เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
จะไม่มีใครเชื่อ ก็เขาไม่ได้ทำ
ปรอทลง ๑๓ เมื่อเช้านี้ ปรอทลง ๑๓ นะ ลงหรือขึ้นก็ไม่รู้แหละ ลองนับเอาตัวเลข เขาตั้งศูนย์แล้วก็หนึ่ง สอง สาม มาอยู่ ๑๓ จึงเรียกว่าลง ๑๓ ถ้าเขามีศูนย์เขาขึ้นแล้วก็ต้องบอกว่าขึ้นนะ อันนี้เขาว่าลง เมื่อเช้านี้ลง ๑๓ มัง ปรอทลง ๑๓ อยู่ในป่าในเขา น้ำค้างเหมือนห่าฝนนะ แต่มาอยู่ที่นี่ไม่เห็นมีน้ำค้าง ไม่มี ไปอยู่ในป่าในเขานี้ ตอนตี ๕ ตี ๔ ตี ๕ เหมือนห่าฝน คือมันมาเกาะอยู่บนใบไม้นะ แล้วมันก็ตกลงมาเสียงซ่าๆ ทางนี้ไม่เห็นมีน้ำค้างอะไร ไม่เห็นมีนะ อยู่ในป่าในเขา โห เดินไปตามทางนี้เหยียบเหมือนฝนตก แผ่นดินที่เหยียบไปนี้เหมือนคล้ายๆ ฝนตกเบาๆ เปียกชุ่มไปหมดเลย ความหนาวเมื่อคืนวานกับคืนนี้เท่าๆ กัน ลง ๑๓ พอๆ กัน อยู่นี้มันมีปรอท เรามาดูปรอท นี่มือ สั่นพับๆ มันหนาว มือสั่น หนาวคนแก่ สั่นคนแก่ มันผิดกับคนหนุ่ม
เวลาเรานั่งภาวนานี้ ความหนาวลดลงๆ จนหายเงียบนะ เวลามันหนาวๆ หนาวมากๆ นี้ ถ้านั่งภาวนาแล้วหายเงียบเลย พอออกจากที่มาแล้วนี้เริ่มหนาว ถ้าจะนอนให้หลับไม่หลับ สุดท้ายต้องลุกขึ้นนั่งอยู่อย่างงั้น แต่พูดอย่างนี้มันไม่ได้มีผ้าห่มเหมือนประชาชน ก็มีแต่ผ้าจีวร สังฆาฏิทับกัน พับแล้วก็ห่มๆ เท่านั้นเอง มันหนาว หนาวจนกระทั่งที่ว่านอนไม่หลับ ถ้านอนไม่หลับก็เข้าภาวนา จิตเข้าข้างใน ไม่หนาวนะ พอออกจากนั้นแล้วมันก็เริ่มหนาวอีก ถ้าจะนอนให้หลับ ไม่หลับ สุดท้ายก็มีแต่นั่งภาวนา ก็พอดีแหละมันดัดสันดานคนขี้เกียจเสียบ้าง ขี้เกียจ บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง พอเวลาภาวนามันเป็นยังไงนะ จิตเข้าข้างในแล้วไม่หนาวนะ พอออกจากนั้นแล้วทีนี้เริ่มหนาว หนาวจนนอนไม่หลับ แล้วก็ลุกภาวนาอีก
ตอนกลางวันต้องเดินให้มาก ต้องได้กะเวลาเอา คือกลางคืนมันนอนไม่หลับ มันหนาวขนาดนั้นล่ะ แต่หนาวเรามันไม่ได้มีผ้าห่ม มันก็เลยกำหนดว่าหนาวมากน้อยแบบไหนไม่ได้นะ กำหนดไม่ได้ กำหนดได้อยู่ตั้งแต่ว่าบางคืนนอนไม่หลับเลย จนพ่อแม่ครูจารย์มั่นเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้ นั่นละท่านตรวจตราดูทุกแห่งทุกอย่าง คือเราไม่มีผ้าห่มท่านก็รู้ ท่านได้เอาผ้าห่มของท่านไปบังสุกุลให้เรา ก็ห่มล่ะ ก็เมื่อจอมปราชญ์ทำเมตตาขนาดนั้น คนโง่จะปฏิบัติยังไง ก็ต้องเอามาห่ม แต่ห่มเฉพาะอยู่ที่นั้น ออกจากนั้นแล้วปล่อย ก็เท่านั้นแหละ
พ่อแม่ครูจารย์ทำกับเรานี้ทำให้ระลึกไม่ลืมนะ เพราะองค์ของพ่อแม่ครูจารย์มั่นทำเอง ทำกับเรานี้ไม่ลืม เช่นอย่างผ้าห่ม เอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้ คือผ้าห่มเป็นผ้าห่มของท่านที่ห่มอยู่ เอาไปบังสุกุล ก็เราพับเราเก็บอยู่ทุกวัน ทำไมจะจำไม่ได้ ท่านไปวางบังสุกุลให้อย่างงั้นแหละ คือท่านดูเราไม่มีผ้าห่ม เราไม่เอา คือดัดมันอย่างงั้นนะ มีแต่ดัดกับกิเลสนี่เอาขนาดนั้นละ อย่างงั้นไม่ทันกันนะ ผ้าห่มท่านก็เอาไปบังสุกุลให้ ได้ห่มเสีย ออกจากนั้นแล้วก็ปล่อยเลย ก็มันคนหนึ่งจะดัดเจ้าของ ฝึกเจ้าของ ดัดกิเลส ท่านก็เมตตาเป็นอย่างงั้น
นี่ไปอยู่กับหมู่เพื่อนมากน้อยเพียงไร เราไม่ได้สนใจกับใครนะ คือเราไปปฏิบัติตัวเรา อะไรๆ จะเป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อฆ่ากิเลสละจะยกมาทับมัน ซัดกันอยู่อย่างงั้น ทีนี้ท่านก็เมตตาสงสาร เห็นว่าเราไม่มีผ้าห่ม ก็เราไม่เอา ทีนี้เมื่อท่านเอามาให้ก็ห่ม ออกจากนั้นแล้วก็ปล่อย ก็เราตั้งใจดัดเรา แต่ท่านก็เมตตา อย่างบิณฑบาตมานี้ได้เท่าไรเท่านั้นแหละ ไม่ได้สนใจกับใคร ใครจะทำอะไรแล้วแต่ใคร แต่เราปฏิบัติตัวของเราเอง ดูตัวของเราตลอดนะ ฝึกเราตลอด บิณฑบาตมาแล้ว บาตรซุกเข้านั้น จัดอาหารให้ท่าน ได้เท่าไรไม่สนใจ แต่ท่านก็เมตตาละ อาหารก็เราละเป็นคนจัดใส่บาตรให้ท่าน ถวายท่านนะ พอบิณฑบาตมา เราก็ไปจัดอาหารถวายท่านโดยเฉพาะๆ อะไรๆ ก็รู้หมดอยู่ในบาตร แล้วท่านก็เอาของในบาตรท่านละมาใส่บาตร ปุ๊บปั๊บมาเลยนะ บทเวลาจะเอา เปิดฝาบาตรปุ๊บปั๊บ เราก็จะว่ายังไง เราก็นั่งเถ่อ ถ้าคนอื่นไม่ได้นะนั่นน่ะ กัดเอาเลย เข้าใจไหม มันไม่เห่าล่ะ กัดเลย แต่พอพ่อแม่ครูจารย์ เถ่อ เป็นอย่างงั้น
ท่านทำทุกอย่างกับเรา เพราะเห็นเป็นความตั้งใจจริงๆ ของเรานี่ ท่านรู้ใครตั้งใจขนาดไหนท่านรู้นี่ เราทำของเราเอง เราไม่สนใจกับใคร บิณฑบาตมาได้เท่าไรเท่านั้นพอ ท่านก็ไปใส่บาตรให้ อย่างนั้นแหละ ของในบาตรท่านนั่นแหละ ที่เราจัดใส่ให้ ท่านเอามาใส่บาตรเรา ท่านทำอย่างนั้นละกับเรา ถ้าว่าผ้าห่มท่านก็ไปบังสุกุลให้ ผ้าห่มก็เป็นผ้าห่มท่านห่มทุกวัน ก็เราพับเราเก็บทุกวันนี่นะ ก็อย่างนั้นละท่านทำกับเรา เวลาบิณฑบาตมาปั๊บจัดอะไรใส่บาตรนิดหน่อยแล้วเอาซุกเข้าต้นเสาหรือฝา มาจัดอาหารให้ท่าน ใครจะทำอะไรเราไม่สนใจนะ ก็เราเองปฏิบัติตัวของเรา เราดูแต่ตัวของเรา ดัดกันอยู่ในนั้นละ ใครจะทำอะไรเราไม่สนใจกับใคร แต่กับเรานี้ตัวเองแล้วเอากันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ดัดอยู่อย่างนั้นนะ
นี่ละที่ได้ธรรมมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายทำด้วยวิธีนี้ละ ไม่ได้นอนใจนะ อยู่กับเพื่อนฝูงมากน้อยเพียงไร เรามาปฏิบัติตัวของเราดูตัวของเราตลอด ใครจะเป็นอะไรช่างใครไม่สนใจ ทำอย่างนั้น เรื่องการอยู่การกินนี้พูดได้เลยว่า เห็นแก่ปากแก่ท้องหรือไม่ ไม่ ว่างั้นเลยนะ บอกว่าไม่เท่านั้น ได้อะไรมาฉันนิดหน่อยพอๆ ฉันก็ถ้าอยู่กับหมู่กับเพื่อน ฉันทุกวัน แต่ในราว ๕ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ วันหนึ่งๆ ไม่ให้อิ่ม แต่ถ้าออกไปแต่เจ้าของแล้วซัดกันเลยละ นี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลามาหาท่านนี้มีแต่หนังห่อกระดูกมา ไม่มีเนื้อมีหนังทั้งๆ หนุ่มน้อยนี่นะ คือมันดัดเจ้าของ มันดัดอย่างนั้น นิสัยอันนี้มันเอาจริงจังทุกอย่างนะ ทีนี้ได้มาก็ได้ภูมิใจกับการดำเนินของเจ้าของ ว่าได้ท้อแท้อ่อนแอที่ตรงไหนๆ ถึงจะล้มลุกคลุกคลานก็ซัดกันอยู่อย่างนั้นนะ ให้ถอยไม่ถอย มันก็ได้ผลขึ้นมา เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นจากหัวใจ จิตสว่างจ้าขึ้นมาไม่มีกิเลสตัวใดมาขวางใจเลย นั่นเอามันขนาดนั้นซิกิเลส
ถ้าไม่หนักไม่ได้นะ ต้องเอาหนักกับกิเลส ดัดเจ้าของนี้ใครจะทำอะไรไม่สนใจกับใคร เอาแต่เราดัดเราเราไปปฏิบัติตัวเรา เอาอย่างนั้นตลอดละ หมู่เพื่อนมีเป็นยังไงๆ ไม่สนใจ นี่ละได้ธรรมมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาได้มาโดยวิธีนั้น ด้วยวิธีดัดเจ้าของตลอดเลย ไปนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา เราเคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนนะเราพูด น้ำตาร่วงบนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ นั่นละเวลากระแสกิเลสมันรุนแรง เหมือนเราเอาฝ่ามือไปกั้นน้ำมหาสมุทร มหาสมุทรก็คือกิเลส ฝ่ามือก็คือธรรม เอาฝ่ามือไปกั้นแม่น้ำมหาสมุทรมันได้ยังไง นั่นละเวลากระแสของกิเลสรุนแรงรุนแรงขนาดนั้น ซัดกันลงได้นะละ นี่ละมันเอารุนแรงนั้นก็เคียดแค้นให้กิเลสอยู่กับตัว เคียดแค้นให้คนอื่นคนใดเป็นกิเลสเป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น แต่เคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเจ้าของที่จะทำลายมันนี้เป็นธรรม
ความเคียดแค้นนั่นละมันทำให้มุมานะ เอามันจนได้เลย นั่งอยู่บนภูเขาน้ำตาร่วงสู้มันไม่ได้ เคียดแค้น นี่ละความเคียดแค้นทำให้มุมานะ ดัดเด็ดตลอดเลย สุดท้ายกิเลสก็หมอบ นั่นถ้าไม่เอาอย่างนั้นไม่ทันนะ แต่นิสัยเรามันเป็นนิสัยผาดโผนอยู่ตลอดหละ อะไรก็ตามถ้าลงได้ลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย นี่ก็ฟัดกับกิเลสก็อย่างเดียวกัน มันเอาเราจนน้ำตาร่วง เอา เคียดแค้นให้มัน เอาละมึงเอากูขนาดนี้เชียวหรือ มึงกูนะ อยู่ในใจ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง แน่ะ ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่ละความเคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรมนะ กิเลสอยู่กับตัวมันเป็นภัยอยู่กับเรา เราเคียดแค้นให้มัน มุมานะซัดกันเลย จนกิเลสหมอบ สุดท้ายกิเลสขาดสะบั้นไม่มีเหลือเลย
นี่ก็ได้พูดให้ฟังแล้ว เอาจนกิเลสขาดสะบั้นลงไปจ้าเลย นั่นเห็นไหม นั่นละความไม่ถอย ความมุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลสอยู่กับตัวเป็นธรรม ถ้าเคียดแค้นให้ผู้อื่นผู้ใดเป็นกิเลสเป็นบาปเป็นกรรม ถ้าเคียดแค้นให้เจ้าของฆ่ากิเลสที่เป็นไฟต่อเจ้าของนี้เป็นคุณเป็นธรรม คือเคียดแค้นเท่าไรมันยิ่งมุมานะความเพียรยิ่งหนักซิ สุดท้ายมันก็สู้เราไม่ได้ เอากันลงได้เลย นั่น นี่พูดอย่างนี้ใครจะเชื่อละ จะไม่มีใครเชื่อ ก็เขาไม่ได้ทำ นั่น เอาลงจุดนี้ละนะ ใครจะเชื่อก็เขาไม่ได้ทำเขาจะเชื่ออะไร เราทำเขาไม่ทำ เราทำ เขาไม่เชื่อเราเชื่อเรา เชื่อสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ความเพียรกล้าความเพียรเก่งกิเลสหมอบ แน่ะท่านก็บอกอย่างนั้น
ตั้งแต่ ๑๘ พรรษาฝึกหัดตื่นใหม่ ตื่นนอนนี้แต่ก่อนพอมันตื่นดีดผึงเลยนะ เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพราน พอรู้สึกตัวนี้มันดีดของมันเอง เราฝึกมาตั้งแต่นู้น ตั้งแต่บวชการตื่นนอน พอตื่นนี้สะดุ้งปึ๊งเลยลุกเลย ไม่ซ้ำอีกนอน จนกระทั่งพรรษา ๑๘ อะไรก็เรียบร้อยลงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทีนี้จะฝึกการตื่นให้พอดิบพอดี คือตื่นนั้นมันตื่น คือตื่นนักรบนักสู้ เราก็เห็นว่าดีทางหนึ่งอยู่แล้วไม่ได้ต้องติ ทีนี้การรบการราอะไรมันก็สงบลงเลิกรากันไปแล้ว ทีนี้การตื่นนอนก็ฝึกใหม่ ถึงขนาดนั้นพอรู้สึกดีดผึงเลยนะ ได้ ๑๘ ปีละ พรรษาได้พรรษา ๑๘ ฝึกการตื่นนอนใหม่ คือการตื่นนอนแต่ก่อนตั้งแต่ทีแรกจนกระทั่งถึงพรรษา ๑๘ นั้นมันแบบแม่เนื้อตื่นนายพราน พอตื่นนี้สมมุติว่าเพื่อนฝูงนอนอยู่ด้วยกันอย่างนี้ เพื่อนฝูงหลับๆ อยู่ก็จะตื่น เพราะการตื่นนอนของเรามันรุนแรง ตื่นดีผึงเลยทันที เป็นอย่างนั้นละ
พรรษา ๑๘ ได้มาฝึกใหม่ ตื่นนอนให้เรียบร้อย รู้ทิศรู้ทางอะไรแล้วค่อยตื่นขึ้นมา พูดให้มันเต็มหัวใจก็ข้าศึกหมดแล้วตั้งแต่พรรษา ๑๖ นั่น ถึงพรรษา ๑๘ จึงฝึกนอนใหม่ เวลามันได้ชินตัวมันแล้วฝึกนานอยู่นะกว่าจะได้นะ ได้แบบหมูขึ้นเขียง เข้าใจไหม แต่ก่อนมันไม่ใช่หมูขึ้นเขียง ดีดปึ๊งเลยทันทีๆ นี่พอมาระยะนั้นแล้วก็ฝึกการตื่นนอนใหม่ พอรู้สึกมันจะขึ้นของมันนะ มันชินนะ เคยชิน นี้ค่อยฝึก พรรษา ๑๘ ฝึกใหม่ ให้รู้ทิศรู้ทางอะไรแล้วค่อยลุก ทีนี้พอฝึกได้แล้ว แหม ได้อย่างสนิทนะ พอตื่นนอนแล้วลืมตาขึ้นแล้วหลับอีก เวลาฝึกฝึกอันนี้ก็เก่งเหมือนกันนะ ตื่นแล้วยังไม่อยากลุก ตั้งแต่พรรษา ๑๘ นี้เรียกว่าฝึกได้แล้ว ตื่นนอนแล้วมันก็ไม่อยากลุก พลิกทางนั้นแล้วพลิกทางนี้อยู่อย่างนั้นนะ
แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ มันขึ้นอยู่กับการฝึกเรานะ การฝึกการตื่นนอนนี้ดีดปึ๊งเลยนะ ไม่ได้ตื่นธรรมดา (เสียงหมาเห่า) อะไร ปล่อยมาๆ ปล่อยออกมาๆ ฟังเสียงมันอยากออกละ มันอยู่ในกรงหมา หมาก็ต้องฝึก ตัวไหนรังแกกัน เห่อ นี่ไม้เรียวลงละนะ พอตัวไหน เห่อๆ ใส่เขาไม้เรียวลงเลย เปี๊ยะแล้ว ทีนี้พอ เห่อ นี่วิ่งนะ เขาก็รู้เหมือนกันนะ พอขู่เขา เห่อ พอ เห่อ นี้ก็วิ่งเลย เพราะกลัวไม้เรียว แน่ะ หมาเขาก็เก่งเหมือนกันนะ ฝึกได้ ฝึกหมาก็ฝึกได้ มาแล้วนั่น กองทัพหมา
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|