เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ป่าไม้เป็นคุณ ป่าคนเป็นอันตราย
(พระมหาชูชาติ ตปสีโล เจ้าอาวาสพระธาตุเจริญธรรม ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ขอถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน) หลวงตาพอใจ ธรรมะของเราที่เทศน์สอนพระในตอนต้นๆ ที่มาสร้างวัดป่าบ้านตาดนี้ดี ส่วนมากจะฟังตอนดึกๆ เพราะธรรมะนี้เผ็ดร้อนมาก เรื่องแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วทั้งนั้นที่สอนพระอยู่บนศาลา ตอนนั้นคนไม่ค่อยมีเข้ามา จึงมีแต่พระที่ตั้งใจปฏิบัติล้วนๆ การสอนธรรมก็เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป เข้าใจไหมละ
ระยะนี้ทุกวันนี้ โอ๋ย ไม่ได้เทศน์ เทศน์อย่างนั้นไม่มี ไปเทศน์ที่ไหนก็ไม่มีแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดไม่มีนะ มีแต่สะเปะสะปะไปยังงั้น ถ้าจะตีแรงก็จะถูกหัวเด็ก ถูกหัวคนแก่ ตัวอันธพาลมันแอบอยู่นั้นมันสนุกเล่นตัว เข้าใจไหมล่ะ ตัวอันธพาลมันแอบอยู่กับคนแก่กับเด็ก ตีลงแรงๆ ก็มันไม่ได้มันจะถูกหัวคนแก่ อันธพาลมันก็สนุกเล่นตัว เข้าใจไหม เทศน์แต่ก่อนเทศน์อย่างนั้นละ ทุกวันนี้ไม่มีละเทศน์ มีแต่เทศน์เรียกว่าแกงหม้อใหญ่ ๆ ทั้งนั้นละ เทศน์ที่ไหนเหมือนกันหมด ยิ่งไปเทศน์ที่ใหญ่ๆ เช่นอย่างสนามหลวงนี้ มีหม้อเล็กหม้อจิ๋วที่ไหนไม่มีเลยนะ มีแต่แกงหม้อใหญ่ ๆ
ใครเข้าใจว่าไปเทศน์สนามหลวงจะวิเศษวิโสอะไรเข้าใจไหม มันมีแต่แกงหม้อใหญ่มันวิเศษอะไร แต่เทศน์อยู่ในป่าในเขาเงียบๆ เด็ด นั่นละแกงหม้อเล็กอยู่ตรงนั้นละ แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว เทศน์ที่ชุมนุมชนส่วนมากมีแต่แกงหม้อใหญ่ละ ให้พอเหมาะพอดีเป็นประโยชน์แก่คนทุกชั้นๆ ไป คือการเทศน์ก็มุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง ผู้ฟังอยู่ในขั้นใดภูมิใดที่ควรจะได้รับประโยชน์จากธรรมในขั้นใดบ้างก็ อันนั้นก็ออกรับกันๆ ถ้าเป็นธรรมของผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ อย่างนั้น โอ๋ย มีแต่แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ ทั้งนั้น คือส่งพุ่งๆๆ ผู้ฟังเทศน์ก็ได้กำลังใจๆ หนุนกำลังใจ แล้วก็หนุนความเพียรเร่งนั่นละ มันเป็นอย่างนั้นนะต่างกันนะ
ท่านอยู่ในป่าจริงๆ แต่สมัยปัจจุบันนี้จะไม่มีนะ ว่ากรรมฐานก็เป็นกรรมฐานอยู่ตามวัดป่าไปเสีย ไม่ได้เป็นมาอยู่ในป่าในเขาจริงๆ เหมือนครูบาอาจารย์พาอยู่ อันนั้นอยู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงียบเลยนะ ทีนี้ที่เงียบๆ ก็มีเต็มไปด้วยสัตว์และเนื้อและเสือสัตว์ต่าง ๆเต็มอยู่แถวที่ท่านไปอยู่ การปฏิบัติธรรมก็มุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ นั่นละเป็นประโยชน์มากนะ เดี๋ยวนี้จึงหาไม่ค่อยได้ละ คือคนนั่นแหละเข้าไปเหยียบกัน คนเข้าไปเหยียบคน ผู้ปฏิบัติธรรม คนมันคนเทวทัต มันเข้าไปเหยียบธรรมของพระพุทธเจ้า มันเป็นอย่างนั้นละ คำว่าธรรมของพระพุทธเจ้าจะไม่มี มีแต่คนอันธพาลละไปเหยียบธรรม
เดี๋ยวนี้จะไม่มีนะผู้ปฏิบัติธรรมประเภทนั้น และสถานที่จะปฏิบัติธรรมประเภทนั้นก็จะไม่มี คือสถานที่เช่นนั้นถูกทำลาย สร้างปลูกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาหมดเลย ผู้บำเพ็ญก็เลยไม่สะดวกนั่นทุกวันนี้ เพราะไปที่ไหนมันมีเจ้าของหมดเลย ในป่าในเขาที่ไหนมันมีเจ้าของๆ เขาไปทำอะไรๆ ที่นั่น การบำเพ็ญก็ไม่สะดวก นั่นละแล้วทีนี้จะไปตำหนิใครก็ตำหนิไม่ลง เรื่องความจำเป็นของโลกสมมุติมันหากเป็นอย่างนั้นว่างั้นละ มอบลงที่นั่นไปเลย ที่จะให้เป็นความสะดวกเหมือนครูบาอาจารย์พาปฏิบัติมานี้จะหาไม่ค่อยได้ แล้วต่อไปจะหาไม่ค่อยได้นะ เลยธรรมก็เลยหมอบ หมอบไปหมอบอยู่ในกระดูกหมูกระดูกวัวเขานะ ธรรมไม่ได้หมอบอยู่ในป่าในเขานะ ถ้าในป่าในเขาธรรมดีดๆ ถ้าเข้ามาในบ้านธรรมหมอบเข้าใจ เป็นอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้มันมีแต่ธรรมหมอบละ หรือตายไปหมดก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรจะมาหมอบ ธรรมไม่มี อย่างนั้นก็อาจเป็นได้ละ คือคนมันมากเข้าๆ ว่าป่าว่าเขานี้แต่ก่อนป่าจริงๆ เขาจริงๆ นะ เงียบไปหมดเป็นป่าล้วนๆ เขาล้วนๆ ไม่มีอะไรสับปน นั่นเรียกว่าป่าไม้เป็นคุณ ป่าคนเป็นอันตรายสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมนะ เพราะฉะนั้นท่านผู้บำเพ็ญธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลท่านถึงโดดเข้าไปอยู่แต่ในป่าในเขาเงียบๆ คิดดูซิกลางคืนนั่ง เวลานั่งเริ่มจะนั่นละ หัวใจทำงานในหัวอกเรานี้นะ ได้ยินเสียงตุบตับๆ นะ มันสงัดขนาดนั้น ภายนอกก็สงัดภายในใจก็สงัด สงัดต่อสงัดสติก็เด่น หัวใจเจ้าของทำงานตุบตับๆๆ ฟังได้ยินชัดเจนมากนะ ทีนี้พอเริ่มทำงานไปแล้วก็จิตก็พัวพันกับธรรมไปเสีย จึงว่าการทำงานของหัวใจมันก็ทำตามเดิมของมัน แต่ไม่ได้ยินนะ เป็นอย่างนั้นละ
ท่านผู้ที่ได้ธรรมมาสอนโลก นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาหาสาวกทั้งหลายได้มาจากป่าจากเข้าทั้งนั้นแหละ อันนี้ผู้ที่พระสมัยปัจจุบัน พระจรวดดาวเทียมยังว่า พระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริตว่างั้นนะ นี่ละเราเทศน์ย้อนตีหน้าผากมัน เงียบไม่ตอบมาเลยนะ ไม่มีใครตอบนอกจากอีตาบัวเข้าใจไหม อีตาบัวให้มาว่างั้นเลยนะ ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวกับสิ่งใดสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ ออก เพราะฉะนั้นการพูดจึงพูดเป็นธรรม ใครจะไปตีความหมายไปขยี้ขยำอะไรก็เป็นเรื่องของกิเลส ของสกปรกมันชอบขยี้ขยำ ธรรมะท่านเป็นของสะอาดผ่านไปๆ เรื่อยๆ นะ ท่านไม่มีอารมณ์ แต่ผู้ฟังนั้นซิ ฟังสักแต่ว่าฟัง อ้าปากฟังบ้างอะไรบ้าง ง่วงเหงาหาวนอนฟัง ได้มาก็มีแต่ขยี้ขยำแต่มูตรแต่คูถไม่ได้เรื่องได้ราว
นั่นละท่านได้ธรรมมาสอนโลก พระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่งละ สาวกทั้งหลายได้มาจากป่า จึงเรียกมหาวิทยาลัยป่าได้ไม่ผิด ทุกวันนี้เขาเอามหาวิทยาลัยบ้านนี่ไปเหยียบย่ำทำลายหมด มหาวิทลัยป่าเลยไม่มี ไปที่ไหนก็อยู่ในกระดูกหมูกระดูกวัวไปหมดเลย ไปอยู่ในป่าในเขานี้สงัดงบเงียบ ธรรมจะได้โผล่ตัวขึ้นมาคือสติธรรมจะเด่นขึ้นๆ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีละ ท่านไปอยู่อย่างนั้นท่านอยู่ก็เรียกว่าเหมือนผ้าขี้ริ้วนี้แหละ แต่มันห่อทองนะทองคำ อยู่ในป่าในเขาเงียบๆ โลกทั้งหลายเรียกว่าหมดราค่ำราคา แต่ธรรมผู้ปฏิบัติธรรมนั้นเป็นมีราคาขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนั้น ไปอยู่ในที่สงัดเท่าไรธรรมยิ่งเด่นนะ อยู่ในที่งบเงียบที่สงัดเท่าไรมากเท่าไรธรรมะยิ่งเด่น คือสตินี้ไม่เผลอเลย
แล้วเมื่อสติเป็นเครื่องรักษาจิต จิตจะมีอะไรไปทำลายได้ ก็มีแต่สั่งสมธรรมความสงบเยือกเย็น ความสง่างามของจิตขึ้นเรื่อยๆๆ ทีนี้กิเลสตัวไหนๆ มันก็เห็นหมดละซิ ส่วนมากธรรมเด็ดๆ อย่างนั้นมักจะมีแต่กิเลสส่วนละเอียด ส่วนหยาบมุดมอดไปๆ พอออกไปสู่สถานที่กิเลสจะโผล่หัวท่านหลบหนีเสีย ท่านเข้าไปในป่าในเขากิเลสก็หมอบ ธรรมะก็เหยียบลงไปๆ ก็จ้าขึ้นมาเลย นั่นเห็นไหมละ ท่านอยู่ธรรมะท่านปฏิบัติธรรมะ เวลาธรรมะได้มีเด่นดวงภายในจิต จิตกับธรรมนี้มันเป็นอันเดียวกันแล้วนี้ มันจ้าไปหมดนะ สว่างจ้าไปหมดเลย
นั่นละธรรมมีอำนาจ คือจิตก็มีอำนาจ จิตกับธรรมเข้ากันได้สนิท เมื่อจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันอยู่ตลอดเวลาแล้วจิตก็จ้าอยู่อย่างนั้น ท่านอยู่ในป่าท่านจึงไม่ค่อยออกมา ผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม เดี๋ยวนี้ผู้ปฏิบัติแบบที่ว่านี้มีน้อยมากนะ พระกรรมฐานเราก็รู้สึกว่ามีน้อยมาก ไปที่ไหนมันมีแต่คน สถานที่จะเป็นสะดวกสบายเป็นที่ภาวนาก็เป็นที่ของชุมนุมชนไปเสีย เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ แต่ก่อนเป็นดงจริงๆ ป่าจริงๆ สงัดจริงๆ อยู่ที่ไหนมีแต่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวด้วยสติรักษาจิต สติรักษาจิตนี้จิตจะมีราคา สง่างามตลอดเวลา ไม่มีอะไรเข้ามากวนได้ละ
สติจึงเป็นของสำคัญมากนะ ถ้าใครไม่เผลอไม่เผลอสติตั้งสติให้ติดกันตลอดเวลาแล้วจิตนี้จะมีแต่วันสงบ ถ้ายังไม่สงบ สงบ ถ้าสงบแล้วก็แน่นขึ้นไปๆ ต่อจากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา สว่างไสวไปหมด นั่นละจิตเมื่อมีสติเป็นเครื่องรักษาเป็นอย่างนั้น สติเป็นของสำคัญนะ รักษาจิตได้ดีมากทีเดียว นี่เราก็ได้ตั้งตัวได้ ได้มาเล่าให้ลูกหลานทั้งหลายฟังนี้ คือจิตนี้เจริญแล้วเสื่อมๆ ปีกับห้าเดือน เป็นไฟนะจิตนะ คือจิตที่เจริญแล้วมันเสื่อมไปเสียนี้ แหม เสียใจมากนะ เหมือนกับที่เขามีเงินมีทองเป็นจำนวนเท่าไหร่ เป็นล้านๆ แต่มาล่มจมลงเสียด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนี้ จะไม่มีใครเดือดร้อนยิ่งกว่าเศรษฐีที่เงินล่มจมไป พวกหาเช้ากินเย็นเขาไม่ได้เป็นทุกข์นะ พวกเศรษฐีที่มีความล่มจมนี้นะเสียใจมาก
นี้จิตใจของผู้บำเพ็ญธรรมได้เสื่อมลงไปนี้เป็นแบบเดียวกัน ทุกข์มากที่สุดจิตเสื่อมนะ อยู่ที่ไหนไม่มีความสบายเลย เป็นฟืนเป็นไฟ คือเราเคยได้ของวิเศษวิโสแล้วมันเสื่อมไปเสีย ก็ยังเหลือตั้งแต่มูตรแต่คูถอยู่ในใจ นั่นละเดือดร้อนมากนะ ร้อนมากที่สุด จิตเสื่อมนี้เราได้เห็นแล้วนะ เราเองจิตเราเสื่อมเราไม่รู้จักวิธีรักษา มันเสื่อมลงไปแล้วมันไม่ฟื้น เจริญธรรมนี้ฟาดขึ้นไปเสียจนจะเป็นจะตาย เจริญขึ้นไปแล้วก็เสื่อมลงไปต่อหน้าต่อตามันเป็นยังไง จิตนี้มันเป็นอะไรมันถึงเป็นอย่างนี้ ทีนี้เราก็ไม่ลืม จิตเจริญแล้วเสื่อมนี้อยู่ถึงปีกับห้าเดือน นี่ละทุกข์มากที่สุด นี่ละก็มาพิจารณาหาเหตุหาผล มันเป็นยังไงขึ้นไปถึงที่ไม่เคยเจริญเต็มที่ในจิตภูมินั้น นะ แล้วเสื่อมลงไปต่อหน้าต่อตานี้ โอ้ย ทุกข์มากที่สุดนะ
จึงมาพิจารณาหาเรื่องหาราว มันทำไมเจริญขึ้นไปถึงนั้นแล้ว แล้วเสื่อมลงมาอย่างไม่ได้มองหน้ามองหลังนะ เสื่อมต่อหน้าต่อตาเสียใจ จึงมาพิจารณาใหม่ มันเป็นเพราะเหตุไร จิตนี้เจริญมันถึงเสื่อมได้ๆ จะเป็นเพราะเหตุไร มาพิจารณาใหม่ตั้งใหม่ มันจะขาดอะไรมันถึงได้เป็นอย่างนั้น พิจารณาทบทวนแก้ไขใหม่ เหมือนว่ามาเรียน กอ.ไก่ กอ.กา ใหม่ จับพุทโธติดกับหัวใจ คำบริกรรมพุทโธไม่ให้เผลอเลย เอา ทีนี้มันจะเสื่อมไปไหน เราดูเราจะไม่ให้เผลอ จิตจะเสื่อมจะเจริญไปไหนก็ให้เสื่อมไป เอา เจริญไป แต่คำว่า พุทโธ คือเราชอบพุทโธ คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ให้พรากจากกัน เอา มันจะเสื่อมไปไหนลองดูนะ
ทีนี้ไม่ฟังเสียงละ มันเจริญจะเสื่อมไม่สนใจ จะสนใจเฉพาะคำบริกรรมกับสติติดกันตลอดเวลา เอา มันจะเสื่อมไปไหน ให้ติดเลยทีนี้ แต่นิสัยเรามันจริงนะ ถ้าลงได้ลงกันในจุดใด ตัดสินใจลงจุดใดแล้วเราจะลงจุดนั้น นี่ก็ลงคำบริกรรมกับพุทโธไม่ให้เผลอกัน เอา มันจะเสื่อมไปไหนลองดูคราวนี้ เอาพุทโธกับคำบริกรรม เสื่อมเจริญไม่สนใจ จะสนใจแต่คำบริกรรมนี้กับสติไม่ให้เผลอเลย เอาขึ้นไปๆ พอถึงนั้นที่มันจะเสื่อม เอา เสื่อมไปบอกเลย บอกให้มันเสื่อมไปเลย แต่อันนี้จะไม่ให้เสื่อมจากกัน คำบริกรรมกับสติติดแนบกัน พอทำอย่างนั้นแล้วที่ว่านี้ จะเจริญหรือเสื่อมปล่อยเลย ไม่ให้เผลอสติกับคำบริกรรม พอไปถึงที่มันเคยเสื่อม เอาๆ เสื่อมไปบอก ทางนี้ไม่ให้เสื่อม คำบริกรรมกับสติติดแนบไปเลยแล้วไม่เสื่อม ขึ้นได้ๆ ขึ้นเรื่อย จึงจับได้ว่า อ๋อ ขึ้นอยู่กับสติ นั่น
ถ้าสติรักษาอยู่แล้ว จิตจะปรุงแต่งเป็นเรื่องของกิเลสไม่ได้ ก็เจริญเรื่อย ถ้ามีแต่สักแต่ว่าทำ ไม่สังเกตการกระทำของเจ้าของไม่ได้นะนักภาวนา ต้องสังเกต สังเกตวิธีนี้ทำวิธีนี้ มันไม่ดีเป็นเพราะเหตุไร หาเหตุหาผล ก็ลงสุดท้ายก็มาอยู่สติ ถ้าสติไม่เผลอขึ้นได้จิต จิตจะไม่มีฐานแห่งความสงบเลย ขอให้ตั้งสติให้ดีไม่ให้ขาดนะ เอานี้แล้วขึ้นได้เลย เป็นอย่างนั้น นี้เคยเป็นแล้ว... ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาการบำเพ็ญเจ้าของ สักแต่ว่าทำไปเฉยๆ ไม่ได้ประโยชน์นะ ต้องสังเกต
พอแน่ใจตรงไหนแล้วจับให้ติดเลย อย่าปล่อยอย่าวางแล้วขึ้นได้ละ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว ถ้าขาดสติแล้วความเพียรขาดไปตามๆ กัน ถ้าสติมีอยู่อิริยาบถใดก็ตามจะเป็นความเพียรตลอดนะ สติสำคัญมาก นี่พูดถึงเรื่องพระท่านไปภาวนาอยู่ในป่าในเขา ครูบาอาจารย์ที่ได้ธรรมมาสอนโลกได้มาจากนั้นละจากป่า อยู่ในป่าในเขาตลอด เป็นตายใครจะไปอยากไปอยู่ในป่า แต่ความจำเป็นมีก็ต้องบังคับกันอยู่อย่างนั้น ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน เอา บังคับกัน
เอาธรรมบังคับกิเลส กิเลสมันหาว่ายากว่าลำบากลำบนอะไรๆ ธรรมะนี้ เอา ยากพระพุทธเจ้าสลบสามหน นั่น มันเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นตัวอย่าง เราสลบอะไร ถ้าสลบก็ลงไปหมอนนั่นละวะ มันไม่ไปไหนนะ สักเดี๋ยวขึ้นได้ตั้งได้นะ อย่างนั้นละการภาวนา ทำสักแต่ว่าทำไม่ได้เรื่องนะ ต้องมีเหตุมีผลจับกันตลอด แล้วเจริญได้นะ สุดท้ายก็ไม่พ้นสติ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละนะ พอ เราก็จะไปธุระของเรา ให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ