เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ท้าวมหาพรหมมี ๔ หน้า
(พรุ่งนี้หลวงตาไปวัดหนองผือนาใน แล้วค้างคืนหนึ่ง) เอ๊ เหตุผลกลไกอะไรก็ไม่รู้นะ แต่เราเชื่อที่ว่าเรารับแล้ว ถึงจำเหตุผลกลไกอะไรๆ ไม่ได้ก็ตาม ถ้าว่าเรารับแล้วก็เชื่อตรงนั้น คือไม่ได้ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะ พิจารณาเรียบร้อยแล้วลงปั๊บ ทีนี้จำได้ไม่ได้ก็ตามลงจุดนี้แน่นอนตายตัว คือรับก็ดีไม่รับก็ดีเรามีเหตุผลทุกอย่าง เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ เราเชื่อในคำว่ารับหรือไม่รับ ไม่รับก็มีเหตุผลอย่างหนึ่ง ถ้ารับก็มีเหตุผลอย่างหนึ่ง นี่วัดหนองผือว่ารับแล้วเราก็เชื่อ จำไม่ได้ก็ตาม เชื่อ ดูว่าจะค้างคืนเหรอ (เจ้าค่ะ) อย่างว่านี่ละที่ว่าค้างคืนหนึ่ง ไม่ได้วินิจฉัยอะไรมาก ลงเลยสำเร็จรูปแล้วว่าค้างคืน ลงใจแล้วว่าค้างคืนก็บอกว่าค้างคืน มีเหตุผลลงในนั้นหมดแล้ว ถ้าว่าไม่ค้างก็มีเหตุผลแล้ว เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ
พี่น้องชาวหนองผือเรามีคุณ เราไม่ได้ลืมบุญลืมคุณนะ ท่านเหล่านี้ละบ้านหนองผือ มีคุณมากต่อพระทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งคือวงกรรมฐาน นั้นเป็นจุดใหญ่ คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านพักอยู่ที่นั่นหลายปี พระหลั่งไหลเข้าไปๆ หนองผือจึงเป็นจุดสำคัญ สำคัญอยู่นะ เลี้ยงพระได้หมด นี่ละเราเห็นคุณตรงนั้นนะ ไม่มีตลาดตเลพอจะไปหาจับจ่าย ซื้อนั้นซื้อนี้มาเลี้ยงพระ ขวนขวายหาด้วยกำลังตัวเองมา มีอะไรๆ ก็ขวนขวายเต็มกำลังมาเลี้ยงพระ เป็นจุดสำคัญอยู่ พระหลั่งไหลเข้าๆ ตลอด นี่ละบ้านหนองผือมีคุณมากต่อพระทั้งหลาย วงกรรมฐาน เพราะฉะนั้นเราจึงได้ย้อนกลับมาจำพรรษาที่หนองผืออีก
ปีพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้ว เราก็ไปเที่ยวทางอำเภอวาริชภูมิ ตัดสินใจลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์มาพักที่วัดสุทธาวาสสองคืน ออกจากนั้นจะไปจำพรรษาที่ถ้ำอะไรลืมแล้วแหละ เราเคยไปพักถ้ำนี้นะ คือทราบไว้แล้วทุกอย่าง ตัดสินใจจะไปจำพรรษาที่นั่น ที่ถ้ำอะไรอำเภอวาริชภูมิ เราไปอยู่ได้ ๒-๓ คืน ก็มีโยมคนหนึ่งอยู่บ้านหนองกุง ด้านวาริชภูมิไปหาบ้านตาดภูวง อยู่ย่านกลาง เขาไปวัดหนองผือบ่อยๆ โยมคนนี้ ไปมาเสมอ ทีนี้พอเขาทราบว่าเราไปอยู่ที่ถ้ำที่ว่านี่ละ ที่จะจำพรรษา เขาขึ้นไปหา เขาไปเล่าสภาพของบ้านหนองผือให้ฟัง เราเลยไม่พูดสักคำเดียวนะ แปลกอยู่ ฟังแกพูดตลอด ไม่เคยตอบ ไม่เคยถาม มันถึงใจ
เขาว่าดูสภาพหนองผือเหมือนบ้านร้างวัดร้าง แต่ก่อนพระเหลืองอร่ามๆ ประชาชนญาติโยมยิ้มแย้มแจ่มใส ทำบุญใส่บาตร เหมือนแดนสวรรค์อยู่ในบ้านหนองผือ แต่เวลานี้วัดหนองผือมันจะกลายเป็นวัดร้าง บ้านหนองผือก็กลายเป็นบ้านร้างไป ซบเซาหมดเลยว่างั้น เราฟัง พูดไม่ออกเลยนะ ไม่ตอบแกสักคำเดียว แกเป็นคนเล่า แกก็เล่าตามประสาของแก แกหารู้ไม่ว่าเราคิดยังไงกับคำพูดของแกนะ พูดอยู่บนถ้ำนั้นละ เราตัดสินใจจะจำพรรษาที่วาริชภูมิ ถ้ำนั่นละ แล้วก็ลงมาได้นะ ตื่นเช้ามาเรา ท่านเพ็งก็ไปด้วย ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์มาพักวัดสุทธาวาสสองคืน ก็ไปวาริชภูมิ ก็ไปแวะอยู่ ๒-๓ คืน จากนั้นก็โดดลงจากวาริชภูมิเข้ามาหนองผือ
เพราะเห็นบุญเห็นคุณพี่น้องชาวหนองผือเราเลี้ยงพระ ไม่มีตลาดลาดเลที่ไหน อุตส่าห์พยายามหาด้วยกำลังปลีแข้งของตัวเอง เลี้ยงพระได้หมด ทีนี้เวลาพ่อแม่ครูจารย์จากไปแล้วเหมือนหนึ่งว่าวัดร้างไม่มีพระเลย โยมคนนั้นแกมาเล่าให้ฟัง เราก็นิ่งไม่ตอบคำไหนเลย พอตื่นเช้ามาก็พาท่านเพ็งละ ไป เพ็งเตรียมตัว ไปไหนท่านว่างั้น ไปจำพรรษาหนองผือ เราเลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อวานนี้โยมคนนี้แกมาพูดให้ฟังได้ยินไหมล่ะ ได้ยิน ก็นั่นแหละเรื่องราวมันละ ก็เลยไปจำพรรษา ไปถึงบ้านหนองผือขึ้น ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำก็รวมเข้าพรรษาแหละ เราไปถึงขึ้น ๘ ค่ำ เท่านั้นละ
ไปถึงทีแรกไม่มีพระ มีหลวงตาอยู่ ๒ องค์ อยู่หนองผือ พอเราไปถึงหนองผือเท่านั้นละ วันขึ้น ๘ ค่ำ ถึง ๑๔-๑๕ ค่ำ พระเต็มหมดเลย หลั่งไหลเข้าไป พระตั้ง ๒๖ องค์ เรียกว่าหนาหน้าหนาตา พอๆ กันกับพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่ ท่านไม่รับมาก รับขนาดนั้น แต่อยู่รอบๆ มีเยอะ สำหรับหนองผือรับแค่นั้น พอดีเราไปปีนั้นก็ ๒๖ องค์ ไปถึงวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ จะเข้าพรรษา วัน ๑๕ ค่ำประชุมเข้าพรรษา มันก็รวดเร็วนะ ออกไปทางพรรณา มาหนองผือ หลั่งไหลเข้าไป พระอยู่นั่นตั้ง ๒๖ องค์ ของง่ายเมื่อไร ก็อุ่นหนาฝาคั่ง
พอพูดเรื่องนี้ก็ เอา มันเป็นสิ่งที่จะพูดได้ แกก็พูดออกมาจากความจริงของแก แกก็พูดได้ ผู้ฟังก็ฟังได้ ทำไมเราฟังมา พูดไม่ได้มีอย่างเหรอ ที่ว่ายาย เขาเรียกว่ายายกั้ง แกอยู่หนองผือ แกรู้เรื่องใจของพระ ของใครๆ แกรู้หมดไม่ใช่เล่นนะ อาจหาญมากทีเดียว พวกเทวบุตรเทวดาแกรู้แกเห็น แกไปถามพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา อยู่ที่โรงฉัน คือแกจะไปตอนเช้า พอพระเริ่มฉันจังหัน แกก็ไปละ พอพระฉันเสร็จ แกไปนั่งอยู่ข้างล่าง พอพระฉันเสร็จแล้ว แกก็ขึ้นไปที่โรงฉันนั่นแหละ ขึ้นไปคุยธรรมะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น พระนี่ โหย รีบล้างบาตรๆ คอยฟังคำพูดของแก เพราะแกพูดอาจหาญตามหลักความจริงเลย แกไม่สะทกสะท้าน
พูดถึงเรื่องพวกทวยเทพทั้งหลายที่หลั่งไหลมาหนองผือ นั่นฟังซิน่ะ ประเภทนั้นๆ เป็นยังไง ถามท่าน ท่านก็ตอบย่อๆ ไม่ตอบมาก แต่ท่านไม่ปฏิเสธนะ ท้าวมหาพรหมก็ลงมามีถึง ๔ หน้านะ มองไปทางนี้ก็เป็นหน้า ทางนี้ก็เป็นหน้า เหลืองอร่ามเลยว่างั้น ถาม แกเห็น พ่อแม่ครูจารย์ท่านไม่เคยพูด นั้นเป็นใคร ถาม ท่านบอกว่าท้าวมหาพรหม ท่านตอบย่อๆ เท่านั้น ไม่ตอบมาก แต่ท่านไม่ปฏิเสธ นี่ละแกรู้
เวลาพวกทวยเทพทั้งหลายมากราบพ่อแม่ครูจารย์เรา หนองผือ หลั่งไหลมา เขามาทิศทางพระไม่อยู่นะ พวกทวยเทพทั้งหลาย เขาเคารพพระมากอยู่ คือเขาจะมาทางด้านไม่มีพระ ถ้าพระมากทางด้านไหน เขาจะไม่มาทางด้านนั้น เขาไม่มาสุ่มสี่สุ่มห้านะ พ่อแม่ครูจารย์เล่ากับโยมพูดมันเข้ากันได้ ท่านบอกว่าทางด้านนี้พวกเทพมา ท่านพูดก่อนแล้วแหละ พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านพูดก่อนแล้ว พวกเทพเคารพพระนะ ไม่ได้มาสุ่มสี่สุ่มห้า ทางด้านนี้ว่างๆ ทางพระด้านนี้ว่าง พวกเทพทั้งหลายมาด้านนี้ว่างั้น ท่านบอกอย่างนั้น ใครอย่าไปทำสุ่มสี่สุ่มห้าแถวนั้นนะ นอนก็เหมือนกันหลับครอกๆ แครกๆ ให้พวกเทพเขามาปลงธรรมสังเวชไม่ได้นะท่านว่างี้นะ
พ่อแม่ครูจารย์มั่นเราท่านพูด พูดก่อนโยมแล้วแหละ พวกเทพเขามาเขามาทางด้านนี้ พระไปหลับครอกๆ แครกๆ ให้เขาปลงธรรมสังเวชไม่ได้นะ ให้รักษามารยาท การหลับการนอนของพระให้มีระเบียบแถวนี้ ท่านสั่งไว้นะ ทางแถวของเทพมา อย่าให้พวกเทพทั้งหลายเขาปลงธรรมสังเวชพระ ความเป็นอยู่หลับนอนไม่เป็นท่าเป็นทางเขาปลงธรรมสังเวชนะท่านว่างี้ แล้วโยมคนนี้แกมาพูดก็แบบเดียวกัน มาทางนี้ แน่ะ เห็นไหม
แกรู้จิตคนอื่น แกเห็นจริงๆ รู้จริงๆ ใครสะอาดผ่องใสขนาดไหนแกเห็น เวลาแกมาเล่านี้ คือแกนิสัยตรงไปตรงมา พูดไม่กลัวใคร เหมือนขวานผ่าซาก แกพูดอย่างนั้นละนิสัยของแก รู้ยังไงพูดอย่างนั้นเลย เวลาแกพูดน่าฟัง พระนี้รีบบาตรล้างอะไรค่อยมาแอบๆ ฟังอยู่ข้างหลังหอฉัน อยู่ข้างหลัง แกก็ขึ้นไปนั้น เล่ากับพ่อแม่ครูจารย์ พูดธรรมะที่แกรู้แกเห็นอะไรต่ออะไรแกพูดอย่างเปิดเผยนี่นะ แกเป็นคนตรงไปตรงมา พระก็สนุกฟัง ทีนี้พอพูดมาๆ พอพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้วก็ วัดนี้เป็นเหมือนวัดร้างนั่นละ นี่ละเราเลยกลับมาจากวาริชภูมิ ว่าจะไปจำพรรษาแล้วนะ กับท่านเพ็งสององค์ ถ้ำเราเคยไปอยู่แล้ว
พอไปถึงนั้นโยมนั้นแกมาเล่าให้ฟังเรื่องหนองผือ วัดหนองผือ บ้านหนองผือ เหมือนวัดร้างบ้านร้าง แกเล่า เราฟัง เราไม่พูดสักคำเดียวนะมันสะเทือนใจมาก บ้านหนองผือมีคุณมากทีเดียวต่อพระทั้งหลายที่มาที่นั่น แต่แล้วก็ทำให้ซบเซากันไปหมดทั้งบ้าน พระก็ไม่ค่อยมี มีหลวงตาอยู่สององค์ว่างั้น ก็เป็นคนบ้านนั้นละมาบวช ก็มีเท่านั้นแหละ ส่วนประชาชนนี้ซบเซามาก เหมือนบ้านร้าง เราสลดสังเวช นั่นละตั้งใจจะไปจำพรรษาที่ถ้ำแล้วนะ กลับมา ลงมาจำพรรษาหนองผือ
นี่แปลกๆ อันหนึ่ง ใครจะว่าคุยหรือไม่คุยก็ตาม เราเอาความจริงมาพูดตามที่แกเล่า เล่าอย่างอาจหาญเสียด้วย พอเรากลับมาอยู่ที่นั่นด้วยความเห็นบุญเห็นคุณของชาวหนองผือ กลับมาจำพรรษาที่นั่น ยายกั้งคนนี้พูดแปลกๆ อยู่นะ หลานชายของแกชื่อพุฒเป็นผู้ส่งบาตรท่านตลอด ส่งบาตรพ่อแม่ครูจารย์ พอรับบาตรเสร็จแล้วแกก็รับบาตรท่าน จากมือท่านแล้วก็แกก็ไปส่งบาตร แล้วแกกลับบ้าน อย่างนี้เป็นประจำ ทีนี้เวลาเรากลับมาแล้ว แกกระซิบนะ พูดให้ฟังชัดเจน ธรรมะพูดไม่ได้มีเหรอ พูดตามหลักความจริงจะเสียไปไหน
พอเรากลับมาที่นั่น มันจวนเข้าพรรษา ขึ้น ๘ ค่ำแล้ว ๑๕ ค่ำก็ประชุมเข้าพรรษา เพราะเห็นพระไม่มีเราสงสารชาวหนองผือเลยกลับมา กลับมาจากวาริชภูมิ พอไปแล้วแกก็เอาหลานชายแกไปพูด ไอ้พุฒกูจะพูดให้มึงฟัง มึงฟังให้ดี กูพูดนี้มึงฟังนะ นี่วาสนาบ้านหนองผือของเรายังมีสืบต่อกันอยู่ ท่านมหาบัวก็มาจำพรรษาที่นี่ มึงให้รู้เสียนะ ญาท่านกับท่านมหาบัวนี้อันเดียวกัน พ่อตายพ่อยัง กระซิบ ไอ้หลานก็มาเล่าให้เราฟังอีกแหละ เอ้อ บ้าตัวนี้ ทางนั้นเขากระซิบหลานเขา หลานเขาก็มากระซิบเราอีก ว่าพ่อตายพ่อยังนะ อันเดียวกันละ ญาท่านกับท่านมหาบัวอันเดียวกัน ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน พ่อตายพ่อยัง แล้วกระซิบทางนั้น ทางนั้นก็มากระซิบเรา ขบขันจะตายไป
ปีนั้นจำพรรษาดูพระ ๒๖ องค์ เยอะนะวัดหนองผือ ตอนนั้นไปมีพระหลวงตาสององค์ เราไปขึ้น ๘ ค่ำ พอ ๑๔-๑๕ ค่ำก็เต็มหมดแล้วพระ ไปจากพรรณาเพราะทราบว่าเราไปจำพรรษาหนองผือหลั่งไหลเข้ามาเต็มหมดนะ ๒๖ องค์ ธรรมดาก็เหมือนกับพ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่ นี่เราพูดถึงบ้านหนองผือ ที่ยายคนนี้แกรู้พวกเทพพวกอะไรมารู้ เรื่องใจใครแกก็รู้ แกว่าบ้านหนองผือนี้ ในวงบ้านหนองผือนี้สว่างจ้าว่างั้นนะ แกว่า มองเข้าไปข้างในนี่สว่างจ้า คือจิตนักภาวนา จิตท่านผ่องใสนี่ เหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน สว่างจ้าหมดละหนองผือ พระกรรมฐาน
เห็นไหมการชำระจิต ท่านอยู่ในวัดหนองผือ เขามองออกจากบ้านเขาไปไปเห็น เขาว่า วัดหนองผือนี้สว่างจ้าไปหมดเลย นั่นเห็นไหม คือพระภาวนา จิตใจของท่านสว่างไสวตามขั้นตามภูมิของจิต แกก็เล่าได้ถูกต้องดีนะ นี่ละที่บ้านหนองผือ เราก็ไปจำพรรษาที่นั่นให้เขา เขาก็พอใจ เพราะพระเณรมาก พอหลังจากนั้นเราก็ไปละที่นี่ ออกไปเลยละ พอให้เขาอบอุ่นพอสมควรแล้วเราก็ออกเดินทางไป ทางนู้น ทางไหนลืมแล้ว
ออกจากหนองผือแล้วไม่ทราบไปทางไหน ก็เลยไม่ได้กลับมาอีกนะหนองผือ จนกระทั่ง ๓๐ ปีจึงได้ย้อนกลับไปอีก บ้านหนองผือก็เป็นดงเป็นป่าธรรมชาติไปหมดไม่ใช่ดงป่าของพระกรรมฐาน รกรุงรังเพราะไม่มีใครดูแลรักษา แต่ก่อนนี้ โห สวยงามมากวัดหนองผือ พูดเรื่องอะไรมันมาวัดหนองผือก็ไม่รู้นะ (วันที่ ๑๐ หลวงตาต้องไปค้างที่วัดหนองผือนาใน) นั่นซิค้างเพราะเหตุไรก็ไม่ทราบ วัดหนองผือนี้ก็ไปได้ความอัศจรรย์อยู่ที่นั่น โอ๋ พ่อแม่ครูจารย์ท่านรู้สึกท่านเมตตามากนะตื่นเต้น เพราะจิตมันเป็นแบบเดียวกัน พอจิตไปอยู่ที่นั่นเวลามันลงมันสว่างนี้ครอบไปหมดเลย ก็ไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านรู้สึกท่านตื่นเต้นมาก ท่านตื่นเต้นเมตตามาก ท่านก็เลยเล่าเรื่องที่ถ้ำสาริกาให้ฟัง จิตเป็นอย่างนั้นละ โห เป็นแบบเดียวกันท่านว่า ท่านไม่ได้บอกว่าผิดกันนะ เป็นแบบเดียวกัน เราก็เป็นได้หนเดียวเท่านั้นไม่ได้เป็นอีกละ อยู่ที่วัดหนองผือ วัดหนองผือนี้ไปอยู่หลายปีอยู่เราก็ดี ก็เพราะพ่อแม่ครูจารย์อยู่ที่นั่น เราจึงอยู่ที่นั่น
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|