ภาษาของผู้รู้ธรรมเห็นธรรม
วันที่ 5 ธันวาคม 2550 เวลา 18:15 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ภาษาของผู้รู้ธรรมเห็นธรรม

          เทศน์นี่เขาจะออกทางไหนบ้าง มานั่นเห็นเขาเอาจานอะไรๆ ติด (ส่งขึ้นดาวเทียมแล้วออกทางวิทยุ โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ตทั่วโลกครับ) เราเทศน์นี้ไปทั่วโลกหรือ (ครับ) เทศน์ทั่วโลกเทศน์แบบไหนล่ะ เอ้า ลองถามปัญหาซิ เทศน์ทั่วโลกจะให้เทศน์แบบไหน โลกส่วนมากมันมีแต่โลกอยู่ตามพุ่มไม้ๆ มันไม่อยู่ที่ต้นยางต้นตะเคียนสูงๆ นะ มันอยู่ตามพุ่มไม้ เทศน์ทั่วโลกเลยเป็นเทศน์ต่ำๆ ไป เทศน์ให้ต้นไม้ตะเคียนไม้ยางสูงๆ นั้นมันก็พุ่งเลย นั่นคือผู้ปฏิบัติธรรม มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ เทศน์ก็เทศน์ง่าย พูดให้มันชัดเจน เทศน์นี้เทศน์ง่าย คือเทศน์ตามหลักความจริง หลักความจริงจิตมันรู้มันเห็นไว้เรียบร้อยแล้วมันก็พุ่งเลย

นี่ไปหาคว้าพุ่มนั้นหาคว้าพุ่มนี้พุ่มไม้ ถ้าจะตีแรงๆ ก็หัวเด็กก็มี หัวคนแก่ก็มี ทีนี้หัวอันธพาลมันก็ลอยนวล มันลำบากอย่างนั้นละ ถ้ามีแต่ผู้ที่พุ่งๆ ใส่กันแล้วผึงเดียวเลย คือผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมมุ่งต่อแดนพ้นทุกข์จริงๆ เช่นพระกรรมฐานท่านออกปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์นี้ต้องเทศน์อย่างที่ว่าพุ่งๆ เลย ถึงใจ กี่ชั่วโมงไม่ระลึกนะ ลืมเลย อย่างไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นทีแรกท่านเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมง ฟังเทศน์ไม่รู้คำว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่มี คือจิตมันอยู่กับธรรม มันไม่อยู่กับสกลกายพอจะมาเจ็บนั้นปวดนี้

ท่านเทศน์ลงไปเท่าไรมันยิ่งจ่อ จิตยิ่งตั้งรับกันปั๊บๆ สติกับจิตติดเป็นอันเดียวกันเลย ทีนี้เลยลืมเนื้อลืมตัว ลืมเหน็ดลืมเหนื่อย  จิตกับธรรมสัมผัสกันอยู่นั้นเลยไม่ออกข้างนอกนะ บางทีเงียบไปเลย มันลงเต็มที่ในขณะฟัง นี่ละฟังเทศน์ที่ท่านแสดงไว้ในครั้งพุทธกาลเทศน์ผู้ที่สำเร็จมรรคผลนิพพานมี ไม่มีได้อย่างไร ผู้ตั้งใจเพื่อมรรคผลนิพพานมีไม่น้อย เทศน์นี้ไม่บกพร่อง เช่นศาสดาเอกเทศน์ หรือพระสาวกท่านเทศน์ ท่านเทศน์แบบสมบูรณ์แบบไปเลย ท่านรู้ท่านเห็นอย่างไรท่านถอดออกมานี้ แม่นยำๆ ท่านไม่ใช่ไปลูบนั้นคลำนี้เป็นหนอนแทะกระดาษเหมือนพวกเรา แล้วเอามาโม้กันฟัง ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเป็นหนอนแทะกระดาษ แล้วผู้ฟังจะเอาความจริงมาจากไหน นั่นละเป็นอย่างนั้น

ถ้าผู้เทศน์เป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มหัวใจแล้วผู้มาฟังก็มุ่งต่ออรรถต่อธรรมเต็มหัวใจ คือเพื่อแดนวิมุตติหลุดพ้นอย่างเดียวมันก็รับกันได้ปั๊บๆๆ เลย เช่นหลวงปู่มั่นในสมัยปัจจุบัน เราไปถึงท่านทีแรกเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมงนะ ครั้นแก่เข้ามาๆ ก็ลดลง ๓ ชั่วโมง เทศน์ทีแรก ๔ ชั่วโมง ผู้ฟังนี้เหมือนหัวตอเลยเชียว เหมือนว่าไม่มีคน ไม่มีกระดุกกระดิกเลย เงียบหมดเลย เหมือนไม่มีพระฟังทั้งๆ ที่พระเต็มศาลา เทศน์นี่ได้ยินแต่เสียงท่านแว้วๆ ๆ เข้าสู่หัวใจๆ กล่อมลงๆ ๆ จิตมันก็แน่วเข้าๆ สงบเข้ามา กล่อมไปในตัว ลืมคำว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่มี จิตเข้าสู่ภายในแล้วไม่มีเรื่องร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เช่นท่านเทศน์ตั้ง ๔ ชั่วโมง

คือจิตกับสตินี้มันอยู่ด้วยกันๆ มันไม่ออกทางร่างกาย ร่างกายก็เลยเป็นเหมือนหัวตอ มันไม่มีอะไรมาแสดงนะ นั่นละท่านเทศน์จริงๆ ผู้ฟังฟังจริงๆ เป็นอย่างนั้น เราไปอยู่กับท่านเป็นเวลา ๘ ปี ไม่มีที่ต้องติเลย ไม่ว่ากิริยาท่าทางที่ท่านแสดงออกแง่ไหนมันดูดดื่มทั้งหมดเลย กิริยาของจอมปราชญ์ออกจากธรรมเต็มหัวใจออกมาอย่างนั้นละ กิริยาอาการแสดงออกออกมาจากธรรมเต็มหัวใจ กิริยาเหล่านั้นมันเลยซาบซึ้งไปหมดๆ

เรายกปัจจุบันนี้คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์ ท่านเทศน์อย่างนั้น นั่นละพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์มั่นไม่เป็นพระอรหันต์ใครจะเป็น อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุประจักษ์ พระอรหันต์เท่านั้นที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้ นี้ท่านก็กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว จะปฏิเสธไปไหนพวกหูหนวกตาบอดไม่ยอมรับธรรม ถ้ายอมรับธรรมก็ต้องยอมรับ ครั้งพุทธกาลกับครั้งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งกิเลสทั้งธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลง กิเลสก็ผูกมัดรัดรึงหัวใจสัตว์โลกตลอดมาเป็นกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีลดละ

ธรรมเป็นเครื่องแก้ไขตลอดมา ใครจะนำธรรมเข้ามามากน้อยมาแก้กิเลสเพื่อให้มันเบาบางลงไปๆ ก็นำเข้ามาซิ แล้วกิเลสมันจะทนธรรมะซึ่งเป็นของสะอาดได้เหรอ ชะล้างลงไปทุกวันๆ ความระมัดระวังรักษาไม่ให้มลทินสิ่งมืดดำทั้งหลายเข้ามาพัวพันจิตใจ มีแต่การชำระซักฟอกด้วยสติปัญญา รักษาใจอยู่ตลอดเวลา ใจเมื่อได้มีการรักษาแล้วก็มีการฟื้นตัว อย่างน้อยเกิดความสงบขึ้นมา มากกว่านั้นจิตก็แน่นหนามั่นคงกลายเป็นสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วก็ออกทางด้านปัญญานี้แพรวพราวนะ

ปัญญาไม่เหมือนสมถะ ไม่เหมือนความสงบและสมาธิ ปัญญานี่กว้างขวางมาก ลึกซึ้งมาก ละเอียดลออมากที่สุด ไม่มีใครจะรู้ได้ถ้าไม่ใช่นักภาวนาทางด้านจิตตวิปัสสนา ออกทางวิปัสสนารู้ที่นี่ เพียงสมาธินี้มีแต่ความสงบเยือกนั่งทั้งวันก็ได้ จิตเป็นสมาธิมันไม่อยากคิดอยากปรุง อยู่ธรรมดานี้ไม่คิดไม่ปรุงไม่ได้มันกวน ต้องคิดต้องปรุงตลอดเวลา ถ้าได้คิดได้ปรุงไปตามนั้นแล้วก็เพลินไปตามมันเสีย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกแหละ

เวลาตีเข้ามาๆ พอจิตสงบแล้วก็เห็นคุณค่าแห่งความสงบ พอสงบมากเข้าๆ จิตก็แน่นหนามั่นคงเข้า ทีนี้ความคิดความปรุงนี้รำคาญ ไม่อยากคิดอยากปรุง นั่งแน่ว มีแต่ความรู้อันเดียวเอกจิตเอกธรรม นั่นเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ความคิดความปรุงนี้ปรุงขึ้นมามันรำคาญ ไม่อยากคิด เมื่อปัดมันอยู่ตลอดมันจะคิดขึ้นมาได้อย่างไร อำนาจแห่งความสงบปัดมันตลอดมันก็ไม่คิด มีแต่ความแน่วอยู่ภายในจิตใจ นี้จิตเป็นสมาธิ ปราศจากสิ่งก่อกวนคือความคิดปรุงทั้งหลาย มีแต่ความแน่ว มีความรู้อันเดียวเด่น เอกจิต เอกธรรม เอกัคคตาธรรม คือมีจิตอันเดียวรู้อยู่เท่านั้น ขั้นนี้ก็สบายแล้ว เพลิน

ผู้มีจิตในขั้นเป็นสมาธินี้เพลิน ไม่อยากคิดอยากปรุงกับอะไรเลย มันกวนใจ การคิดการปรุงเป็นเรื่องกวนใจ แต่ก่อนไม่ได้คิดได้ปรุงไม่ได้ มันกวนใจอีกแหละ ถ้าได้คิดได้ปรุง วิ่งไปตามความคิดความปรุงแล้วก็เพลินไปตามมัน หลงไปตามมันเรื่อย ไม่ทราบวันคืนปีเดือนจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ป่าช้าเลยไม่มีในตัวของคนซึ่งเป็นกองป่าช้าแต่ละกองๆ ไม่ได้มองดูป่าช้าในตัวของเราเลย มีแต่เพลินไปตามกิเลสตัณหา ป่าช้าไม่มี บทเวลาถึงวันตายไขว่คว้าอะไรก็ไม่ทัน ตายไม่มีสิ่งเกาะเกี่ยว ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย ตายไปแบบล่มๆ จมๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

สิ่งที่จะมาฉุดลากให้พ้นจากความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย ก็คือธรรมเท่านั้น เมื่อธรรมได้เข้ากล่อมใจแล้วใจจะมีความสงบร่มเย็น เวลาจะเป็นจะตายก็อาจหาญชาญชัย เราเคยคิดตั้งแต่เป็นฆราวาส เราไม่ลืม คือทดสอบความรู้สึกของตัวเองตามวัยต่างๆ ตั้งแต่เป็นเด็กมา ถ้าพูดถึงเรื่องความตายดิ้นรนวุ่นวาย ไม่อยากคิดอยากปรุง หาเรื่องเพลินๆ เข้ามากลบมัน เพื่อให้เป็นไปกับความเพลิดเพลินนั้นแล้วกลบทุกข์เพราะความกลัวตายนี้ลงไปเสีย

ทีนี้เวลาออกภาวนานี้มันเปลี่ยนนะ ความคิดอย่างนี้เปลี่ยน เวลาจิตค่อยสงบเข้าไปๆ  ความกล้าหาญต่อความเป็นความตายมีมากขึ้นๆ จิตสงบมากเท่าไรยิ่งเห็นความเด่นชัด ความเป็นที่พึ่งของเจ้าของก็คือใจ ใจกับธรรมกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้วมีความดูดดื่มเย็นสบายตลอดเวลา นั่งอยู่ที่ไหนไม่ว่ากลางวันกลางคืนนั่งได้สบายๆ จิตละเอียดเข้าไปเท่าไรๆ ยิ่งมีแต่จิตล้วนๆ อารมณ์อะไรเข้ามากวนไม่ได้ มีแต่ความรู้ล้วนๆ เด่นอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญานี่มันค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยรู้รู้ ไม่เคยเห็นขึ้นมาละที่นี่

ดังที่ท่านแสดงว่าเปรตอสุรกาย นรก สวรรค์ พรหมโลก มันจะเปิดขึ้นทางด้านจิตตภาวนา เราด้นเดาเอาเฉยๆ ไม่ได้ตายทิ้งเปล่าๆ นะ ถ้าเข้าทางด้านจิตตภาวนาจะเห็นตามนี้เลย พระพุทธเจ้ารู้แล้วเห็นแล้วจึงมาสอนโลกจากจิตตภาวนา เรามาปฏิบัติตามทางที่ท่านเดินไปด้วยความราบรื่นดีงามมาแล้วมันจะไปไหนถ้าไม่รู้ รู้เต็มภูมิของเราที่ตัวเท่าหนูก็ตามมันก็รู้ปิดไม่อยู่ นั่นเป็นอย่างนั้นละ

ทีนี้มันก็สว่างไสวขึ้นมาๆ เลยกลายเป็นจิตอัศจรรย์ เราตั้งแต่เกิดมาเห็นแต่สิ่งนั้นอัศจรรย์สิ่งนี้อัศจรรย์ ไขว่คว้า อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี เงินในกระเป๋าจนไม่มี เพราะเห็นสิ่งนั้นอัศจรรย์ยิ่งกว่าตัวของเรา สุดท้ายก็มาปล้นเงินในกระเป๋าจนไม่มีอะไรติดตัวมันดีแล้วเหรออย่างนั้น นั่นละเพลินกับโลกเป็นอย่างนั้น ทำให้เจ้าของล่มจม แต่เวลาเพลินกับธรรมไม่เป็นนะ มันหดย่นเข้ามา สมบัติเงินทองข้าวของแต่ก่อนไม่มีที่พึ่งที่อาศัยมันก็เกาะสิ่งเหล่านั้น ภูมิอกภูมิใจว่าเรามีนั้นเรามีนี้ ภูมิใจไปกับสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ความเสี่ยงทายก็ไปด้วยกัน กลัวสิ่งนั้นจะหลุดตกไปจากมือเรา มันไม่เป็นความสุขอย่างตายใจนะ เป็นความสุขเสี่ยงทายด้วยความทุกข์ที่สิ่งเหล่านั้นจะพลัดพรากจากตัวไป หรือกลัวจะตายจากสิ่งเหล่านั้น

ทีนี้พอธรรมเข้าสู่หัวใจไม่เป็นนะ จางลงๆ สมบัติทั้งหลายมีมากน้อย เราไม่ประมาทใคร พระพุทธเจ้าครองสมบัติอยู่นั้นพระองค์ก็เสด็จออกบวชได้ เศรษฐีกุฎุมพีที่ออกมาบวชมีน้อยเมื่อไรทำไมท่านตัดออกมาได้ ก็เพราะไม่เห็นอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมนั่นเอง ท่านออกทางธรรมปัดหมดเลย ไม่สนใจ เจ้าฟ้าพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐีกุฎุมพีปัดออกหมด ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ท่านก็ออกสู่ทางธรรม ครั้นออกทางธรรมแล้วจิตใจที่เคยคลุกเคล้าด้วยมูตรด้วยคูถ คือสมบัติเงินทองข้าวของรายได้รายเสียนั้นเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถ ค่อยจางลงไปๆ เพราะน้ำธรรมะนี้ชะล้างออกๆ

จิตใจสว่างไสวเข้ามาแล้วมีคุณค่าเด่นขึ้นๆ ภายในใจ ปล่อยภายนอกออกๆ จิตใจเด่นเท่าไรก็ยิ่งปล่อยภายนอกออกมาก ซัดจิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรมาติดใจ นั่นละธรรมท่านเป็นอย่างนั้น ท่านถึงสอนโลก พวกเราเห็นแต่อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี เอามูตรเอาคูถมาแข่งธรรม เอามูตรเอาคูถมาแข่งทองคำทั้งแท่ง มันก็มีแต่มูตรแต่คูถเต็มตัวละคนเรา ให้พากันพิจารณาบ้าง

เวลาธรรมได้เข้ากลมกลืนภายในใจแล้วมันปล่อยนะ ข้างนอกไม่ต้องบอก เพราะไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมภายในใจ พอธรรมเข้าสู่ใจมากน้อยแล้วมันจะค่อยปล่อยออกๆ สิ่งภายนอกทั้งหลายที่เห็นว่าดีว่าสวยว่างามมีราค่ำราคาแต่ก่อน มันจะปล่อยของมันออกไป จิตนี้จะเด่นขึ้นไปด้วยความมีค่ามีราคา หมุนติ้วเข้าสู่จิต ต่อไปปัดข้างนอกออก ส่งเสริมจิตให้ดีขึ้นทุกเวล่ำเวลา ทีนี้จิตก็จ้าขึ้นมา ต่อไปก็อัศจรรย์ตัวเอง

สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเพียงไร ใครก็เคยมีเต็มเปี่ยมมาแล้วใครไปอัศจรรย์ตัวเองเพราะมีสมบัติมาก ไม่เห็นมี เอาไปพิจารณาซิ ไม่มี มีก็มีความสำคัญว่าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้เกาะเกี่ยวเข้าไปด้วยสัญญาอารมณ์ แล้วก็ไม่พ้นความเสี่ยงทายว่าจะได้จะเสีย จะพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ไปเมื่อไรทั้งเขาทั้งเรา แน่ะมันก็ไม่แน่ใจ แต่เรื่องด้านธรรมะนี้ไม่เป็น มันจะหมุนตัวเข้าไป เย็นเข้าไปๆ สุดท้ายปล่อยออกหมดสิ่งเหล่านั้น เหลือแต่ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นั่นละสุดเลิศเลออยู่ที่ตรงนั้น ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าธรรมกับใจได้กลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว เลิศอยู่ที่นั่น ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเข้ามาติดใจ ไม่มีอะไรมาเป็นคู่แข่งธรรมที่เลิศเลออยู่ภายในใจนั่นเลย

นี่ละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น เพราะธรรมนี้เป็นธรรมของจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม ทรงรู้ทรงเห็นเต็มพระทัยแล้วจึงมาสอนโลกจะผิดไปไหน สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม  ท่านเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่ชอบก็คือพวกเราไม่ปฏิบัติตาม แฉลบออกทางนั้น แฉลบออกทางนี้ ตกเหวตกบ่อไป ท่านลากเข้ามาเท่าไรมันก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ไปจมๆ ไม่มีครูมีอาจารย์ ศาสดาไม่มี ธรรมวินัยไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มี หมดธรรมที่จะเอาเป็นมงคล ที่เหมือนกับว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าเลยไม่มี ก็มีแต่นรกอเวจีเต็มหัวใจ ตายแล้วจมไปเลย มันเกิดประโยชน์อะไร พิจารณาให้ดี

ผู้ใดปฏิบัติตามอรรถตามธรรม เฉพาะอย่างยิ่งไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ ขอให้เป็นบทอรรถบทธรรมเถอะ นั่นคือตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ถ้าห่างเหินจากนี้ก็ใกล้ชิดติดพันกับนรกอเวจี ฟืนไฟไปตลอด ถ้าใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรมจิตใจของเราก็จะสง่างามขึ้นมา จิตใจก็ชุ่มเย็น ทีนี้สุดท้ายความเป็นความตายไม่กลัว ตายไปไหนก็ที่พึ่งมีอยู่แล้วในหัวใจ จะไปหวังพึ่งอะไร ใจกับธรรมนี้พึ่งกันอยู่แล้ว สิ่งเหล่านั้นพึ่งเขาได้เมื่อไร มีเท่าไรมันก็พังๆ ทั้งนั้นไม่ว่าเขาว่าเรา

แม้ตัวเราเองที่ว่าเป็นเจ้าของสมบัติเหล่านั้นมันก็พัง อย่าว่าสิ่งเหล่านั้นพังเลย เอาแน่นอนได้อย่างไร ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งสมบัติเงินทอง ทั้งตัวของเราเอง เอาความแน่นอนกับมันได้อย่างไร ถ้าธรรมเข้าสู่ใจแล้วแน่ๆ เป็นลำดับ เวลาจะเป็นจะตายธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วกลัวอะไรกลัวตาย  อะไรมันตาย พิจารณาดูธาตุสี่ดินน้ำลมไฟมันแตกไปเขาเรียกว่าตาย มันไม่ตาย มันลงไปเป็นดินน้ำลมไฟเหมือนเดิม ใจนี้ก็เป็นใจไม่ตาย

ถ้าได้อรรถได้ธรรมเป็นเครื่องพยุงจิตใจแล้วดีดผึงเลย ถ้ามีแต่บาปหาบแต่กรรมสร้างแต่ความทุกข์บาปกรรมทั้งหลายเข้าสู่ใจตายแล้วจม ก็มีเท่านั้น คำพูดเช่นนี้ใครพูดได้ นอกจากศาสดาองค์เอกที่ได้ประจักษ์พระทัยแล้วจึงมาสอน พวกเรามันหูหนวกตาบอด ให้ฟังซิ คนตาบอดต้องอาศัยคนตาดี คนหูหนวกอาศัยคนหูดี มันถึงจะเป็นไปได้ ถ้าอวดดีบอดเท่าไรก็ยิ่งชนต้นไม้ชนเขา ก็หัวเจ้าของนั่นละแตก หัวผู้ตาดีเขาไม่แตก มันแตกหัวเจ้าของ ชนขวากชนหนามก็ตีนเจ้าของเท้าเจ้าของละเจ็บ คนที่เขาตาดีเขาหลีกไปๆ นั่นละจอมปราชญ์ท่านหลีกอย่างนั้น พวกเราเห็นทุกข์เป็นของดิบของดีไปหมด ใช้ไม่ได้นะ

ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ใจเป็นของเลิศเลอไม่มีอะไรเสมอเหมือน ทุกข์ มหันตทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ในโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นที่รวมของสุขและทุกข์ สร้างความไม่ดีก็มาเป็นทุกข์อยู่ที่ใจเต็มหัวใจ สร้างความดีให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยความสุขบรมสุขก็เต็มอยู่ที่หัวใจ นอกนั้นไม่มีอะไรรับความสุขความทุกข์ได้นอกจากใจดวงเดียวเท่านั้น ใจเป็นผู้รับ เพราะฉะนั้นใจจึงต้องขวนขวายหาสิ่งดีงามทั้งหลายเข้าสู่ตัว อย่าไปหาขวนขวายสิ่งที่เลวร้ายที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาเรา ไม่เป็นท่าเลย พากันจำเอามาฟังเทศน์

นี้เป็นธรรมของจอมปราชญ์ศาสดาองค์เอกนำมาสอนเรา ให้พากันจดจำ ให้พากันฟัง อย่าเอาแต่อันธพาลมาขวางอรรถขวางธรรม ครั้นเวลาฟังเทศน์ก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จิตใจเถ่อมองไปทางไหนคิดไปทางไหนก็ไม่รู้ ไม่สนใจกับอรรถกับธรรม ให้กิเลสลากไปๆ นั้นจมนะ พากันจำให้ดี เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เทศน์ไปๆ พอเข้มข้นไปนี้ธาตุขันธ์จะอ่อนลงๆ สุดท้ายก็เหยียบเบรกห้ามล้อ ไปไม่ได้ ให้ท่านทั้งหลายจำเอา

นี่ก็บวชมาได้ ๗๓-๗๔ ปีนี้แล้ว ปฏิบัติแต่ศีลแต่ธรรมมาตลอด เราไม่เคย มีอะไรที่เราจะฝ่าฝืนหลักธรรมหลักวินัยตลอดมาไม่เคยมี จึงภาคภูมิในศีลในธรรมของเรา เท่ากับว่าเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติตามธรรมตามวินัยตลอดมา ถ้าไม่ห่างเหินจากศีลจากธรรมแล้วชื่อว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้า ถ้าห่างเหินเมื่อไรแล้วศาสดาไม่มีนะ ผ้าเหลืองจะเอามาห่อสักเท่าไรก็มีแต่ผ้าเหลือง เจ้าของก็เป็นโมฆะอยู่อย่างนั้น ถ้ามีธรรมมีวินัยประจำจิตใจเท่ากับเดินตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกฝีก้าว ให้พากันจำเอา

ใจนั่นละที่จะเข้าถึงพระพุทธเจ้าอย่างอื่นไม่เข้าถึง ใจนี้เข้าถึงได้ไม่สงสัย ให้ดำเนินตามท่าน นี่ก็ปฏิบัติมาดังที่เล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งถึงป่านนี้ การปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจังมาตลอด ไม่ได้เหลาะแหละคลอนแคลนนะการปฏิบัติธรรม เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถึงเวลาจะฟัดกัน เอา กิเลสไม่พังเราพัง กิเลสไม่ตายเราตาย ถึงขนาดนั้นก็มี สุดท้ายกิเลสตายๆ ถ้าเราเข้มแข็งกิเลสหมอบ ถ้าเราอ่อนแอกิเลสเหยียบแหลกเลย

ได้ปฏิบัติมาอย่างนี้จึงเห็นผลทั้งสองอย่าง ถ้าอ่อนแอกิเลสเหยียบทันที ถ้าเข้มแข็งกิเลสหมอบทันที ให้พากันไปตั้งใจปฏิบัติ ใจของเรานี้รออยู่เสมอที่จะรับทราบทั้งความดี-ความชั่ว บุญและบาป ให้คัดเลือกออก อะไรที่จะเป็นบาปเป็นกรรมให้คัดเลือก สิ่งใดที่เป็นบุญเป็นกุศลให้กว้านเข้ามาๆ นั่นจะเป็นผู้มีสารประโยชน์แก่ตัวของเรา เพราะจิตนี้ไม่เคยตาย ไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์ในแดนนรกขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจ พอพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายที่ทำมา เพราะโลกนี้เป็นโลกอนิจจัง ไม่เปลี่ยนเร็วก็เปลี่ยนช้า เปลี่ยนมาจนพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายขึ้นมาเป็นมนุษย์มนาแล้วสร้างความดีงาม ทีนี้จิตใจก็เปลี่ยนไปทางดิบทางดี สูงขึ้นๆ เปลี่ยนขึ้น จนกระทั่งถึงนิพพาน

นิพพานก็เป็นธรรมธาตุ ไม่เคยฉิบหาย ไม่เคยตาย ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่เคยสูญหาย ไม่เคยตาย ทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่เคยฉิบหายไม่เคยตาย คือใจ ทีนี้พลิกจากนั้นมามาทางความดีไปเรื่อยๆๆ จนกระทั่งถึงนิพพานเป็นธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าตายไม่มีคำว่าฉิบหายคือใจดวงนี้ ให้พากันจำเอา ใจดวงนี้สำคัญมาก เรียนให้จบ ถ้าเรียนจบที่ใจดวงนี้เรียบร้อยแล้วหมด อิ่มพอเต็มที่ ไม่อยากได้อะไร คือใจอิ่มกับธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน พอแล้ว พอด้วยความเลิศเลอเสียด้วย ไม่ได้พอธรรมดานะ เหมือนเรากินข้าวตอนเช้าหรือกินตอนนี้มันก็พอ ถ้าตอนบ่ายมามันก็หิว เอากินตอนบ่ายมันก็พอ พอตอนค่ำมามันก็หิว

แต่คำว่าพอในจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วยอรรถด้วยธรรมนี้แล้ว ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้าไปทำลายได้เลย ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตเป็นธรรมธาตุแล้วไม่ได้สูญ  มันจะสูญไปไหนจิตนี้ พอถึงธรรมธาตุแล้วนิพพานเที่ยง กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงเลย นั่นละท่านเข้าถึงธรรมขั้นนั้นที่มาสอนเราอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เอาตาสีตาสาหูหนวกตาบอดมาสอนนะ ท่านเป็นจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า กิเลสปราบลงจากใจหมด มีตั้งแต่ธรรมล้วนๆ มาสอนพวกเรา ให้พากันนำมาประพฤติปฏิบัตินะ จะได้ของดิบของดีเข้ามาครองใจ ใจจะได้ฟื้นตัวเองขึ้นเป็นลำดับเพราะอรรถเพราะธรรมพยุงนะ

ถ้าจะปล่อยให้กิเลสไปพยุงไม่มีทาง มีแต่เหยียบย่ำทำลายลงไปตายภพนี้ภพหน้า ภพไหนก็ตาม ตายกองกันนี้กี่กัปกี่กัลป์เอาความสุขมาจากไหน ถ้าเป็นไปตามกิเลส ถ้าเป็นไปตามธรรมแล้วมันจะตายมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตามธรรมมีพอใจแล้วขาดสะบั้นไปหมดความเป็นความตาย ดังพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ  ปุนพฺภโว นี่ท่านเทศน์สอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า

ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ต่อไปนี้เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เทศน์ท้าทายเบญจวัคคีย์ พอดีพระอัญญาโกณฑัญญะก็จับได้เงื่อนแห่งธรรมที่ไม่ตายของพระพุทธเจ้าเข้าสู่ใจ ท่านก็อุทานขึ้นมาทันทีว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา นี่เป็นภาษาปริยัติที่ท่านจดจารึกมา ไม่ใช่ภาษาของผู้รู้ธรรมเห็นธรรมปรากฏขึ้นในใจแล้วอุทานออกมา มันผิดกันนะ ธรรมในปริยัติที่เรียนมานี่เบาๆ ธรรมของท่านผู้ปฏิบัติกระเทือนกันทางจิตใจแล้วจะออกมาแบบนั้นไม่ได้ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตาม เกิดแล้วดับทั้งนั้น นั่นเห็นไหมล่ะ

นี่ทางภาคปฏิบัติรู้ขึ้นที่ใจ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น สิ่งที่ไม่ดับคืออะไร คือที่รู้อยู่นี้ นั่นมันเป็นเครื่องยันกันอย่างนี้ ธรรมชาตินี้ไม่ดับแล้วที่นี่ จับเงื่อนได้แล้ว จะถึงนิพพานธรรมชาตินี้ สิ่งนี้ไม่ดับ นั่นท่านสอน พอดีพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้เงื่อนในเวลานั้น สะดุดใจปึ๋งขึ้นมาก็ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ อันเป็นเครื่องพยานกัน ที่ท่านเห็นท่านรู้ในเวลานั้นไม่ดับ พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งอุทานรับพระอัญญาโกณฑัญญะในเวลานั้นเลยว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอๆ

นั่นละพระพุทธเจ้าเป็นพยานทันทีเลย สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา เป็นคำกลางๆ เป็นภาษาบาลีที่ท่านแสดงไว้กลางๆ แต่ภาษาของผู้ปฏิบัติได้รู้เห็นธรรมที่เป็นความจริงจะออกจากศาสดาโดยแท้ จากภาคปฏิบัติของตนนี้ไม่แสดงอย่างนั้นนะ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น นั่นฟังซิภาษาของท่านผู้ปฏิบัติรู้ธรรมเห็นธรรม ไม่ได้พูดลอยๆ นะ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น สิ่งที่ไม่ดับคืออะไร คือที่รู้ขึ้นมานี้ เดี๋ยวนี้น่ะ นั่นพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ขึ้นมานี้ อันนี้ไม่ดับ นั่นเป็นพยานกันแล้ว

นั่นละธรรมของท่านที่แสดงให้โลกเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พากันจดจำเอา ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา กิเลสก็เหมือนกัน อกาลิโก ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญทุกกาลสถานที่ ไม่มีอะไรมาทำลาย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้ตลอดไป ให้พากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ เหนื่อยแล้ว

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก