่เพชรน้ำหนึ่งในหัวใจของท่าน จะเป็นธรรมเป็นธรรมธาตุเลย กิริยาอาการที่แสดงออกก็เป็นเพชรน้ำหนึ่งเหมือนกันหมด หาที่ต้องติไม่ได้ นี่ละครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบันในสายของพ่อแม่ครูจารย์มั่น จึงมีท่านนั่นแหละเป็นแสงสว่างกระจ่างในวงกรรมฐานอยู่ตลอดมา เพราะท่านทำจริงๆ ทุกอย่าง เป็นที่เทิดทูนในวงกรรมฐานเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ นี่คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราทำ ท่านทำอย่างนั้น
สายพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็พอดูพอเป็นพอไป ไม่ค่อยเห็นมีใครผาดโผนโจนทะยานนัก ประการที่ ๒ ก็อาจจะขึ้นอยู่กับเรา เพราะพ่อแม่ครูจารย์มั่นล่วงไปแล้ว พระเณรก็เคารพเราโดยหลักธรรมชาติไม่ใช่เสกสรรปั้นยอ เนื่องจากการกระทำของเราเป็นอรรถเป็นธรรมที่เราแน่ใจว่าไม่ผิด ด้วยเหตุนี้บรรดาพระทั้งหลายท่านจึงมีความเคารพเรา หลังจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ในวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ จะยกขึ้นเป็นองค์ที่สองก็คือเราหลวงตามหาบัว พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว องค์นี้เป็นผู้แทน ลักษณะเป็นอย่างนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้บอก ไอ้เราก็ไม่ได้พูด เป็นแต่เพียงความคิดเฉยๆ นี่ละกรรมฐานจึงเรียบร้อยตลอดมา
พ่อแม่ครูจารย์มีชีวิตอยู่นั่นเป็นอันดับหนึ่ง ทุกอย่างเป็นอันดับหนึ่งทั้งนั้น ครั้นต่อมามันจำเป็นหมู่เพื่อนก็มาเคารพนับถือเราเอง เราก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนกับฝูงแต่เขามาเคารพเราเอง เช่นอย่างวัดป่าบ้านตาดนี้มีน้อยเมื่อไร พระกรรมฐานปีนี้ดูเหมือน ๕๘ องค์ ตามธรรมดาเราจะรับอย่างมากไม่ให้เลย ๕๐ องค์ เพราะสถานที่ที่ภาวนาอยู่ข้างในลึกๆ เป็นกระต๊อบเป็นร้านเล็กๆๆ อยู่ข้างใน ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าดังที่ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด ๒ หลังนะ ๒ หลังนี่มันกำลังแข่งกันศาลาใหญ่อยู่กำแพงในก็มี อยู่กำแพงนอกก็มี กำลังแข่งกัน แต่ที่ภาวนาของพระนี้อยู่ข้างใน เป็นร้านเล็กๆๆ ท่านอยู่กระต๊อบอย่างนั้นเราพอใจด้วย
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่พูดถึงเรื่องการก่อการสร้างกุฏิใดๆ ยิ่งกว่าการก่อการสร้าง การอบรมส่งเสริมจิตใจให้เป็นทางจิตตภาวนาล้วนๆ เพราะฉะนั้นใครเข้าไปในวัดนั้นจึงให้อยู่แต่ที่บริเวณศาลาโล่งๆ นี้เท่านั้น นอกจากนั้นเขียนติดไว้ว่าห้ามเข้าๆ คือว่าห้ามเข้าไปข้างในเพราะอะไร นั่นคือบริเวณการประกอบความพากเพียร เรียกว่าสำนักงานของพระกรรมฐานก็ไม่ผิด ทางจงกรมของท่านมีติดๆ แล้วที่อยู่ของท่านก็เหมาะสมๆ ประมาณ ๕๐ องค์ พอเหมาะ ถ้ามากกว่านั้นมันจะถี่กันเกินไป ไม่สะดวก เพราะฉะนั้นเราจึงรับได้เพียง ๕๐ ปีนี้ปาเข้าไปถึง ๕๘ นั่นน่ะมาก ให้ท่านประกอบความพากเพียรไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย
เราเป็นผู้สั่งเองไม่ให้ใครเข้าไป ให้พระท่านบำเพ็ญภาวนาไม่ยุ่งอะไรกับใคร ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทางครัวทางศาลานี้ ก็จัดพระเป็นเวรกันมา เวรละ ๒ องค์หรืออย่างมากก็ ๓ องค์ เป็นวาระ วาระละ ๗ วัน เพราะเกี่ยวข้องกับประชาชนที่มาจากที่ต่างๆ เข้ามาในศาลามาหาพระ พระที่อยู่เป็นเวรนี้จะเป็นผู้ดูแล เป็นหน้าที่ทุกอย่างต้อนรับขับสู้ เหตุผลกลไกอะไรก็ต้องมาเกี่ยวข้องกับพระที่ครัวนั่นแหละ แล้วก็เข้าถึงเรา ปฏิบัติกันมาอย่างนั้นตลอด การประกอบความพากเพียรนี้เราเน้นหนักตลอด ไม่ให้มีอ่อนแอทางความพากความเพียร พระวัดป่าบ้านตาดการประพฤติปฏิบัติทางความพากความเพียรไม่มีย่อหย่อน ใครย่อหย่อนไม่ได้
เราถึงจะแก่ขนาดไหน เราเดินจงกรมนั่งสมาธิไม่ได้เหมือนแต่ก่อน แต่จิตใจของเรามันไม่มีวัย มีความเข้มแข็งตามหลักธรรมชาติของตนอยู่เสมอ ใครอ่อนรู้ทันที ใครมีลักษณะยังไงควรเตือนเตือน ควรดุดุ ควรขับไล่ขับทันที เพราะฉะนั้นความพากเพียรของพระในวัดป่าบ้านตาด จึงไม่มีคำว่าลดหย่อนอ่อนกำลังลงไปเพราะมีจำนวนพระมากและมีงานมาก งานก็ไม่ให้มี ตัดงานออกไปเพื่อให้งานทางด้านจิตตภาวนาหนาแน่นขึ้นเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นของตัว ด้วยเหตุนี้ทางวัดป่าบ้านตาดจึงไม่ให้มีลดหย่อนผ่อนผันในการประกอบความพากเพียรตลอดมา ถึงจะมีพระจำนวนมากน้อยความเคลื่อนไหวของพระ จะต้องเป็นระเบียบไปตามหลักธรรมหลักวินัยเหมือนกัน
จะแฉลบออกไปไม่ได้ เพราะเราปกครอง ดูองค์ไหนเคลื่อนคลาดยังไง เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนผิดถูกประการใดกับหลักธรรมวินัยเรียนมาด้วยกันทุกคน มันก็รู้ ทีนี้องค์ไหนปฏิบัติก็ให้ถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย แม้จะมีจำนวนมากก็ไม่แสลงตาแสลงหูของกันและกัน อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก นี่ละเราปฏิบัติ ทุกวันนี้เรียกว่าเราลดหย่อนผ่อนผันมากกับพระ ประหนึ่งว่าหูหนวกตาบอดไปบ้าง มันหากเป็นของมันเอง เฒ่าแก่มาแล้วค่อยปล่อยไปๆ เรื่อยๆ
ภาระทั้งหลายแต่ก่อน โอ๊ เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด การปฏิบัติข้อวัตรทั้งหลายนี้เราจะออกหน้าตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มยังน้อย ข้อวัตรปฏิบัติอะไรนี้ประหนึ่งว่าเราเป็นบ๋อยของพระทั้งวัด ทั้งๆ ที่ท่านก็มีความขยันหมั่นเพียรทำหน้าที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกันกับเรา แต่ก็ไม่พ้นที่เราเป็นหัวหน้าซึ่งจะต้องออกเป็นผู้นำอยู่ตลอด เลยกลายเป็นว่าเป็นบ๋อยของพระในวัดก็ไม่ผิด โดยไม่มีเจตนามันก็เป็นอย่างนั้น นี่ละวัดป่าบ้านตาดที่พออยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะการปฏิบัติมีความสม่ำเสมอทางความพากเพียร ทางการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี้เรียกว่าความเพียร เรียกว่างานของพระแท้ ไม่ให้ลดหย่อนสำหรับวัดป่าบ้านตาดเรา ให้มีความสม่ำเสมอตลอดมา
ผู้คนที่จะเข้าไปในบริเวณนั้นเราก็ห้ามไม่ให้เข้า หากมีความจำเป็นที่ควรจะเข้าให้พระนำเข้าไปเลย ผู้สำคัญ ผู้มีนิสัยวาสนาบุญญาภิสมภารควรที่จะเป็นที่สนิทสนมกับใจกับพระได้เป็นประโยชน์แก่ศาสนาได้นี้ ไปนั้นอยากไปดูโน้นนี้ เราสั่งพระไว้ถึงเราไม่อยู่ก็สั่ง พระท่านเป็นหัวหน้า ท่านจะมานำไปดูทุกแง่ทุกมุมหมดเลย พาไปเองคือไม่ให้ไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ว่าหญิงว่าชาย จะให้ไปเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นสำหรับรับใช้พระในวัดคนหนึ่งสองคนเท่านั้นเอง ที่เข้านอกออกในได้อยู่ในบริเวณนั้น นอกนั้นเข้าไม่ได้ เราปฏิบัติมาอย่างนั้น
เพราะความเข้มงวดกวดขันทางภาคปฏิบัติกำจัดกิเลสออกจากใจ ต้องมีความเข้มแข็ง สติสตังติดแนบอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ให้คุ้นกับใคร ไม่ให้มีโลกามิสเข้าไปยุ่ง อยากให้เขาเคารพนับถือ ให้เขาเลื่อมใส ให้เขาถวายจตุปัจจัยไทยทานมากๆ อย่างนี้สำหรับวัดป่าบ้านตาดไม่มี บอกตรงๆ ยกธรรมขึ้นเลย ความเลิศเลออยู่กับธรรมนี้หมด สิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีวิเศษ เป็นส้วมเป็นถานไปตามๆ กันหมดนั้นแหละ ถ้าหลงมัน ถ้าไม่หลงก็พอจับจ่ายใช้สอยไปบ้างตามความจำเป็น แต่ไม่ถือว่าเป็นสำคัญยิ่งกว่าความพากเพียรของพระ
ท่านทำอย่างนั้น ปฏิบัติไม่ให้มีคุ้นมีชินกับใคร ยิ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกามิสด้วยความเคารพนับถือสินจ้างรางวัลคนนั้นจะถวายนั้น ถวายนี้ จะเห็นแก่นั้นเป็นสำคัญยิ่งกว่าธรรมไม่ได้ หากว่าจะเป็นมาก็เป็นมาตามธรรม ตามธรรมก็ไม่เหนือธรรมนี่ คำว่าตามธรรมก็เดินตามหลังธรรม ก็อนุโลมไปตามนั้น แต่จะให้เหนือธรรม มาเหยียบย่ำทำลายธรรมนี้ไม่ได้ เราเองก็ปฏิบัติมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเกี่ยวข้องกับประชาชนจะเรียกว่าทั่วประเทศไทยก็ไม่ผิด การเทศนาว่าการของเรานับแต่ออกช่วยชาติแต่ก่อนเทศน์มาขนาดไหน ท่านทั้งหลายก็เคยได้ยินได้ฟัง เทศน์เด็ดเทศน์เดี่ยว เทศน์เฉียบเทศน์ขาด เทศน์แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วมาตั้งแต่มีแต่พระล้วนๆ เทศน์ได้เต็มเหนี่ยวเราก็เคยเทศน์ เทศน์ออกมาจนกลายเป็นแกงหม้อใหญ่ทุกวันนี้ ทั่วประเทศเขตแดนเราก็เคยเทศน์มาโดยลำดับ
แต่ไม่มีอะไรเข้าไปแฝง ผลประโยชน์ประการใดเพื่อโลกามิสไม่มี เทศน์ด้วยความเมตตาสงสารอยากให้เป็นคนดี เพราะคนดีนี้มีค่ามากยิ่งกว่าสมบัติเงินทองข้าวของเป็นไหนๆ ถ้าคนได้ดีแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าคนเสียสิ่งเหล่านั้นจะมีกองเท่าภูเขาก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะผู้เป็นเจ้าของที่จะให้สิ่งเหล่านั้นมีราค่ำราคามันขึ้นอยู่กับเจ้าของ ถ้าเจ้าของดีแล้วสิ่งเหล่านั้นมีมากมีน้อยดีไปหมด ถ้าเจ้าของไม่ดีเลวไปด้วยกันทั้งนั้นละ การปฏิบัติธรรมจึงถือธรรมเป็นหลักเกณฑ์อันใหญ่หลวง ไม่ให้มีอะไรเหนือธรรมไป
วัดป่าบ้านตาดก็ประกาศตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา เราบอกตรงๆ เลยว่าวัดนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาเพื่อสั่งสมอรรถธรรมมรรคผลนิพพานล้วนๆ เราบอกตรงๆ เพราะฉะนั้นการเกี่ยวข้องกัน ไปฉันที่นั่นที่นี่ตามบ้านตามเรือน ในเมืองนอกเมืองที่ไหน เราจึงขอบิณฑบาต เราบอก ขออย่ามานิมนต์พระวัดนี้ไป มันจะขาดงานการของท่านที่ท่านทำด้วยความตั้งอกตั้งใจไปทุกวี่ทุกวันจนจะกลายเป็นความเหลวแหลกแหวกแนวไป จึงขอบิณฑบาตจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายไม่ให้มานิมนต์วัดนี้ไปฉันในบ้านนั้นบ้านนี้ ในเมืองนอกเมืองก็ตาม เราเป็นหัวหน้า เราเป็นหัวหน้าเป็นผู้บิณฑบาตขอพี่น้องทั้งหลายไม่ว่าชาวอุดรชาวไหนก็ตามให้เสมอกันหมด
แต่ถ้าหากว่ามีความจำเป็นจริงๆ เราไม่ได้ห้ามขาดโดยถ่ายเดียว มีข้อแม้ที่จะแยกแยะ หากว่ามีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งควรจะเป็นไปตามนั้น พระกับโยม โลกกับธรรมแยกกันไม่ออกก็ต้องช่วยกัน แก้ไขดัดแปลงกันไป หนุนกันไปตามความจำเป็น เอ้า เราจะจัดให้ แน่ะ จะเอาสักกี่องค์พระเราจัดให้เลย ถ้าไม่จำเป็นจะทำแบบซ้ำๆ ซากๆ จนกลายเป็นประเพณีนั้นมันเสียทางพระ ธรรมไม่มี จะมีแต่เรื่องของโลกล้วนๆ ไปหมด เราจึงตัดอันนี้เอาไว้ จึงไม่ให้มีใครไปนิมนต์มาฉันที่บ้านที่เรือน ไม่ให้มีทั้งนั้น เราขอบิณฑบาตไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุนี้วัดป่าบ้านตาดจึงไม่ปรากฏว่าถูกนิมนต์ไปฉันเช้าในบ้านใดเรือนใด นอกจากเป็นความจำเป็นที่เราจัดให้เท่านั้น โดยเหตุผลที่พอตกลงกันได้แล้ว เราทำอย่างนี้นะ
วัดป่าบ้านตาดจึงไม่ได้ไปฉันที่ไหนในบ้านในเมืองนี้ ไม่ให้ไป บอก..ท่านมาเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม วันหนึ่งท่านออกจากวัดตั้งนาฬิกาดู ตั้งแต่ก้าวออกจากวัดไปถึงหมู่บ้านเขา ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วกลับมาอย่างน้อย ๓ ชั่วโมง งานหนึ่งๆ อย่างน้อย ๓ ชั่วโมง ฟังซิ แล้ววันนี้ก็ ๓ ชั่วโมง วันหน้า ๓ ชั่วโมง เอ้า วันนี้บ้านนั้นมาเอา วันนี้บ้านนี้มาเอา หลายคนต่อหลายคนมา สุดท้ายพระทั้งวัดร้างไปหมดไปอยู่ในบ้าน เหลืองอร่ามในบ้าน ครั้นกลับมาแล้วก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยากหลับอยากนอน ดีไม่ดีแฉลบไปนับ ๕ นับ ๑๐ ไปอีก กลายเป็นโลกามิสเหยียบหัวพระไปก็ได้ ธรรมเลยไม่มี นั่น
เราคิดไว้หมดในสิ่งเหล่านี้ เพราะธรรมเป็นโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกตลอดมาไม่เคยต่ำกว่าสิ่งใด เราจึงควรเทิดทูนด้วยการประพฤติปฏิบัติโดยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ ด้วยเหตุนี้วัดป่าบ้านตาดจึงไม่มีการไปขบฉันทางโน้นทางนี้ตามที่ญาติโยมเขาเคยนิมนต์ เราขอความเห็นใจชี้แจงเหตุผลให้ทราบอย่างนี้ วันหนึ่งๆ ไปวันละ ๓ ชั่วโมงๆ เสียไปเท่าไรงาน ถ้าไม่ไปเสียใน ๓ ชั่วโมงก็ไม่มีอะไรเสียหาย บิณฑบาตได้มาอะไรก็ฉันปุ๊บปั๊บ ล้างบาตรเสร็จเอาบาตรเข้าเก็บเรียบร้อยแล้วเข้าทางจงกรม เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาตลอด เป็นการสั่งสมอรรถธรรมเข้าสู่ใจตลอด กิเลสค่อยบกบางลงไปๆ สุดท้ายเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล เป็นอริยบุคคล เป็นธรรมธาตุขึ้นภายในใจเรียกว่าพระอรหันต์ของผู้สิ้นกิเลส
ไม่ว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือปรินิพพานไปแล้วก็ตาม กิเลสเป็นกิเลส ธรรมเป็นธรรม แก้กันได้แก้กันตก เป็นภัยต่อกันได้เมื่อทำให้เป็นภัย แก้กันได้เมื่อแก้ด้วยความเป็นธรรม เราถือเอาจุดนี้เป็นสำคัญ วัดป่าบ้านตาดจึงไม่มีอะไรหนักแน่นไปยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรมของพระที่มาปฏิบัติ บรรดาพี่น้องทั้งหลายไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็ให้ฟังเสีย เราละเป็นผู้ขอบิณฑบาตเอง ในเมืองในอุดรละมากที่สุด เพราะแต่ละเช้าๆ นี้วัดอื่นๆ ไปเต็มอยู่ในเมืองเพราะท่านเหล่านั้นท่านเกรงใจ เมื่อเขามานิมนต์ไปท่านก็ไปฉันๆ วัดป่าต่างๆ นอกจากวัดป่าบ้านตาดไปนะ วัดป่าต่างๆ อย่างนั้นมีแทบทุกวันทุกเช้า แต่สำหรับวัดเราไม่ให้มี เป็นอย่างนี้ เพื่อสงวนอรรถสงวนธรรมเข้าสู่ใจของพระ เมื่อพระมีอรรถมีธรรมภายในใจแล้ว เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทำโลกให้สะท้านหวั่นไหวได้ เช่นพระพุทธเจ้าเป็นครูของเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายได้ทั้งสามแดนโลกธาตุ เก่งไหมนั่น นี่ละธรรม
เราจะเห็นแก่ว่าไปร่ำไปรวยสวยงามมาจากบ้านนั้นบ้านนี้มาฉัน เอามูตรเอาคูถมาอวดธรรมมีอย่างเหรอ ต้องเอาธรรมออกโชว์ให้โลกทั้งหลายเห็น ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ด้วยการปฏิบัติแทบเป็นแทบตายถึงขั้นสลบถึง ๓ หน จึงได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จากนั้นแล้วก็สอนพระให้อยู่ในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ นี่ย่อขึ้นมานะ พระท่านถือโอวาทข้อนี้เป็นโอวาทที่หนักแน่นมากประจำมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เป็นแต่เพียงว่าใครไม่สนใจเหลียวแล เลยกลายเป็นโอวาทที่ครึที่ล้าสมัยไปก็ได้ เพราะอำนาจของกิเลสมันทันสมัยมันล้ำยุคล้ำสมัยไป
พอบวชแล้ว รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส อันเป็นที่เวิ้งว้างสะดวกสบายปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นู่น เป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยที่ไหน เป็นธรรมที่เด็ดขาดสำหรับพระผู้ต้องการมรรคผลนิพพานจริงๆ ธรรมนี้เป็นธรรมที่ทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัย ล้ำหัวกิเลสไปอีกด้วย ไม่ใช่ธรรมดา
นี่ละโอวาทที่พระพุทธเจ้าสอน เดี๋ยวนี้มันจะไม่มีนะ ดีไม่ดีเห็นพระที่อยู่ในป่าในเขา ความเคียดความแค้นมันเป็นในหัวใจของคลังกิเลสซึ่งมีอยู่ในหัวใจคนนั่นแหละ มันก็โป้งเป้งออกไปได้ด้วยความโมโหโทโส ความเคียดแค้นไม่พอใจ ออกจนหูดีหูชั่วมันก็ได้ยิน ว่าพระที่อยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต อย่างนี้มันพูดออกมาได้ยังไงนักเทศน์นี่ ร่ำลือทั่วประเทศไทย แล้วมันพูดออกมาได้ยังไง ป่าใครเป็นต้นเหตุของป่า พระพุทธเจ้าเป็นต้นเหตุของป่า นั่น ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นสถาบันแห่งป่าทั้งนั้นๆ แล้วพระบวชมาก็ไล่เข้าในป่าในเขามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ โอวาทข้อนี้พระองค์ใดที่บวชแล้วต้องได้สอนโอวาทข้อนี้ เน้นหนักในข้อนี้ มันเอามาอวดอะไรประสาโอวาทมูตรคูถเป็นภัยต่อพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเสียเอง ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต
ในสมัยปัจจุบันเร็วๆ นี้แหละมันออกมา นี่พูดด้วยความเคียดแค้น พูดด้วยความไม่พอใจให้กระทบกระเทือนพระที่อยู่ในป่าโดยไม่เป็นธรรม ทีนี้พระอยู่ในป่ามันก็มีหัวใจ ก็เรานี่แหละพระอยู่ในป่าองค์หนึ่งก็ออกมารับกันละซิ ฟาดมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน ท่านบำเพ็ญ ท่านบำเพ็ญที่ไหน ไปบำเพ็ญในส้วมในถานกลางตลาดนั้นเหรอ ไล่เข้าไปในท่ามกลางกระดูกหมูกระดูกวัวเหรอ พระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญ เห็นแต่อยู่ในป่าเมืองพาราณสีตั้ง ๖ พรรษาถึงขั้นสลบไสลนั่น ท่านบำเพ็ญในป่านะ จนได้ตรัสรู้ขึ้นมาก็ตรัสรู้ในป่า
เวลาสอนสาวกก็บอก รุกฺขมูลเสนาสนํ บวชพระสาวกทั้งหลายแล้วก็สอนบรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมไม่มีสิ่งใดมารบกวน จงพากันอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด พระองค์ใดไปบวชก็ตามต้องได้โอวาทข้อนี้มา ถ้าไม่ได้สอนโอวาทข้อนี้ถือว่าพระอุปัชฌาย์นั้นผิด ปลดอุปัชฌาย์ก็ได้ เพราะเป็นพระโอวาทที่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดที่สุดแล้วตัดออกหาอะไร นั่นพระพุทธเจ้าไล่เข้าในป่า แล้วลากออกมาหาอะไร ประสากระดูกหมู กระดูกวัว อย่างนั้นนะ เดี๋ยวนี้มีแล้ว
พระที่อยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต มันพูดออกมาด้วยความโมโหโทโสด้วยความเคียดแค้น ไม่ได้พูดด้วยความเป็นธรรม พูดด้วยความเป็นธรรม ศาสดาองค์เอกบำเพ็ญที่ไหน นั่น บำเพ็ญอยู่ในป่า สาวกทั้งหลายอยู่ในป่า ตรัสรู้อยู่ในป่า สถาบันแห่งป่าคือพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั่น เอา ค้านมา มันก็เรียนมาเหมือนกันจะว่าไง ถ้าน่ากลัวกลัว...เรา ถ้าน่ากราบกราบทันที ถ้าไม่น่ากราบไม่กราบ เพราะหลักความจริงที่ถูกต้องแม่นยำมีอยู่ มันเสือกไปหาอะไรสิ่งที่เป็นภัยต่อศาสนาเอามาอวดโลก ด้วยมูตรด้วยคูถปากอมขี้ของตน มันใช้ได้ยังไง นี่ละพูดให้มันชัดเจน การพูดอรรถพูดธรรมต้องพูดด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้ไปกระทบกระเทือนกับผู้ใด นอกจากมันจะสร้างความกระทบกระเทือนไว้ในหัวใจของมัน กระจายออกไปแล้วก็กระทบตัวเองเป็นไปได้ แก้ไม่ได้อย่างนั้น เจ้าของทำเอง
นี่ละการปฏิบัติพุทธศาสนา มรรคผลนิพพานมีอยู่ตลอดเวลา อย่างว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว มรรคผล กิเลสก็เหมือนกัน อกาลิโกๆ หมายถึงอะไร คือการทำบาปได้บาป ทำบุญได้บุญ ทุกกาลสถานที่เวล่ำเวลาจึงเรียกว่าอกาลิโก ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วตลอดไป แล้วกิเลสกับธรรมก็มีอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เมื่อนำมาแก้ก็แก้กันได้ ทำไมจะแก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นศาสดาขึ้นมาได้ยังไง ตลอดมาทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ตามธรรมชาตินี้เป็นใหญ่ในตัวของตัวเอง กิเลสมันก็เป็นใหญ่ของมัน ธรรมก็เป็นใหญ่ของธรรม เมื่อเอาไปประยุทธ์หรือฟัดกันแล้ว ถ้าธรรมมีกำลังมากก็ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป ถ้ากิเลสมีกำลังมากมันก็ฟาดผู้ปฏิบัติธรรมให้ล้มเหลวไปได้ ว่าสมัยนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วหลายปีหลายเดือนถึงสองพันสามพันปีมาแล้ว มรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัย ไม่มีอรรถมีธรรม ไม่มีมรรคผลนิพพานแล้ว ใครจะปฏิบัติไปสักเท่าไรก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ตัวหัวพ่อหัวแม่มัน โคตรแซ่มันไม่เคยปฏิบัติ มันมาอวดท่านผู้ปฏิบัติตักตวงเอามรรคผลนิพพานอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง เอากันตรงนี้ซี ใครเป็นคนสอนไว้เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า อกาลิโกและสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว มรรคผลนิพพานมีอยู่ตลอดเวลา เท่ากันกับกิเลสมีอยู่ตลอดเวลา แก้กิเลสแก้ได้ ส่งเสริมธรรมส่งเสริมได้ พระพุทธเจ้าสอนเองผิดไปที่ตรงไหน แล้วมันเสือกมาพูดหาอะไร ตาบอดอยู่ตามสภาพตาบอดยังน่าสงสาร ไอ้ตาบอดอวดรู้อวดเห็นอวดฉลาดมันดูไม่ได้นะ มันเลวกว่าหมาขี้เรื้อน เข้าใจไหมล่ะ เอาละพูดไปพูดมาเหนื่อย เท่านี้แหละ
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ |