เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ใบลานเปล่าๆ หัวโล้นเปล่าๆ
ก่อนจังหัน
หนาวบั้นแก่นี่มันผิดกันนะกับหนาวเวลาหนุ่ม คือเวลาหนุ่มเข้าสงคราม คือมันหนาวจนนอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน ผ้าห่มไม่มีนะ เราไม่เคยมีผ้าห่ม เพราะฉะนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์จึงเอาผ้าห่มท่าน ท่านห่มทุกวันไปบังสุกุลให้เรา ตาแหลมคมมากนะ บิณฑบาตมาวางแอบไว้ต้นเสา ไม่ให้ใครเห็นนะ ใครไปยุ่งไม่ได้ พระกลัวเราเป็นที่สองนะ กลัวมากทีเดียว กลัวด้วยความเคารพ ไม่ใช่กลัวด้วยความเกลียดชังอะไร จัดปุ๊บๆ ใส่ไว้ที่ฝาข้างต้นเสาวางปั๊บมาจัดอาหารให้พ่อแม่ครูจารย์ เราทำของเราอย่างงั้น ในวัดเราไม่สนใจกับใคร แต่การปฏิบัติเป็นตัวของเราเอง ไม่ให้ใครยุ่งมาก แต่ท่านตาแหลมคม
ไอ้เรื่องเห็นแก่ปากแก่ท้องนี่รู้สึกว่ากิเลสมีก็ตาม แต่มันไม่ในจิต มันไม่ได้สนใจกับอาหารการกิน ความมุ่งมั่นในธรรมพุ่งๆ นะ มุ่งมั่นในแดนนิพพาน คือเหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรสักสตางค์นะ ว่าเอาตำแหน่งเศรษฐีๆ คว้าผิดคว้าถูก ทั้งๆ ที่จนๆ ไม่มีสักสตางค์ก็ตาม แต่มันคว้าใส่เศรษฐี ขั้นเศรษฐี ไอ้นี้คว้าใส่ธรรมแดนนิพพานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรๆ นี้เราพูดจริงๆ เราไม่ได้คุย ไม่มีคำว่าเห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่มี เพราะฉะนั้นเห็นพระองค์ไหนลักษณะเห็นแก่ปากแก่ท้อง ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติด้วยกันจี้เอาเลย ท่านมาหากินนี่เหรอ แดนนิพพานหรือมรรคผลนิพพานสู้อันนี้ไม่ได้เหรอ ใส่อย่างนี้นะ พระนี่โหยหงายเลยละ กลัว กลัวมาก คือเราเอาจริงนะนี่นะ ทำอะไรจริงมาก ท่านมาหามรรคผลนิพพาน ท่านมาหาอย่างนี้เหรอ ใส่ปั๊วะเลย โอ๊ย เราไม่เป็น
เพราะฉะนั้นองค์ไหนเห็นแก่ปากแก่ท้องเข้าไม่ติดเรา ถ้าองค์ไหนถึงไหนถึงกัน เอาละ นี่พอพูดอย่างนี้ก็มีพระองค์หนึ่งเป็นญาติกัน ปฏิบัติอยู่โคราชด้วยกัน องค์นี้ของดีท่านไม่ใส่บาตรท่าน เวลาแจกอาหารท่านเอาของดีๆ ไปแจกพระ ของท่านมีอะไรนิดๆ พอ เราไม่ลืมนะ ท่านเล่าเอง เรามาหามรรคผลนิพพาน สิ่งเหล่านี้จะมาเหยียบย่ำทำลายมรรคผลนิพพานไม่ได้ ลิ้นปาก ท่านว่างั้น แหมมันข้ามเหยียบหัวมรรคผลนิพพาน อยู่อะไรเท่าไร กินอะไรเท่าไร พอ ท่านว่างั้น นี่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว ท่านเสียก่อนเรา อายุเท่ากัน ท่านเป็นธรรมอย่างนั้น
นี่ก็จากกันมาไม่ทราบเท่าไร นานเท่าไร เวลาท่านเสียไปแล้ว นี่ท่านเสียอยู่ภูทอก ภูทอก ภูเขาลูกเดียวเขาเรียกภูทอก ท่านเสียอยู่นั่น นี่องค์หนึ่งเป็นธรรมมากทีเดียว ก็อัฐิกลายเป็นพระธาตุ ก็แสดงผลจากความเป็นธรรม เป็นอย่างงั้นละ อย่างใครเห็นแก่ปากแก่ท้อง อย่าหวังว่างั้นเลยนะ เห็นแก่ธรรมสิ่งทั้งหลายไม่มีความหมาย ถ้าเห็นแก่ธรรมแดนมรรคผลนิพพานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพอเป็นพอไปเท่านั้นพอๆ เรียกว่าเท่านั้นพอเลย จิตมันพุ่งๆ อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว องค์ที่ว่านี่แหละ นั่นละใจเป็นธรรม อยู่ด้วยกันอายุเท่ากันนะ ต่อไปนี้จะให้พร
หลังจังหัน
ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง หรือ ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีกถึงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน เป็นทองคำ ๕๗๕ กิโล ๔๑ บาท ๙ สตางค์ รวมทองคำที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๖๑๓ กิโล ๘ บาท ๒๐ สตางค์ (โยมจากออสเตรเลียร่วมทำบุญ) ดีแล้วขนเข้ามานี่ละ เราก็ขนออกช่วยชาติ ที่ได้มาทั้งหมดบาทนึงเราไม่เคยสนใจนะ ได้มาเท่าไรๆ ออกช่วยโลกทั้งนั้นๆ ละ จึงเรียกว่าช่วยโลกสิ เราช่วยจริงๆ เราไม่เอาอะไร
คือพระองค์หนึ่งที่อายุเท่ากัน ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน ท่านองค์นี้ก็จริงจังมากในภาคปฏิบัตินะ ทีนี้เวลาท่านเสียก็ไปเสียที่ภูทอก อยู่ที่ข้างด้านนี้ภูทอก คือภูทอกมันมีภูเขาลูกเดียว มันอยู่โดดเดี่ยวเขาเรียกภูทอก ท่านไปภาวนาอยู่ที่นั่นละ ซึ่งท่านก็บอกไว้ เห็นไหมล่ะ นี่ผมตายไปนี้ผมจะไม่กลับมาเกิดอีกนะท่านว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายของผมในการเกิดตาย ท่านไปอยู่ภูทอก พอเวลาตายแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ นั่น มันประกาศกับคำพูดของท่านว่า นี่ผมตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกท่านว่า พอตายแล้วก็อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ นี่ประกาศความบริสุทธิ์ของใจ ถ้าครั้งพุทธกาลท่านก็เรียกว่าพระอรหันต์ สำเร็จอรหันต์แล้ว
องค์นี้ก็สนิทกันมาแต่เริ่มออกปฏิบัติ ท่านปฏิบัติเป็นธรรมมาตลอดนะ แต่เวลาไปเสียก็ไปเสียที่ภูทอก จากนี้ไปไม่ไกลนะ ภูทอก เข้าไปนี่แล้วก็ไปภูทอก ถ้าธรรมดาอยู่ภูทอก ท่านไปบอกกับพระเณรและเพื่อนฝูงด้วยกันว่า ถ้าผมตายแล้วผมจะไม่กลับมาเกิดอีก บอกอยู่นั้น ก็พอดีท่านก็ตายที่ตรงนั้นละ และอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุ นี่ประกาศแล้วว่าไม่กลับมาเกิดจริงๆ คือจิตที่มันขาดจากโลกจากสมมุตินี้มันเป็นคนละฝั่งจริงๆ เหมือนเรามองไปแม่น้ำลำคลองนะ นี่ฝั่งหนึ่งนั้นฝั่งหนึ่ง มันเป็นอย่างงั้นละ จิตที่ขาดจากสมมุติ คือนี้ฝั่งสมมุติมันเคยผ่านมาแล้วๆ พอออกฝั่งนี้ปั๊บไม่ใช่สมมุติแล้ว มันก็ผ่านมาทั้งสองก็รู้ชัดเจน
เวลาจิตพะรุงพะรังอยู่กับสมมุติในแดนเกิดตาย มันก็รู้ในเจ้าของ พออันนี้ขาดแล้วเป็นฝั่งหนึ่งขึ้นมา ฝั่งนั้นเป็นฝั่งวิมุตติ ท่านจึงพูดได้ว่าตายแล้วผมจะไม่กลับมาเกิดอีก ก็มันรู้อยู่ในจิต ถ้าเราเทียบแล้วก็เหมือนเป็นคนละฝั่งเลย ท่านก็ประกาศไว้แล้วในธรรมว่า สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตนเองโดยลำดับ ผลงานขั้นนี้ๆ จนกระทั่งผลงานอันสูงสุดคือหลุดพ้น ก็เรียกว่าสันทิฏฐิโกขั้นสุดท้าย นั่นละสันทิฏฐิโกคือรู้เองเห็นเอง ธรรมะพระพุทธเจ้านี่อยู่ในจุดศูนย์กลาง เรียกว่าเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นจุดศูนย์กลางของมรรคผลนิพพานตลอด ขอแต่มีผู้ปฏิบัติเถอะ
นี่เราเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นปัจจุบันตลอด ที่ว่าสวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว สันทิฏฐิโก อกาลิโก รู้เอง ผู้ปฏิบัติจะเห็นผลงานตัวเอง อกาลิโก ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา คือจิตขาดจากโลกจากสมมุติ ในจิตขณะแต่ก่อนมันก็พัวพันอยู่ด้วยสมมุติ หนาบาง กิเลสหนาก็เรียกว่าหนา ซักฟอกเข้าไปบางเข้าไปๆ แล้วหมดเลย จิตนี้ก็เป็นธรรมธาตุ เรียกว่าธรรมธาตุ ถ้ามีขันธ์อยู่ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์อยู่ในธาตุขันธ์อันนั้นนะ ขันธ์ ๕ นั่น มีธรรมธาตุคือจิตที่บริสุทธิ์อยู่ในนั้น เรียกว่าธรรมธาตุ นี่ละคำว่านิพพานเที่ยงอันนี้ละอันธรรมธาตุเที่ยงก็นี่ละเที่ยง
พวกปฏิบัติส่วนมากจะมีอยู่ตามวงกรรมฐานนะ จิตสำเร็จมรรคผลนิพพานได้เพราะท่านปฏิบัติ ก็ไม่มีที่ไหนแบกคัมภีร์ไปด้วยปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์ แบกคัมภีร์ไปก็หลังหักเฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดประโยชน์แหละ เขาว่าใบลานเปล่า ใบลานเปล่า โปฐิละ พระพุทธเจ้าท่านเห็นนิสัยองค์นี้สามารถที่จะบรรลุธรรม พระโปฐิละ แล้วกำลังเพลินสอนอรรถสอนธรรมให้โลกสงสารอยู่ พระองค์เล็งเห็นอุปนิสัยสามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพาน พอไปหาท่านก็ใส่ปัญหาเลย โปฐิละๆ โปฐิละ แปลว่าใบลานเปล่า เรียนเปล่าๆ หัวโล้นเปล่าๆ บวชเปล่าๆ กินข้าวชาวบ้านเปล่าๆ เข้าใจไหม มีแต่เปล่าๆ โปฐิละ
ท่านก็สะดุดใจกึ๊กเลย พระพุทธเจ้าลงพูดขนาดนี้แล้วท่านต้องเล็งเห็นนิสัยของเรา ท่านหยั่งไปทางเป็นมงคลนะ ท่านสลดใจทันทีเลย พอกลับไปถึงที่พักเตรียมของหนีกลางคืน เพื่อนฝูงเต็มอยู่ แต่ก่อนท่านสอนธรรม เพื่อนฝูงทางด้านความจดความจำ ทีนี้พอได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์โปฐิละใบลานเปล่าๆ เท่านั้น พอกลับมาถึงวัดเตรียมของไปกลางคืนเลย ไปก็ทราบว่าสำนักไหนๆ สำนักวงกรรมฐาน ครูบาอาจารย์องค์ใดที่เด่นด้วยอรรถด้วยธรรมจริงๆ ภายในใจ แล้วบึ่งเข้าไปหาองค์นั้น ทีนี้ในวัดนั้นมีแต่พระอรหันต์ จนกระทั่งถึงเณรน้อยก็เป็นอรหันต์ อยู่นี่ ๔-๕ องค์สำเร็จทุกองค์ นั่นฟังซิเคยได้ยินไหมละ อยู่ในป่า ทองคำทั้งแท่งอยู่ในป่า พอไปท่านเตรียมของไปกลางคืนเลยนะ
ไปก็บึ่งเข้าหาอาจารย์ ท่านก็ทรมาน โอ้ย ท่านไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอะไรท่านจะรู้อะไรท่านว่า ท่านอยู่แต่ในป่า คือองค์ท่านเหล่านี้เป็นกรรมฐานปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ จนกระทั่งเณรน้อยเป็นอรหันต์ นี่พระโปฐิละนี้ก็บึ่งเข้าหาท่านเลย สำนักนั้นละ ไปท่านก็ทรมานแหละ ไปหาท่านท่านก็ว่า โอ้ย ผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรไม่ได้ศึกษาอยู่แต่ป่าแต่เขาท่านว่า หาองค์นั้นซิบางทีท่านจะรู้ นั่นท่านทรมานนะ องค์นั้นก็พูดแบบเดียวกันๆ ฟาดไปถึงสามเณรน้อยซึ่งเป็นอรหันต์เหมือนกัน ไปถึงสามเณรน้อยก็ โอ้ย ผมพึ่งบวชมาใหม่ๆ นี่น่ะ ว่างั้น เณรน้อยก็เณรน้อยอรหันต์ มันโง่เมื่อไร มันโง่แต่พวกขอนซุงนี้ละ เข้าใจ นี่พวกขอนซุงนี่พวกนี่
เณรน้อยไม่ได้ใช่ขอนซุง บางรายพระไปตบหัวเณร ไม่อยากสึกหรืออีลุงว่างั้นนะ เข้าใจไหม ไม่อยากสึกหรืออีลุง บอกว่าอีลุง พูดนี้ตบหัวเล่น เณรเป็นอรหันต์ พระเป็นพระปุถุชน มันน่ารักเณร ไปก็ไปตบหัวเณร ไม่อยากสึกหรือเณร ไปตบหัวเล่นนะ ไม่อยากสึกก็ว่างั้นละเณร เณรเป็นอรหันต์ นี้เป็นปุถุชนไปเคาะหัวพระอรหันต์ แต่ก็ดีนะละ พอมาทราบทีหลังแล้ว โอ้ย เห็นโทษจริงๆ นะ กลับไปขอขมาเณรนะ เณรก็เฉย ก็เป็นอรหันต์จะไปอะไรกับใคร เณรก็ไม่ว่าอะไร ไปตบหัวเณร คือมันน่ารัก เณรน่ะเป็นอรหันต์แล้วนั่นน่ะ ไปเห็นก็ตบหัวเล่น ไม่อยากสึกหรืออีลุง อีลุงว่า เรียกลุงนะ ไม่อยากสึกอีลุง ไม่อยากสึกว่างั้นนะ ไปตบหัวเล่นนะ ไม่อยากสึกหรืออีลุง ไม่อยากสึก นี่ขอนซุงไปเคาะทองคำทั้งแท่ง มันเป็นอย่างนั้น มีในตำรา แล้วก็ไปขอขมาเณรนะ
ตัวโง่ ก็ยอมรับว่าโง่ มันเป็นอย่างนั้นละ ไม่อยากสึกหรืออีลุง แล้วไปตบหัวเล่น น่ารักเข้าใจไหม ไปตบหัวเล่น ไม่อยากสึกหรืออีลุง เรียกลุง ไม่อยากสึกหรืออีลุง เณรก็บอกว่าไม่อยากสึกก็ว่างั้น ก็เป็นอรหันต์แล้วสึกไปหาอะไร สึกไปหาขอนซุงนี้เหรอ ขอนซุงที่กำลังตบหัวอยู่นี้เหรอ ก็เคยผ่านมาเหมือนกันแล้วนี่ แน่ะ ขอนซุงมันเป็นยังไง อรหันต์เป็นยังไง ที่ว่าพระโปฐิละนี้ก็ได้สำเร็จเลยนะ ที่ว่าใบลานเปล่า พระองค์เห็นนิสัย กำลังสอนอรรถสอนธรรมธรรมดาละ เป็นมีบริษัทบริวารตั้ง ๔๐๐-๕๐๐ นะ พอพระพุทธเจ้าไปว่าโปฐิละใบลานเปล่าเท่านั้นสะดุดใจกึ๊กเลย ไปก็เตรียมของหนีกลางคืนเลย ไปก็เข้าหาพระเถระ มหาเถระเรื่อยมาๆ จนกระทั่งสุดเณรสุดท้าย ไปถึงก็ โอ้ย ผมพึ่งบวชมาผมไม่รู้ภาษีภาษาอะไร นี่ท่านรู้นิสัยแล้ว เณรลองดูซิบางทีนิสัยวาสนาจะกลมกลืนกัน เลยขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์
พระเถระโปฐิละนะถวายตัวเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกศิษย์จริงๆ เณรนั้นเป็นเหมือนมหาเถระ โปฐิละองค์นั้นก็เป็นเหมือนสามเณรน้อยตามหลังเลยนะ จริงจังนั้นท่านจริงจังมาก ถ้าลงลงอย่างนั้น เณรหาอุบายวิธีทรมานทุกอย่างนะ นั่นเห็นไหม เณรอรหันต์นะ หาอุบายวิธีทรมานดูทิฐิมานะจะมีอะไรบ้าง บางทีครองผ้าดีๆ แล้ว ผมอยากได้อันนั้นในก่อไผ่ ก่อไผ่หนามๆ นั่นน่ะ ให้ครองผ้าเสียก่อนให้ไปเอา พอจะเข้าไปถึง ไปจริงๆ นะ ไปก่อไผ่นี้เข้าไปให้บุกเข้าไป พอไปถึงจริงๆ เอาละผมไม่เอาแล้ว เณรทรมาน บางทีครองดีๆ ให้จะไปเอาอะไรในน้ำ อยากได้อะไรในน้ำนั้น ครองผ้าดีๆ ก็ลงไป ครั้นพอผ้าจะเปียกให้ขึ้นมาเสีย ก็หาอุบายวิธีดูทิฐิมานะมีหรือไม่มี เห็นว่าจริงจังนี้เณรก็สอน พอเณรสอนแล้วแล้วถึงธรรมขั้นสูงทีนี้ เณรเพื่อให้เกียรติพระโปฐิละเป็นเถระนะ เณรก็ให้เกียรติ เลยพาพระโปฐิละนี้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า นั่น ให้เกียรตินะ
พอไปถึงพระพุทธเจ้า เป็นยังไงเณร ลูกศิษย์ของเธอเป็นยังไง อู้ย หายาก หาอย่างนี้หายาก เวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ มอบถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอน เณรพลิกตัวออกหนีเลย เป็นสำเร็จจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนสำเร็จเป็นพระอรหันต์กับพระพุทธเจ้านะ เณรพาไป เณรก็หลบก็เพื่อให้เกียรติพระเถระ ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ไปสำเร็จกับพระพุทธเจ้า เณรสอนเรียบร้อยแล้วนะ จวนแล้วก็ไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงสอนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระครั้งพุทธกาลถ้าว่าลง ลงจริงๆ ถ้าไม่ลงก็ไม่ลงอย่างว่านะ คิดดูสามเณรน้อยเดินตามหลังต้อยๆ ไป เดินตามหลังเณร เณรเป็นมหาเถระ นี่เป็นอย่างนั้นละ ท่านถือเนื้อถือตัวเมื่อไร ไม่ถือ เราก็ไปธุระของเราทุกเช้าละ ไปทุกเช้าๆ มีอะไรมา ถ้าไม่มีอะไรจะให้พรเราจะไป
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|