เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ได้ทำตามธรรมพระพุทธเจ้า
พระวินัยท่านปรับโทษพระไว้เพื่อไม่ให้นอนใจ ไม่ให้นอนใจ พระภิกษุก่อไฟขึ้นเพื่อผิงปรับอาบัติ ก่อไฟขึ้นเพื่อผิงไฟปรับอาบัติ แต่มีข้อยกเว้น เว้นแต่เป็นไข้ ถ้าเป็นไข้ได้ ถ้าธรรมดาไม่ได้ ปรับโทษ ใส่ถ่านผิงได้ ก่อไฟขึ้นเพื่อผิงปรับอาบัติ ถ้าไฟถ่านผิงได้ คือท่านสอนเหล่านี้สอนเพื่อไม่ให้นอนใจเท่านั้นนะ ให้พากันเข้าใจ นั่นละหลักธรรมหลักวินัยเพื่อจะยกสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ ใครมาปฏิบัติต้องบังคับตามนั้นๆ แล้วขึ้นเรื่อยๆ การก่อไฟผิงก็นอนใจ ท่านห้ามก่อไฟผิงปรับอาบัติ คือไม่ให้นอนใจ
ใครจะฉลาดเหนือพระพุทธเจ้าไม่มีในสามโลกธาตุ พระพุทธเจ้าเป็นจอมศาสดา ท่านสอนท่านบังคับอย่างนี้ไม่ให้นอนใจ ไม่ให้นอนใจ ไม่ให้อ่อนแอท้อแท้ ให้มีความขยันเข้มแข็งตลอด หลักธรรมหลักวินัยจึงต้องตีเข้าๆ เพื่อเข้มแข้งแล้วขึ้น ถ้าปล่อยตามกิเลสแล้วก็ดึงลงๆ ตามกิเลส ตั้งแต่หนาวก่อไฟผิง กิเลสเป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็มีแต่ความนอนใจ ความเข้มแข็งในใจไม่มี ท่านว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว คำว่าชอบว่าดีไม่ผิดไม่เพี้ยน ให้เดินตามนี้จะตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพาน ถ้าปลีกแวะไปกี่ก้าวก็ห่างไป ท่านสอนอย่างนั้น
หลักธรรมวินัยที่สอนพระด้วยแล้ว โถ ละเอียดลออมากนะ ไมให้ประมาทเลย การอยู่การกินการหลับการนอนสอนไม่ให้ลืมตัวทั้งนั้นนะ การอยู่อยู่ที่ไหนให้อยู่ อย่ามาหาเลือกที่หรูหราฟู่ฟ่า รุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขานั่นเป็นที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญสมณธรรม นั่นท่านสอน ให้ดีดตลอด ไม่ให้อ่อนแอ เวลาบวชเสร็จแล้ว รุกฺขมูลเสนาสนํ ขึ้นเลย บรรพชาอุปสมบทแล้วท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส ที่ว่างๆ อากาศโล่งๆ ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญความเพียรด้วยความสะดวกสบาย ปราศจากสิ่งรบกวน แล้วให้ท่านทั้งหลายอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
ฟังซิพระพุทธเจ้า นั่นละดูเอาตามหลักที่สอนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ เฉพาะอย่างยิ่งสอนพระให้เข้มแข็ง ถ้าพูดตามหลักธรรมวินัยใครจะมาเข้มแข็ง ละเอียดลออ และพินิจพิจารณายิ่งกว่าพระ เดี๋ยวนี้พระมันเป็นหมูขึ้นเขียงละซิ ไปอยู่ที่ไหนบิณฑบาตไม่บิณฯเขาก็มาให้กิน เลยเป็นหมูขึ้นเขียงคอยกินๆ ขัดต่อหลักธรรมหลักวินัยมันสนใจเมื่อไร พระพุทธเจ้าจะสอนใครละเอียดลออยิ่งกว่าสอนพระ ความพินิจพิจารณาก็อยู่กับพระทุกอย่าง ความขยันหมั่นเพียรอยู่กับพระ
การหลับการนอนก็มีเวล่ำเวลา นอนก็สี่ชั่วโมงพอดีแล้ว ท่านบอกปฐมยามสี่ทุ่ม ประกอบความพากเพียรแล้วก็พักเสีย มัชฉิมยามหลับนอน ปัจฉิมยามให้นอนสี่ชั่วโมงแล้วตื่น พอตื่นขึ้นแล้วถ้าหากว่าโงกง่วงอยู่ให้ลงเดินจงกรม ให้ลงเดินจงกรม ไม่ให้อยู่กับที่มันหลับ แน่ะท่านสอนอุบายวิธีการ อปัณณกปฏิปทา การปฏิบัติไม่ผิด แปลออกแล้ว นี่มันไม่ใครปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะซิ ธรรมก็เลยเป็นกระดาษเศษ ไอ้เราก็เป็นหนอนแทะกระดาษไป ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่สนใจปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
ธรรมะทั้งปวงเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ได้ตรัสไว้ชอบแล้วเพื่อให้ลงนรกนะ ให้ขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ลงนรกได้ ท่านสอนใครให้ละเอียดลออยิ่งกว่าพระไม่มีนะ ความละเอียดลออ ความขยันหมั่นเพียร ปฐมยามบำเพ็ญเพียรนะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นี่จะสอนตามแบบของพระพุทธเจ้าสอนพระ ในปฐมยามประกอบความพากเพียรเรื่อย พอมัชฌิมยามให้พักสักสี่ชั่วโมง ปัจฉิมยามลุกเดิน ถ้ามันโงกง่วงก็ไปเดินจงกรม ประกอบความพากเพียรอย่างนั้นตลอดเวลา หากเวลากลางวันอย่างนี้หากจะพักก็พักได้ ท่านว่านะ
แล้วปิดในที่มิดชิด อย่าเปิดเผยร่างกายอวัยวะ ท่านสอนขนาดนั้นนะ เรามันจะปล่อยหำอยู่ก็ไม่รู้นะ พระมันนอนใจ นอนเตลิดเปิดเปิงมันปล่อยหำหนองกะปาดออกมา เข้าใจไหมหนองกะปาด ใครรู้ไหมหนองกะปาด ถ้าไม่รู้เราจะรู้ให้ฟัง พวกเหล่านี้ไม่รู้ล่ะ พวกนี้ไม่มีวาสนา แถวนี้ไม่รู้นะ พวกนี้มันฟังเสียจนชินหู ลืมแล้วหนองกะปาด ไม่เอา พูดอะไรไปหาหนองกะปาด ว่าจะเล่าหนองกะปาดลืมแล้วไม่ต้องเล่า
ใครจะละเอียดลออยิ่งกว่าท่านสอนพระ การหลับการนอนมีเวล่ำเวลา แต่เวลานอนทำความหมายใจไว้ว่าพอตื่นแล้วรีบลุก ท่านว่าอย่างนั้นนะ นอนสี่ชั่วโมง ปฐมยามประกอบความเพียร มัชฌิมยามพัก ปัจฉิมยามตื่น มีแต่ประกอบความพากเพียรนะ ท่านไม่ได้สอนให้หมูขึ้นเขียงนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนจริงๆ เพราะฉะนั้นมรรคผลนิพพานมันจึงไม่มีกับพวกหมูขึ้นเขียงนะ ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงๆธรรมะหรือสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วจะไปไหน ไม่ไปหามรรคผลนิพพานจะไปไหน
ท่านสอนไว้หมดการหลับการนอน นี่มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ไหนไม่มี ธรรมข้อนี้ไม่มี นอกจากผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ มี ท่านตรงแน่วตามนั้นละ นอนก็กำหนดจิตไว้ พอรู้สึกแล้วรีบตื่นเลย ไม่ให้นั่น ออกจากนั้นลงเดินจงกรม ถ้ามันจะโงกง่วงลงเดินจงกรม แล้วก็นั่งสมาธิภาวนา นี่สอนชำระกิเลสท่านสอน พวกเรานี้บวชเข้ามาสั่งสมกิเลสนะ ใหญ่โตเท่าไรเขาตั้งชื่อตั้งนามให้เป็นสมุห์ ใบฎีกา พระครูพระคัน ยิ่งสมเด็จแล้วแล้วยิ่งใหญ่ กิเลสยิ่งใหญ่นะ ไม่มีใครใหญ่ยิ่งกว่าพระผู้ทรงสมณศักดิ์สูงๆน่ะ
หลวงตาบัวจะว่าสูงหรือไม่สูงก็ไม่ทราบละ ฟากจรวดก็ได้นี่ แต่ทำตามธรรมพระพุทธเจ้านะ ที่ได้นำธรรมมาสอนโลกนี้เปิดหมดแล้วในจิตนะ นี่ทำตามพระพุทธเจ้า เห็นไหมล่ะ นี่ได้ทำตามพระพุทธเจ้า เอาจริงเอาจังตามพระพุทธเจ้าพ้นได้เลย นี่บอกพ้นแล้วจิต ตั้งแต่ ๒๔๙๓ ฟังซิน่ะ นี่ละฟัดกันอยู่ ๙ ปี เหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่ได้หยุดได้ถอยประกอบความเพียร ไปองค์เดียวไปประกอบความเพียร ถ้าไปสองน้ำไหลบ่า น้ำไหลบ่า เป็นการรับผิดชอบกันในตัว ถ้าไปองค์เดียวป่าช้าอยู่กับเราไปเลย อยากกินก็กิน ไม่อยากกินไม่กิน ฟัดกันอยู่นั้นกับกิเลสใส่ถึง ๙ ปี เห็นไหมขนาดนั้นละ ตกนรกทั้งเป็นอยู่ถึง ๙ ปี
ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกจากการศึกษาเล่าเรียนแล้วเข้าภาคปฏิบัติพรรษา ๗ ฟาดถึงพรรษา ๑๖ กิเลสแตกกระจายในพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี พูดให้ชัดเจนเสีย ตั้งแต่นั้นมาไม่มีเรื่องกิเลสตัวใดจะผ่านหัวใจเลย จึงเรียกว่าฆ่ากิเลสตาย ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้น ถ้าทำเป็นอย่างนั้นจริงๆ ท่านไม่ได้สอนผิด มันผิดแต่พวกเราละ พวกเรานี่พวกผิดทั้งนั้นละ ไม่ได้ถูก ไม่ได้สนใจกับหลักกับเกณฑ์อรรถธรรมข้อบังคับเพื่อเป็นคนดีแต่ประการใดละ มันตามอัธยาศัยๆ ก็ต่ำลงๆ
การปฏิบัติตามเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพราน ตื่นตัวตลอด แม่เนื้อไปหากินที่ไหนระวังตลอดนะระวังตัว ไม่อย่างนั้นถูกอันตราย โดนอันตรายจนได้ละ อันนี้ผู้ปฏิบัติธรรมก็มีความตั้งอกตั้งใจระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เวลาหลับนอนก็ตั้งใจไว้ว่าพอรู้สึกแล้วจะตื่น ออกจากนั้นก็เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มีแต่ว่าอย่างนั้นละ ท่านสอนว่านะ ท่านไม่สอนให้แบบหมูขึ้นเขียงนะ เดี๋ยวนี้มีไหมคัมภีร์อันนี้มีไหม ไม่มี เป็นหนอนแทะกระดาษอย่างนั้นละ เรียนสูงเท่าไรเป็นทิฐิมานะสั่งสมกิเลสมากขึ้น เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้เลยสั่งสมกิเลสทิฐิมานะว่าตัวได้ชั้นนั้นชั้นนี้ สูงๆ ด้วยกิเลสตัณหา มันไม่ได้สูงด้วยอรรถด้วยธรรมนะ
ถ้าปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วจะไปไหนวะ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ผิด ขอให้ดำเนินตามนี้เถิด มรรคผลนิพพานอยู่ในหัวอกจนได้นั่นแหละ เอาอย่างนั้นซิ เอาให้มันจริงมันจังตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วผ่านได้ๆ นี่พูดเสียให้มันชัดเจนมันจวนจะตายแล้วนี่ ตั้งแต่ออกปฏิบัติมาพรรษา ๗ เรียนหนังสือเสร็จแล้วก็เข้าป่าเป็นเวลา ๙ ปีฟัดกับกิเลส ตามทางพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ เดินตามนั้นไม่ไปไหน ซัดตามนั้นเป็นเวลา ๙ ปี กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ เปิดโล่งตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ มา หัวใจไม่มีกิเลส ไม่มี พูดจริงๆ
กิริยาอาการเหล่านี้เป็นสนามโลกธรรมตำหนิติเตียนกันได้ แต่ภายในใจพ้นแล้วทุกอย่าง เห็นไหมถ้าชำระให้พ้นพ้น ไม่มีสิ่งใดมาเป็นกิเลสตัณหามาแทงหัวใจไม่มีเลย ชื่อว่ากิเลสดับ ฆ่ามันฆ่าอย่างนั้นถ้าฆ่ากิเลส ท่านเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ถึงขั้นนั้นแล้ว กิเลสตัวใดที่จะมาผ่านหัวใจไม่มี จึงเรียกว่าตาย สิ้นแล้วสิ้นกิเลส พวกเรามีแต่สั่งสมกิเลส ถ้าว่าบวชมามากน้อยเท่าไรยิ่งสั่งสมกิเลสได้มากขึ้นๆ มียศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไรกิเลสตัณหายิ่งสูงขึ้นๆ มันมีแต่เรื่องสั่งสมกิเลส ไม่มีเรื่องที่จะแก้กิเลสตามทางของศาสดาเลย มันจะมีมรรคผลนิพพานที่ไหนในหัวใจพระ มันก็มีแต่มูตรแต่คูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เต็มหัวใจนั่นแหละ
ฟังให้ดีนะ ไม่มีใครพูดพูดอย่างนี้ เราพูดได้ตามอรรถตามธรรม เราพูดตามธรรมนะนี่ ไม่ได้พูดเพื่อโอ้เพื่ออวดโกหกมดเท็จ ไม่มี พูดตามหลักธรรม ทำอย่างนั้นท่านประกอบความพากเพียร พระในครั้งพุทธกาลท่านไปไหนมีแต่เข้าป่าๆ ออกจากพระราชามหากษัตริย์ออกมาบวชปั๊บนี่เข้าป่าเลย หายเงียบ ไม่สนใจพระราชวังอะไร ไม่มี องค์ใดที่เสด็จออกมาบวชนะเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีน้อยเมื่อไรที่มาบวช บวชแล้วเดินตามทางของศาสดา รุกฺขมูลเสนาสนํ ป่าอยู่ที่ไหนเข้าเลยๆ พอออกมาแล้วองค์นี้สำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทาคา องค์นี้สำเร็จอนาคา องค์นั้นสำเร็จอรหันต์
นั่นมหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัยบ้านเขามี มหาวิทยาลัยป่าไม่พูดเฉยๆ ยกขึ้นมาพูดมันก็เป็นอันเดียวกัน เพราะท่านปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส ท่านอยู่ในป่าทั้งนั้นละ ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วแต่ห่อทองนะอยู่ข้างใน ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถนะ เป็นผ้าอะไรเขาเรียกผ้าทองคำหรือผ้าอะไร สีเหมือนสีทองคำแต่มันห่อมูตรห่อคูถ ทุกสิ่งทุกอย่างดูโก้หรู ภายในสกปรกยิ่งกว่าส้วมกว่าถานใช้ไม่ได้นะ ให้ข้างในมันสง่างามซิ ข้างนอกกิริยาท่าทางที่จะเป็นไปตามอรรมตามธรรมก็ให้ปฏิบัติไปก็สวยก็งามคนเรา ถ้าผาดโผนโจนทะยานจากอรรถจากธรรมดูไม่ได้ คนเลวที่สุดไม่มีอะไรเลวยิ่งกว่ามนุษย์เลวนะ ถ้าดีก็ไม่มีใครเลิศยิ่งกว่าพระยิ่งกว่าคนเราดี
ให้ทำตัวให้ดีซิทุกคนมาปฏิบัติธรรม วันว่างต้องมีซิ ทำไมมันถึงไม่มีเวลาว่าง จะไปวัดไปวาไม่ว่าง จะภาวนาไม่ว่าง จะเดินจงกรมทำความสงบใจด้วยจิตตภาวนาไม่ว่างๆ เวลาตายมันเอาความว่างมาจากไหนมันตายได้ทุกคน เห็นไหมล่ะ ต้องคิดอย่างนั้นซิ สกัดหัวมันน่ะ เวลาตายมันทำไมว่าง เวลาจะทำความดีทำไมไม่ว่าง คิดอย่างนั้นซิ โธ่ การปฏิบัติธรรมเป็นของเล่นเมื่อไร ต้องเอาให้จริงให้จังจึงจะเห็นร่องรอยของศาสดา เสด็จไปอย่างไรตามเสด็จด้วยสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว เดินตามนั้น เดินตามนั้น เหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลาแล้วก็ถึงองค์ศาสดา ศาสดาของท่านฉันใดของเราฉันนั้น
พากันพิจารณานะ แล้วศาสนาก็มีแต่ชื่อแล้วเดี๋ยวนี้นะ ไม่มีของจริงที่จะเอามาอวดกัน ตั้งใจปฏิบัติซิ ไม่มีใครอวด เราสว่างไสวอยู่ในตัวของเรา อัศจรรย์ตัวของเราก็ยังมี นี่ก็เคยพูดให้ลูกศิษย์ฟังแล้วนี่ เดินจงกรมอยู่บนเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จิตนี้มันว่าง ว่างด้วยอัศจรรย์ด้วยภายในจิตใจ ตีสี่ลงเดินจงกรมอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ลงไปเดินอยู่ข้างล่าง เราไม่ลืมนะ เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของ เวลาเดินจงกรมไปนี้จิตมันว่างหมดเลย ว่างแล้วอัศจรรย์ด้วยในจิตใจ
อุทานหรือรำพึงขึ้นมาภายในใจ โอ้โห จิตเราทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา มันว่าง มันอัศจรรย์ สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวเราจะหลงเราจะติด ท่านก็ผุดขึ้นมาภายในจิตนี้นะ พออัศจรรย์ใจตัวเองว่ามันว่าง ว่างไปหมด แล้วก็อัศจรรย์ ว่างแล้วอัศจรรย์ในใจนี้ด้วยนะจากจิตตภาวนา มันถึงขั้นมันว่างแล้วว่างจริงๆ ต้นไม้ภูเขามีก็ตามแต่ใจมันว่างตลอดเวลา พอมันเป็นอย่างนั้นแล้วเกิดความอัศจรรย์ เพราะมันเป็นอากาศธาตุไปหมด ว่างหมด
แล้วพระธรรมท่านก็เตือนขึ้นมาที่เราอัศจรรย์ตัวเอง ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั่นแลคือตัวภพ ความว่างความสว่างไสวนั้นแหละคือจุดคือต่อมแห่งภพแห่งชาติอยู่ที่นั่น ความหมายว่าอย่างนั้น เราก็แปลไม่ออก ถ้าหากว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มีชีวิตอยู่เราเข้ากราบเรียนท่าน ท่านจะใส่ผาง ดีไม่ดีบรรลุในเวลานั้นก็ได้นะ แต่นี้เอาเสียเต็มเหนี่ยวเลย แล้วถึงปลงกันลงได้ พอปลงกันลงได้แล้วมันก็เป็นอย่างว่าจริงๆ เวลามันว่างมันว่างหมดเลย ว่างหมด ข้างนอกก็ว่าง ข้างในหัวใจก็ว่าง วางก็วางหมดทั้งข้างนอก วางหมดทั้งข้างใน ปล่อยไปหมดโดยสิ้นเชิง นั่นจึงเป็นจิตอัศจรรย์
เอาเห็นซิธรรมพระพุทธเจ้าสอนถึงขั้นนี้นะ ไม่ได้หลอกโลกนะ ธรรมพระพุทธเจ้าสวากขาตธรรม ท่านหลอกโลกเมื่อไร แต่พวกเรานี้ไม่หลอกโลก หลอกเจ้าของ ถ้าจะทำภาวนาพักหน่อยเสียก่อน เหนื่อย หมอนมัดติดคอไว้ เสื่อมัดติดหลังเอาไว้ ถ้าไปที่ไหนเตรียมพร้อมไว้เลย ล้มตูมลงก็มีหมอนมีเสื่อติดกันไว้เลย พวกคลังเสื่อคลังหมอนเลยเต็มศาลา ลูกศิษย์หลวงตาบัวยิ่งเก่งนะ พวกนี้มองหาตัวไม่เห็น เห็นแต่เสื่อแต่หมอนมัดติดตัวเต็มไปหมด เอาล่ะพอ
นี่เราขนสมบัติเข้าคลังหลวงได้ทองมีน้อยเมื่อไร ตั้งหมื่นกว่ากิโลนะทอง ที่เราช่วยชาติคราวนี้เราหาทองคำเข้าคลังหลวงได้ทองคำตั้งหมื่นหนึ่งพันเท่าไร ไม่ใช่น้อยๆนะทองคำ ส่วนดอลลาร์ดูเข้าไป ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า เงินไทยไม่ได้เข้า เงินไทยหมุนข้างนอก สุดท้ายไปคว้าเอาดอลลาร์มา เดี๋ยวนี้ดอลลาร์ไม่ได้เข้าคลังหลวงนะ ดึงออกมาช่วยเงินไทย ที่ช่วยโลกมันไม่พอ แต่ทองคำร้อยทั้งร้อย สำหรับทองคำแล้วร้อยทั้งร้อยไม่ให้ไปไหนเลย ก็ได้ตั้งหมื่นกว่าทองคำ ได้ ๑๑,๖๑๓ กิโล ทองคำที่เข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้นะ ส่วนดอลลาร์เข้าเพียง ๑๐ ล้าน จากนั้นก็ดึงออกมาช่วยเงินไทย เงินไทยเพื่อช่วยโลก
เราทำจริงๆ เราช่วยโลกนะ เราไม่เอาอะไรติดตัวเราเลย ไม่มีอะไรติดตัว ปล่อยหมดแล้วในหัวใจนี้ก็ปล่อย มีแต่ช่วยโลกอย่างเดียว ไปที่ไหนเต็มไปด้วยเมตตานะ ไม่ได้ให้อยู่ไม่ได้นะ มีเท่าไรออกหมดๆๆ ไม่มีอะไรตกค้างนะ อำนาจแห่งความเมตตา นี่ไปที่ไหนเหมือนกันไปตามถนนหนทางเขาขายดอกม้งดอกไม้ขายอะไรก็แล้วแต่ เขาขายดอกไม้พวงละสิบบาท สิบบาท เราให้สักพวกหนึ่งสามร้อย สามร้อย รายหนึ่งๆ ให้รายละสามร้อย สามร้อยไปเลย เป็นอย่างนั้นทุกวันนะ ไปไหนตามสายทางเขาขายดอกไม้ให้สามร้อย สามร้อย สามร้อย ไปเลย ใครจะว่าหลวงตาเศรษฐีบ้า บ้าช่างหัวมัน มันตระหนี่ถี่เหนียว เราไม่ใช่คนตระหนี่เราเป็นบ้าได้อย่างไร คนตระหนี่ต่างหากมันจะเป็นบ้า ตายแล้วเป็นเปรตเฝ้ากองสมบัติเจ้าของอยู่ มีอันนั้นอันนี้ นับนั้นนับนี้ หัวใจมันไม่มีอะไรติดตัว ธรรมนิดหนึ่งก็ไม่ติด มันก็ไปนับเอาอันนั้นเป็นของเรา อันนี้เป็นของเรา ตายแล้วอะไรเป็นของเราไม่ เห็นมี มันก็มีแต่ร่างกระดูกเท่านั้นละ ใครจะเผาก็เผา ไม่เผาก็ทิ้งเกลื่อนไปอย่างนั้นละ เอาในจิตใจให้มันดีซิ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|