ใครว่าหลวงตาพูดผิด..เอาตัดคอ
วันที่ 19 กรกฎาคม. 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ใครว่าหลวงตาพูดผิด..เอาตัดคอ

ใครได้ดูไหมที่เขาประกาศออกมาเมื่อวานนี้ว่า เวลา ๕ ทุ่มครึ่งเขาออกรายการ ทีวี ช่อง ๑๑ แสดงธรรมสนามหลวง ทางอุดรได้รอดูบ้างไหม คือถ้าฟังรายการธรรมะนี้หมอนจะลากลง ๆ ได้ยินแต่เสียงเทศน์สอนธรรม ครอก ๆ เทศน์สอนธรรม หมอนกล่อม แล้ววันที่ ๒๐ พรุ่งนี้อีก เขาออกเป็นตอน ๆ คือมันมาก เทศน์วันนั้นมันตั้งชั่วโมง ๒๓ นาที ดูเหมือนเขาจะตัดเป็นตอน ๆ ให้คนฟังเป็นระยะ ๆ ไป คือช่วงเวลาเขาไม่พอเขาก็แบ่งทำประโยชน์ให้โลกทั่วไป แบ่งมาทางด้านนี้บ้าง เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ยังดีอยู่ยังมีจิตใจเป็นกุศล ไม่ปล่อยให้กิเลสขนเอาไปกินถ่ายเดียว ธรรมได้แย่งเอามาบ้าง ๆ

โห ไม่แย่งไม่ได้นะธรรม เราพูดถึงเรื่องธรรมกับกิเลสนี้ พูดทีไรสะเทือนไม่ทราบเป็นยังไง มันไม่เคยคุ้นกันเลยนะ ถ้าว่ากิเลสกับธรรม คือข้าศึกต่อกัน มันเสียเปรียบ ๆ นี่สำคัญมากนะ เสียเปรียบกิเลสน่ะ เวลาตั้งรากตั้งฐานนี่ล้มเหลว ๆ สู้กิเลสไม่ได้ ถูไปถูมาแล้วมันก็ค่อยพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป พอฟัดพอเหวี่ยงมันก็ต้องมีปรากฏว่ามีผลได้ผลเสีย ไม่มีแต่ผลเสียถ่ายเดียว มีผลได้แทรกขึ้นมา นั่นเป็นอย่างนั้น คือผลของธรรมกับผลของกิเลสมันต่างกัน ผลของธรรมนิดหนึ่งก็ตาม เหมือนเราขุดค้นหาเพชรหาพลอยในภูเขาทั้งลูก ขุดกันแทบเป็นแทบตายได้พลอยมาเม็ดหนึ่งเท่านี้ โอ๋ย พอใจ ภูเขาทั้งลูกเขาไม่ได้มองแหละ เขามองอันนี้ นั่นละกิเลสมันเหมือนกับภูเขาทับหัวใจเรา ธรรมแย่งออกมาได้เท่านี้พอใจ เพราะมีค่าสูงสุดอยู่ตรงนี้ ภูเขาไม่ได้มีค่าสูงสุดอะไรสู้พลอยนี้ไม่ได้

นี้กิเลสมันไม่ได้มีค่าอะไร สู้ธรรมแม้หนึ่งเท่านี้ไม่ได้ นั่นน่ะเทียบกัน นี่ที่มันพอมีแก่ใจ ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ทราบจะเอากำลังใจมาจากไหน กำลังใจมาจากผลรายได้มากน้อย นั่นละเป็นกำลังใจ ต้องได้ตั้งจริง ๆ ไม่ตั้งไม่ได้นะ พี่น้องทั้งหลายให้จำให้ดีคำนี้ คือที่พูดเหล่านี้เราผ่านออกมาจากเวที ๆ แล้วทั้งนั้น ต้องฟัดต้องเหวี่ยงแทบล้มแทบตาย บางทีถึงขั้นมันจะตาย ก็เอา ปล่อยเลย นู่น ที่ว่าปล่อยเลยนี้ ไม่เคยสลบแต่ถึงขั้นตายเรายอมตายได้นี่หมายความว่ายังไง คือการปฏิบัติมาของเราถึงจะหนักขนาดไหนก็ไม่เคยถึงขั้นสลบเหมือนพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าสลบเราไม่เคยสลบ แต่ที่ว่าถึงขั้นตายก็สละได้ นี่ละคือว่าเราตั้งสัจจะลงแล้ว

เช่น วันนี้จะนั่งตลอดรุ่ง ถ้าไม่ตลอดรุ่งอย่าว่าแต่สลบ เอ้า ตายก็มาเถอะความหมายว่างั้น ตายก็ไม่ถอย คือไม่เคยสลบ แต่ถึงขั้นตายตายได้ ที่จะให้สละความสัตย์ความจริง ให้กิเลสเหยียบคอลงใส่หมอนครอก ๆ นี้เป็นไปไม่ได้ว่างั้น เอ้า ฟัด นี่ที่ว่าไม่เคยสลบแต่ถึงขั้นตายตายได้ เป็นจริง ๆ ที่เอามาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ว่าทางเหตุไม่ว่าทางผล เราดึงออกมาลากออกมาจากตับจากปอดด้วยความเมตตาแก่พี่น้องทั้งหลาย เพราะเรานับวันนับคืนได้ว่าเราจะไปวันไหนก็ไป ธาตุขันธ์ไม่เป็นของแน่ เหมือนทั่ว ๆ ไปนี่ เวลามีลมหายใจฝอด ๆ อยู่มันก็เป็นผู้เป็นคน พออันนี้ขาดปั๊บหมดความหมายทันที นี่ก่อนที่จะหมดความหมายให้รีบสร้างไว้นะอะไร อย่านอนใจนะ

ที่เอามาพูดนี้ถอดมาจากหัวใจ คือออกมาจากเวทีว่างั้นเถอะน่ะ เพราะฉะนั้นการพูดจาทุกอย่างเทศนาว่าการ จึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้านว่าจะผิดไปพลาดไปไม่มี เพราะถอดออก ๆ เหตุเป็นยังไงดำเนินมายังไงถอดออก ผลเป็นยังไง ๆ ได้มากน้อยเพียงไรถอดออก ๆ ด้วยความแน่ใจ ๆ

ระยะนี้เป็นระยะที่กิเลสออกสนาม อย่างไม่สะทกสะท้านกับอะไรเลยนะเวลานี้ มองดูที่ไหน ๆ โอ๋ย ถ้าว่าตาก็ลูกตาจะแตก หูก็จะพัง เพราะใจนี้กระเทือนตลอดเวลา สัมผัสสัมพันธ์มีแต่เรื่องของกิเลสออกสนาม ธรรมยิบแย็บก็ไม่ค่อยมี นี่ที่น่าสลดสังเวช ผลได้กับผลเสียต่างกันยังไงนี่ซิ แล้วใครจะไปยินดีกินข้าวต้มขนมที่เขากำลังหามใส่แคร่ไป คนที่จะถูกประหาร คือตั้งแต่สมัยก่อน ๆ เรานี้ประหารจริง ๆ เอาง้าวเอามีดนี้ตัดคอจริง ๆ ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้เขายิงเป้า ๆ ก็ไม่ค่อยอุจาดบาดตา ไม่น่าสยดสยองมากนักเหมือนแต่ก่อนที่ว่าประหารชีวิต ประหารจริง ๆ ตัดคอปึ๋งเลย แล้วยังมีร่ายรำด้วยนะ แต่ไม่ได้ร้องเพลง มีลักษณะร่ายฝีดาบตัดคอ คนนั่งมัดไว้เรียบร้อยแล้วตัดคอ

แล้วกำลังหามใส่แคร่ไปอยู่ ทั้งดอกไม้ธูปเทียน ทั้งข้าวต้มขนม ดูอยู่เมืองอุดร เราอยากจะออกชื่อมันได้ เราจำชื่อได้ถนัดมันไปปล้นเขา เขาเรียกบ้านหนองหมื่นท้าว มันไปปล้นเขา พอจับได้แล้วเรียกว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย สักขีพยานเต็มเหนี่ยว จะรับสารภาพมันก็ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว สารภาพไม่สารภาพก็ไม่มีความหมายในเรื่องการยกโทษ แสดงว่ามันเต็มเหนี่ยวแล้ว ประหารชีวิตโดยถ่ายเดียว นี่เขาเรียกทุ่งศรีจันทร์ ๆ นี่ คือแต่ก่อนบ้านเหล่า อุดร ห่างกันมากเป็นกิโลสองกิโลนะ เดี๋ยวนี้มันก็เป็นตลาด นี่ละกลางทุ่งนานี้เขาหามไปถึงวาระ ประหารชีวิตในทุ่งนี้ละ เขาเรียกทุ่งศรีจันทร์ ตลาดศรีจันทร์ทุกวันนี้ยังมีอยู่ไหม เห็นไหม ทุ่งศรีจันทร์ ตลาดแจ่มศิริ ตรงนั้นละเขาเรียกทุ่งศรีจันทร์ เขาประหารไอ้ศรีจันทร์ เราเป็นเด็กถึงจำได้ชัด แต่เราไม่ได้ไปดู ผู้ใหญ่ไปดูกันมา สยดสยอง เลือดนี้ทะลักพุ่งเลย

ก่อนที่จะไปถึงที่ประหาร เขาแห่ มีอาหารการกินยกไปวางทุกอย่าง ดอกไม้ธูปเทียนอะไรไป เขาก็รู้แล้ววาระสุดท้ายของมันก็มีอยู่แล้วที่ประหาร ใครก็เห็นแล้วนี่ กำลังแห่กันไปรอบเมือง เอาอะไร ๆ มาเป็นครั้งสุดท้ายของมันว่างั้นเถอะน่ะ แล้วใครจะไปยินดีกับสิ่งเหล่านี้ล่ะ ยิ่งหามไปถึงนั้นแล้วก็ยิ่งหมดแล้ว ลมหายใจมีก็ไม่มีความหมายอะไรเลย แล้วใครจะไปยินดีในเครื่องที่เขามาให้อยู่ให้กินล่ะ ที่ประหารมันขนาดไหน นี่ละพูดถึงเรื่องโทษของกิเลสที่มันฟัดสัตว์ให้จมลงในนรก ถ้าได้เห็นอย่างนั้นแล้วใครจะไปยินดีกับการทำความชั่วช้าลามก มันจะพังเดี๋ยวนี้ ๆ รอลมหายใจ

คำว่าประหารแต่ก่อนน่าสยดสยองจริง ๆ หลังจากนั้นมาเขาก็ยิงเป้า ก็ไม่เห็นมีอุจาดบาดตาอะไรนัก ไม่ให้เป็นที่อุจาดบาดตากระทบกระเทือนจิตใจของคนภายนอกอะไรมากนักทุกวันนี้นะ ประหารแล้วก็เงียบ ๆ อันนั้นไม่ได้เงียบ แห่รอบเมืองอุดร เมืองอุดรก็เป็นเมืองตั้งใหม่ ๆ ด้วย เราเป็นเด็กตอนที่เขาประหารนายศรีจันทร์ เป็นเด็กก็ไม่ใช่เด็กธรรมดา เด็กรู้เรื่องทุกสิ่ง อายุตั้ง ๙ ปี ๑๐ ปีแล้วมั้งเขาประหาร ต้นเหตุที่ประหารก็ไปปล้นบ้านเขาล่ะซี เขาจับได้แล้วถึงจะยอมสารภาพขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย ตอนนี้เรามัว ๆ อยู่นะ ดูว่าปล้นเขาแล้วมีการฆ่าอะไรบ้าง เพราะงั้นถึงไม่มีข้อลดหย่อนเลย ประหารโดยถ่ายเดียว แสดงว่าโทษเต็มเหนี่ยวลดไม่ได้แล้ว

เขาประหารจริง ๆ ดาบเขาเรียกง้าว ตัดคอเลือดทะลัก ให้คนทั่วไปได้เห็น ทำอย่างเปิดเผยให้ได้เป็นเครื่องสะดุดใจของผู้ทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย นี้ละตัวอย่างมันเมื่อมันหนักในเมืองมนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้ ความหมายว่างั้น ทีนี้คนก็เห็นทั้งเมืองล่ะซี นี่ละโทษประหารชีวิต เราพิจารณาไม่ทราบจะว่ายังไง คือมันสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างจัง ๆ ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์นี้ แล้วจะไปลบล้างให้เป็นของครึของล้าสมัยไปได้ยังไง ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วมันสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยกัน เคียงข้างกันเสมอกันเลย ทำดีเป็นดี ทำชั่วเป็นชั่ว ไม่ได้ขึ้นกับอะไรทั้งนั้น

ไอ้หลบหลีกปลีกตัวท่านั้นท่านี้ อย่างที่เขาหลบหลีกเรื่องกฎหมายกฎหมอยนั่นเห็นไหม พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม ก็เป็นลวดลายของมหากรรมมันแสดงให้โลกได้เห็น แต่โลกมันไม่ยอมดู จากนั้นก็ลากลงนรกทั้งนั้น มันยังอาจหาญทำได้นะพิจารณาดู มันสลดสังเวช ขอให้ใครไปเห็นเถอะน่ะ ถ้าเห็นอย่างหัวใจปุถุชนธรรมดาเรานี้สลบ เว้นแต่ใจพระพุทธเจ้าใจพระอรหันต์เข้าใจเหรอ อันนั้นท่านไม่หวั่น เพราะสภาพเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งนั้น อันนั้นเหนือแล้วจะมาหวั่นอะไรกับสิ่งนี้ ท่านไม่หวั่น กล้าท่านก็ไม่มี กลัวท่านก็ไม่มี คำว่าได้ว่าเสียท่านไม่มี เป็นแต่เพียงสัมผัสรับทราบตามสายธรรม ๆ ที่ผ่าน ๆ ไปเท่านั้นเอง

อย่างเราธรรมดานี้ โอ๋ย สลบไปเลยไม่ใช่ธรรมดานะ เราวาดภาพดูซินายศรีจันทร์ที่เขาตัดคอมันปึ๋ง เลือดพุ่งออกมานี้ โอ๋ย สะเทือน เมืองอุดรปรากฏว่าเป็นเมืองร้างสองสามวันนั้น ปรากฏว่าเหมือนเป็นเมืองร้าง คนตายเพียงคนเดียว ที่เลือดทะลักออกให้เห็นต่อหน้าต่อตา เจ้าหน้าที่ทำก็เพื่อเป็นคติแก่คน เขาไม่ได้ทำเพื่อประจานหน้ามันนะ เขาทำให้โลกได้เห็นความหมายว่างั้น จะไปตำหนิเขาไม่ได้ แล้วเมืองอุดรเราประหนึ่งว่าเป็นเมืองร้างในสองสามวันนั้น คนมีเต็มบ้านเต็มเมืองก็เหมือนไม่มีคน คือมันสยดสยองในอารมณ์อันนั้นไม่หยุดไม่ถอยเข้าใจไหมล่ะ สะเทือนหัวใจเอาอย่างมาก

เพียงเท่านี้เราก็เห็น แล้วเราไปดูในสัตว์นรกซิ อันนี้เพียงหนึ่ง อย่าว่าล้าน ๆ นะ มากกว่านั้นในสัตว์นรกที่เป็นประเภทเหล่านี้ ๆ ถึงขั้นเต็มที่ของกรรมเป็นอย่างนั้น สด ๆ ร้อน ๆ อย่างนี้ ทีนี้ผู้ไปสวรรค์ไปพรหมโลกไปนิพพานเหมือนกัน นิพพานก็เรียกว่ายอดแล้วไม่ต้องพูดถึง หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะไปหวั่นไหวไม่มีแล้วในนิพพาน เรียกว่านิพพานธาตุหรือธรรมธาตุ เราไปดูไอ้ศรีจันทร์เพียงคนเดียว เมืองอุดรนี้เป็นเมืองร้างไปในระยะช่วงสองสามวัน แทบจะไม่มีคนไอคนจามเลย กระเทือนมากไหม นี่เขาทำก็ได้ผลดี

จากนั้นมาก็ไม่ได้ยินอีกนะว่าประหารแบบนั้นอีก มีแต่ประหาร ๆ เรื่องราวข่าวคราวอะไรก็ไม่กระทบกระเทือนมากเหมือนนายศรีจันทร์ เราอยากจะพูดว่าเป็นคนสุดท้ายในความรู้ความเห็นของเรานะ จากนั้นมาก็ไม่มีอย่างนั้นอีกเลย แต่มันกระเทือนมากนะ เมืองอุดรเท่ากับเมืองร้างในสองสามวันสี่วันมานี่ เพราะหัวใจมันไปอยู่นั้นหมด คนก็สยดสยองไม่กล้าทำบาปทำกรรม ทำกรรมหนักก็จะเป็นอย่างนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ ได้ประโยชน์แก่คนดีมากมายคนตายเพียงคนเดียว พูดถึงเรื่องโทษประหารมันของเล่นเมื่อไร

ทีนี้ทางแดนนรก แดนสวรรค์ แดนพรหมโลกนิพพาน เรียกว่าสด ๆ ร้อน ๆ เสมอกันเลย ไม่มีใครจะมีอำนาจไปลบได้ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว เป็นเรื่องของเจ้าของจะทำขึ้นมาเอง กรรมจะค่อยหมดไปลบล้างกันไปในตัวด้วยอำนาจแห่งกรรมหมดไปทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เพราะโลกวัฏจักรนี้เป็นโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ติดแนบตลอด ถึงจะอายุยืนนานตกนรกสักกี่กัปกี่กัลป์ มันก็สิ้นกัปสั้นกัลป์ได้ กรรมมันเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า ๆ อย่างหนึ่งก็เปลี่ยนแปลงเร็ว กรรมอย่างที่เรามองเห็นนี้ มันก็เปลี่ยนแปลงของมันไปอย่างนี้ บางอย่างเปลี่ยนแปลงช้าเหมือนว่าไม่เปลี่ยนแปลง มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ในธรรมชาติของมัน ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ก็มีทางพ้นขึ้นมาได้ ไปสวรรค์ พรหมโลกนี้ก็มีทางลงมาได้ เว้นแต่สุทธาวาส ๕ ชั้น

คือสุทธาวาส ๕ ชั้น เรียกว่า อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ๕ ชั้นนี้เป็นชั้นของพวกที่สำเร็จพระอนาคามี เป็นพระอนาคามีแล้วจะก้าวเข้าสู่ ๕ ชั้นนี้ เบื้องต้นก็ขึ้นอวิหาก่อน เพราะสอบได้ลำดับ กามราคะนี้ตัวรุนแรงมากให้พากันจำนะ อย่าเป็นบ้ากันจนเกินเหตุเกินผลลืมเนื้อลืมตัว ไม่นุ่งซิ่นนุ่งผ้า ปะหำปะหีไปเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะกิเลสพอกพูนปิดตามันไม่ให้มียางอาย แดนมนุษย์เหมือนไม่มีมีแต่แดนหมาเข้าใจไหม เต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ แดนหมากำลังขึ้นครองชาวพุทธในเมืองไทยเรา แดนหมา มันจะไม่รู้จักนุ่งซิ่นนุ่งผ้า นุ่งก็อย่างนั้นแหละวับ ๆ แวม ๆ เปิดหีเปิดก้นเปิดหำเปิดควยกันดู เอากิเลสตัวนี้มาอวดกัน มันสกปรกขนาดไหนมาอวดอย่างหน้าด้านเห็นไหม กิเลสมันหน้าด้านขนาดไหน มันอายเมื่อไร

โลกมีศีลมีธรรมโลกมนุษย์เขามีที่สูงที่ต่ำมีที่ลับที่แจ้ง อันนี้มันไม่มี เวลานี้ยังมีวับ ๆ แวม ๆ นะ ต่อไปนี้เปิดหีเปิดหำใส่กันเลยยิ่งกว่าหมานั่น นี่เวลามันหน้าด้านขึ้นมา ตัวนี้แหละตัวทำความชั่วช้าลามกได้อย่างถึงใจ ๆ คือตัวนี้เป็นต้นเหตุสำคัญ โลภเพราะอันนี้ ความโกรธเพราะอันนี้ ตัวนี้เป็นสำคัญ พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปอันนี้มันดีดผึงของมัน คือผู้สำเร็จพระอนาคามีนี่ตามขั้นแห่งอุปนิสัยนะ ขิปปาภิญญาสำเร็จทีเดียวผึงหมดเลยก็มี อนาคาขาดสะบั้นไปเลย นี่เรียกขิปปาภิญญา ผู้บรรลุธรรมรวดเร็ว ผู้ไม่รวดเร็วก้าวเป็นขั้น ๆ ไป ๕ ขั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา จากนั้นแล้วก็นิพพาน ผู้นี้ไม่กลับ ถึงไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงเพื่อจะพุ่งข้างหน้า ไม่ใช่ไม่เที่ยงเพื่อจะถอยลง

คำว่า อนิจฺจํ มีด้วยกันเพราะอยู่ในโลกสมมุติ แต่นี้เปลี่ยนไปในทางดีแล้วเป็นอัตโนมัติ ขั้นอนาคามีนี้เป็นขั้นอัตโนมัติของจิตขั้นนี้ ให้คืนไม่มี เป็นแต่เพียงว่าค่อยก้าวไปตามนิสัยของตัวเอง ผู้ที่เร็วก็ผึงเดียวทะลุเลยก็มี เช่นอย่างผู้สำเร็จพระอรหันต์ไม่ใช่ไม่ผ่านพระอนาคามี ผ่านทั้งนั้นแต่ผึงเลย ไม่รอ ผึงทีเดียว ผู้ที่รอเป็นระยะ ๆ ไปอย่างนั้นก็มี ท่านจึงแสดงไว้ทุกแบบทุกฉบับให้เราเห็น นี่สด ๆ ร้อน ๆ แสดงไว้ผิดไปไหนฟังซิ ผู้นี้แหละผู้ที่จะก้าว ตัวนี้เป็นตัวที่ดึงดูดมากที่สุด ไม่มีอะไรดึงดูดมากที่สุด ทำความทุกข์ให้แก่สัตวโลกมากยิ่งกว่ากามราคะ โลกหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ สู้ไม่ได้

ไปถึงบ้านถึงเรือนไปเที่ยวดูนะ บ้านใครเรือนใครเลี้ยงหมาไว้กี่ตัวมันไปไหนหมด กูไปวัดครู่เดียวสูไปไหนหมด เขาสงสัยว่าเรามาวัด เราไปเถลไถลไปหาเรียนวิชามาแข่งหมานั่นซิ เขากลัวเขารีบหนีก่อน เจ้าของยังไม่ถึงบ้านเขาเผ่นออกจากบ้านไปหมดแล้ว นายของเราคือเจ้าของเราไปเรียนวิชาท่าไหนมานะ เราก็ว่าเราเก่งกล้าสามารถ อยู่ในนี้เขาเป็นคนกันทั้งบ้านทั้งเมือง เราเป็นหมาตัวเดียวสู้เขาได้เลย ลบล้างไม่ได้เราคือหมา พวกนั้นมนุษย์ลบหมาไม่ได้ นี่เราก็เรียนวิชาหมาเต็มตัวมาแล้ว พวกนี้ยังจะเรียนวิชาอะไรมาเหยียบเราอีกนะ

ได้ยินเมื่อเช้านี้เขากระซิบกันวิบ ๆ แว็บ ๆ ว่าเขาจะไปวัดหรือเขาจะไปไหนก็ไม่แน่ พวกกลมายาร้อยสันพันคมไม่เกินมนุษย์นะ มนุษย์นี้ว่าไปวัดหรือมันขโมยไปเรียนวิชาหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ฟาดขึ้นเดือน ๑๓ ก็ได้นะ เราระวังเดือน ๑๓ ให้ดีนะ พอเจ้าของมาวัดเขาก็รีบเผ่นหนีจากบ้านไปเลย กลับไปไม่เห็นหมาสักตัว จนกระทั่งไปเรียกหาหมามากินข้าวอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ต้องลอบ ๆ มอง ๆ ทั้งจะวิ่งทั้งจะเผ่น ทั้งหิวข้าวจะมาดูจะมากินข้าวเจ้าของ กลัวเจ้าของจะยัดวิชาอาจารย์หมาเข้ามาให้เขาล่ะซี จะมาประหารเขาอีก วิชาคนเก่งกว่าวิชาหมา หมาเดือน ๙ สู้ไม่ได้

นี่เห็นไหม นี่มันกำลังกำเริบเสิบสาน เอามาเป็นข้อพิสูจน์ให้พินิจพิจารณา ยกท่านเป็นภาพพจน์ขึ้นมา เป็นเรื่องเป็นราวธรรมดาเป็นภาพพจน์ขึ้นมา ให้พิจารณาเทียบเคียงกับหัวใจเรา ใจเรามันไหวไหม มันหวั่นไหม หวั่นไปทางไหนถามอีกทีหนึ่งนะ มันหวั่นไปทางจะเก่งกว่านี้อีกหรือจะหวั่นลดตัวลงไป เรื่องวิชาหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ เอาแต่เพียงเดือน ๘ ก็เอาละ ถอยลงมาเดือน ๗ ก็เอาละ ให้มันถอยลงมาบ้าง

มันคืบหน้านะเวลานี้วิชาหมาเดือน ๙ มันอายเมื่อไร เข้าในวัดในวามันนุ่งซิ่นนุ่งผ้าปะหีปะหำมาแล้วนะ ผู้หญิงนี่ตัวสำคัญมาก นุ่งนี้ โถ ดูไม่ได้นะ เขาคิดว่าเขาโก้เต็มตัวนะ เขาไม่ได้คิดว่าธรรมเป็นยังไง ดูสัตว์นรกเข้ามาในเขตวัด สัตว์นรกอเวจี สัตว์หน้าด้าน สัตว์ไม่มียางอายก้าวเข้ามาในวัด เขานึกว่าในวัดนี้จะเป็นหมาเหมือนเขาหมด หรือเป็นลูกศิษย์หมาของเขาอีก เขาเป็นหมา นี้เป็นลูกศิษย์หมาอีก เขาไม่รู้ว่านี้คืออะไร นี่คือธรรมครองโลก ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว อันไหนที่น่าสยดสยองก็นำมาเตือน อย่างที่ธรรมเตือนอยู่เวลานี้ เป็นของหยาบเมื่อไรพี่น้องทั้งหลายฟังซิ เตือนชำระสะสางเรื่องเป็นภัยมหาภัยต่อเราออกจากหัวใจ กายวาจากิริยามารยาทที่แสดงออก ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นฟืนเป็นไฟจากราคะตัณหา ท่านกำลังชะกำลังล้างรู้ไหมเวลานี้น่ะ ให้พากันพิจารณาเอาซิ

ตัวนี้ตัวร้ายกาจมาก ขึ้นเวทีถึงรู้กัน เอามาพูดเฉย ๆ มันไม่แน่ใจไม่แม่นยำ เอาขึ้นจากเวที พูดให้มันจัง ๆ เลย ออกมาบวชทีแรก เรียนหนังสืออยู่ก็เรียน ไปเห็นผู้หญิงสวย ๆ งาม ๆ พูดกันอย่างนี้ละเอาความจริงออกมาพูดเพื่อจะแก้ให้มันเห็นของจริงซิ ครั้นไปก็ธรรมดานะ น่ารักก็บอกว่าน่ารัก อู๊ย ผู้หญิงคนนี้สวย มันก็ว่าของมัน เป็นอยู่ในธรรมชาติของจิตนะ ใครเป็นเหมือนกันทุกคนไม่ว่าหญิงว่าชาย หญิงก็ต้องเห็นชายว่าสวยว่างาม ขี้ริ้วขี้เหร่มันเห็น ผู้ชายก็เห็นผู้หญิงว่าสวยว่างามเหมือนกัน กิเลสตัวนี้จับหัวมัดใส่กันเลย ให้เสมอกันหมดในเรื่องอย่างนี้ไม่มีใครยิ่งหย่อน จะเป็นไปตามจริตนิสัยของคนที่ว่ามีกิเลสหนาบางต่างกัน แต่ละอันนี้เป็นหลัก มีด้วยกัน

ทีนี้เราเรียนวิชาเวลาเจ้าของมาวัดนี้ หมาดีดดิ้นนะมันจะหาทางออก ให้พากันไประวังนะไปบ้าน ไปละไปแก้ซิ่นให้เขาดู อู๊ย นี่กูมีแล้ว ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่ของสู เอามาอวดกูยังไง ทั้งวิ่งทั้งเผ่นมันกลัว ทั้ง ๆ ที่ทำท่ากล้าใส่เรา กูเรียนมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายของกู ปู่ย่าตายายของกูไม่เคยนุ่งซิ่นนุ่งผ้า สูนุ่งมาอวดกูทำไม ทั้ง ๆ ที่จะเผ่น กลัว หากทำท่าขู่เอาไว้ไม่งั้นมนุษย์จะกลืนเอาหมด เพราะหิริโอตตัปปะไม่มีในใจ มันหน้าด้าน นี่ละวิชานี้กำลังขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง

เวลานี้ไปที่ไหนมีแต่เอาของสกปรกห่อส้วมห่อถานห่อมูตรห่อคูถ ในตับในปอดของแต่ละคนเต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถ นี้ห่ออันนั้นไว้ เอาอันนี้ออกมาประดับร้านหลอกกัน อู๊ย สวยนะงามนะ งามหีพ่อหีแม่มันอะไรเราอยากว่าอย่างนั้นนะ กูดูมึงมีแต่ตับแต่ปอด มีแต่ขี้แต่มูตรแต่คูถเต็ม เอาอะไรมาสวยงาม มาอวดกูทำไม สูไปอวดแต่พวกสูตาอย่างเดียวกัน ตาธรรมไม่ใช่ตาอย่างนั้นนะ ถ้าธรรมพูดก็พูดอย่างนี้ สูไปนะไม่งั้นสูคอขาดนะบอกเลย สูอย่าเก่งกว่าไอ้ศรีจันทร์นะ ไอ้ศรีจันทร์คอขาดเลือดทะลัก อันนี้มันจะขี้ทะลักด้วย เลือดก็ออกทางหน้า ทางก้นก็ขี้ทะลักออกด้วย เก่งกว่าไอ้ศรีจันทร์

นี่ละตัวราคะตัวหน้าด้าน ให้พากันพิจารณาให้ดีนะลูกหลาน อย่ามาเป็นบ้าในวัดนี้ไม่ได้นะ เราทุเรศ ทนแสนทน เวลาออกก็ออกอย่างนี้ เวลาไม่ออกก็เหมือนไม่มี เวลานี้สอนพี่น้องทั้งหลายได้พิจารณาให้ถึงใจ เรื่องกิเลสสด ๆ ร้อน ๆ ทำความทุกข์ให้สัตวโลกสด ๆ ร้อน ๆ อย่างเดียวกัน ธรรมแก้อย่างสด ๆ ร้อน ๆ พ้นไปจากสิ่งเหล่านี้สด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงเอามาแก้กัน ไม่มีธรรมแก้ไม่มีอะไรแก้ตกนะโลกอันนี้ มันจะเป็นพวกหมาหน้าด้าน อาจารย์ของหมาไปหมดแล้ว ไม่มียางอาย โอ๊ย น่าทุเรศนะ โอ่อ่าฟู่ฟ่ามองโน้นมองนี้ แต่งเนื้อแต่งตัวมาห่อขี้มานั่น เห็นไหมเขาเรียกหนังกำพร้าบาง ๆ นี่ แล้วถลกมันออกซิ ถลกออกไปแล้วเป็นยังไง ดูตั้งแต่นี้เข้าไปหมดทั้งตับทั้งปอด คนทั้งคน สัตว์ทั้งตัวเป็นยังไงน่าดูไหม พิจารณาซิ

หนังกำพร้าที่ห่อ ๆ ที่ถลกออกไปคนตายแล้ว แล้วมากำได้เท่ากำปั้นนี่คนหนึ่งอย่างมากนะ นอกนั้นเป็นแต่กองอสุภะอสุภังทำไมไม่ดูเพราะมันอยู่ด้วยกัน มาดูอะไรประสาหนังกำพร้ามันสวยอะไรดูซิน่ะ อันนั้นทำไมไม่ดูความหมายว่างั้น ธรรมท่านดูอย่างนั้น ท่านไม่ได้ดูแบบให้กิเลสกลืนตับกลืนปอดไปเรื่อย ท่านดูกลืนตับกลืนปอดกิเลส สังหารกิเลสไปพร้อมด้วยความรู้แจ้งแห่งธรรมทั้งหลาย ท่านเป็นอย่างนั้น ให้พากันพิจารณานะ

มันพิลึกจริง ๆ นะเวลานี้ เมืองไทยของเราเป็นเมืองพุทธ มันเป็นเมืองหมามาแล้วนานเท่าไร มันยิ่งกำเริบเรียนวิชาหมาเสริมกันขึ้นมา โอ๋ย แต่งตัวฟู่ฟ่า ๆ เทวดาชั้นไหนสู้ไม่ได้การแต่งตัว แต่ความเลวของจิตใจนั้นไม่มีอะไรสู้ได้ในแดนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกามราคะ หาความละอายบาปไม่ได้นะ ไปที่ไหนน่าทุเรศสงสารจริง ๆ เขานึกว่าใครก็เป็นเหมือนเขา ที่เลิศกว่านี้จะเป็นยังไง จะมาเป็นกองมูตรกองคูถเหรอ สิ่งที่เลิศต้องเป็นเลิศซิ กองมูตรกองคูถต้องเป็นกองมูตรกองคูถ จะมามัดคอใส่กันไม่ได้นะ ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลส สมมุติเป็นสมมุติ ต้องดูกันชัดเจน ไม่งั้นธรรมพระพุทธเจ้าออกโลกไม่ได้ ไม่เหนือโลกสอนโลกไม่ได้นะ

นี่เราพูดถึงเรื่องขั้นพระอนาคามี ขั้นนี้ขั้นที่ประกาศป้างขึ้นในเวทีคือหัวใจ ตัวนี้ตัวสำคัญมากทีเดียว โถ กว่าจะแก้มันได้มันของเล่นเมื่อไร ฟัดเหวี่ยงกันเสียจนจะเป็นจะตาย แต่ที่ว่าเป็นอัตโนมัติเราไม่อยากพูด เพราะฉะนั้นจึงพูดไว้ตามลำดับความเป็นจริงบนเวที ขั้นนี้เป็นขั้นชุลมุน ไม่ทราบว่าเป็นอัตโนมัติไม่เป็นอัตโนมัติมันลืมไปหมด ขั้นชุลมุนวุ่นวาย ซัดกันไม่มีคำว่าถอย ซัดกัน ๆ พอออกจากนี้ไปแล้วก็เป็นขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ พอหายใจได้บ้าง ทีนี้ฝึกซ้อม พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจเท่านั้นก็เป็นขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ถ้าเป็นขั้นอนาคามีธรรมดาเรานี้ก็ค่อยเลื่อนขั้นไปเรื่อย ๆ พอขั้นนี้ขาดลงไปแล้วเรียกว่าสอบได้แล้ว ๕๐%

๕๐% เขาถือว่าเป็นคะแนนที่ได้ จากนั้นก็ขยับฝึกซ้อมกันไปด้วยเอานิมิตภาพต่าง ๆ ที่เคยหลอกเรามาแต่ก่อน โดยที่ใจนี้ออกไปหลอกตัวเอง แล้วก็ถืออันนั้นว่าเป็นตนเป็นตัวกลับมาหลอกตัวเองอีกทีหนึ่งนะ แล้วซัดกันไปซัดกันมาสุดท้ายอันนั้นกับอันนี้ก็มาเข้ากลมกลืนเป็นอันเดียว ก็รู้ว่านี้เป็นตัวโทษก็สลัดปึ๋งเลยทันที จากนั้นก็ฝึกซ้อม เอาอันนั้นมาเป็นภาพฝึกซ้อม ๆ ให้คล่องแคล่วเข้าไป กลืนเข้ามา ๆ พับดับไป กลืนเข้ามาดับไป ๆ จากนั้นก็แพล็บ ๆ เป็นเหมือนแสงหิ่งห้อย นี่คือความชำนาญของธรรมขั้นนี้ ขั้นอนาคา นี่ท่านฝึก

ตัวใหญ่มันตายไปแล้ว แต่ที่มันมอม ๆ แมม ๆ เป็นเศร้าเป็นหมองที่ยังไม่เสร็จสิ้นลงไปได้นั้น ท่านชำระอันนี้โดยอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ นี้เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติได้เต็มตัว เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง แต่ขั้นกามราคะที่จะตัดจะขาดกันนั้นไม่ใช่ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นขั้นชุลมุนเลย จะเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติไม่ได้ บนเวทีเป็นอย่างนั้น มันจะไม่คำนึงนะ คือมันหมุนตลอดของมัน หมุนที่จะเอาให้อย่างแหลก ๆ กัน พอผ่านอันนี้ไปแล้วก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ค่อยก้าวไป ๆ ฝึกซ้อมไป ที่ละเอียดไป ๆ นิมิตที่ปรากฏขึ้นมาก็เข้าในใจ ๆ ทีนี้มันก็เอาตัวเองฝึกตัวเอง เอาเรื่องของตัวเองมาเป็นหินลับปัญญาของตัวเองฝึกซ้อมไปเรื่อย ๆ อันนั้นก็ค่อยเบาไป ๆ เกิดขึ้นมาพับ กลืนเข้าไปดับพร้อม ๆ จากนั้นนิมิตอันนี้มันก็หมด

เมื่อฝึกซ้อมไป นิมิตนี้เมื่อหมดก็เข้าถึงขั้นว่าง ๆ ไม่บอกก็ว่างเองรู้อยู่ในใจ นิมิตพาไม่ให้มันว่างนะ พอนิมิตหมดไปแล้วมันก็ว่างหมด เพราะใจหลอกตัวเอง ใจหมดเรื่องหมดราวหรือไม่หลอกตัวเองเท่านั้นอะไรก็ไม่มีเรื่อง มีเรื่องอยู่กับใจเท่านั้นนะ นี่ก็เลื่อนขั้นไป ๆ ถึงอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี นี่ละเอียดเข้าไปก็เป็นขั้น ๆ สมมุติว่าตายจากธาตุขันธ์ปั๊บเข้าอยู่นี้แล้ว เช่น เข้าอวิหา ครั้นละไป ๆ ธาตุขันธ์แตกเสียตายเสีย ข้ามขั้นนี้ไม่ถึงนั้นเข้าอันนี้ แต่เป็นอัตโนมัติของมันอีกนะ จิตขันธ์นี้เป็นอัตโนมัติของผู้มีชีวิตอยู่นี้เร่งความเพียร เร่งความเพียรนี้ไปได้เร็ว อันนี้อัตโนมัติที่ตายไปแล้วอันนี้กับจิตอันนี้เป็นจิตอัตโนมัติ แต่ไปตามหลักธรรมชาติของตัวเองไม่มีใครไปเร่ง อันนี้ช้าแต่ไป ให้ถอยไม่ถอย เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว เพราะเกี่ยวกับไม่มีผู้เร่งเท่านั้นเอง

ถ้ามีผู้เร่งก็เร็ว ผู้เร่งคือยังมีชีวิตอยู่เราเร่งความเพียรตลอดไป มันก็เร็วขึ้น ๆ พอชีวิตหาไม่แล้วการเร่งนี้ก็ไม่มี เป็นอัตโนมัติของจิตเองค่อยไป ๆ พุ่งเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าช้าหรือเร็ว นี่เป็นขั้น ๆ เป็นพระอนาคามีธรรมดาทั่ว ๆ ไปไม่ใช่พระอนาคามีประเภทขิปปาภิญญาซึ่งบรรลุธรรมผึงเดียวถึงเลย อันนั้นมีน้อย อันนี้จะมีจำนวนมาก อันนี้ขาดลงไปแล้วอะไรมาเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายส่ายแส่ เป็นหอกเป็นหลาวเป็นแหลมเป็นอะไร เป็นฟืนเป็นไฟ มีแต่อันนี้แหละตัวสำคัญ ๆ ออกหน้า ๆ พอตัวนี้พังลงไปแล้วไม่มีอะไร จิตนี้หมุนตัวขึ้นเรื่อย ให้ลงไม่มี มีแต่หมุนตัวไปเรื่อย เหมือนสำลีอ่อนนิ่มเบาหวิว ๆ ขึ้นเรื่อย

ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความเร่งของเจ้าของเอง มันจะหมุนของมันไปเรื่อย จนกระทั่งถึงขีดแล้วดีดผึงทีเดียว ธรรมธาตุคืออะไรไม่ต้องถาม พระพุทธเจ้าคือองค์ไหนไม่ต้องถาม นี่ละถึงขั้นที่พอตัวแล้วถามกันหาอะไร ก็น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันดังที่พูดแล้ว นี้ก็ธรรมธาตุอันเดียวกันถามกันหาอะไรเท่านั้นพอ นี่ละที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคตเต็มองค์ คือเห็นอันนี้เอง เริ่มไปตั้งแต่สมาธิปัญญาเรื่อย ๆ ไป เห็นพระพุทธเจ้าไปเรื่อย ๆ ใกล้เข้าไป ๆ พอถึงธรรมธาตุแล้วผึงเต็มตัว เป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด เทียบกับว่าเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด

นี่ละธรรมก็สด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนี้จะว่ายังไง กิเลสมันก็สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี้ มันราวีสัตว์ทั้งหลายหาความสุขไม่ได้เลยนะ เราอย่าเอาเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัว ตึกรามบ้านช่อง เงินทองข้าวของ สมบัติบริวารมาอวดนะ กิเลสมันไม่ได้อยู่นั่นนะ มันอยู่นี่อยู่ที่หัวใจบีบอยู่ที่หัวใจ อันนั้นมาหลอกโลก เขามีอันนั้นเขามีอันนี้ ตัวไฟเผาหัวใจอยู่นี้ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยเต็มอยู่ในหัวใจ ดูตรงนี้ซิธรรม ถ้าดูตรงนี้แล้วไม่ต้องถามใครยอมพระพุทธเจ้าเอง นี่ละธรรมสด ๆ ร้อน ๆ บาปสด ๆ ร้อน ๆ บุญสด ๆ ร้อน ๆ นรกสด ๆ ร้อน ๆ สวรรค์พรหมโลกนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ เปรตผีประเภทต่าง ๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรเต็มไตรโลกธาตุสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกันหมด มีมานี้ดั้งเดิม ถ่ายเทกันไปอย่างนี้ เหมือนคนเข้าคุกออกคุกกัน

พวกสัตว์เหล่านี้ลงนรกเป็นเปรตเป็นผีเปลี่ยนกันไป ตามอำนาจแห่งกรรมของตัวสิ้นไปแล้ว พวกนี้สร้างกรรมอันนี้เข้าไปแทนที่ ๆ เข้าออก ๆ สวนทางกันตลอดเวลาเต็ม นี่สด ๆ ร้อน ๆ นี่นะ มันมีมาแต่เมื่อวานหรือถึงพากันเป็นบ้าเอานักหนา พิจารณาซิ

นี้จวนจะตายแล้วนะ บอกแล้ว ๆ ถอดออกมาจากหัวใจเสียด้วยนะมาสอนทุกวัน ไม่เอาจากอื่นจากใด ถอดออกมาจากหัวใจไม่มีคำว่าสงสัย แม่นยำตลอดเลย อย่างที่ว่านรกอเวจีสวรรค์นิพพานจ้าอยู่ในนี้แล้วถามหาทำไมพระพุทธเจ้า พูดแล้วสาธุว่าอย่างนั้นเลย พระพุทธเจ้าก็สอนอันนี้ ให้รู้อันนี้ ก็เมื่อปฏิบัติตามคือก้าวเดินตาม ไปรู้อันนี้เห็นอันนี้แล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ก็เท่านั้นเอง ให้พากันจำเอานะ โห ยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายเสียแหลกเหลวไปหมด จนไม่มีวี่มีแววนะธรรมในชาวพุทธเราเวลานี้ มีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันทั่วดินแดน ไม่ได้คำนึงถึงบาปถึงบุญ มีตั้งแต่จะเอาให้ได้อย่างใจ ๆ นั้นละคือไฟเผาหัวใจมัน ต่างคนต่างเผาหัวใจอยู่ตลอดเวลาแล้วเอาความสุขมาจากไหน

ไปครองอยู่บนสวรรค์ สวรรค์แตก ถ้าให้พวกเทวทัตนี้ไปครอง สวรรค์ชั้นไหนแตกหมด พวกนี้ไม่ใช่พวกจะสร้างคุณงามความดีให้โลกมีความสุขความเย็นใจ มีแต่ไฟบรรลัยกัลป์เผาตลอด ขึ้นไปครองอยู่ในสวรรค์ชั้นใดสวรรค์แตกทุกชั้น ถึงพรหมโลก พรหมโลกแตก เราสงสัยว่าถึงนิพพาน ๆ จะแตกหรือไม่เท่านั้นเอง เพราะอันนี้มันรุนแรงมาก ที่ว่านิพพานไม่แตกคือว่าอันนี้เป็นสมมุติ นิพพานไม่ใช่สมมุติจะแตกไปไม่ได้ ตอบกันเท่านั้นเอง นอกนั้นแตกได้ พิจารณาซิ รุนแรงไหมกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลก เรายังกล้าหาญต่อการทำชั่วช้าลามกเพื่อไปอวดพระพุทธเจ้าอยู่เหรอ พระพุทธเจ้าเห็นมาแล้วจึงมาสอนพวกเรา เราเอาอะไรไปอวดท่าน

ตาบอดไม่มีใครบอดเกินเรา ถ้าเรามีสิบตาบอดหมดเข้าใจไหม พระพุทธเจ้ามีเพียงตาเดียวก็ โลกวิทู รู้แจ้งโลกหมดแล้วไปหาตาไหนมาเพิ่มอีกวะ ไอ้พวกเรามีร้อยตามาเพิ่มเมื่อไรก็ตาบอดด้วยกัน ๆ อวดพระพุทธเจ้าทำไมพิจารณาซิ พิจารณาให้ดีนะ สด ๆ ร้อน ๆ นี่นะ อย่าเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของครึของล้าสมัยตามกิเลสหลอก มันจะหลอกไปอีก ถ้าเชื่อมันอีกหลอกไปอีกจมอีกนะ พากันเข้าใจ

เป็นยังไงฟังเทศน์ (ถึงใจเจ้าค่ะ)ก็อย่างนั้นซิที่พูดนี้ ไต่ไปตามดูมันก็รู้เข้าใจไหมล่ะ ถอดออกมาจากนี้มันก็แบบเดียวกันสงสัยอะไร แต่เรื่องนิสัยวาสนากว้างแคบของความรู้ธรรมต่าง ๆ นี้ต่างกันยอมรับนะ บริสุทธิ์นั่นบริสุทธิ์ แต่กิ่งก้านเหมือนอย่างต้นไม้ต้นนี้ ต้นตะเคียนเหมือนกันนะ ต้นนี้มีกิ่งก้านสาขาดอกใบอย่างนี้ ต้นนี้แม้แต่ต้นตะเคียนด้วยกันแต่กิ่งก้านสาขาดอกใบมันต่างกันไม่เหมือนกัน เหมือนกันแต่คำว่าต้นไม้ตะเคียน แต่กิ่งก้านของไม้ตะเคียนไม่เหมือนกัน นี้รากเหง้าของมันจริง ๆ คือความบริสุทธิ์เหมือนต้นตะเคียนใช่ไหม กิ่งก้านดอกใบที่แตกออกไปตามนิสัยวาสนาของใครที่ได้สร้างมาน้อยนั้น จะแตกกระจายออกไป มีลึกตื้นหยาบละเอียดกว้างแคบต่างกัน เข้าใจไหมล่ะ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตั้งเอตทัคคะ เลิศคนละทาง ๆ นี่ละนิสัยเครื่องประดับวาสนาที่ได้ทำความปรารถนามาตั้งแต่ต้นนะ ตั้งแต่ต้นที่ขอให้ถึงวิมุตติหลุดพ้นพระนิพพาน แต่ขอให้มีอย่างนั้น ขอให้ได้อย่างนั้น ขอให้มีความรู้ชาอย่างนั้น ๆ นี้เป็นเครื่องประดับ เป็นของเศษของเลยจากความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเวลาบริสุทธิ์แล้วกิริยาอาการความรู้ความฉลาดจึงแปลกต่างกัน นี่ละเป็นเครื่องประดับวาสนาบารมีเข้าใจไหม ความที่บริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน แต่เครื่องประดับวาสนาบารมีคือกิ่งก้านของไม้ตะเคียนเข้าใจไหม มันต่างกันอย่างนั้น

สรุปทองคำ ดอลลาร์วันที่ ๑๘ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๔๐ สตางค์ดอลลาร์ได้ ๑๒ ดอลล์ ได้มากได้น้อยไม่ว่าให้ก้าวเรื่อยไปอย่างนี้ ก้าวไม่ถอย มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดาเหมือนเราเดินทาง ที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็ไปได้ช้า ที่ราบเรียบก็เร่ง แล้วเราต่างคนต่างก้าวไปเรื่อย ๆ นะ อย่าอ่อนข้อ ให้ก้าวเรื่อย ๆ

นี่บัญชีธนาคารต่าง ๆ ก็ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วประเทศไทยตลอดมานะ เราประกาศที่นี่ออกทั่วประเทศไทย เพื่อพี่น้องทั้งหลายซึ่งผู้เป็นผู้รับผิดชอบในชาติของตน จะได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวตลอดไป เวลานี้ธนาคารต่าง ๆ มีทั้งทางกรุงเทพฯ มีทั้งทางอุดร กสิกรไทยก็มี ไทยพาณิชย์ก็มี กรุงเทพจำกัดก็มี ท่านผู้ใดที่จะโอนเงินเข้าไปธนาคารใดก็ได้ที่เหล่านี้นะ เพื่อเข้าสู่คลังหลวงของเรา ให้โอนได้ตลอดไปมี ๓ สตางค์เอามาสตางค์หนึ่งไม่เป็นไร สตางค์หนึ่งให้ลูกขึ้นเลยทันที ๒ สตางค์ให้แม่เสีย สตางค์หนึ่งเอาออกมาเข้าคลังหลวง เงิน ๓ สตางค์เข้าใจไหม คือให้ลูก ๑ สตางค์ พ่อมันดูเหมือนยศใหญ่อยู่นะ ผู้ชายนี่มันเก่งไม่ให้หัวมันละพ่อมัน ให้แม่มัน ๑ สตางค์ พ่อมันนั้นไม่อดเดี๋ยวมันจะวิ่งไปหาอีหนู ระวังให้ดีนะพ่อมันเก่ง ๓ สตางค์ให้แบ่งมาคลังหลวง ๑ สตางค์ ให้เอาไว้ครอบครัวเสีย ๒ สตางค์ เข้าใจไหม ลูกกับพ่อกับแม่มันอยู่ด้วยกันแหละ ให้ส่งมาตามธนาคารที่ว่านี้

หนุนไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอย เวลานี้เป็นเวลาที่เราจะก้าวเข้าสู่ความแน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเรา โดยมีผู้นำเป็นผู้เหมาะสมแล้วทั่วประเทศไทย พูดได้อย่างเต็มปาก เอา ใครว่าหลวงตาบัวพูดผิดเอาตัดคอหลวงตาบัว แต่ความผิดจะไม่พลาดไปเลยไม่มี พี่น้องทั้งหลายก็มีความเห็นอันเดียวกัน คนดีรู้ว่าดี คนชั่วรู้ว่าชั่วนี่นะ ทำไมจะปฏิเสธลบล้างความดีให้เป็นชั่ว ความชั่วให้เป็นดีไปได้ เป็นไปไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลย เอา หนุนเข้า หลวงตาบัวจะพาตัดคอรองทั้งชาติทั้งศาสนาไปด้วยกันกับพี่น้องชาวไทยเรา ยกชาติไทยและศาสนาของชาติไทยขึ้นสู่ความเจริญรุ่งเรือง ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีจากความรักชาติของเรา

กระต่ายมันไม่ตายแล้วหรือ อยู่ในครัวลูกกระต่ายน่ะ (ยังไม่ตายเจ้าค่ะ) เมื่อวานซืนเขาว่าตัวหนึ่งมันจะเป็นจะตาย ตอนเย็นเมื่อวานนี้เราเลยเข้าไป เขาบอกว่าดีแล้ว ไหนดู นู่น เขาบอกว่ามันจะตาย เรายังเข้าใจว่าเป็นคอกนี้ไม่ใช่คอกนู้น เวลาถามมาไหนเอามาดู มันอยู่คอกนู้น เราขี้เกียจไปเราเลยไม่ไป อย่างนั้นละความจำไม่เป็นท่า หลงหน้าหลงหลัง ก็มีคนรักษากระต่ายดี

เดี๋ยวนี้มันเอากุฏิเราเอาทางจงกรมเราเป็นที่อยู่นะกระต่าย ๓ ตัว ๔ ตัวเมื่อเช้านี้ก็นอนอยู่นั่น เราไปเดินจงกรมมันนอนอยู่นี่แล้ว มึงมาอะไรนี่ เฉย มันเป็นอย่างนั้นนะ มันติดเราแล้วนั่นจะทำยังไง ไล่มันหนีเหมือนโยนข้าวต้มขนมให้มันนะ ปาก้อนกรวดใส่เปรี้ยง มึงมาอะไรนี่ไป ปาขู่ให้มันวิ่งหนี ปาขู่ไป วิ่งหาเก็บกินมันนึกว่าขนม มันไม่รู้จักกลัวเลยนะ ไม่สนใจ แล้วปานี้ไปอีกหาเอาอีก ๆ โอ๋ย ไม่ไหวแล้วเราเลยหนีเดินจงกรม เขาก็อยู่ของเขา ไม่รู้จักจริง ๆ นะ กับคำว่าเราไล่ คือทางข้างในปรนปรือมัน เป็นเสี่ยวมันหมดสนิทแล้วมันจะมาเป็นเสี่ยวเราอีก เราปัดออกไม่ให้มันเป็นเสี่ยวเรา

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก