เทศน์อบรมฆราวาส
ณ หอพระ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี
เมื่อบ่ายวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
จิตเปิดโลกธาตุ
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่บรรดาพี่น้องชาวพุทธเรา ที่ต่างท่านต่างได้อุตส่าห์พยายามสละทั้งเวล่ำเวลา หน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ชีวิตจะเป็นอะไรในขณะที่เกี่ยวข้องกับการกับงานเพื่อการกุศลครั้งนี้ก็ยอมรับเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไปเลย ด้วยความพออกพอใจแห่งจิตใจที่เป็นกุศลของพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาที่มาในงานอันยิ่งใหญ่ของพี่น้องชาวไทยนี้ รู้สึกว่ามีความปลื้มปีติกับจิตใจของท่านทั้งหลายที่มีความรักใคร่ใฝ่ธรรมเป็นอันมาก จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาท่านทั้งหลาย มีท่านที่เป็นประธานเป็นต้นในงานนี้ด้วย
การแสดงธรรมวันนี้ก็จะแสดงไปตามความสามารถอาจรู้ได้แค่ใดก็ตาม ในวงของพระพุทธศาสนา จะได้นำมาชี้แจงให้ท่านทั้งหลายฟัง สำหรับหลวงตาเองอาจจะได้บรรยายเรื่องราวของตนเล็กน้อย พอเป็นข้อคิดกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่ลงใจเชื่อถือ จนกระทั่งได้นิมนต์มาแสดงธรรมในสถานที่นี่ มีวันนี้เป็นวันสำคัญให้ได้ยินได้ฟังบ้างพอประมาณ การที่จะได้นำธรรมมาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ก็นำมาแทบเป็นแทบตาย แทบสลบไสลตั้งแต่วันออกปฏิบัติ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวันบวช
ออกปฏิบัติวันที่ได้ยินได้ฟังธรรม ที่เป็นธรรมธาตุจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นของเรา นี้คือองค์อรหันต์ในสมัยปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดเจนก็คือเวลาท่านมรณภาพล่วงไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุอย่างสวยงามมาก สมใจที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายไปประพฤติปฏิบัติฟังอรรถฟังธรรมของท่านไม่มีข้อต้องติตลอดมา เฉพาะอย่างยิ่งหลวงตาบัวไปอยู่กับท่านเป็นเวลา ๘ ปี มีตั้งแต่ความซาบซึ้งในกิริยาอาการความเคลื่อนไหว ไม่มีเคลื่อนคลาดจากหลักธรรมหลักวินัยเลย เป็นการเสด็จตามพระพุทธเจ้า
คือท่านเองเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมหลักวินัย ซึ่งเป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกอิริยาบถ ไม่ว่ายืนก็ยืนตามธรรมวินัย เดินก็เดินตามธรรมวินัย นั่งก็นั่งตามธรรมวินัยไม่ให้ขัดข้อง แม้จะนอนก็นอนตามหลักของพระ ตามทางของศาสดาที่พาดำเนินมา จึงเป็นองค์ที่น่าเคารพเลื่อมใสในปัจจุบันเป็นอย่างมากสำหรับชาวพุทธเรา การแสดงธรรมของท่านหาที่ต้องติไม่ได้ ไม่มีทางอื่นใดที่จะแยกแยะออกไปจากอรรถจากธรรมคือธรรมวินัยซึ่งเป็นส่วนรวมนี้เลย แสดงบทใดบาทใดเป็นไปด้วยอรรถด้วยธรรมที่ถูกต้องดีงาม ที่ศาสดาของเราพาดำเนินมาแล้วเป็นต้น
เวลาไปอยู่กับท่านรู้สึกว่าซาบซึ้งตั้งแต่วันไปอยู่ทีแรก จนกระทั่งได้จากไปเป็นเวลา ๘ ปี ธรรมะเหล่านั้นได้ซาบซึ้งถึงใจตั้งแต่ขณะไปถึงท่านทีแรก เพราะไปด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ เต็มหัวใจ ทีแรกเราก็เรียนตามปริยัติ พระพุทธเจ้าแสดงก็แสดงด้วยสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบแล้วในธรรมทุกบททุกบาททุกขั้นทุกภูมิ ไม่มีบกพร่องประการใดจากศาสนธรรม ที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วด้วยความถูกต้องแม่นยำ ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว
องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นของเรา ท่านดำเนินตามธรรมตามวินัยเหล่านี้ ประหนึ่งว่าท่านตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดอิริยาบถเรื่อยมา เมื่อเราเข้าไปถึงท่านด้วยความพออกพอใจเบื้องต้นเนื่องจากสงสัยมรรคผลนิพพาน ทั้งๆ ที่เราก็เรียนในปริยัติท่านก็บอกไว้ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ ธรรมะเหล่านี้ก็ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เป็นศาสดาของโลกมาเป็นเวลานาน ประกาศธรรมประกาศก้องทั่วดินแดนแห่งโลกคือสามโลกธาตุนี้ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาทั้งนั้น ตั้งแต่มนุษย์เราขึ้นไปถึงพรหมโลก เทวดา อินทร์ พรหม ล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของตถาคตทั้งนั้น
ท่านแสดงออกด้วยความถูกต้องแม่นยำ เรามีความสงสัยในแง่อรรถแง่ธรรมที่แสดงไว้ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นแล แล้วก็มาหาที่ปลงใจ จิตใจก็มาระลึกถึงแต่หลวงปู่มั่น จะให้พูดตามความถนัดของพระป่าเราเราขอเรียกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เพราะท่านเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ แนะนำสั่งสอนเลี้ยงดูปูปกไม่มีอะไรอะไรบกพร่อง สม่ำเสมอด้วยความเป็นธรรม ไม่ลำเอียงตลอดมาทั้งด้านวัตถุและนามธรรม จึงควรอย่างยิ่งที่เราจะเรียกได้อย่างเต็มหัวใจเต็มปากของเราว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้
ด้วยเหตุนี้จึงติดปากพระป่ามาดังที่หลวงตาได้แสดงให้ท่านทั้งหลายฟังว่า นี้คือพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น ไปก็ไปด้วยความสนใจอย่างยิ่งต่อมรรคผลนิพพาน จะไปปลดไปปลงมรรคผลนิพพาน คือความสงสัยนั้นออกจากคำพูดของท่านอย่างชัดแจ้งในคืนวันนี้ ไปก็ตั้งหน้าตั้งตาไปจริงๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอไปถึงท่านก็กางเรดาร์ไว้เรียบร้อยแล้ว พอไปถึงท่านก็ใส่ปั๊วะเลยว่าท่านมาหาอะไร นี่ละเบื้องต้นที่เราไปถึงท่านทีแรก
ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลสตัณหา ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ รวมทั้งแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่บาป ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่แดนมรรคผลนิพพาน บาปแท้ บุญแท้ กิเลสแท้ ธรรมแท้ มีอยู่ที่ใจ สัมผัสสัมพันธ์ได้ที่ใจ เกิดขึ้นที่ใจจากท่านผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ตามศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบแล้วนั้นแล จะไม่มีที่ขัดข้องใจ พอท่านประมวลลงมานี่ก็เข้ามาสู่ใจ ใครจะเป็นผู้เปิดทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งกิเลสตัณหา ทั้งอรรถทั้งธรรมทุกขั้นทุกภูมิ หนาบางหยาบละเอียดของกิเลสตัณหาของอรรถของธรรมขึ้นมาให้ประจักษ์ได้ด้วยวิธีการใด
พระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสรู้ธรรมด้วยจิตตภาวนา พระสาวกทั้งหลายที่เป็นสรณะของชาวโลกชาวพุทธเราตลอดมานี้ท่านบำเพ็ญมาด้วยจิตตภาวนา ที่เราว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลกนั้นก็เป็นศาสดาของเราด้วยการตรัสรู้ธรรม ธรรมแสดง ปรากฏขึ้นในพระทัยของพระพุทธเจ้า ก็คือธรรมล้นโลกล้นสงสาร ธรรมอัศจรรย์เรียกว่าโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสิ่งทั้งปวงในสามแดนโลกธาตุ พระสงฆ์สาวกที่บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมก็เพราะการภาวนา ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางแห่งสวากขาตธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชอบเรียบร้อยแล้ว
ทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่เป็นพุทธศาสนา ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส ไม่ใช่เป็นศาสนาที่คว้าเอามาจากต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ลูกใครหลานใครเมียใครผัวใครก็กว้านเอามาเป็นพ่อของตน เป็นแม่ของตน เป็นศาสนาของตนอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านคว้าออกมาจากภาคปฏิบัติตามอรรถตามธรรม ถูกต้องตามอรรถตามธรรม แล้วได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอกของโลก พระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็บรรลุธรรมได้มาเป็นครูเป็นสรณะของโลก
ทีนี้ทั้งสองอย่างนี้เป็นมาจากไหน ขอรื้อย้อนไปหาต้นเหตุก่อนว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาตรัสรู้ในที่เช่นไร พระสาวกบรรลุธรรมตรัสรู้ขึ้นมาเป็นสรณะของพวกเรานี้ท่านตรัสรู้ขึ้นมาในที่เช่นไร ในครั้งพุทธกาลไม่เคยปรากฏว่ามีอย่างโลกเขาว่ามหาวิทยาลัยบ้าน มหาวิทยาลัยป่า แต่พระพุทธศาสนาท่านไม่ว่า หากเป็นมหาวิทยาลัยป่าโดยหลักธรรมชาติมาดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงพาอยู่ พาทรงบำเพ็ญในป่า แล้วได้ตรัสรู้ขึ้นมาจากป่ากรุงพาราณสี
จากนั้นพระสงฆ์สาวกเข้าไปอบรมศึกษากับท่าน เฉพาะอย่างยิ่งเวลาบวชอุปสมบทขึ้นมาแล้วก็สอนธรรมะอันเด็ดขาด คอขาดบาดตาย เป็นเครื่องรบข้าศึกในสงคราม เพื่อจะสังหารกิเลสออกจากใจ ขึ้นด้วยบทธรรมที่สำคัญว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าใน เขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส อันที่เวิ้งว้างเป็นที่สะดวกสบายต่อการบำเพ็ญสมณธรรม ปราศจากสิ่งรบกวนทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายไปอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย คือให้ไปอยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด เพราะปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย การบำเพ็ญก็สะดวกสบาย เพราะฉะนั้นบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี-สาวกของเราทั้งหลายก็ดี จึงทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาเป็นพื้นฐานสำคัญของผู้บำเพ็ญธรรม แล้วบรรดาสาวกทั้งหลายก็ไปศึกษาอบรมจากพระพุทธเจ้าในมหาวิทยาลัยป่า พอศึกษาหรือว่าบวชเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ประทานโอวาทที่เป็นโอวาทสำคัญ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัยเหมือนสมัยใดๆ ตามโลกตามสงสาร แต่ที่เป็นธรรมะสมัยเป็นสมัยที่พอเหมาะพอดีกับการบำเพ็ญเพื่อแก้กิเลส
กิเลสก็มีอยู่ในหัวใจของสัตว์มาดั้งเดิม ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ธรรมก็มีในหัวใจของสัตว์โลกทั่วๆ ไป เฉพาะอย่างยิ่งมีในหัวใจของพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน ท่านได้นำธรรมนี้มาประพฤติปฏิบัติ จิตตภาวนาเป็นพื้นฐานสำคัญแห่งการบุกเบิกเพิกถอนกิเลสออกจากจิตใจของท่านด้วยจิตตภาวนา โดยถือแดนป่าแดนเขาเป็นสำคัญในการบำเพ็ญเพราะเป็นความสะดวกสบายเรื่อยมา บรรดาพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าก็เป็นผู้สิ้นกิเลส โลกวิทูทรงรู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน โลกเปรตโลกผี โลกนรกอเวจี ตลอดสวรรค์ชั้นพรหมนิพพาน ไม่ใช่เป็นที่ไปไขว่ไปคว้าด้นเดาเกาหมัดมาหลอกโลกหลอกสงสาร
เอา..ภาวนาจะพาไปดูสวรรค์ จะพาไปดูนิพพาน แต่หัวใจที่มีกิเลสปิดกั้นบังอยู่นั้นจนไม่มองเห็นทิศเห็นแดนใด จะโดนต้นไม้ภูเขาจนหัวแตกก็มองไม่เห็น แล้วสอนลูกศิษย์ลูกหาให้ไปดูนรกไปดูสวรรค์นี่มันเข้ากันไม่ได้กับพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ดี-สาวกก็ดีที่ทรงแสดงว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เหล่านี้ พระองค์ทรงแสดงมาตามหลักประเพณีของพระพุทธเจ้าผู้ทรงธรรมรู้แจ้งแทงทะลุ เรียกว่าโลกวิทู ท่านรู้ขึ้นมาจากการบำเพ็ญในหลักธรรมชาติที่ถูกต้องกับธรรมขึ้นมาต่างหาก ไม่ใช่ไปประดิษฐ์ขึ้นมา นรกไม่มีก็บอกว่ามี สวรรค์ไม่มีก็บอกว่ามี
นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี พวกเปรตพวกผี พรหมโลกก็ดี นิพพานก็ดี ธรรมชาติเหล่านี้มีมาดั้งเดิม ไม่มีใครสามารถอาจเอื้อมที่จะบอกได้ยืนยันได้ว่าไปพบไปเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความด้นเดาเกาหมัด อย่างนี้ไม่มี มีแต่ผู้บำเพ็ญธรรม เมื่อถูกแนวทางตามความเป็นจริงที่จะควรรู้ควรเห็นสิ่งที่มีอยู่ดั้งเดิมนั้นแล้ว ต้องรู้ต้องเห็นตามนิสัยวาสนาของตน
พระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัยสามารถที่จะรู้นอกรู้ใน โลกวิทูรู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงไปหมด นี่คือพุทธวิสัย สาวกวิสัยก็ต้องรู้ตามนิสัยวาสนาของตน เรื่องนรกอเวจี พวกเปรตผีอสุรกายเหล่านี้ที่มีนี่ยอมรับว่ามีอยู่ แต่นิสัยวาสนาของผู้ที่จะรู้เห็นนั้นมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงหยาบละเอียดต่างกัน ไม่ได้รู้เสมอกันหมด สิ่งเหล่านี้มีอยู่แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี แต่ผู้สามารถที่จะอาจเอื้อมหรืออาจรู้เห็นได้นั้นเป็นไปตามนิสัยวาสนา
เพราะฉะนั้นเราผู้ถือพุทธศาสนาให้ถือตามธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านว่านรกมีก็เชื่อตามธรรมดาของเรา สวรรค์หรือพรหมโลก-นิพพานก็เชื่อตามคำของศาสดาแสดงออกบอกว่าไม่ผิด แต่อย่างไรการปฏิบัติขอให้รู้ นรกก็ดี-สวรรค์ก็ดีจะเป็นชั้นใดก็ตามจนกระทั่งถึงพรหมโลกนิพพานก็ดี ขอให้มาประจักษ์กับใจของการปฏิบัติแห่งชาวพุทธของเราเถิด จะเป็นความเหมาะสม อย่าพากันด้นเดาเกาหมัด ใช้ไม่ได้ ไม่ถูกทางของศาสดา
ทางของศาสดาคือการจิตตภาวนา ประกอบกับนิสัยวาสนา เมื่อจิตตภาวนาสามารถรู้แจ้งแทงทะลุไปโดยลำดับ จนกระทั่งทำลายกิเลสที่เป็นตัวมืดมิดปิดตาให้บอดทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน พาเราไปตายกองกันอยู่ในโลกสมมุติสามแดนโลกธาตุนี้มากี่กัปกี่กัลป์เราก็ไม่รู้ เพราะกิเลสตัวนี้มันปิดมันบัง เกิดในภพใดชาติใดก็ไม่ทราบภพชาติของตัวเอง ทั้งๆ ที่เจ้าของนั่นละเป็นผู้ไปเกิดไปตาย แต่ไม่ทราบร่องรอยของตัวเองที่เกิดตายมาเป็นสัตว์ประเภทใดบ้าง นรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ลงนรกอเวจี เหมือนเขาขึ้นบันไดบ้านเรือนนั้นแหละ บรรดาสัตว์ผู้สร้างดีสร้างชั่วมันเป็นอยู่อย่างนี้
นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสามารถรู้แจ้งแทงทะลุไปหมดทุกๆ พระองค์ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดในธรรมชาติเหล่านี้จะปิดบังพระทัย จะไม่ให้ทรงรู้ทรงเห็นได้เลย ท่านจึงนำธรรมเหล่านี้มาสอนโลกด้วยเป็นสวากขาตธรรมแบบเดียวกันหมด ไม่มีว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้นแสดงด้วยความด้นเดาเกาหมัด แสดงธรรมทั้งหลายออกจากความรู้แจ้งเห็นจริงทั้งนั้น นี่คือพุทธศาสนาแท้ ผู้ทรงศาสนาก็เป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง สาวกของพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์
การแสดงออกจากความสามารถแห่งความรู้ความเห็นของตน ที่เกิดมาจากจิตตภาวนานี้ย่อมรู้ได้ชัดเจนเต็มกำลังความสามารถวาสนาของตน เราอย่าไปคาดไปหมายแล้วพาใครต่อใครก็ตามแสดงธรรมแล้วพาเขาไปนรก พาไปสวรรค์ พาดูชั้นนั้นชั้นนี้ ไปภาวนาแล้วจูงเขาไป นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิในหัวใจของผู้พาแสดง ของผู้เป็นผู้นำ สอนคนอื่นก็ให้ผิดไปพลาดไปอย่างนั้น เพราะนี้ไม่ใช่ทางของศาสดา ทางของศาสดาแล้วเอาจิตตภาวนา การบำเพ็ญของตนตั้งลงไปให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คำสอนอุบายวิธีที่จะบุกเบิกเพิกถอนกิเลสที่มืดมิดปิดตาอยู่ภายในใจนี้ ให้เบาบางหรือกระจายออกไปโดยลำดับๆ นั้นคือจิตตภาวนา จิตตภาวนาจะพูดเพียงย่อๆ ไม่อย่างนั้นเวลาจะไม่พอและกำลังธาตุขันธ์ก็ไม่พอเหมือนกัน การภาวนานี้เป็นกุญแจเปิดธรรมทั้งหลาย ทั้งเปิดกิเลสด้วยให้เห็นแจ้งชัดเจน สิ่งที่ควรทำลายก็ทำลายไปด้วยกัน สิ่งที่ควรเจริญขึ้นให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นอรรถเช่นธรรม ก็เจริญขึ้นในระยะเดียวกันคือจิตตภาวนา การภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ศาสดาองค์เอกที่มาเป็นเจ้าของศาสนาสอนพี่น้องทั้งหลายชาวพุทธเราอยู่เวลานี้ ออกจากพระพุทธเจ้าที่ทรงภาวนา
สรณํ คจฺฉามิ คือพระสงฆ์สาวกท่านมาเป็นสรณะของพวกเราอยู่เวลานี้ ออกมาจากท่านภาวนา องค์นี้สำเร็จพระโสดา องค์นั้นสำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จพระอรหันต์ ออกมาจากแดนป่ามหาวิทยาลัยป่าเป็นส่วนมาก แล้วก็มาสอนสัตว์โลกอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ท่านไม่ได้สอนแบบงูๆ ปลาๆ ให้พากันเข้าอกเข้าใจ เรื่องพุทธศาสนานี้พูดอย่างถูกต้องแม่นยำเรื่อยมา ไม่พาประชาชนชาวพุทธของเราทั้งหลายด้นเดาเกาหมัด ด้วยการสั่งสอนงูๆ ปลาๆ ของพระศาสดาเลย
นำศาสนาไปแล้วไปตีศาสนาเป็นกิเลสไปหมด เลยไม่เป็นอรรถเป็นธรรม กิเลสเลยคุมศาสนา ศาสนาเลยไม่เป็นใหญ่ มีแต่กิเลสเป็นใหญ่ในศาสนา เลยกลายเป็นศาสนาป่าๆ เถื่อนๆ แล้วก็ยกขึ้นมาเป็นของแท้ของจริง เป็นทองคำทั้งแท่ง แล้วเหยียบย่ำศาสนาอันแท้จริงคือทองคำทั้งแท่งให้เป็นมูตรเป็นคูถลงไป เลยกลายเป็นเรื่องว่าเอามูตรเอาคูถขึ้นมากราบมาไหว้ เป็นศาสนาเอกขึ้นมา ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาที่เชื่ออย่างเดาๆ เกาหมัด ทำไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไปเสีย ไม่ได้ทำตามแบบตามฉบับของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ดังที่แสดงมาเวลานี้นับแต่พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายมาถึงสรณะ เฉพาะอย่างยิ่งคือนักบวช นักบวชเป็นแนวหน้า สอนให้เข้าไปอยู่ในป่าในเขาบำเพ็ญเพียร สำรวมระวังตนด้วยสติและปัญญา ประกอบความพากเพียรอยู่ในจิต รักษาจิตตลอด สติปัญญารักษาจิต สำรวมระวังอย่าให้สิ่งใดเข้ามาพัวพัน อันเป็นข้าศึกต่อจิตใจ ให้บุกเบิกเพิกถอนออกไปเรื่อยๆ นี่ท่านเรียกว่าภาวนา คือการอบรมจิตใจที่มันเน่าเฟะๆ อยู่ด้วยอำนาจของกิเลส ให้มันสดใสงดงามขึ้นมาด้วยจิตตภาวนาชะล้างใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นก็จะมีความสว่างไสว จิตใจมีความสงบร่มเย็น นี่เกิดขึ้นจากจิตตภาวนานะ
การภาวนาเป็นของสำคัญมาก เป็นนามธรรม ส่วนด้านวัตถุต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่อาศัยเพียงเล็กน้อย แต่เวลานี้ด้านวัตถุเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของศาสนา เป็นศาสนวัตถุไปหมด เป็นศาสนาวัตถุ ไม่ได้เป็นศาสนธรรมเหมือนครั้งพุทธกาลที่ท่านทรงดำเนิน และนิยมกันมาปฏิบัติกันมา เลยจะมีตั้งแต่ศาสนวัตถุเต็มบ้านเต็มเมือง จะไปอยู่ที่ไหนสร้างที่อยู่นั้นน่ะ ๕ เดือนก็ไม่เสร็จ ทั้งๆ ที่ว่าจะสร้างไปภาวนา ไปภาวนาอยู่ร่มไม้ชายเขาที่ไหนก็ได้ สร้างกระต๊อบขึ้นเล็กๆ น้อยๆ พอได้อยู่อาศัยไปวันหนึ่ง เราคิดดูซิว่าเราไปทำกระต๊อบหรือทำร้านเล็กๆ ขึ้นมาเพียงวันสองวันยังไม่เสร็จ จิตใจยังส่อความกังวลไปกับงานทั้งหลายเหล่านั้น การภาวนาก็ไม่สมบูรณ์แบบ
ทีนี้พอสร้างกระต๊อบหรือทำร้านเล็กๆ ให้เสร็จสิ้นแล้ว ปัดปุ๊บงานทั้งหลายไม่ให้มี ให้มีแต่งานภาวนาคืองานนามธรรมอย่างเดียว ชำระกิเลสออกจากจิตใจด้วยสติ สติเป็นของสำคัญมาก สติมาเป็นอันดับหนึ่ง จะภาวนาหรืองานนอกงานในก็ตามถ้าขาดสติผลงานจะไม่ค่อยสมบูรณ์ผิดๆ พลาดๆ ถ้ามีสติอยู่แล้วงานภายนอกภายในดี ยิ่งเป็นการภาวนาด้วยแล้วงานภายในต้องมีสติสัมปชัญญะ นี้เรียกว่าติดตัวๆ นี้คือการภาวนาแก้กิเลส กิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันครอบหัวใจโลกธาตุมานี้กี่กัปกี่กัลป์ ทุกประเภทของสัตว์โลกที่ไม่มีกิเลสครอบงำนั้นไม่มีเลย เว้นแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ไปแล้ว สาวกตรัสรู้ไปแล้วกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ ก็ตามเป็นผู้พ้นภัยโดยสิ้นเชิง ไม่มีกิเลสตัวใดจะเป็นภัยต่อพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเลย นี่ท่านบำเพ็ญภาวนา
การชำระกิเลสท่านเอาจริงเอาจัง เดินก็มีสติ นั่งก็มีสติ นอนมีสติ การทำการทำงานอะไรก็มีสติ แต่นักภาวนาจริงๆ แล้วท่านจะไม่สนใจกับการสร้างนั้นสร้างนี้ ท่านจะสร้างตั้งแต่จิตใจ สร้างแต่สติ สร้างแต่ปัญญาเข้าสู่จิตใจ สติสัมปชัญญะ ความพากความเพียร ความอดความทน ความอุตส่าห์พยายาม ให้ติดพันกันไป มีสติเป็นแนวหน้าๆ เป็นผู้บังคับงาน จิตใจก็ค่อยสงบเย็นลงไปๆ ขอเรียนโดยตรงเลยถึงจะเป็นตัวเท่าอึ่งก็ตามเถอะ สติเป็นของสำคัญ
ใครก็ตามอย่าตำหนิติเตียนเจ้าของว่าเกิดมามีอำนาจวาสนาน้อย ทั้งๆ ที่เราไปภาวนาอยู่ในป่าในเขากับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย แต่มาตำหนิเรามีวาสนาน้อย ต้นเหตุที่มีสติปัญญาน้อยไม่ได้รับผลเท่าที่ควรเพราะอะไร เพราะขาดสติ เอา ให้ท่านทั้งหลายไปตั้งใจภาวนาดูซิน่ะ สติตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ยอมให้เผลอ เอา เอาตั้ง วันนี้ก็ตั้ง เราเกิดตายกองกันมานี้กี่กัปกี่กัลป์ลำบากลำบนหรือนานเท่าไรเราไม่เห็นคิด แต่เรามาตั้งสติเพื่อให้จิตใจของเรามีความสงบตั้งตัวได้นี้เพียงสองสามวันสี่วันเท่านี้ทำไมจึงว่านาน ทำไมจึงว่าลำบากลำบน นี้เสียท่าให้กิเลสแล้ว
เอาตั้งลงไปสติ ใครภาวนามีสติดีผู้นี้รับรองได้เลยว่าจิตต้องสงบ สิ่งที่มาเป็นข้าศึกต่อสติก็คือสังขาร สังขารออกมาจากอวิชชา อวิชชาผลักดันให้คิดให้ปรุงแต่เรื่องของกิเลสตัณหาทั้งนั้น เมื่อสังขารออกได้กิเลสก็ออกได้วันยังค่ำ สติขาดไปๆ กิเลสยิ่งสนุกทำงาน เอา ดึงสติเข้ามาให้ดี ให้อยู่กับใจ ไม่ให้มันคิด มันจะคิดเรื่องอะไรล้วนแล้วแต่เป็นกิเลสทั้งนั้นในเวลาที่มันเป็นกิเลส บังคับให้อยู่กับสติๆ หรือเราภาวนาในธรรมบทใด เอาธรรมบทใด เช่นพุทโธเป็นต้นนะ จะเอาธัมโม สังโฆ หรือธรรมบทใดก็ตามแต่สำคัญที่สติเป็นสำคัญ ให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนั้นๆ ไม่ยอมให้มันคิด มันคิดมาตั้งแต่วันเกิดและคิดมาตั้งแต่ตื่นนอนไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร คิดเรื่องราวงูๆ ปลาๆ
ทีนี้ให้มันคิดกับคำบริกรรม เอางานคือคำบริกรรมนั้นเป็นงาน นี้คืองานของธรรม เอาสติจับเข้าไปไม่ให้มันคิด ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมเท่านั้น ไม่กี่วันจิตนี้จะตั้งเป็นความสงบเย็นใจได้แล้วเห็นผล จากนั้นก็มีแก่ใจที่จะตั้งสติให้สืบเนื่องกันไปๆ จิตไม่เคยสงบสงบได้ จากสงบแล้วก็เป็นสมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ ท่านเรียกว่าสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคง ความสงบคือจิตปราศจากความคิดความปรุง หรือความคิดความปรุงทั้งหลายค่อยด้อยลงๆ จากนั้นก็เป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิแล้วแน่วเป็นเอกจิต เอกธรรม เอกัคคตาจิต มีอารมณ์คือความรู้ดิ่งอยู่อันเดียวเท่านั้น ท่านเรียกว่าสมาธิเต็มภูมิ
เอา ท่านทั้งหลายฟังเสีย ที่เทศน์อยู่เดี๋ยวนี้คือผู้ภาวนามาแล้ว ให้ท่านได้ฟัง ไม่โอ้ไม่อวดนะ ทีนี้เวลาตั้งสติไม่หยุด เรื่องสตินี้ถอยไม่ได้เลย จิตก็เข้าสู่สมาธิคือความแน่นหนามั่นคง พอแน่นหนามั่นคงแล้วส่วนมากมักจะติดความสุข เพราะจิตไม่คิดไม่ปรุงอะไรเป็นความสุข นั่งอยู่กี่ชั่วโมงก็ได้ จะอยู่ที่ไหนสบายหมดเพราะความคิดความปรุงไม่มารบกวน มีแต่ความรู้ เอกัคคตาจิต เอกัคคตาธรรม อยู่อันเดียว ทีนี้ก็ติดความสุข ในความไม่คิดไม่ปรุงนี้เป็นความสุขพอให้ติดได้ ท่านจึงเรียกว่าจิตติดสมาธิ
ทีนี้ออกความรู้ให้สูงกว่านั้นเข้าไปอีก เพื่อจะแยกออกจากสมาธิไปทำงาน คำว่าสมาธิเป็นแต่เพียงพักสงบเย็นใจสบายใจเท่านั้น ที่จะถอดถอนกิเลสไม่มี ไม่มีการถอดถอนกิเลสได้ด้วยสมาธิ ได้ด้วยสมถะ แต่ถอดถอนกิเลสได้ด้วยปัญญา โดยอาศัยสมถะหรือสมาธิเป็นเครื่องหนุนกันไปๆ ไม่ใช่จะได้ปัญญาอย่างเดียว พิจารณาทางด้านปัญญา คำว่าปัญญาเป็นอย่างไร ท่านสอนพระท่านสอนว่าอย่างไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จากนั้นท่านไม่กระจายต่อไป เพราะมีเวลาน้อย สอนเพียงเกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง นี้ละคือภูเขาหนาทั้งลูก ไม่มีภูเขาใดในสามแดนโลกธาตุจะหนายิ่งกว่าภูเขาคือความติดเขาติดเรา ติดหญิงติดชาย ภูเขากี่ลูกสู้ไม่ได้
ร่างกายของเรานี้ก็มีเพียงผิวหนังบางๆ แล้วก็มีขี้ไคลติดอยู่นั้นด้วย ไม่พ้นที่ว่าขี้จะไม่ติด นั่นละพิจารณานี้ซินี่ เอา เกสาใครจะถนัดเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ย้อนไปย้อนมาด้วยความมีสติๆ แล้วจิตใจก็จะสงบ เบื้องต้นเอากรรมฐาน ๕ เป็นคำบริกรรมเพื่อความสงบใจก่อน พอจิตมีความสงบลงไปเป็นลำดับลำดาควรแก่ทางวิปัสสนาได้แก่ทางด้านปัญญาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้กลายเป็นหินลับปัญญาไปได้อีก เป็นอารมณ์ของสมถะก็ได้เพื่อการตั้งต้นแห่งความสงบยึดในเบื้องต้น
แล้วจากนั้นก็เป็นปัญญาออกเป็นหินลับมีด ว่าอย่างนั้นเถอะ เอาความสงบนี้เป็นหินลับปัญญาออกทางด้านปัญญาก็ได้ เมื่อออกทางด้านปัญญาแล้วเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้มันจะพิจารณาทางร่างกาย วันนี้ท่านทั้งหลายให้ฟังชัดเจนนะวันนี้ วันนี้จะเทศน์ให้ฟังเต็มภูมิของผู้ปฏิบัตินี้แหละ ภูมิเท่าหนูก็จะเทศน์ให้เต็มตัวหนูนั่นละ ทีนี้เวลาพิจารณาร่างกายนี้เอาเรื่องอสุภะอสุภังไปจากเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ควานเข้าไปข้างในมีอะไรบ้าง ท่านทั้งหลายภูมิใจหาอะไร พิจารณาซิน่ะ
มีอะไรปกปิดหลอกอยู่เวลานี้จึงได้เย่อหยิ่งจองหองพองตัว ลืมเนื้อลืมตัว โดยลืมผิวหนังมันหลอกว่าสดสวยงดงาม นอกจากนั้นยังมีโรงเสริมสวยเสริมเสเข้าไปอีกเสริมบ้ามันอะไรก็ไม่รู้ มันมีแต่หนังห่อขี้อยู่ในนั้น พิจารณาให้ดีนะ พอว่าหนัง ผิวหนังนั้นละเป็นตัวสำคัญมันทำให้สดสวยงดงาม นอกนั้นมาตกแต่งโรงนั้นโรงนี้ โรงเสริมสงเสริมสวย มันจะสวยอะไรโรงห่อขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง กิเลสก็อยู่นั่น ขี้เป็นมูตรเป็นคูถจริงๆ ก็อยู่ที่นั่น เอาพิจารณาแยกออกไป
เมื่อจิตมีความแยบคายพอสมควรแล้วพิจารณาทางด้านปัญญา แยกผมออกมาดู ทีแรกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอารมณ์ของสมถะเพื่อความสงบใจ จากนั้นมาแล้วจิตมีพื้นฐานแห่งความสงบแล้วแยกอันนั้นออกมาเป็นปัญญา คลี่คลายดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก หัวใจ พังผืด อาหารใหม่อาหารเก่าเต็มอยู่ในนี้ มีแต่มูตรแต่คูถเต็มเนื้อเต็มตัว หาของสวยงามมาจากไหน แล้วการก่อการสร้างสร้างขึ้นมากี่ห้องกี่หับ หอปราสาทแดนสวรรค์สู้มนุษย์ไม่ได้
ตึกรามบ้านช่องมนุษย์ประดับประดาตกแต่งให้สดสวยงดงาม งดงามอะไรตัวของเราเป็นซากผีดิบ ไปอยู่ที่ไหนมันก็สกปรกอยู่อย่างนั้น ไปอยู่แดนไหนก็ตาม ไปอยู่กี่ชั้นกี่ภูมิมันก็สกปรกเต็มตัวของมัน เวลาอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับร่างกายของเราสะอาดขนาดไหนมันก็เป็นของสกปรก ต้องชะต้องล้าง ต้องเช็ดต้องถู ไปอยู่ในบ้านในเรือนต้องเช็ดต้องถู ต้องปัดต้องกวาด แม้ที่สุดเข้าอยู่ในครัวไฟก็ต้องไปเช็ดไปปัดไปกวาดครัวไฟ นี่คือร่างกายของเรามันสกปรก แล้วสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมา ตึกรามบ้านช่องสูงขนาดไหนก็มาโอ้อวดซากผีดิบนี่เท่านั้น ต่างคนต่างเป็นบ้าในซากผีดิบของตัวแล้วมาอวดตัวเอง
ใครมีตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่ขนาดไหน หรูหราฟู่ฟ่าเย่อหยิ่ง ดีไม่ดีจองหองดูถูกเขาผู้ทุกข์จนข้นแค้นเสียด้วยไม่รู้ตัวเลย แต่ความจริงมันเอาร่างกายของตัวเองที่เป็นซากผีดิบนี้แหละไปเป็นหอปราสาทขึ้นมา จากอิฐจากปูนจากหินจากทรายจากเหล็กจากหลานั้นละมันสวยงามอะไร อิฐปูนหินทรายพวกเหล็กหลานั้นละ ก็อย่างที่เราเห็นอยู่นี้ เดินมานี้ก็เหยียบสิ่งเหล่านี้มามันสวยงามอะไร ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือน เอาป่าช้าผีดิบคือตัวของเรานี้เข้าไปก็ว่าโก้หรูๆ มันโง่ขนาดไหนมนุษย์เราน่ะ พิจารณาให้มันแจ้งชัดซิ ท่านผู้รู้ธรรมท่านรู้หมดสิ่งเหล่านี้ แยกออกเป็นสัดเป็นส่วนให้รู้ได้หมด สิ่งที่พออยู่ได้ก็อยู่กันไปอย่างนั้น จะทำให้หรูหราฟู่ฟ่าเป็นบ้าไปไหนอีก นี่ละกิเลสพาคนเป็นบ้าไม่มีเลิกนะ เป็นไปตลอดจนจะตายแล้วไม่อยากตาย
เขาว่าผมนี่หงอกแล้วนะไปหายาย้อมผมมา มันขาวเป็นธรรมชาติปล่อยมันไม่ได้เหรอ เวลามันขาวเป็นธรรมชาติก็ปล่อยมันเป็นธรรมชาติไปซิ ถ้าเป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมไม่กังวลวุ่นวาย ไม่ยุ่งเหยิง การก่อกวนตัวเองตลอดถึงการทำมาหาเลี้ยงชีพทุกสิ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมากทีเดียว เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธ แต่มันไม่ดูพระพุทธเจ้า มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม กินไม่พอได้ไม่พอ อิ่มไม่พอ ทุกอย่างฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมๆ อะไรมาคว้ามับๆ คือเมืองไทยของเรานี้เป็นเมืองฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
พ่อแม่ตายายของเราท่านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ท่านมาด้วยความสงบร่มเย็นสบายๆ ลูกหลานเกิดขึ้นมาก็เห็นความสบายๆ มีแต่ความเพลิดความเพลิน ก็ตื่นไปตามความเพลิดความเพลินไปเสีย ทีนี้เวลาเหตุการณ์มันมาประจันหน้าเราอย่างทุกวันนี้ เหตุการณ์ต่างๆ รอบด้านเมืองไทย ปรับตัวไม่ทันแล้วก็แก้ไม่ทัน ไม่ทันเขาแล้วล้าหลังเขา เป็นอย่างไร มันดีไหมอย่างนี้ ของของตัวเองไม่ยินดี ไปยินดีกับของคนอื่น ถ้าเป็นของเมืองนอกเมืองนาดีหมดๆ ของในของเรานี้ไม่ดี อะไรก็ไม่ดีหมด ฟังซิมันเลวไหม หัวใจมนุษย์ไม่ยินดีกับสมบัติของตัวเอง
สุดท้ายก็จะว่าลูกเขาดีกว่าลูกเรา ผัวเขาดีกว่าผัวเรา เมียเขาดีกว่าเมียเรา แย่งผัวแย่งเมียกันไป พวกบ้ามันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย พากันฟังให้ดีนะ นี่ละเทศน์ธรรมสอนท่านทั้งหลายฟังให้ดี ธรรมพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาสอนโลก เปลื้องทุกข์โดยประการทั้งปวงไม่มีอะไรเหลือในพระทัยแล้ว เป็นบรมสุขขึ้นมาเต็มหัวใจมาสอนโลก จะเป็นที่ติเตียนได้ที่ไหนพระองค์ทรงบรมสุข พวกเราพูดนี้มันมีแต่ฟืนแต่ไฟอยู่หัวใจเอาไปอวดพระพุทธเจ้าได้อย่างไร พวกมูตรพวกคูถ พากันจำเอานะ
นี่ละการพิจารณาเรื่องภาวนาไปถึงความสงบ ภาวนาถึงสติปัญญาก็เลยได้หยุดไป ทีนี้ต่อ เอาสติปัญญามาต่อ พอจิตมีความสงบร่มเย็นแล้วให้แยกออกทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ แยกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ดูผมมันเป็นผมมันเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็เป็นแต่ละชิ้นละอันของมัน มันเป็นเทวบุตรเทวดาเลิศเลอมาจากไหน ยิ่งเข้าไปเนื้อ เอ็น กระดูก อาหารใหม่อาหารเก่ายิ่งเลอะเทอะไปหมด สกปรกหมดทั้งตัว มันเลิศมาจากไหน
นี่ละปัญญา เวลาพิจารณาเข้าไปมันรู้ตรงไหนมันปล่อยมันวางมันสลัดปัดทิ้งๆ กองทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะความอุปาทานยึดมั่นถือมั่นก็ปล่อยไปตามๆ กัน ปล่อยไปตามๆ กัน หมดเรื่องร่างกาย พิจารณาถึงร่างกายถึงขั้นมันหมดมันหมดนะ เอา ท่านทั้งหลายฟังให้ดี นักภาวนาด้วยกันให้ฟัง การพิจารณาร่างกายนี้เวลามันชำนาญมากร่างกายมองดูเห็นผู้เห็นคนเห็นสัตว์เห็นอะไรก็ตาม ใครชำนาญในทางเนื้อ เอ็น กระดูก มันจะเห็นเป็นเนื้อ เป็นเอ็น เป็นกระดูก ไปหมด มันจะไม่เห็นว่าเป็นหญิงเป็นชาย มันจะเห็นเป็นเนื้อหนังเป็นกระดูกแดงโร่ไปหมด นี่ละเวลามันชำนาญมากๆ
จากนี้แล้วพวกอสุภะอสุภังทั้งหลายเหล่านี้ ถูกจิตที่พิจารณานี้มันกลืนเข้ามาภายในใจ อสุภะอสุภังทั้งหลายเหล่านั้นจิตนี้ไปกลืนเข้ามาๆ เลยจิตนั้นแลเป็นตัวอสุภะอสุภัง เป็นตัวทุกฺขํ เป็นตัวอนตฺตา สิ่งที่ปรากฏนั้นเขาไม่ใช่ จิตตัวสำคัญต่างหากไปเป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พอสิ่งเหล่านี้ถูกใจกลืนเข้ามามาเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แล้วสลัดวัตถุทั้งหลายที่เรามาขยี้ขยำหรือเรียกว่ามาเป็นหินลับปัญญานั้นมันปัด เรื่องอสุภะอสุภังทั้งหลาย ใจนี้กลืนเข้ามาหมด เรื่องอสุภะก็ดีอะไรก็ดี ใจนี้เป็นต่างหาก สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้เป็นอสุภะอสุภัง
จากนั้นก็ฝึกซ้อมอันนี้ เมื่อจิตมันกลืนเข้ามาว่าตัวนี้แหละเป็นตัวอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ไม่ใช่วัตถุสิ่งทั้งหลายเขาเป็น ใจนี้ละมันตัวดีดตัวดิ้นตัวคึกตัวคะนอง มันไปหาคว้านั้นตำหนินี้ ชมนั้นชมนี้มา ผู้เป็นบ้าคือตัวเอง ทีนี้เวลามันรู้แล้วสิ่งเหล่านั้นก็หมุนเข้ามาสู่ใจ พอหมุนเข้ามาสู่ใจคิดอะไรปั๊บมันเป็นอสุภะขึ้นมาที่ใจ อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เกิดที่หัวใจหมด ไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราพิจารณาแต่ก่อน นี่คือมันพอแล้ว มันหมุนเข้ามาหัวใจ ใจกลืนเอาหมดเลย
ทีนี้พอใจกลืนหมดแล้วปัดอสุภะอสุภังภายนอกแต่ก่อนมาหมด แต่เอาอสุภะนั้นละตั้งมาเป็นหินลับปัญญาฝึกซ้อมกัน จนกระทั่งมีตั้งแต่ความตั้งขึ้นดับไป อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ดับๆ พิจารณาแยกอนิจฺจํ ไม่ทัน ทุกฺขํไม่ทัน อนตฺตาไม่ทัน พอปรากฏเหมือนฟ้าแลบๆ ดับลงๆ เอาอันนี้ละฝึกซ้อม มันเร็วเท่าไร เอา ฝึกเข้าไป จนกระทั่งตั้งพับดับพร้อมๆ จะแยกอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ทัน จากนั้นร่างกายทั้งหลายนี้สูญ
เอาฟังให้ดี วันนี้จะเปิดโลกให้ฟัง โลกแห่งความหลงของเรานี่ ภูเขาภูเราอยู่ในโลกตัวของเรานี้หมดนั่นละ นี่ละพิจารณา เวลาเปิดโลกธาตุต้องเปิดที่ตัวของเรา เพราะจิตไปหลงโลกธาตุ เปิดโลกธาตุก็เปิดที่จิตนี้เอง พอพิจารณานี้มันดับลงไปๆ จากนั้นจิตก็ว่าง ว่างไปหมด ตั้งอะไรขึ้นมาพับดับปุ๊บๆ จิตว่างไปหมด เอาสิ่งวัตถุทั้งหลายที่มันเคยปรากฏมาเป็นหินลับปัญญา ตั้งขึ้นมาเรื่อยดับไปเรื่อยๆ ตั้งเร็วดับเร็วๆ สุดท้ายแว็บดับ นั่นกลายเป็นจิตว่างที่นี้นะ ว่างหมด อะไรว่างหมดที่นี่
ทีนี้มันจะมีความหลงขึ้นมาในนั้นโดยเจ้าตัวไม่รู้นะ มองดูโลกธาตุนี้แผ่นดินนี้ก็เหยียบย่างไปนั้นละไม่ปฏิเสธ ต้นไม้ภูเขาก็เห็นพอรางๆ แต่ความสว่างของจิต ความว่างของจิตครอบไปหมด จิตว่าง นั่นละเรียกว่าจิตว่าง จิตอยู่ในขั้นอวกาศ ว่างไปหมด แต่ตัวเองยังไม่ว่าง นี่ย้อนเข้ามาอีก เทียบกันกับเขาเข้าไปในห้องว่าง เดินเข้าไปในห้องว่าง ว่าห้องนี้ว่าง เอาไปดูซิห้องนี้ว่าง แล้วก็มีคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้อง โอ้ ห้องนี้ว่างๆ มีอีกคนหนึ่งดูเข้าไปว่าห้องนี้ว่างๆ มันว่างอย่างไรก็เธอนั้นน่ะไปยืนอยู่กลางห้อง เธอนั้นเองเป็นผู้ขวางห้อง ห้องจึงว่างไม่ได้ เอ้า อยากให้ห้องว่างให้ถอนตัวออกมา พอคนนั้นถอนตัวออกมาปุ๊บห้องว่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
นี้คืออะไร คือตัวจิตของตัวเองยังไม่ว่าง ไปว่าแต่สิ่งรอบจิตว่างไปหมดๆ ตัวจิตยังไม่ว่าง ตัวจิตยังไม่วาง พอถึงขั้นนี้เข้ามาหาตัวจิตรู้เท่าจิต ปล่อยวางจิต ว่างที่จิต ภายนอกก็ว่าง ภายในก็ว่าง ว่างตรงนี้ ไม่ต้องถามหานิพพาน คือตัวเป็นธรรมชาติหนึ่ง มีจุดมีต่อมแห่งความสว่างไสวของใจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธรรม ท่านจึงเรียกว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน ผู้รู้คือใจ นั้นแลคือตัวภพ ฟาดทำลายจุดผู้รู้คือตัวสว่างไสวขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว ไม่มีจุดไม่มีต่อม แล้วในขณะเดียวกันกิเลสขาดสะบั้นลงไป ไม่มีอะไรเหลือ
นั้นแลท่านเรียกว่าฟ้าดินถล่ม ไม่ต้องถามหาพระนิพพาน บรรดาพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมปึ๋งขึ้นมานี้ ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่านิพพานอยู่ที่ไหน ธรรม สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้ในผลงานของตนไปโดยลำดับๆ เอง จนกระทั่งรู้ผลงานของตนถึงที่สุดแล้วก็ไม่ต้องถามพระพุทธเจ้า นิพพานอยู่ที่ไหนไม่ต้องถาม นั่นคือผู้ถึงนิพพาน นั่นคือผู้สิ้นกิเลส นี้คือทางเดินเพื่อสิ้นกิเลสเดินอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้ ตั้งแต่เกสา โลมาขึ้นไป ถึงจิตมีความสงบแน่นหนามั่นคง แยกออกไปจนกระทั่งธาตุขันธ์ของเราสลายไปหมด ตั้งขึ้นเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ทันๆ
จากนั้นจิตก็ว่าง แล้วมันไม่ว่างอะไรเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างว่างไปหมด มันยังไม่ว่างที่จิต ที่ว่าห้องว่างมันว่างแต่ห้อง ตัวคนไปยืนขวางห้องนี้ก็คือจิตว่างแต่ภายนอก รู้แต่ภายนอก ตัวจิตเองยังไม่รู้ตัวเอง ทีนี้เข้ามารู้ตัวเองปั๊บทีนี้ว่างหมดเลย นั่นละท่านว่าตรัสรู้ธรรม ว่างตรงนั้น พอว่างนี้แล้ววางหมดในหัวใจ นั่นละถึงนิพพาน ท่านตรัสรู้ธรรม ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยไปหมดแล้วเหรอ เป็นธรรมที่ทันยุคทันสมัยอยู่ตลอดมามีแต่กิเลสเท่านั้นเหรอ โดยไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรมมันก็เป็นอย่างนั้นละซิ ผู้ปฏิบัติปฏิบัติอยู่ ผู้รู้รู้อยู่เห็นอยู่ ผู้ไม่ปฏิบัติหลับหูหลับตาอวดตนว่าเป็นผู้เฉลียวฉลาด เป็นจอมนักปราชญ์ ไปเหยียบธรรมแทนทองคำทั้งแท่งที่ท่านบริสุทธิ์พุทโธได้อย่างไร
นี่ละที่ว่าบรรดาพระที่ท่านสิ้นกิเลสแล้ว เวลาท่านนิพพานไปแล้วอัฐิของท่านเป็นพระธาตุไปหมดๆ ในสมัยปัจจุบันนี้ก็มี แต่ส่วนมากมีในสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นมีมากนะ คือเวลาท่านตายไปแล้วหรือว่านิพพานไป พระองค์นี้หรือครูบาอาจารย์องค์นี้ บรรดาวงลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดทั้งหลายทราบกันหมด แต่ไม่ได้เคยพูด เป็นธรรมะครัวเรือนในครอบครัว ทราบกันโดยลำดับ พอท่านนิพพานมรณภาพไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุไปหมด เราเห็น ทุกวันนี้มีน้อยเมื่อไร อัฐิของพระเจ้าพระสงฆ์ พระกรรมฐานนะส่วนมาก แล้วมากจริงๆ ก็คือวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น
องค์นี้มรณภาพลงไปเดี๋ยวกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาๆ ที่พอจะยกตัวอย่างให้เป็นสักขีพยานสมัยปัจจุบันนี้ก็คือหลวงปู่มั่นเรา อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ไปดูเอาที่วัดป่าสุทธาวาส นั้นเป็นจุดที่รวมแห่งพระธาตุของหลวงปู่มั่น แต่ผู้ที่ได้รับแจกไปบูชาที่บ้านที่เรือนเขาไม่บอกง่ายๆ นะ ของเขาก็เป็น ถ้าถามว่าเป็นอัฐิของหลวงปู่มั่นเป็นพระธาตุนั้นจริงหรือ จริงทันที เขาบอกว่าจริง แต่ว่าอยู่ที่ไหนเขาไม่บอก ส่วนที่รู้ชัดเห็นชัดก็คืออยู่ที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นนั่นละ ไปดูเอา นั่นละอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ คือเป็นพระอรหันต์แล้วอย่างเปิดเผยในขณะเดียวกัน
ทีนี้ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่ตายไปแล้วๆ อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุมีน้อยเมื่อไร ไม่น้อยนะ แต่ท่านไม่พูด ท่านไม่ชอบโอ้ชอบอวด แล้วพวกส้วมพวกถานพวกมูตรพวกคูถมันคอยจะไปโปะไปเหยียบไปย่ำ โอ๊ย มาพูดโอ้พูดอวด นี่มันไม่ได้คิดถึงหลักธรรมดาคติธรรมดาที่ถูกต้องอะไรบ้างเลย หลักธรรมชาติคืออะไร เราไปหาอยู่หากินหาเงินหาทอง วันนี้ได้มากี่บาทได้มากี่สตางค์ เขามาเล่าสู่กันฟังด้วยความภูมิใจ เออได้เงินเท่านี้ร้อยเท่านี้พันบาท เขาไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามกัน เขาภูมิใจไปด้วยกัน พอใจ นี่โลกเขา เขาไปหา เพียงเงินทองวิเศษวิโสยิ่งกว่าธรรมไปที่ไหน เขาก็ภูมิใจ
ทีนี้ผู้ปฏิบัติธรรม ลงมาพูดว่าได้รู้อย่างนั้นอย่างนี้แล้วโลกนี้แตกเลย เพราะฉะนั้นในวงกรรมฐานกับธรรมะ จึงเป็นธรรมชาติที่ถ่อมตนอยู่เสมอโดยหลักธรรมชาติ เพื่อสังคมโลกสมมุติทั่วๆ ไป รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น แต่เมื่อมีผู้ไปเกี่ยวข้องมากน้อยจะรู้ในระยะนั้น ท่านรู้ในจิตว่าเป็นภูมิใดชั้นใด เช่นอย่างบรรดาลูกศิษย์ของท่านผู้ที่วิเศษ เช่นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นใครจะไม่ยอมรับหลวงปู่มั่นว่าเป็นพระอรหันต์ล่ะ ยอมรับหมดเลย แต่จะมาเปิดเผยขึ้นมาก็มาเปิดเผยตอนที่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้วนี้แหละ เออ ยอมรับ แต่ไม่ได้รับรองว่าจะยอมรับไปมากนะ พวกหูหนวกตาบอดมันชนได้สบายๆ
เพราะฉะนั้นศาสนาจึงกลายเป็นศาสนากิเลสไปมาก ยิ่งกว่าเป็นศาสนธรรม ให้ท่านทั้งหลายฟัง นี้ละธรรมไม่เคยครึเคยล้าสมัย สมกับที่ว่าสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอย่างนี้เอง ใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ตามการปฏิบัติของตนท่านจึงเรียกว่า อกาลิโก ให้ผลตลอดเวลา ไม่มีอะไรมากีดกันทำลายได้เลย ทั้งการสร้างบาปสร้างบุญ สร้างบาปสร้างเมื่อไรเป็นบาป สร้างบุญสร้างเมื่อไรเป็นบุญ เอาสร้างบาปให้ถึงที่สุดก็เป็นบาปถึงที่สุด สร้างบุญให้ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานก็ได้ ให้พากันจำเอานะ
วันนี้ได้เทศน์เพียงเท่านี้ ยังไม่ได้เทศน์มากอะไรนัก นี่เทศน์ถึงเรื่องจิตที่พ้นออกไปๆ จนกลายเป็นอะไรว่าง ว่างหมดวางหมด นั่นละถึงที่สุดของผู้ปฏิบัติธรรม เรียกว่าบรรลุก็ได้ ถ้าลงจิตว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน คือจิตเอง ปล่อยทั้งภายนอก ปล่อยทั้งภายใน คือจิตเอง นั่นเรียกว่าจิตเปิดโลกธาตุ บรรลุธรรมถึงแดนพ้นทุกข์โดยสมบูรณ์แล้ว ท่านผู้ใดเป็นก็ตาม สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาในหัวใจของผู้นั้นโดยลำดับๆ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติมา ที่จิตมีความสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตมีปัญญาเฉลียวฉลาด จิตเป็นมหาสติ-มหาปัญญา จนกระทั่งถึงจิตหลุดพ้น สนฺทิฏฺฐิโก จะประกาศผลงานของตนไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน จะไม่ละสนฺทิฏฺฐิโกที่รู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตนนี้เลย
จึงขอให้ท่านทั้งหลายฟัง เป็นอย่างไรศาสนาพระพุทธเจ้าเอามาหลอกโลกเล่นอยู่นี้เหรอ เอาสุ่มสี่สุ่มห้ามาอวดกัน ภาวนาพากันไปสวรรค์หลับหูหลับตาไปก็มีแต่ต้นไม้ภูเขา มันจะโดนหัวมัน หัวมันแตก มันพาลูกศิษย์ของมันไปหาดูสวรรค์นิพพาน บทเวลาหน้าผากมันกับต้นไม้จะโดนกันมันไม่ดู กิเลสเต็มหัวใจมันไม่ดู มันอยากไปดูสวรรค์นิพพาน เวลานี้ศาสนากำลังขึ้นแบบนี้นะ พาคนไปดูสวรรค์นิพพาน หัวใจที่มืดบอดอยู่ด้วยกิเลสตัณหามันไม่ดู ให้ดูหัวใจซิ เปิดขึ้นด้วยจิตตภาวนาจะรู้เอง
พระพุทธเจ้ารู้ด้วยภาวนา สาวกรู้ด้วยภาวนา ท่านวิเศษวิโสถึงธรรมธาตุได้เป็นพระอรหันต์ด้วยการภาวนาต่างหาก ท่านไม่ได้มาโอ้อวดโลก นี่ภาวนาพุทโธก็ยังไม่ได้ความ ภาวนาไม่ทราบเป็นอย่างไร ไปจะพาไปดูสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ไปแล้ว มันเสริมกันให้เป็นบ้า เอาศาสนาบังหน้าแล้วหลอกประชาชนพลเมืองไปซิ เลยมีแต่คนไปเห็นสวรรค์นิพพานมาหมดแล้วพวกนี้ เป็นอย่างไรลูกศิษย์หลวงตาบัวใครไปเห็นสวรรค์ชั้นไหนๆ นรกชั้นไหนเอามาอวดหลวงตาบัวหน่อยน่ะ หลวงตาบัวมันโง่จะตายเวลานี้น่ะ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ให้พากันจำเอานะ
วันนี้พูดพอสมควร ธาตุขันธ์ก็อ่อนลงๆ แล้วมาแสดงธรรมนี้ก็พอเป็นแนวทางเป็นคติแก่ท่านทั้งหลายให้ได้ยินได้ฟัง ธรรมะประเภทนี้ไม่ได้ออกมาจากสุ่มสี่สุ่มห้านะ ออกมาจากภาคปฏิบัติ พระพุทธเจ้าเป็นภาคปฏิบัติ สาวกทั้งหลายเป็นภาคปฏิบัติ ออกมาจากสถานที่เหมาะสมคือมหาวิทยาลัยป่าเป็นส่วนมาก จากนั้นก็พิจารณามหาวิทยาลัยป่า ป่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เป็นป่าใน ป่าตัวเอง จากนั้นก็เข้าป่ากิเลสฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วโล่งหมดเลย
เอาละการแสดงธรรมต้องขออภัยนะ ธาตุขันธ์ค่อยอ่อนลงๆ ธรรมะแทนที่จะให้ได้เข้าอกเข้าใจทั่วถึงกันอย่างกว้างขวางพอประมาณก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะธาตุขันธ์อ่อนลงๆ การเทศน์ต้องอาศัยธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือ นี่ธาตุขันธ์อ่อนลงๆ แล้ว ก็จะได้ประมวลธรรมะคำสั่งสอนลงมาสู่จิตใจของท่านทั้งหลายที่ได้มาได้ยินได้ฟัง วันนี้จิตเป็นกุศลทั้งวัน คิดตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องกุศลทั้งวันๆ วันนี้ท่านทั้งหลายสร้างบุญสร้างกุศล นำรถขึ้นมารถคันไหนก็มีรถบุญเต็มคันรถๆ หัวใจเต็มไปด้วยบุญ รถคันไหนมาก็มีแต่บุญเต็มรถๆ ไม่ว่ารถเล็กรถน้อยรถใหญ่รถอะไรก็ตามมีแต่คนบุญๆ มาสร้างบุญสร้างกุศล วันนี้รถมีชะตาดีนะ เรียกว่ามีแต่คนบุญ บรรทุกคนบุญเต็มรถๆ มา
แล้วเวลาขากลับไปอย่าลืมพุทโธ เอาพุทโธอัดเข้าไปเต็มเข้าไปในหัวใจ เต็มมาด้วยพุทโธ เต็มมาด้วยบุญ เต็มออกไปด้วยพุทโธ เต็มไปด้วยบุญ อย่าให้ว่างเปล่า ไปนี้อย่าลืมพุทโธ ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ถ้าห่างเหินธรรมแล้วใกล้ชิดติดพันกับนรกอเวจีไปเรื่อยๆ นะ
เอาละการแสดงธรรมนี้ก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย มีท่านผู้เป็นประธานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี้โดยทั่วกันเทอญ
พูดท้ายเทศน์
พระ : มีคนจะถามปัญหาหลวงตาครับผม
หลวงตา : จะถามปัญหาอะไรล่ะ มันจะตอบได้ไหม มันจะไม่ขายหน้ากลับไปหรือ มาด้วยดอกเตอร์พามา แล้วกลับไปแล้ว อีตาบัวไป ใช้ไม่ได้นะ ฟัง กราบนมัสการหลวงตา ที่เคารพ หลานอยากจะทราบวิธีการเข้าถึงน้ำพระทัยพระพุทธเจ้า ว่าท่านมีน้ำพระทัยประมาณไหน เหตุใดท่านจึงมีปณิธานอันแน่นหนาและเมตตาและกรุณาต่อสรรพสัตว์อันหาประมาณมิได้ขนาดนี้
อ่านแล้วก็เลยลืมไปแล้ว ถามมานี้ก็ไม่ค่อยเท่าไรนัก วิธีการเข้าถึงน้ำพระทัยพระพุทธเจ้า และท่านมีน้ำพระทัยประมาณไหน เหตุใดท่านจึงมีปณิธานอันแน่วแน่ และเมตตาแก่บรรดาสรรพสัตว์อันหาประมาณมิได้
เอาละ ให้เราเดินตามเสด็จนะ จะเป็นการตอบไปในตัวนะ ผู้ถามถามถึงเรื่องท่านมีเมตตามหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือหาประมาณไม่ได้ เราจะทำยังไง ขอให้พี่น้องทั้งหลายเดินตามศาสดาองค์เอก อย่าเห็นแก่เนื้อแก่ตัว เห็นแก่กิเลสตัณหา กวาดต้อนเข้ามาๆ ดังที่เขาเป็นรัฐบาลอยู่ทุกวันนี้ นายกแต่ละคนๆ กวาดต้อนเข้ามา ตับไตประชาชนจะไม่มีเหลือแล้ว ใครเขาเบื่อคนที่จะมาเป็นนายกทุกวันนี้นะ นายกนี่ท้องป่อง ท้องป่องๆ พี่น้องชาวไทยเราจนจะไม่มีตับเหลือแล้ว ประเภทนี้อย่าเอาเข้ามาในหัวใจ ให้มีความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน แม้แต่สัตว์ในบ้านเราก็เลี้ยงไว้ คนตาดำๆ ด้วยกัน มีความทุกข์ความยากลำบาก หวังพึ่งกันมนุษย์เรา อยู่คนเดียวไม่ได้นะ มนุษย์นี้เป็นสัตว์หมู่สัตว์พวก ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน มีมากมีน้อยสงเคราะห์ไปตามเกิดตามมี นี่เรียกว่าน้ำใจของชาวไทยเรา ซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ
ให้มีแก่ใจ เห็นอกเห็นใจ อย่าดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ใครด้อยกว่าก็ให้เมตตาสงสารกัน อย่าเย่อหยิ่งจองหอง เข้าใจแล้วหรือ อย่าคับแคบตีบตัน เห็นแก่ได้แก่เอา กวาดต้อนเข้ามา มีความเสียสละด้วยเมตตาธรรมต่อกัน นั้นเป็นความดีสำหรับชาวพุทธเรา เอาละพอ เท่านั้นแหละ ตอบแล้ว
คำถามสุดท้าย กราบขอคำแนะนำหลวงตาว่า ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน มีคนตกงานและมีความยากลำบากในเรื่องการดำเนินชีวิต เนื่องจากความยากจน จึงกราบขอกำลังใจและคำแนะนำ เพื่อมิให้จิตใจหวั่นไหวไปกับอำนาจเงิน และได้มาอย่างไม่ถูกต้องเจ้าค่ะ
คนขี้เกียจมันมักจะตกงานตลอด มันอยู่บนหมอนบนเสื่อ จึงเป็นคนตกงานอื่น แต่มาค้างอยู่บนหมอน เข้าใจไหมล่ะ ทีนี้ในการดำเนินชีวิต เนื่องจากความยากจน จึงกราบขอกำลังใจและคำแนะนำ เพื่อมิให้จิตใจหวั่นไหวไปกับอำนาจเงิน และได้มาอย่างไม่ถูกต้อง
นี่เขากำลังจะเป็นนายกอีกนะ ไอ้นายกเปรตคนนี้น่ะมันมีเงินมีทองกองเท่าภูเขาๆ มันจะมาหว่านล้อมพี่น้องชาวไทยเรา ใครเห็นแก่เงินแก่ทองบ้านเมืองจะจม ถ้าใครเห็นแก่ชาติบ้านเมือง เงินไม่สำคัญยิ่งกว่าคนในประเทศรวมหัวกัน มีความพร้อมเพรียงสามัคคี อย่าให้เงินทองเหล่านี้มาใหญ่กว่าหัวใจและชาติไทยของเรานะ จำให้ดี มันจะเอาเงินมาหว่าน คนเห็นเงินเป็นเทวดา เห็นชาติเป็นขี้หมูขี้หมา ใช้ไม่ได้นะ เข้าใจหรือ เอาละพอ
เวลาท่านให้พรนั้น ให้ตั้งใจอุทิศส่วนตั้งแต่ส่วนย่อยถึงส่วนใหญ่ทั่วประเทศเขตแดน ทั่วโลกทั่วสงสาร จากการกุศลของพี่น้องทั้งหลายที่บำเพ็ญในวันนี้ ให้อุทิศส่วนกุศลที่เป็นบุญกุศลอันนี้ไปทั่วโลกดินแดนนะ วันนี้บุญเป็นของเราทุกคนๆ มีกรรมสิทธิ์ครองบุญของตนเองที่มาสร้างวันนี้ แล้วให้แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้มานี้ สู่บรรดาสัตว์ทั้งหลายให้ทั่วหน้ากันนะ เอาละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|