สิ้นกิเลสแล้วสิ้นทุกข์
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 เวลา 7:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

สิ้นกิเลสแล้วสิ้นทุกข์

         วัดเรานี่แน่นตลอดนะพระ ในวัดนี้แน่นตลอด ผู้ที่จะขออยากมาพักภาวนาก็ลำบากเหมือนกัน เพราะทางนี้มันแน่น มันรับลำบากนะ วัดนี้เป็นวัดภาวนามาตั้งแต่เริ่มมาสร้างวัดที่นี่ สม่ำเสมอเรื่อยมา อะไรจะหลุดจะขาดจะลดไปบ้างก็ตาม ส่วนการทำความเพียรภาวนานี้ลดไม่ได้ พูดจริงๆ เพราะเราไม่เห็นคุณค่าอะไรมากยิ่งกว่าจิตตภาวนาในหัวใจของผู้ปฏิบัติทั้งหลาย จากนั้นก็กระจายเลย หัวใจสำคัญทุกคน แต่ไม่มีสิ่งที่มีค่าเข้าไปประดับ มันก็มีแต่มูตรแต่คูถ เลวร้ายก็คือหัวใจ หัวใจเลวร้ายเพราะไม่ได้รับการอบรม นอกจากนั้นทางต่ำทรามก็เสี้ยมสอนไปให้ต่ำลงๆ หาความสงบเย็นใจไม่ได้

ใจนี้พร้อมเสมอ เหมือนผ้าขาวว่างั้นเถอะ คอยซึมซาบทุกอย่าง ผ้าขาว แล้วสกปรกง่ายด้วย ติดง่าย ติดอารมณ์ต่างๆ ง่ายด้วย อารมณ์ทางธรรมติดยากอยู่ ในเวลาฝึกหัดเบื้องต้น มักจะติดกับอารมณ์ต่ำทราม สกปรกรกรุงรัง ทีนี้ผลของมันก็ทำใจให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย นั่นละผลของความสกปรก ผลของความสะอาดคือได้รับการอบรมมาจากธรรมก็สะอาดสะอ้านสงบเย็น

ใจจึงเป็นธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการอบรม อบรมก็ต้องเอาธรรม อย่างอื่นไม่เป็นของคู่ควรกันกับใจซึ่งเป็นของเลิศเลอสุดยอดก็ได้ พระพุทธเจ้าถึงนิพพานคือหัวใจสุดยอดจากการอบรมเต็มที่แล้ว ถ้าต่ำทรามก็ต่ำสุดยอดอีก เมื่อได้ถูกเสี้ยมสอนไปในทางไม่ดี จึงควรฝึกฝนอบรมตนเสมอ อย่าให้เป็นไปตามใจชอบ ความชอบใจชอบแต่อย่างต่ำนะ อย่างสูงไม่ค่อยชอบ จิตใจมันก็ต่ำไปเรื่อยๆ ถ้าได้ฝึกอบรมในทางที่ถูกที่ดีก็ค่อยดีดขึ้นๆ เรื่อยๆ

อำนาจของกิเลสนี้แหม รุนแรงมากนะ แต่ไม่มีอะไรชำระซักฟอกหรือทรมานกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจได้ นอกจากธรรมอย่างเดียว มีธรรมเท่านั้น อย่างอื่นไม่ได้เลย ต้องธรรมเป็นของสำคัญ ฝึกอบรม เวลามันพยศ มันพยศจริงๆ นะจิต ก็สิ่งเลวร้ายอยู่ภายในจิตพาให้จิตพยศนะ ตามธรรมดาของจิตก็ไม่พยศ แต่สิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องดีและชั่วแหละทำให้จิตเปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งไม่ดีอารมณ์ไม่ดีเข้าไปเกี่ยวข้องกับจิตใจแล้ว ก็ทำใจให้ว้าวุ่นขุ่นมัวหาความสุขไม่ได้ จะนั่งอยู่บนกองสมบัติเท่าภูเขาตัวเองก็ไปร้อนอยู่บนกองสมบัตินั่นแหละ ถ้าใจมีสิ่งเลวร้ายทั้งหลายเผาอยู่ตลอด

ถ้ามีความดีซึ่งได้รับการอบรมมาก็เย็น อยู่ที่ไหนก็เย็นๆ เย็นอยู่ที่ใจนะ ไม่ได้เย็นอยู่ที่สถานที่ดินฟ้าอากาศที่ไหน เย็นอยู่ที่ใจที่ได้รับการอบรมหรือเสี้ยมสอนในทางดีแล้วค่อยดี ทางไม่ดีได้รับการเสี้ยมสอนจิตต่ำลง ผลแห่งความต่ำของจิตก็เดือดร้อนวุ่นวาย ผลแห่งความได้รับการอบรมทางด้านจิตใจก็สงบร่มเย็นๆ นี่ละที่ว่าธรรม ศาสนธรรมเป็นน้ำที่สะอาดสุดยอด ซักฟอกจิตใจ น้ำนี้ซักฟอกได้เฉพาะใจ ไปซักฟอกอย่างอื่นไม่มีความหมาย ถ้าเข้าไปซักฟอกใจแล้วมีความหมายขึ้นทันที ท่านเรียกว่าธรรม

ธรรมกับใจเป็นของคู่ควรกัน และกิเลสกับใจก็เช่นเดียวกันเป็นของคู่ควรกัน แล้วแต่ผู้รับผิดชอบในหัวใจตัวเองจะคัดเลือกยังไงเข้ามาเกี่ยวข้องกับใจ ถ้าไม่คัดเลือกสุกเอาเผากินก็มีแต่ความเลวร้ายภายในจิตใจ ผลของมันก็แสดงความเดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าได้รับการอบรมแล้วจิตใจก็เยือกเย็น อยู่ที่ไหนก็เย็นๆ ดังที่เคยพูดให้ท่านทั้งหลายฟังมานี้ เราหาแทบเป็นแทบตาย ความทุกข์ยากลำบากที่สุดคือการชำระกิเลส ในขณะเดียวกันก็เสาะแสวงหาธรรมด้วยความพากเพียรวิธีการต่างๆ

เวลาทุกข์ ทุกข์มากจริงๆ นะ มากที่สุด เพราะอำนาจของกิเลสมันหนาแน่น ให้หาความสุขไม่ได้ๆ วันหนึ่งๆ เวลาซักฟอกฝึกทรมานหนักเข้าๆ ก็ดีขึ้นๆ จนถึงขั้นได้พูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง จิตชนิดนี้ก็ไม่เคยคิด ก็เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม ที่ว่านั่งอยู่นี้มันสว่างไสว ยืนอยู่สว่างไสวครอบโลกธาตุ ทางภายในนี่จ้าครอบโลกธาตุ จนกระทั่งได้อัศจรรย์ตัวเองนี่ก็เคยพูดให้ฟัง เวลาเลวร้ายก็เลวร้ายที่สุด เป็นแต่ว่าไม่ได้พูดให้ฟัง เพราะต่างคนต่างมีเต็มหัวใจ ก็ไม่ทราบจะเอามาอวดกันอะไรของเลวร้าย แต่ของดีนี่มีน้อยมาก จึงได้เอามาพูดเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจให้ฝึกฝนอบรมตนเพื่อความเป็นคนดี จิตมีสง่าราศีภายในตัวเอง

เวลาเราฝึกฝนอบรมถึงขั้นสว่างไสวแล้ว มันสว่างไสวจริงๆ จิต จนกระทั่งได้อัศจรรย์ตัวเอง โอ้โห จิตเรานี้ทำไมถึงได้สว่างไสว อัศจรรย์เอานักหนา แล้วอัศจรรย์ตัวเองทั้งๆ ที่กิเลสยังมีอยู่นะ มันก็ได้รับความอัศจรรย์ขึ้นมาจากผลแห่งการอบรม มันสว่างไสว เหมือนว่าจิตนี่มันว่างครอบโลกธาตุไปหมดเลย จิตดวงนี้ละ ทั้งๆ ที่กิเลสยังอยู่นะ มันก็ยังได้รับความอัศจรรย์จากตัวเอง เพราะการอบรม ต้นเหตุคือการอบรม

ไปยืนอัศจรรย์รำพึงเจ้าของอยู่บนภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์นี่แหละ ที่มันเด่น วัดดอยธรรมเจดีย์นี้เด่นหลายพัก วัดดอยธรรมเจดีย์จึงเป็นวัดที่ไม่ลืมละ เด่นที่อัศจรรย์ตัวเองทั้งๆ ที่กิเลสยังมีอยู่ก็อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เด่นเวลาสุดท้ายก็วัดดอยธรรมเจดีย์ อยู่วัดนี้ละ วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลามันอัศจรรย์ๆ จริงๆ มันสว่างไสวครอบไปหมดจิตดวงนี้ ทั้งๆ ที่กิเลสก็ยังมีอยู่ จนได้รำพึงกับตัวเอง อุทานขึ้นภายในใจว่า โถ ทำไมจิตเรามันถึงได้สว่างไสวเอานักหนา อัศจรรย์เหลือประมาณ

ทีนี้ธรรมท่านกลัวจะหลงละซี ท่านเตือนขึ้นมาเลย เป็นคำๆ ขึ้นมาในใจเหมือนคนพูดให้ฟัง พูดอยู่ในใจขึ้นเป็นคำๆ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพคือตัวภัย ยังไม่ใช่สุขที่แท้จริง ทั้งๆ ที่เราก็ชมเชยตัวเองว่าเป็นความสุขความอัศจรรย์ เพราะจิตนี้มันสว่างครอบภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ แล้วธรรมท่านก็เตือนขึ้นมา ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ก็คือจุดแห่งความผ่องใสแห่งความสว่างไสวนั้นละ เวลาเราจะรู้ก็ไปรู้ที่ภูเขาลูกนี้อีก ต่อมอันนั้นขาดสะบั้นลงไปนี้มันพังจ้าคราวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซิ มีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ ผู้รู้นี้ทรงไว้ซึ่งความเศร้าหมองความผ่องใสความอัศจรรย์ หรือความทุกข์ร้อนต่างๆ อยู่ที่ใจ

เวลาฝึกฝนอบรมแล้วถึงขั้นที่อัศจรรย์ตัวเองก็อัศจรรย์เหมือนกันนะ อัศจรรย์ที่มันสว่างไสวเอาเสียจนเหมือนว่าครอบโลกธาตุ นู่นน่ะมันว่างไปหมดเลย นั่นยังไม่หมดนะนั่นกิเลสยังไม่หมด มันก็ยังได้รับความอัศจรรย์ตามกำลังแห่งการประพฤติปฏิบัติของเรา ทีนี้เวลามันอัศจรรย์เต็มที่มันก็เป็นที่นั่นละ ภูเขาลูกนั้นละ จ้าขึ้นมาคราวนี้แล้วหมดเลย ไม่มีที่ไหนๆ ที่ว่าจุดมีต่อมผู้รู้อยู่ไหนไม่มี จ้าทีเดียวครอบโลกธาตุเลย ที่นี่หมดละหมดจุดหมดต่อม ไม่มี จ้าเอาเลยทีเดียว จิตดวงนี้เป็นธรรมทั้งดวง เรียกว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว นั่นจิตเวลาได้เต็มที่แล้วถึงขั้นเป็นธรรมธาตุ หรือนิพพานทั้งเป็น เป็นธรรมธาตุก็เรียกอยู่ภายในใจ

ใจดวงนี้เป็นธรรมธาตุได้ เวลาฝึกเต็มที่สุดขีดแห่งการฝึก หมดทางที่จะขวนขวายอะไรอีกแล้ว นั่นละเป็นธรรมธาตุ จ้าเลยเชียว นี่ละการฝึกจิตใจ ถ้าไม่ฝึกปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ที่ไหนเมืองไหนประเทศไหนโลกใดที่หาความสุขในใจมันไม่มีนะ นอกจากผู้บำเพ็ญธรรม ถ้าผู้บำเพ็ญธรรมมี สุขก็สุขกับสิ่งเหล่านั้นเหล่านี้ คอยแต่จะหลุดจะพลัดตกพรากจากเจ้าของไป ได้นั้นมาอันนี้เสียไป ได้นี้มาอันนั้นหายไปอยู่อย่างนี้ตลอด ตกขึ้นมาค้างแล้วตกไปๆ หาความสุขที่แน่นอนไม่ได้

ความสุขที่แน่นอนก็คือใจ เวลากิเลสตัวเป็นกฎอนิจจังขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วมันก็จ้าเลยที่นี่ ทีนี้จ้าละหมดไม่มีอะไร หายสงสัยนะ จิตเวลาฝึกได้ให้เต็มที่ฝึกอย่างนั้นละ ฝึกได้เต็มที่ไม่มีคำว่าทุกข์ภายในหัวใจ หมดโดยสิ้นเชิง สุขในหัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสคือตัวมัวหมองมืดตื้อ หรือตัวเป็นภัยสิ้นสุดลงไปจากใจแล้ว จิตนี้จ้าตลอดเวลา เรียกว่านิพพานเที่ยง หรือธรรมธาตุอยู่นั้นละ นั่นละถึงที่ สุดขีดแล้ว จะเพิ่มอะไรอีกก็ไม่ได้ จะเอาอะไรออกก็ไม่ได้ เพิ่มก็ไม่ได้ เรียกว่าพอดีแบบอัศจรรย์ของจิตที่ได้ฝึกฝนอบรมเต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้น ขอให้พากันฝึกบ้างนะ

จะเจอเจอที่ใจ หาความสุขจะไปเจอที่ไหนไม่มี หาความทุกข์ก็เหมือนกัน ทุกข์ไม่หาแต่มันก็มีอยู่ เพราะเราชอบเสาะแสวงหาสิ่งที่ให้เป็นพิษเป็นภัยให้เกิดความทุกข์ มันก็เกิดความทุกข์ไปเรื่อยๆ ถ้าเราเสาะแสวงหาความดีงามมันก็มีความดีเข้ามาประดับใจของเราให้สง่างามขึ้นบ้าง และสง่างามมากขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งหาที่ต้องติไม่ได้ นี่ละการฝึกจิตเป็นของสำคัญ การเข้ามาอยู่ในวัดในวา อย่าไปเสาะแสวงหาโทษผู้อื่น ให้ดูโทษเจ้าของ ใครมีนักโทษทุกคน ในวัดนี้เป็นเรือนจำของนักโทษ กิเลสบีบบี้สีไฟอยู่นี้ด้วยกันทั้งนั้น นี่ละเรือนจำของผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ในหัวใจ มันหากบีบหากบี้ของมัน พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจ้าเลย ไม่มีคำว่าทุกข์ในหัวใจ ตั้งแต่กิเลสตัวสร้างทุกข์ได้ขาดสะบั้นลงไปเท่านั้นไม่มี หมด คำว่าทุกข์นี้ไม่มี

กิเลสเท่านั้นพาสร้างทุกข์ ถ้ากิเลสขาดลงไปแล้วทุกข์ก็ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีทุกข์ทางใจ หมดโดยสิ้นเชิง ถ้าว่าเป็นสุขก็เป็นบรมสุขเสีย ไม่ใช่สุขธรรมดาเรา สุขของผู้สิ้นกิเลสผิดกับสุขทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วโลกดินแดน ความสุขของผู้สิ้นกิเลสนี้ผิดมาก ความสุขอันนี้จะมีเฉพาะผู้สิ้นกิเลสเท่านั้น ผู้ไม่สิ้นไม่มีความสุข พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทรงความสุขอันนี้ตลอด เรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่ใจ ไม่มีวันใดที่จะก่อทุกข์ขึ้นมาภายในใจให้มีลักษณะ แม้หงุดหงิดก็ไม่มี หมด ไม่มีเลย จ้าอยู่งั้นตลอด นั่นละจิตที่ไม่มีอะไรเข้าไปทำลายเข้ามากีดขวาง แล้วจ้าอยู่ตลอดเวลา ท่านว่านิพพานเที่ยงก็คือธรรมชาตินั้นละ

ฝึกให้ดีฝึกจิต ได้ที่จิตซึ่งเราฝึกดีแล้วนั้นละ ไม่ได้จากที่ไหน ได้ที่จิต ที่พูดให้ฟังนี้ไม่ได้พูดธรรมดานะ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด พูดด้วยความเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วจึงนำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาพูดทั้งๆ ของเราก็ร้อน ทั้งเราก็เป็นฟืนเป็นไฟสอนผู้อื่นเพื่อให้เป็นความสงบร่มเย็นนี้มันยากอยู่นะ ให้เจ้าของสิ้นสุดดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สอนโลกท่านไม่มีอะไร ท่านสอนด้วยความสิ้นสุดของทุกข์ทั้งหลาย จากกิเลสที่สิ้นซากลงไปแล้ว หมดโดยสิ้นเชิง นั่นละสิ้นกิเลสแล้วก็สิ้นทุกข์ ถ้ายังมีกิเลสมากน้อยทุกข์ก็ยังมี กิเลสตัวสร้างทุกข์ยังมีอยู่มากน้อยความทุกข์จะมี พออันนี้สิ้นลงไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้วทุกข์ไม่มี

ให้พากันฝึกฝนอบรมจิตใจให้ดี ให้นั่งดูใจตัวเองแหละ มันมีแต่อยากคิดอยากปรุงทั้งวันทั้งคืน มันอยู่ไม่ได้นะจิตดวงนี้ชอบคิดชอบปรุงที่สุดคือใจ เวลาเข้าถึงขั้นสงบ จิตเป็นสมาธินี้ความคิดมันรำคาญ แน่ะ มันเป็นขั้นๆ นะ เวลาจิตกำลังฟุ้งซ่านรำคาญไม่ได้รับการอบรมไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นทุกอย่าง เวลามันเข้าสู่ความสงบแล้วความคิดปรุงเป็นเรื่องรำคาญใจ นั่นละเรียกว่าสมาธิเต็มภูมิ ความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญใจ แน่วทั้งวันได้ นั่น นี่เรียกว่าจิตเต็มภูมิของความสงบ

จากนั้นก็ปัญญากระจ่างแจ้ง คิดค้นขึ้นมาแก้ไขสิ่งที่มันเป็นตะกอนนอนก้น สมาธินี้เป็นตะกอนนอนก้น พวกขี้ฝุ่นขี้ฝอยของไม่ดีมันอยู่ก้น มันนอนก้น พอเอานั้นออกหมดแล้วทีนี้หมดไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้แสนสบายละ ทำอย่างนั้นให้มันเห็นในใจของเจ้าของผู้ฝึกฝนอบรมซิ มีตั้งแต่เรื่องยุ่งตลอดเวลาภายในใจหาความสุขไม่ได้นะ เราอย่าหาความสุขในดินฟ้าอากาศ ทั่วประเทศเขตแดนไม่มี มีอยู่ที่ใจ เพราะความทุกข์มันมีอยู่ที่ใจ ให้พากันอบรมใจ เมื่อใจหมดเหตุปัจจัยที่จะวุ่นวายแล้วมันก็ดับของมันหมดเลย เรียบไม่มีเหลือ ไปที่ไหนเป็นสุขตลอดเวลา พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละพอ

(หลวงพ่อคะขอโอกาสค่ะ ที่บอกว่าจิตสว่างนี่นะคะ คนหนึ่งแต่ละคนนี้ต้องสามหนหรือเปล่าคะ) โอ๊ย นับครั้งไม่ได้เรา อย่ามาว่าเลยสามครั้ง จิตสว่างนับครั้งไม่ได้ จิตมัวหมองก็นับครั้งไม่ได้ มันฟัดกันอยู่งั้นละ เข้าใจไหม ถ้าเวลาไหนกิเลสแข็งขึ้นจิตก็มัวหมอง เวลาจิตมีทางด้านธรรมะแข็งขึ้น ทางจิตใจก็สว่างไสวขึ้น ความมัวหมองก็เบาไป เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งความมัวหมองเหล่านั้นหมด คือกิเลสทำให้มัวหมอง หมดไปโดยสิ้นเชิง ทีนี้จ้าเลยตลอด นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง คือจิตหมดมลทิน ไม่ว่ามลทินชนิดใดขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มีตกค้างอยู่ภายในจิตเลย นั่นละสว่างแท้ เข้าใจเหรอ

ไปนี้ก็ไปส่งของโรงพยาบาลต่างๆ วันนี้ไปโรงนั้น วันนั้นไปโรงนั้น โรงพยาบาลต่างๆ ไปส่งทุกโรง เมื่อวานนี้ไปคำตากล้า คือวางระยะๆๆ กันไป รอแล้วไปอย่างนั้น ไปแล้วก็ให้โรงละสองหมื่นๆ โรงพยาบาลให้โรงละสองหมื่นๆ ทุกโรง ของก็เอาไปเต็มรถไปเทลง ให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งๆ แล้วก็มอบปัจจัยให้สองหมื่นๆ อย่างนั้นทุกแห่ง เราไปทุกวัน สงสารทำยังไง มันมีแต่ความสงสารในใจดวงนี้ เพราะฉะนั้นอะไรจะมีอยู่ในมือไม่ได้ อำนาจความเมตตาสงสารปัดออกหมดเลย มีไม่ได้นะ

ความตระหนี่ถี่เหนียวเรียกว่าขาดสะบั้นไปเลยไม่ปรากฏ พูดให้ชัดเจนเสีย ไม่มีเลยในจิต มีแต่ความเมตตา ปัดกวาดออกหมดเลย ความตระหนี่ถี่เหนียวนี้ไม่มี นี่ละถึงเวลามันหมด หมดอย่างนี้ละ ความตระหนี่ไม่มีเลย เหลือแต่ความเมตตา เมตตานี้มีเท่าไรกวาดออกหมดเลย กวาดออกๆ หมด ถ้าความตระหนี่นี้มันกวาดเข้านะ กวาดเข้า ความเมตตานี้กวาดออก มีเท่าไรกระจายออกหมดเลย ถ้าเป็นความตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ได้แก่เอา อะไรมีแต่จะเอาๆ ตายแล้วก็ไม่มีอะไรละกองกันอยู่ ความกว้างขวางนี้เบิกกว้างไปหมดเลย เป็นอย่างนั้น มีเท่านั้นนะ ทีนี้ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก