เหมือนช้างใหญ่ตัวเข้าสู่สงคราม
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา 8:10 น. ความยาว 32 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

เหมือนช้างใหญ่ตัวเข้าสู่สงคราม

         นี่ก็ไปทอดกฐินวัดโพธิสมภรณ์ วันที่ ๑๘ ได้เงินเท่าไร (๘,๐๕๓,๙๖๔ บาท เจ้าค่ะ) ปีนี้ไม่ได้ไปทางอำเภอบ้านแพง อำเภอบ้านแพงเราไปทอดให้ประจำมาหลายปีแล้ว ไปทอดสองวัด วัดใต้กับวัดบนเขา ไปทั้งสองกองๆ แต่ปีนี้ทอดที่วัดโพธิไม่ไปทางโน้น เราสงเคราะห์โลกเท่านั้นเราไม่เอาอะไร หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่นี้แต่ไม่เอาอะไร ช่วยโลกทั้งนั้นแหละ ที่จะเอาส่วนตัวไม่มีเลย เรียกว่าไม่มีเลย ช่วยโลกทั้งนั้น ได้ที่ไหนมาก็เฉลี่ยทางโน้นทางนี้ๆ สำหรับเจ้าของไม่เอาอะไร ทางหัวใจก็พอแล้วบำเพ็ญธรรมมา

การศึกษาเล่าเรียนเป็นภาคความจำ เป็นปากเป็นทาง ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่ตักตวงเอาดอกเอาผลเรื่อยๆ มา นี่ก็ภาคปฏิบัติเอาดอกเอาผลเรื่อยๆ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เรียกว่าพอ ทางภาคปฏิบัติก็พอ ในหัวใจเราพอ ธรรมเราก็ไม่หา เคยได้ยินไหมคำพูดเช่นนี้ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วหาอะไร นี่ละที่ว่าหาธรรม หาธรรมเข้าสู่ใจ ที่นี่ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วก็ไม่ต้องหา พอ อยู่นั้นแหละ และพอด้วยความเลิศเลอเสียด้วย จะเอาอะไรมาเพิ่มเติมส่งเสริมหรือตัดออกไม่ได้ พออย่างเลิศเลอ นั่นธรรมพอภายในใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วพอ

นี่ก็ได้ปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนถึงขั้นนี้ละ เรียกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วพอ หาธรรมเราก็ไม่หา ทุกวันนี้ไม่หา เพราะธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว แต่ก่อนหาธรรมแทบเป็นแทบตาย ทีนี้เวลาธรรมเข้าสู่ใจพอแล้ว ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันทีนี้ไม่หาละ พูดให้เปิดเผยอย่างชัดเจน เขาหาสมบัติเงินทองข้าวของได้กี่บาทเขาก็มาเล่าสู่กันฟัง วันนี้ได้เท่านั้นบาทเท่านี้บาท เราหาอรรถหาธรรมได้เท่าไรๆ เราก็พูดได้เหมือนโลกเขา

นี่เราก็หาธรรม หาตั้งแต่ตะเกียกตะกายมาจนกระทั่งถึงขั้นพอ เรียกว่าหาธรรมพอ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเรียกว่าพอ ไม่หา ชาตินี้ชาติที่เราพอแล้วทุกอย่าง เราไม่หาอะไรเลยละ ธรรมเราก็ไม่หา เพราะธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ถ้าว่าเงินทองนี้เราก็ไม่หาเขาเอามาให้เอง ให้เท่าไรเราก็ออกเท่านั้นๆ เราไม่เอา เราพอทุกอย่างแล้ว ไปด้วยความผาสุกเย็นใจ เราไม่วิตกวิจารณ์ในการเป็นการตายการไปอยู่ที่ไหน ขึ้นสูงหรือลงต่ำเราหมดความสนใจ คือพออยู่กับใจดวงเดียวนี้แล้วกระจายไปหมด พอทั่วโลกธาตุซึ่งเป็นแดนสมมุติ พอแล้วทุกอย่างเราไม่หาอะไร

เกิดมาในชาตินี้เรียกว่าหาจนพอ หาเต็มเม็ดเต็มหน่วย หาแทบล้มแทบตาย ที่นี่มาถึงขั้นพอแล้วไม่หา ธรรมก็ไม่หา ทุกอย่างไม่หา มีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุ มีเท่าไรออกหมดๆ สำหรับวัดนี้ไม่มีเก็บ มีเท่าไรออกความเมตตา เมตตาปัดกวาดออกๆ หมดเลยไม่มีเหลือ ไม่ว่าจตุปัจจัยไทยทานสิ่งต่างๆ ในวัดนี้ไม่มีเก็บ ออกทั้งนั้นแหละ ออกหมด อย่างโกดังนี้ก็เต็ม นี่หลั่งไหลเข้ามาพวกโรงพยาบาลต่างๆ มา เราขนมาไว้เต็มโกดังๆ ทางไหนมาได้หมดเลย เราให้ มีแต่ให้ละที่นี่ ให้เรื่อยๆ ได้มาเท่าไรให้ ให้จนพอ ในหัวใจเราก็พอ เราไม่ได้หาอะไรอีกแล้ว ไม่สงสัยในการเป็นการตายของตัวเอง ว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ไปสูงหรือไปต่ำ หายสงสัย

อยู่กับความพอ พอนี้พอด้วยความเลิศเลอเสียด้วยไม่ใช่พอธรรมดา พอด้วยความเลิศเลอ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันมันก็เป็นธรรมธาตุ รวมกันแล้วก็เป็นธรรมธาตุอยู่ในขันธ์อันนี้ละ อยู่ครองกันไปในขันธ์นี้มันจะแตกจะดับวันไหนมันก็จะไปของมัน ส่วนจิตก็ครองกันไป เมื่อขันธ์แตกแล้วธรรมธาตุไม่แตก ออกเป็นธรรมธาตุล้วนๆ นั่นละนิพพานเที่ยง อยู่ตรงที่ธรรมธาตุนั้นแล คำว่านิพพานเที่ยงเป็นธรรมธาตุ ไม่แปรไปเป็นอะไรอีกแล้ว กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่เข้าเกี่ยวข้องได้เลยในธรรมธาตุนั้น หมดโดยสิ้นเชิง นั่นละให้พากันปฏิบัติ

สิ่งที่มีอยู่หาได้ทั้งนั้นละ อะไรมีอยู่ บาปมีอยู่ บุญมีอยู่ หาบาปได้บาปหาบุญได้บุญ หาอะไรได้อันนั้น เพราะมีอยู่ด้วยกัน นี่เราหาบุญกุศล หาจนพอใจแล้วก็ไม่ต้องหาอีก เมื่อใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วก็เป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้พอตัวอยู่กับนั้นหมดเลย นี่ก็ชีวิตแห่งความเป็นพระมานี้ก็ดูมันได้ ๗๓ ปี หรือ ๗๔ ปี นับพรรษาเจ้าของก็ไม่ได้นะ บวชมาเห็นแต่มืดกับแจ้งๆ เลยนับพรรษาเจ้าของไม่ได้ว่าบวชมานี้ได้กี่พรรษา นับไม่ได้ จำได้แต่บวชวันที่ ๒๒ พฤษภา ๒๔๗๗ จนกระทั่งถึงป่านนี้มันได้กี่ปี (๗๓ เจ้าค่ะ)

เอ้อ นั่นละ บวชมาได้ ๗๓ ปี พรรษาเจ้าของอายุเจ้าของก็ไม่รู้ว่าเท่าไรอย่างนี้ นี่ดูว่าอายุก็จะย่างเข้า ๙๕ แล้ว จวนจะไปแล้วนะ พูดอย่างอาจหาญเลย จวนจะไปแล้ว ไปก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ส่วนรวมส่วนผสม แตกจากส่วนผสมคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้เขาก็เป็นธาตุเดิม ส่วนนั้นก็เป็นธรรมธาตุ ถ้าชำระได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจิตดวงนั้นก็เป็นธรรมธาตุไปเลย นั่น ถ้าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยจิตดวงนั้นจะเป็นภพเป็นชาติ เกิดที่นั่นตายที่นี่สูงต่ำ นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก ถ้าถึงนิพพานแล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย นี่ถึงแล้วซึ่งธรรมธาตุ

เราหายสงสัยเราพูดจริงๆ เราสอนโลกเราจึงสอนได้อย่างอาจหาญชาญชัย ไม่สงสัยว่าจะผิดไป เพราะความถูกต้องแม่นยำอย่างเลิศเลออยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว ออกไปตรงไหนก็ถูกตรงนั้นๆ ดังพระพุทธเจ้า สาธุ พูดแล้วไม่ได้วัดรอย ท่านว่าสวากขาตธรรมท่านตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบมาจากหัวใจท่านที่บริสุทธิ์สุดส่วน นี่ชอบมาจากหัวใจใดออกไปก็ชอบอย่างเดียวกัน เอา หัวใจกับธรรมซึ่งเป็นของคู่ควรกัน นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสัตว์ตัวสุดท้าย ได้ถึงขั้นธรรมพอแล้วภายในใจก็เป็นธรรมธาตุด้วยกัน ให้กันตั้งใจปฏิบัติให้พอ

ในโลกนี้เราหายสงสัยทุกอย่างแล้ว เราไม่มีอะไรที่จะเป็นข้อข้องใจสงสัยข้องแวะ ตายแล้วจะไปเกิดที่นั่นที่นี่ เราหายสงสัยในปัจจุบัน เวลานี้ก็ยังเหลืออยู่ตั้งแต่ธาตุขันธ์ซึ่งเป็นสนามแห่งโลกธรรม ใครอยากติก็ติมา ใครอยากชมก็ชมมาเท่านั้นเอง ส่วนจิตใจผ่านแดนสมมุติไปหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีอะไรจะตำหนิติเตียนถูกต้องละ ไม่ถึง ส่วนธาตุขันธ์นี้อยู่ในแดนแห่งโลกธรรมต้องมีติเตียน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังได้รับความติฉินนินทา เขาเจ้าคนไปด่าว่าพระพุทธเจ้า ไปบิณฑบาตเดินไปตามทาง เขาจ้างคนเดินเป็นแถวยืนเป็นแถว พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตไป ไอ้อูฐ ไอ้ลา ไอ้หัวโล้น ไอ้หาขอทาน

เขาว่าไป พระองค์ก็บิณฑบาตไปเรื่อยๆ พระอานนท์นั้นอยู่ข้างหลังจะตายละ สะทกสะท้านหวั่นไหวขวยเขินทุกอย่าง ทูลขอพระพุทธเจ้าให้ไปที่อื่น ที่นี่ถูกเขาด่าเขาว่าทุกอย่าง ประเภทที่เขาจะว่าละ แล้วพระองค์ก็ย้อนถามว่า แล้วจะให้ไปไหนล่ะอานนท์ ที่นี่เขาว่าเราจะให้ไปไหนล่ะ ไปเมืองนั้นเมืองนี้ เมืองนั้นเขาก็มีปากเขามีหัวใจ ถ้าเผื่อเมืองนั้นเขาว่าเราจะไปเมืองไหน ไปเมืองไหนเขาก็ว่าเหมือนกัน เราจะไปเมืองไหนล่ะอานนท์ ท่านก็ยกขึ้นถึงช้างใหญ่ เราเหมือนช้างใหญ่ตัวเข้าสู่สงคราม ไม่หวั่นไหวลูกศรจะมาทางไหน ตั้งหน้ารบเท่านั้นเพื่อชัยชนะ นี่เราตถาคตก็เป็นอย่างนั้น ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม เราเหนือโลกธรรมหมดแล้ว เราไม่หวั่นไหว นั่นเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้า กับพระอานนท์ต่างกัน

พระอานนท์ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหวั่นไหวขวยเขินทุกอย่าง สะท้านภายในจิต ไม่สะดวกสบายเพราะถูกเขาตำหนิติฉินนินทา พระพุทธเจ้าเฉยไม่สนใจ เฉยคือยังไง มันเหมือนอะไร เฉยนั้นมันเหมือนหมาปล่อยหำ เข้าใจไหม หมามันปล่อยหำมันเฉย แต่คนนี้ปล่อยไม่ได้นะ ตบโน้นตบนี้ หมานี้ปล่อยเฉยเลย ไม่สนใจ หมาปล่อยหำไม่สนใจ แต่คนปล่อยหำตบนั้นตบนี้เรื่อยไป บางทีก็ขยิบตาใส่กัน เมียขึ้นมา เขามาซื้อวัว ต่อรองกันอยู่นั้นละ นั่งอยู่บนชานต่อรองกันอยู่ นั่งก็นั่งปล่อยหำ เวลาต่อรองกันอยู่ก็ไม่สนใจกับหำ ปล่อยหำไปเรื่อย หนองกะปาด นี่นิทานหนองกะปาด เข้าใจไหม

หนองกะปาดนั่นเขาปล่อยหำ เมียมาขยิบตาใส่ผัว เขาขอซื้อวัวตัวละ ๓ บาท ผัวจะเอาตัวละ ๔ บาท ต่อรองกันไปต่อรองกันมาไม่สนใจปล่อยหำให้เขาเห็นละซิ มีแต่สี่บาทๆ อยู่อย่างนั้น เมียขึ้นมาเห็นผัวปล่อยหำก็เลยอายเขาซิที่นี่ ขยิบตาใส่ผัว ให้ปิดบ้างหำนั่นน่ะ มันน่าอายเอาเหลือเกินความหมายว่างั้นละ พอเมียขยิบตาใส่ นึกว่าเมียให้ขึ้นราคา ทีแรกก็สี่บาทๆ พอเมียขยิบตาใส่ก็ห้าบาทๆ เข้าใจไหมล่ะ ห้าบาทๆ เขาก็อู๊ย ตั้งแต่ ๓ บาทกับ ๔ บาทมันก็ยังไม่ลงกัน นี้ไปอะไร ๕ บาท ไปแล้วเรา เขาก็ลงไป ทีนี้เมียพอออกมาจากในห้อง นี่เขาจะให้ตัวละ ๓ บาทก็ควรจะขายให้เขาแล้ว ก็เธอขยิบตาใส่ฉัน ฉันนึกว่าให้ขึ้นราคาฉันก็ขึ้นราคาซิ ไม่ขยิบตายังไงก็ปล่อยหำให้เขาดูมันน่าอายเขาจะตาย โอ๊ย ตายๆ มาเอาเสียที่นี่ ลดราคาลงเท่าไรเขาไม่มองเลย ไปเลย นี่นิทานหนองตะปาดเข้าใจไหม มันเป็นอย่างนั้น

พวกเรานี้มีแต่พวกปล่อยหำนะ คือเผลอสติ ไปไหนเผลอตัวๆ เลินเล่อเผลอตัวไม่มีราคา คนเผลอสติไม่มีราคานะ สติติดตัวๆ เป็นคนมีราคาเป็นคนมีความเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน มีความเพียรประจำตัวด้วยความมีสติ ถ้าไม่มีสติเดินจงกรมจนขาหักก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร จำเอานะ สติเป็นของสำคัญมากทีเดียว เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ ต่อไปนี้จะให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก