ธรรมหมุนกิเลส
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 เวลา 8:00 น. ความยาว 43.12 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ธรรมหมุนกิเลส

นั่นรูปพ่อแม่ครูจารย์มั่นกับสมเด็จมหาวีรวงศ์องค์นั้น สมเด็จมหาวีรวงศ์ที่มาเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วจะเอาเรากลับไปกรุงเทพ ท่านถือว่าท่านเป็นอาจารย์ท่านจะฉุดเอาไปเลย เราก็จะทำยังไง จดหมายมาตามเรื่อยๆ มหาบัวต้องกลับกรุงเทพๆ มาตลอดอยู่อย่างนั้นละ นี่ก็ยกให้สมเด็จมหาวีรวงศ์กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเข้านั่งอยู่บนหัวใจเรา สมเด็จมหาวีรวงศ์นี่ทางบริจาคเสียสละ เป็นไม่มีอะไรติดตัวเลย ท่านสละออกหมด เรียกว่าถึงใจเรา

เราถ้าไปอยู่ที่ไหนครูบาอาจารย์องค์ไหนจิตใจคับแคบ โอ๋ย เราอยู่ไม่ได้นะคับหัวอก เราตัวเล็กๆ เท่าหนูก็ตามแต่หัวใจมันไม่ได้เป็นหนูซิ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดมีลักษณะตระหนี่ถี่เหนียว เราอยู่ไม่ได้นะ ถ้าไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดเป็นนักเสียสละแล้วอยู่ได้ ติดกันเลยเชียว สมเด็จมหาวีรวงศ์นี่ท่านฝ่ายปริยัติ เรียกว่าไม่มีอะไรติดตัว มีเท่าไรหมด เราเป็นผู้อุปัฏฐากท่าน อยู่กุฏิเดียวกันแต่คนละห้อง เราเป็นผู้ดูแลท่านตลอด ไม่มีอะไรติดตัวสมเด็จมหาวีรวงศ์ มีเท่าไรหมดเลย

คือเราเองเป็นผู้คอยรักษาสมบัติอะไรต่างๆ ของท่าน เราเป็นผู้ดูแลรักษาปัจจัยเกี่ยวกับเด็ก เราคอยกำชับกำชาเด็ก ท่านไม่สนใจละ อันนี้องค์หนึ่งที่นั่งบนหัวใจเราสมเด็จมหาวีรวงศ์ ฝ่ายปฏิบัติก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ฝ่ายปริยัติก็คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ อันนี้เป็นนักเสียสละ นอกนั้นท่านก็ธรรมดาๆ แต่ที่ว่าเด่นมากก็คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ เด่นมากทีเดียว ไม่มีอะไรติดตัวเลย ได้มาเท่าไรออกหมดๆ ทันทีไม่รอ องค์เหล่านั้นท่านก็ธรรมดาๆ แต่สมเด็จมหาวีรวงศ์ไม่ใช่ธรรมดา มีเท่าไรหมดเลย มาเมื่อไรหมดเมื่อนั้น นี่มันถึงใจเรานะ นี่อาจารย์ของเรา พ่อแม่ครูจารย์มั่นกับสมเด็จมหาวีรวงศ์ฝ่ายปริยัติเป็นอาจารย์ของเรา นั่งอยู่บนหัวใจเรา

ท่านรู้สึกเมตตาเรามาก คิดดูเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น พรรษาเราได้ ๑๖ ตอนนั้น นั่นละท่านจะลากเราเอาไปกรุงเทพในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์ว่างั้นเถอะ ท่านจะไม่ฟังเสียงใครเลย ท่านจะลากไปเลยโดยถือว่าท่านเป็นอาจารย์มาแต่ก่อน พอดีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณน้องชายท่านเจ้าคุณอุบาลีช่วยไว้ได้ โฮ้ มันอึดอัดใจนะ แต่ที่จะให้เรากลับนั้นเรากลับไม่ได้ แต่กิริยามารยาทหาทางออกด้วยความเคารพเราต้องได้ใช้เต็มที่ละ เรื่องกลับไปนั้นไม่ไปละ แต่กิริยามารยาทที่แสดงต่อท่านด้วยความเคารพของเราเราต้องได้ใช้เต็มที่ เพราะเราจะไม่กลับ แต่ยังไม่ได้ตอบอะไรมากนะ

ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณละท่านช่วยไว้ได้ เพราะท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านฟังอยู่ คือพูดใช้เป็นอำนาจเอาเลยจะเอาเราไปท่าเดียว เพราะเราอยู่ก้นกุฏิของท่าน ปฏิบัติอุปัฏฐากท่านตั้งแต่ไหนแต่ไร ท่านก็ต้องถือสนิทกันละ ถือเราเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านก็จะลากเราไปตามสิทธิของท่าน ทีนี้เราก็อึดอัดใจ จะทำยังไงน้า ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณท่านคงจะหนักใจแทนเรา เราพูดไม่ออกเพราะท่านสั่งโดยอำนาจเลยจะว่าไง เอ๊ จะทำไง แต่เรื่องกลับไปอย่างไรก็กลับไปไม่ได้แล้วแหละ หากจะต้องใช้มารยาทด้วยความเคารพอย่างเต็มเหนี่ยว เล็ดลอดออกท่าใดวิธีใดจนได้ว่างั้นเถอะ

ระยะนั้นจิตมันหมุนติ้วตลอดเวลา พรรษา ๑๖ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเดือนอะไร (มกราเจ้าค่ะ) นั่นละมันหมุนตอนนั้นจิตเรา คือมันหมุนแต่ก่อนนั้นแล้ว ตั้งแต่ท่านยังป่วยมันก็หมุนอยู่แล้ว ยิ่งตอนท่านมรณภาพตอนเผาศพท่านยิ่งหมุนตลอด อยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่คนเดียว ทั้งวันทั้งคืนอยู่คนเดียว นั่นละเห็นไหมธรรม เวลาหมุนหมุนจะไปนะ อยู่กับใครไม่ได้อีกด้วย ต้องอยู่คนเดียว ซัดกันอยู่นั้นระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้ ธรรมเป็นอัตโนมัติ สติธรรม ปัญญาธรรมเป็นอัตโนมัติ ซัดกับกิเลสไม่มีวันถอย กลางคืนบางคืนไม่ได้นอนนะ ไม่หลับ ท่านทั้งหลายฟังเอาซิน่ะ นี่เอาพยานออกมา ถอดออกมาจากหัวใจ

เวลาธรรมมีกำลังเป็นอย่างนั้น เวลากิเลสมีกำลังก็เหยียบหัวใจสัตว์โลกไปตลอดไม่รู้สึกตัวเลย ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด ไม่รู้ตัวจริงๆ เหมือนควายตัวหนึ่งจูงไปไหนก็ไป กิเลสจูงหัวใจสัตว์โลก เวลามันจะออกมันถึงได้รู้กัน เวลาจะออกมันก็หมุนเป็นอัตโนมัติ หมุนฆ่ากิเลส ไม่ได้หลับได้นอน หมุนติ้วๆ อยู่กับใครไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียว คืองานนี้ไม่มีว่างเลย เวลามันหมุนมันจะออกจริงๆ เป็นอย่างนั้น หมุนเอง หมุนติ้วๆ ตลอด กิเลสหมุนสัตว์ให้จมอยู่ในโลกก็หมุนอย่างนั้นละ แต่สัตว์โลกไม่รู้ หมุนช้าหมุนเร็วมันก็หมุนของมัน

ทีนี้ธรรมทีแรกก็หมุนช้า เวลามีกำลังมากแล้วก็หมุนเอาอย่างขาดสะบั้นนะ ธรรมหมุนกิเลส มันเห็นในหัวใจ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง โกหกที่ไหนวะ เวลามันจะเอาจริงๆ มันจะออกจริงๆ จะหลุดจริงๆ นี้มันอยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่คนเดียว ทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างนั้นซัดกันกับกิเลสตลอดเวลาเลย ท่านทั้งหลายไม่เคยฟังให้ฟังเสียนะ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดให้ฟัง การเทศนาว่าการจึงไม่มีข้อสงสัยข้อใดเลยว่าผิดไป เพราะถอดออกจากหัวใจที่ได้ดำเนินมาแล้วทั้งเหตุทั้งผลทุกอย่าง ดำเนินมาโดยลำดับจนกระทั่งถึงจุดของมันแล้วที่นี่เปิดโล่งเลย ที่ไหนรู้หมดเลยบทเวลารู้

ที่ไม่รู้เพราะอะไร กิเลสเท่านั้นปิดไว้ๆ พอกิเลสเปิดออกหมดแล้วมันจ้าเลยในหัวใจ ออกหมดไม่มีอะไรปิดบัง มีกิเลสเท่านั้นปิดหัวใจสัตว์โลกให้มืดบอด ตายกองกันอยู่นี้ กี่ภพกี่ชาติไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด บทเวลามันจะออก มันได้ช่องจะออกแล้วทีนี้มีแต่หมุนจะออกท่าเดียว กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่หลับอีก มันซัดกันเป็นอัตโนมัติ หมุน เป็นเอง ที่สุดมาฉันจังหันนี้มันไม่ได้อยู่กับอาหารการกินนะ เวลาจิตจะหมุนออกมันไม่ได้อยู่กับอาหารการกินอะไร มันจะหมุนฆ่ากิเลส ฟัดกับกิเลสอยู่ภายในลึกๆ อย่างนั้นตลอดเวลาเลย นั่นเวลามันจะไป

นี่ออกทางวิทยุออกเสียบ้าง คำพูดเช่นนี้ไม่มีใครพูด เราอยากจะพูดเต็มปากเลยว่าในประเทศไทย ว่างั้นเลย พูดอย่างที่เราพูดเวลานี้ มันอาจจะไม่มีใครเป็นก็ได้ หรือท่านอาจไม่พูดก็ได้ แต่อาจจะนิสัยต่างกัน แต่มันเด็ดเวลาพูดมันก็เด็ดอย่างนี้ เวลามันเป็นมันก็เด็ดของมัน เวลาเอามาพูดก็ต้องมีนิสัยเด็ดมาตลอดอย่างนี้ละ ถึงกาลเวลาจะฆ่ากิเลสแล้ว โห มันถอยได้เมื่อไร กลางคืนกลางวันไม่ได้นอนเลย อ้าว มันจะตายนะนี่ทำไง อ่อนหมด มันจะตาย คือมันหมุนตลอดหมุนจะออก นี่ละอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติหมุนอย่างนั้น หมุนจะออกท่าเดียว ที่จะให้อยู่ไม่มี มีแต่จะออกท่าเดียว ถึงขั้นจะออกแล้ว สุดท้ายมันก็พุ่งเลยออกได้เลย ถ้าถึงอย่างนั้นแล้วอยู่ไม่ได้ละ ต้องออก

เวลามันนอนอยู่เหมือนหมูเหมือนวัวเหมือนควายก็อย่างเราๆ ท่านๆ นี่ละ มันไม่รู้จักทางออกมันก็เพลินไปตามกิเลสตัณหา ก็เป็นเครื่องหลอกมันให้เพลินด้วยกันแหละ กิเลสหลอกสัตว์โลกให้เพลินไปตามประสาของสัตว์โลกที่มีกิเลสหลอก ทีนี้พอธรรมขึ้นแซงเข้าไปแล้ว ฟัดกิเลสก็เอาอีกแหละ ทีนี้หลอกไม่ได้เลย กิเลสหลอกไม่ได้ ถึงขั้นหมุนติ้วๆ ขาดสะบั้นๆ กิเลสโผล่ออกมาตัวไหนไม่มีรอได้เลย ขาดๆ นั่นสติปัญญาอัตโนมัติ

จากนั้นก็ก้าวเข้ามหาสติมหาปัญญานี้ยิ่งเร็ว ยิ่งรวดเร็วมาก พุ่งๆ พุ่งในหัวใจจนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ใจนี้เป็นโลกธาตุธรรมธาตุว่างหมดเลย หมดที่นี่ ข้าศึกหมด ไม่มีอะไรเหลือ กิเลสเท่านั้นตั้งแต่ส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด สุดยอดถึงอวิชชาขาดสะบั้นลงไปแล้วโล่งหมดเลย ไม่มีอะไรละจิตใจดวงนี้ ถ้าว่านิพพานเที่ยงมันก็รู้อยู่ชัดๆ จะเอาอะไรมาเปลี่ยนแปลงกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงแล้วธรรมชาตินั่น นิพพานเที่ยงคือธรรมธาตุ ธรรมธาตุเที่ยงเป็นอย่างงั้นละ

เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรสงสัยแล้วในโลกธาตุนี้หมด ยังเหลือแต่ร่างกายซึ่งอยู่ในแดนโลกธรรม ดังที่เคยพูดให้ฟัง กิริยาอาการนี้เอาแน่ไม่ได้ โลกเป็นยังไงเราก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างงั้นควรติควรชมก็ติก็ชมกันอยู่วันยังค่ำ เพราะอยู่ในสนามโลกธรรมร่างกายอันนี้ แต่จิตนี้หมด ผ่าน ไม่มีอะไรมาติดเลย นี่เป็นอีกอย่างหนึ่ง ส่วนธาตุขันธ์หรือกิริยาอันหนึ่ง ธาตุขันธ์นี้ก็เป็นสมมุติเหมือนกันมันเข้ากันได้ ติได้ชมได้ เรียกว่าสนามโลกธรรมก็คือแดนสมมุติ พอผ่านจากนี้แล้วไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย นั่นละวิมุตติ หมดโดยสิ้นเชิง

ถ้ามันเห็นชัดๆ ในหัวใจมันพูดได้ชัด จะเอาอะไรมาสงสัยเมื่อมันเปิดโล่งหมดแล้ว ไม่มีอะไรสงสัย นี่ก็บอกชัดๆ เลยว่า สอนโลกก็สอนเต็มที่ เมตตาธรรมก็ครอบโลกธาตุ เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรติดตัว มีแต่เมตตาธรรม คือเมตตานี่ครอบโลกธาตุ จิตนี้มันนิ่มไปหมดเลย ถ้าลงถึงขั้นนี้แล้วจิตนี้นิ่มไปหมดเข้าได้หมดเลย นั่นละนิ่มขนาดนั้นจิตที่บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้วนิ่ม ไม่เป็นภัยต่อสิ่งใดทั้งนั้นเลยแหละ ถึงกิริยาอาการจะมีลักษณะท่าทางเหมือนโลกแต่จิตไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีภัยต่อสิ่งใดในโลกว่างั้น พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างงั้น

ทีนี้พอว่าตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกก็รู้อยู่แล้ว มันขาดสะบั้นจากกัน นี่สมมุติ นี่วิมุตติ แน่ะ มันเป็นคนละฝั่ง มันก็รู้ชัดๆ อยู่ในหัวใจ มันตายแล้วจะไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว มันก็เห็นชัดๆ นี่ฝั่งนี้ๆ นี่ฝั่งเกิดตายกองกันๆ ภพชาติสับปนกันไม่มีประมาณ ถ้าอันนี้ขาดแล้ว ไม่มีอะไรหมุนแล้ว เรียกว่าวิมุตติเป็นฝั่งหนึ่ง ให้ชื่อให้นามเสียว่าวิมุตติ เป็นสมมุติด้วยกันมันก็รู้ชัดๆ อยู่ในใจ ปฏิบัติให้มันพอแล้วเป็นอย่างนั้น นี้พอเกิดมาในชาตินี้สมบูรณ์แบบทุกอย่างเรา เราพูดจริงๆ นะ ทำประโยชน์ให้โลกเราก็ทำเต็มเหนี่ยวของเรา ไม่มีอะไรเก็บในโลก สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในวัดในวาออกตลอดเวลา ไม่ว่าจะออกทางไหน สมควรแก่วัดแก่วาแก่ประชาชนแก่สัตว์โลกตัวใดรายใดก็ตามมันก็เป็นของมันด้วยความเมตตา เมตตานี้เป็นเมตตาในหลักธรรมชาติ ไปที่ไหนความเมตตานี้ครอบไปหมดเลย นี่ถึงขั้นเมตตาเป็นอย่างงั้น

นี่จึงว่าทำสุดเสียในชาตินี้ ให้มันสุดขีดสุดแดนเสีย เมื่อมันสุดแล้วมันก็หายสงสัย ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ ก็รู้กันอยู่คนละฝั่ง ดังที่ว่าชัดๆ เลย ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ อันนี้ฝังใจเรามากนะ ฝังมาก มันถอดออกจากนี้ ท่านเป็นแล้วนะ เรามาเป็นทีหลังมันก็เป็นอันเดียวกัน จึงไม่มีคำว่าก่อนว่าหลัง ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต เทศน์ให้เบญจวัคคีย์ฟัง อกุปฺปา เม วิมุตฺติ.ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้เราจะไม่กลับมาเกิดอีก มันก็ชัดอยู่ในหัวใจ พูดออกมาจากหัวใจชัดๆ แล้วจะผิดไปไหน

เพราะฉะนั้นที่ว่าไม่เกิดอีกมันก็รู้อยู่ในหัวใจ ความเกิดมันเป็นสายเยื่อใยต่อโยงกันไป ความเกิด ความไม่เกิดนี่ขาดสะบั้นกันไปหมด ขึ้นชื่อว่าสมมุติสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องในจิตได้เลย นั่นเรียกว่าเป็นวิมุตติ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จะไม่กลับมาเกิดอีก มันก็พูดได้วันยังค่ำละซี ก็มันเป็นอยู่ในหัวใจ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ปฏิบัติให้ชอบซิจะไปไหน ศาสดาองค์เอกโกหกโลกเมื่อไร มีแต่เราโกหกเรา โกหกวันยังค่ำ เราโกหกเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก แต่สัตว์โลกโกหกตัวเอง แล้วก็โกหกกันแหลกไปหมด เอาละพูดเท่านั้น

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก