เอาโลกพิจารณามันไม่แน่นอน
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2550 เวลา 7:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

เอาโลกพิจารณามันไม่แน่นอน

         เราพยายามที่สุดที่จะให้ชาติไทยของเรามีความเจริญรุ่งเรืองด้วยวัตถุ และธรรมภายในใจ ธรรมก็เลิศ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศ หาศาสนาใดแข่งไม่มี ในโลกนี้ไม่มีบอกชัดๆ เลย พุทธศาสนาเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา ตรัสรู้แล้วค่อยมาสอนศาสนา แล้วก็ โลกวิทู รู้แจ้งนอกแจ้งในตลอดทั่วถึง ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่เลิศเลอ ในโลกนี้มีศาสนาเดียว เราไม่พูดเข้าข้างนั้นออกข้างนี้ ไม่เอนไม่เอียง เอาความจริงออกพูดกัน เพราะศาสนานี้เป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส พระพุทธเจ้าสิ้นกิเลส เป็น โลกวิทู ทรงโลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง หาได้ศาสนาเดียว

ศาสนานอกนั้นเราก็ไม่ได้ประมาท ก็ตามความรู้ความเห็นของคนที่ควรจะยึดจะเกาะอะไรว่าถูกว่าดี เขาก็ยึดไปเกาะไป ความผิดพลาดเขาไม่ได้คำนึงละ แต่พุทธศาสนานี้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นศาสนาของท่านผู้รู้จริงๆ เป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส ให้เราติดตามแกะรอยกันไปด้วยภาคปฏิบัติตามพุทธศาสนาซิ คือแกะรอยพระพุทธเจ้าไป พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของของศาสนา แกะรอยเดินตามพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เอ้า ก้าวเดินจะผิดที่ตรงไหน พิสูจน์กันได้ตรงนี้ละ

นี่ก็พิสูจน์มาตั้งแต่วันบวช ได้ ๗๓ ปีแล้ว เราบวชมาดูเหมือน ๗๓ ปีแล้ว บวชวันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ นั่นละเป็นวันเราบวช ตั้งแต่เริ่มนั้นมาเรื่อย ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย เกาะธรรมเกาะวินัยซึ่งเป็นองค์แทนศาสดา เกาะมาเรื่อยๆ  ที่จะเอาหนักแน่นก็คือหยุดจากการศึกษาเล่าเรียน ทีนี้เอาจริง พิสูจน์จริงๆ คราวนี้การพิสูจน์ ศาสนาพระพุทธเจ้าพิสูจน์กิเลสอยู่กับใจของเรา จะแก้ด้วยอะไร กิเลสตัวนี้มันครอบงำสัตว์โลกอยู่ถึงสามโลกธาตุ ไม่มีใครแก้ได้ ไม่มีเครื่องมือใดแก้ได้ ครั้นแล้วก็เป็นเครื่องมือของพระพุทธเจ้า คือธรรมพระพุทธเจ้าแก้ได้ นั่น

เพราะฉะนั้นศาสนานี้จึงเป็นศาสนาที่เลิศเลอ แก้กิเลสที่ครอบหัวใจสัตว์โลกให้ตายกองกันอยู่นี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ คนหนึ่งกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะพ้นได้ของง่ายเมื่อไร ก็ตายเกิดๆ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติสูงๆ ต่ำๆ มาเรื่อยอย่างนี้ เพราะจิตดวงนี้ไม่เคยตาย จิตดวงนี้ตายไม่เป็น ถึงจะตกนรกหมกไหม้ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ตาม ทุกข์เท่าไรยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมสูญคือจิตดวงนี้ ทีนี้เวลาพลิกเข้าไปทางความดี พ้นจากความชั่วทั้งหลายมาเป็นลำดับลำดา ฟาดจนกระทั่งถึงขั้นอรหัตอรหันต์ นี่เรียกว่าหมดละ สมมุติหมดแล้วก็เป็นธรรมธาตุเสีย สูญที่ไหน จิตดวงนี้ไม่สูญ

จากความเลวร้ายที่สุดของมันที่ลงไปถึงนรกอเวจี ขึ้นสูงสุดได้แก่ความบริสุทธิ์ใจ เข้ากันได้กับนิพพานแล้วก็เป็นธรรมธาตุ จิตดวงนี้เป็นธรรมธาตุแล้วอยู่ในร่าง เช่นอย่างพระอรหันต์จิตของท่านเป็นธรรมธาตุแล้วสูญไปไหน รู้ชัดๆ ทั้งที่ครองร่างอยู่นั้นว่าจิตนี้เป็นธรรมธาตุโดยสมบูรณ์แล้ว เรียกว่านิพพานทั้งเป็น สอุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสแต่ยังครองขันธ์อยู่คือพระอรหันต์ อนุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสแล้วด้วย ละขันธ์แล้วด้วย ไปนิพพาน

ชาวพุทธเราส่วนมากเหมือนว่าสุดเอื้อมหมดหวัง อย่างนี้ละถ้าจะไปทางดิบทางดีกลายเป็นเรื่องสุดเอื้อมหมดหวังไป ท้อแท้อ่อนแอไม่อยากปฏิบัติ สฺวากฺขาโต ว่าไง ภควตา ธมฺโม หรือสวากขาตธรรม ใครเป็นคนตรัสไว้คำนี้ เป็นตาสีตาสาหูหนวกตาบอดตรัสไว้เหรอ ศาสดาองค์เอกเป็นผู้ตรัสไว้สอนไว้ รู้แล้วอย่างแจ่มแจ้งโลกวิทูมาสอนผิดไปไหน ไม่ผิด เป็นปัจจุบันตลอดเวลาขอให้ปฏิบัติเถอะ เมื่อปฏิบัติตามรอยที่สวากขาตธรรม คือเป็นแนวทางที่ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพาน เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ผิด เอ้า ก้าวตามนี้แล้วก็ถึงนิพพานเหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านถึงกัน พระอรหันต์ทั้งหลายท่านถึงกัน ไปทางสายนี้ละ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ทางสายนี้ตรงแน่วตลอด จากจุดนี้ถึงจุดสุดท้ายคือพระนิพพาน

ธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลกสอนได้อย่างแม่นยำ เราถือพุทธศาสนาขอให้เอาจริงเอาจังเถิด ในปัจจุบันนี้พระอรหันต์มีอยู่น้อยเมื่อไร แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ท่านจะออกประกาศไว้ วงภายในของท่านรู้กัน องค์ไหนถึงไหนๆ แล้วรู้กัน พระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันของเรามีน้อยเมื่อไร ส่วนมากจะอยู่ตามป่าตามเขา ที่อยู่ในสังคมอย่างนี้มีน้อยมาก ท่านอยู่ในป่าในเขาเสียมากต่อมาก เรียบ แต่ในวงในของท่านรู้กันหมด องค์ไหนถึงขั้นไหนๆ รู้ นั่น ครึที่ไหน ธรรมะพระพุทธเจ้าเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย มันครึมันล้าสมัยแต่กิเลสเหยียบหัวใจของเราเท่านั้นแหละ

อะไรก็สุดเอื้อมหมดหวังถ้าเป็นของดี ถ้าเป็นของชั่วแล้วคว้ามับๆ เร็วยิ่งกว่าลิงนั่น มันก็ได้แต่สมบัติลิงมาละซิ เข้าใจไหม สมบัติของคนสมชื่อสมนามว่าเป็นมนุษย์นี้คือธรรมอันเลิศเลอมันจะไม่ได้นะ ส่วนมากท่านผู้อยู่ในป่าละทรงธรรมเหล่านี้ไว้ ท่านเงียบๆ ของท่านแต่รู้ภูมิภายในของท่าน พวกปฏิบัติด้วยกันรู้กัน เพราะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ถึงไม่ไปก็ตามเรื่องราวมาถึงกันๆ ตลอด เวลาเข้าถึงกันแล้วพูดออกปั๊บๆ หาที่ค้านกันไม่ได้

ยกตัวอย่างอย่างท่านสิงห์ทอง นี่ สุกขวิปัสสโก คือรู้อย่างสงบเงียบ เรียบไปเลย ท่านเองท่านก็มาเล่าให้ฟังถึงได้พูดกัน เราก็เป็นคนฟังเองด้วยหูของเรา ท่านดำเนินวิธีการของท่านเดินไปเราฟังไปๆ ถูกต้องโดยตลอด ตลอดจนกระทั่งถึงที่สุด แต่ไม่บอกขณะที่แสดงความสิ้นกิเลส ไม่เป็นขณะว่าองค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในสถานที่นั่นๆ เวลาเท่านั้น อิริยาบถยืนหรือเดินหรือนอนนี้บอกไว้หมดเลย นี่คือบอกขณะ ที่ไม่บอกขณะแล้วหมดไปๆ เป็นสุกขวิปัสสโก รู้อย่างสงบเงียบไปเลย อย่างท่านสิงห์ทองท่านก็มาเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนกระทั่งสุดขีดของธรรม ไม่มีที่ค้าน เราก็บอกเราค้านไม่ได้ ไม่ค้าน ก็ยกให้เป็นประเภท สุกขวิปัสสโก รู้อย่างเงียบไปเลย

เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต มีขณะทั้งนั้น ขณะบรรลุธรรมมี แต่สุกขวิปัสสโกไม่มีขณะ อย่างท่านสิงห์ทองนี่ท่านบอกว่าไม่มี ไม่ปรากฏเลย หมดไปๆ แล้วหมดไปเลย แล้วหาที่สงสัยก็ไม่ได้ จะหาที่ไหนมันก็ปรากฏว่าพออยู่ในใจนี้หมดแล้วเวลาท่านเล่าให้ฟัง แต่ไม่มีขณะ เราฟังแล้วหาที่ค้านไม่ได้ เราก็ยกเข้าในสุกขวิปัสสก สุกขวิปัสสโก นี่เวลาท่านตายแล้ว ตกเครื่องบินตาย อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ประกาศขึ้นมาแล้ว ลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุนั่นละคือพระอรหันต์โดยแท้ อัฐินี้มาบอกชัดเจน ตายแล้วกลายเป็นพระธาตุ

ท่านสิงห์ทองนี้ก็เป็นพระธาตุ ท่านจวนก็เป็นพระธาตุตกเครื่องบินตาย สององค์นี้อัฐิกลายเป็นพระธาตุ แน่ะอย่างนั้นแหละ แต่ท่านจวนไม่ได้คุยกัน ท่านเป็นขณะ ส่วนมากเป็นขณะ ที่เป็นเรียบๆ ไปเลยเป็นประเภทสุกขวิปัสสโก สุกขวิปัสสก พวก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี้เป็นขณะๆ สิ้นเมื่อไรรู้ในขณะเป็นขณะๆ มีอยู่ ๔ ประเภท สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต อรหันต์ ๔ ประเภท จะบรรลุประเภทใดก็เป็นประเภทที่สิ้นกิเลสเป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบด้วยกันหมดเลย ใน ๔ ประเภทนี้ท่านก็บอกไว้

อย่างที่เงียบๆ ไปเลย เงียบไปเลยๆ อย่างที่ท่านสิงห์ทองเล่า ก็เป็นประเภทสุกขวิปัสสโก เงียบไปเลยจนหายสงสัย เราเองก็ไม่มีที่ค้าน เราก็บอกเราไม่มีที่ค้าน การดำเนินของท่านตลอดจนถึงที่สุดที่ว่าหายสงสัยนั้นมันก็เป็นเช่นเดียวกับผู้มีขณะ พอถึงขั้นนั้นปั๊บแล้วเป็นขณะขึ้นมาก็เป็นแบบเดียวกัน ผู้ไม่เป็นขณะเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เป็นอย่างเดียวกัน อย่างท่านสิงห์ทองไม่เป็น ท่านก็บอกไม่เป็น หายไปเลยท่านว่างั้นนะ หมดไปๆๆ แล้วหายไปเลย จะหาที่ไหนอีกก็ไม่ได้ ท่านเสาะแสวงหาแก้กิเลสตัวไหนก็ไม่มีท่านว่างั้นนะ เรียกว่ามันพออยู่ในใจหมดท่านว่า และเราก็ไม่มีที่ค้านท่านเล่าไป

เวลาท่านตายอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ นั่นก็เป็นอย่างนั้น อันนี้ไม่มีขณะ นอกนั้นมีขณะ ส่วนมากต่อมากมีขณะ บรรลุธรรมด้วยอิริยาบถใด สถานที่ใดๆ บอก องค์นั้นสำเร็จอยู่ที่นั่นที่นี่ก็คือมีขณะบอก ถ้าไม่มีขณะก็ไม่ทราบ อย่างพระอานนท์ก็อิริยาบถ ๔ เอนลงไปนี้กำลังว่าจะนอน เพราะพระพุทธเจ้าว่าจะได้ตรัสรู้วันทำสังคายนา จิตใจมันก็ไปเกาะอยู่ที่จะตรัสรู้ธรรมวันสังคายนา จิตไปอยู่นู้น มีแต่ความหวังๆ ปัจจุบันงานที่จะแก้กิเลสไม่มี ก็มีแต่ว่าจะบรรลุธรรม ทีนี้พอจวนสว่างแล้ว อ้าว พระพุทธเจ้าว่าเราจะได้ตรัสรู้ในวันทำสังคายนา ทำไมจึงไม่ตรัสรู้นา คำพระพุทธเจ้าไม่เคยมีสองว่างั้น เชื่อแน่ในคำนั้น

ทีนี้เมื่อมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทำความเพียรทั้งคืนวันนั้น ก็เลยทอดธุระ นี่ละตอนทอดธุระนะ โอ้ พักสักหน่อยเถอะจะตายแล้วแหละ พอเอนลงทางนี้จะถึงหมอนก็ยังไม่ถึง เรียกว่าอิริยาบถ ๔ ยืนก็ไม่ใช่ นั่งก็ไม่ใช่นั่ง นั่งก็เอน นอนก็ไม่ใช่ยังไม่ถึงหมอน นั่นละอยู่ในระหว่างนั้น พอเอนก็ผางขึ้นเลย พระอานนท์ตรัสรู้ธรรม ตื่นเช้ามาก็ เพราะจะทำสังคายนา ๕๐๐ องค์ เอาไว้ ๑ องค์ ๔๙๙ ยังเหลืออยู่องค์ ๑ เอาไว้สำหรับพระอานนท์ พระอานนท์จะต้องได้ตรัสรู้ในวันทำสังคายนาเป็นองค์ที่ ๕๐๐

พอวันนั้นมาท่านก็มุ่งแต่ว่าจะตรัสรู้ๆ ธรรม จิตมันออกข้างนอก พอทอดธุระปั๊บ จะนอนเพราะเอนแล้วนี่ พับเดียวเท่านั้นบรรลุธรรมแล้ว นั่นละทอดธุระ จิตเป็นปัจจุบันแล้วนั่น ที่จะมุ่งนั้นมุ่งนี้อยู่ไม่สำเร็จนะ คือจิตจะเข้าถึงขั้นสำเร็จจะปล่อยทั้งหมดเลย ไม่มีงานใดประจำจิตเวลานั้น งานทำความเพียรอย่างใดๆ หมด เป็นงานอุเบกขา วางเป็นกลางๆ ไม่ทำงานอะไรเลย นั่นละขึ้นเวลานั้น นี่จิตพระอานนท์ก็ทอดธุระหมดแล้วปล่อยวางหมดแล้วเอนลง ผางขึ้นเลย นั่นเรียกว่าทอดธุระ

เช้ามาก็เป็นองค์ที่ ๕๐๐ ทำสังคายนามีแต่พระอรหันต์ ๔๙๙ องค์เป็นพระอรหันต์ทำสังคายนาร้อยกรองธรรมวินัย ยังขาดพระอานนท์องค์เดียว เอาช่องนี้ไว้ช่องหนึ่งสำหรับพระอานนท์ พระพุทธเจ้าก็ว่าพระอานนท์จะได้ตรัสรู้ธรรมในวันทำสังคายนา พอดีวันนั้นจวนสว่าง ท่านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากทอดธุระ พอเอนกายว่าจะพักสักนิดหนึ่ง พอเอนทอดธุระหมดแล้วนี่จิตเป็นกลาง ผึงขึ้นในเวลานั้นเลย เป็นอิริยาบถ ๔ จะนั่งหรือยืนก็ไม่ใช่ จะนอนก็ไม่ใช่ พอเอนอย่างนี้ยังไม่ถึงหมอนก็ไม่เรียกว่านอน พอเอน อิริยาบถ ๔ พระอานนท์

ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๑๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๑ ตันกับ๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ได้อีก ๕๗๐ กิโล ๔๘ บาท ๓๑ สตางค์ ได้เพิ่มเข้าอีก รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็นทองคำ ๑๑,๖๐๘ กิโล ๑๕ บาท ๔๒ สตางค์ ทองคำเราได้รวมทั้งหมดมาถึงเมื่อวานนี้ ได้ทองคำ ๑๑,๖๐๘ กิโล ๑๕ บาท ๔๒ สตางค์ ทองคำได้เยอะอยู่นะคราวนี้นะ ทองคำเอาเข้าคลังหลวงคราวนี้ได้เยอะอยู่

(เมื่อวานนี้ได้มีการประชุมสงฆ์และประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับพระราชบัญญัติเงินตราที่มีการเคลื่อนไหว ที่จะเข้ามานำเงินในคลังหลวงไปใช้เจ้าค่ะ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และก็สมาชิกสภานิติบัญญัติ รองประธานสภาทนายความ และผู้เชี่ยวชาญทางการเงินในคลังหลวง ได้ใจความสรุปดังนี้เจ้าค่ะ เป็นการเสี่ยงที่จะนำเงินทุนในคลังหลวงไปทำการลงทุนตามกระแสโลก เพราะถ้าได้ประเทศไทยก็พอรอด แต่ถ้าเสียเงินหนุนพันธบัตรจะลดลงไป และจะทำให้เสียหายต่อเงินบาท เงินบาทอาจจะลดค่าลง และกลายเป็นเงินกงเต๊กไปในที่สุดเจ้าค่ะ การเปลี่ยนกฎต่างๆ เกี่ยวกับเงินคลังหลวงจะทำต่อเจตนาเดิมของบรรพบุรุษ เพราะว่าบรรพบุรุษต้องการเก็บเงินคลังหลวงนี้ไว้ให้มั่นคง หรือว่าให้เพิ่มพูนไปตลอดรุ่นลูกรุ่นหลาน สมดังคำเทศน์ที่พระหลวงตาได้เทศน์ไว้ว่า คลังหลวงนี้เป็นหัวใจของไทยทั้งชาติ ถ้าสิ้นคลังหลวงไปแล้ว ปวงคนไทยก็คงจะสิ้นชาติ สิ้นสมบัติพัสถาน สิ้นศาสนา สิ้นแผ่นดินสิ้นวงศ์กษัตรา สิ้นพสุธาอาศัยมาหลายร้อยปี คลังหลวงเป็นหัวใจไทยทั้งชาติ หนุนเงินบาทรวมทองคำอยู่ที่นี่ ฟังให้จำจำฝังใจไว้ให้ดี สมบัตินี้เป็นของเราทุกๆ คนเจ้าค่ะ)

เออพอใจ ความรู้ความเห็นของเรายังคงเส้นคงวาอยู่ไม่เคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าค้าน อะไรกล้าค้าน ได้พิจารณาเต็มหัวใจแล้วออกๆ ไม่ใช่ด้นเดาออก พิจารณาๆ แล้ว เหมาะสมตรงไหนจะออกตรงนั้นปั๊บ นี่ก็เหมาะสมอย่างที่ว่านี้ให้เอาไว้ อย่าเอาออก เอาธรรมละเข้าพิจารณา ถ้าเอาโลกพิจารณามันไม่แน่นอน ว่าแต่จะร่ำรวยๆ จมก็มีเข้าใจไหมล่ะ ถ้าเอาธรรมเข้าพิจารณาแล้วจะเหมาะสมตลอดไป นี่เราก็เอาธรรมเข้าพิจารณา แล้วบอกกับรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย โดยถือธรรมเป็นหลักเกณฑ์ เราก็ทำมาอย่างนั้น ก็เหมาะสมอยู่แล้ว เอาละพอใจ (ขอผลานิสงส์ผลบุญที่ลูกศิษย์ทั้งหลายได้กระทำมา จงมาปกป้องคลังหลวงให้อยู่คู่ชาติไทยตลอดไปด้วยเทอญ) เอ้อ พอใจ เอาละ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก