เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
วัดที่ระลึกถึงวันตายก็ไม่ลืม
ธาตุขันธ์มันเป็นอะไรไม่รู้นะระยะนี้ มันเป็นอยู่ลึกๆ พูดไม่ถูก แต่ให้ทราบในร่างกาย ทั่วร่างกายเป็นอะไรพูดยากๆ เพราะฉะนั้นฉันจังหันจึงฝืน มองเห็นอาหารนี้ยังไม่ได้ฉันฝืนก่อนแล้ว มันมีอะไรของมันอยู่ในนั้น เวลามันทรุดอะไรๆ ก็เป็นผลลบไปหมด กิริยาอาการที่แสดงออกมานี้ส่วนมากมีแต่ผลลบๆ ผลบวกไม่ค่อยมี เวลาผลบวกเต็มที่เราก็ไม่ลืมนะ อายุ ๒๓ ปี กำลังวังชาเต็มที่ อาหารการกินมีเท่าไรกินได้หมด จนได้โมโหให้เจ้าของ ให้เท่าไรมันก็ไม่พอ มีแต่อยากๆ เอาข้าวเปล่าๆ มาให้กินหวานไปเลย โห มันพิลึกกึกกือเหลือเกิน
ไม่อิ่มนะนั่นแต่มันเต็มท้องเสียก่อนแล้วหยุดไปเฉยๆ เราไม่ลืมนะ อายุ ๒๓ ปีเรียกว่ากำลังเต็มที่ การอยู่การกินทุกอย่างเต็มที่ นอนเต็มที่ อายุ ๒๓ พอจากนั้นไปแล้วจับไม่ได้ชัดเจนเหมือนปีอายุ ๒๓ อายุ ๒๓ นี้กำลังเต็มที่ ๒๔-๒๕-๒๖ มันก็เรื่อยๆ แต่ ๒๓ รู้สึกว่าเด่นมากทีเดียว พอหยุดเรียนอายุ ๒๗ ละมั้ง ใช่ ดูเหมือนอายุ ๒๗ พอ ๒๗ สอบเปรียญได้แล้ว สอบได้ออกเลย เพราะมีคำสัตย์คำจริงไว้เช่นนั้น บอกว่าเราตั้งสัจจะเอาไว้ว่า ถ้าเราเรียนจบได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค ก็พออยู่พอกิน เรื่องแบบแปลนแผนผัง นักธรรมจะได้ถึงนักธรรมเท่าไรเราก็ไม่ว่า แต่เปรียญขอให้ได้ ๓ ประโยค พอ
พอดีเรียนไปนี้นักธรรมก็สอบไปด้วยกัน ก็เลยได้ไปด้วยกัน เลยกลายเป็นนักธรรมเอก และเปรียญ ๓ ประโยค พอ รู้สึกพอในใจ พอ เป็นปากเป็นทางได้ดีในการจะออกปฏิบัติ อายุ ๒๗ ออกเลย ออกก็มาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา คลังแห่งมรรคผลนิพพานก็อยู่กับท่าน มาถึง มันก็เหมือนว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้ ความตั้งใจของเราอย่างแรงกล้านะมาหาท่าน คือตั้งใจจริงๆ คราวนี้ออก อยากทราบเรื่องมรรคผลนิพพานว่ามีจริงหรือไม่มี ดูซิ เรียนถึงเป็นมหา กิเลสเต็มหัวใจมันก็ขวางจนได้ ยังสงสัยมรรคผลนิพพาน ขอให้ท่านผู้ใดผู้หนึ่งมาชี้แจงให้ทราบชัดเจนว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น แล้วจะเอาตายเข้าว่าเลย เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว
เราไม่ลืมนะ จิตใจมันรุนแรงต่อมรรคผลนิพพาน แต่ว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี มันยังไม่แน่ใจตอนนี้ พอเข้าถึงหลวงปู่มั่นแล้ว โอ๊ย เปิดเลย ท่านเอาเรดาร์จับไว้หมดกับความตั้งใจของเราเต็มเหนี่ยว ใส่เปรี้ยงๆๆ โอ๊ย ถึงใจนะ ถึงใจๆ มันเริ่มถึงใจตั้งแต่ไปพบทีแรก แทนที่จะเป็นผลลบ ไม่เป็นนะ ไปมืดๆ ไปบ้านโคก ไปมืดๆ เขาบอกทาง ทางก็พอเป็นทางไปเท่านั้นแหละ ท่านพึ่งมาอยู่บ้านโคก มาสร้างวัดใหม่ ทางจึงยังไม่มี ไปอยู่ก่อนเลย เขาไปบอกต้นทาง คนในบ้าน ไปกลางบ้านไปเจอเขา กลางคืน เขาก็นำไปบอกเส้นทาง ให้จับเส้นทางนี้ละ ถึงจะรกก็ตาม ถึง ถึงที่วัดซึ่งกำลังสร้างเวลานี้ว่างั้น ไปเลย ก็ถึงละ ไปทีแรกก็ได้เลย แทนที่จะเป็นผลลบ เป็นผลบวกทั้งหมด
ไปก็ไปเซ่อซ่าๆ ดูศาลาดูกุฏิ ท่านเดินจงกรมท่านเดินอยู่ข้างๆ มืดๆ ท่านว่า ใครมานี่ ก็บอกว่ากระผม ขึ้นทันทีเลย อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มี เสียงลั่นเลยนะ อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน แย้งซิ หาที่แย้งไม่ได้ เราจับทุกกิทุกกีเลย แหม ทำไมท่านพูดถูกต้องเอานักหนานะ พอว่ากระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่าอย่างนั้นซิ อันนี้ผมๆ ท่านแหย่เอาอีก แม้แต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ อู๊ย ทำไมถึงใจเอานักหนา ไปท่านก็เอาเลย เปรี้ยงๆๆ ถึงใจ วันนั้นจุใจเลย
ไปมืดๆ เดินด้วยเท้าจากสกลนครวัดสุทธาวาสไป กลางวันมันร้อน แดดร้อนมาก พักไปตามทางบ้าง กว่าจะถึงนู่นมันก็มืด ทางก็เพียง ๒๑ กิโลเท่านั้นไม่ได้ไกลนัก แต่กลางวันมันร้อนมาก ต้องไปตอนบ่ายๆ ไปถึงนู้นมันถึงมืด ไปก็วางปฐมฤกษ์จากธรรมะอันเด็ดเผ็ดร้อนของท่าน ทีนี้มรรคผลนิพพานนี้เปิดโล่งเลย ทั้งๆ ที่หัวใจมีกิเลส แต่ความสงสัยมรรคผลนิพพานหายหมดเลย เอาละที่นี่ ตั้งแต่นั้นมาฟัดเลย ดูพรรษา ๘ ละมั้งไปถึงท่าน พรรษา ๗-๘ ไปจำพรรษาที่จักราช โคราช ออกพรรษาแล้วก็ไปหาท่านเลย
ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ตั้งท่านเป็นรากเป็นฐานเอาไว้ แม้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ก็กลับมาๆ เรื่อย ท่านเทศน์เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคผลนิพพานหายสงสัยหมดเลย เหมือนกับว่าแบไว้ นี่น่ะเห็นไหมๆ ตาบอดหรือว่างั้นท่า มันก็จ้าขึ้นในใจซิ ความสงสัยหายหมดเลย ทีนี้เอาละที่นี่ซัดจริงๆ นี่ มันจริงจริงๆ นะเรา จากนั้นก็เอาละไปประกอบความเพียร ตั้งแต่วันนั้นเทียว ไปคนเดียวเอาเป็นเอาตายเข้าว่าตลอด ตกนรกทั้งเป็น อยู่เป็นเวลา ๙ ปีนะไม่ใช่เล่น ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ ถึงได้ม้วนเสื่อกับกิเลสขาดสะบั้นกันลงได้ในคืนวันนั้น จนป่านนี้โล่งโลกธาตุนี้ว่างไปหมด ว่าให้มันชัดเจน
มันขวางก็มีกิเลสเท่านั้นขวางให้โลกมืดมิดปิดตาไปหมด คือกิเลสปิดหัวใจ พอกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจนี้โลกนี้ว่างไปหมด พอหัวใจว่างเท่านั้นมันก็ว่างไปหมด หัวใจตีบตันมันก็มืดเหมือนตาบอด ตาบอดเท่านั้นมีอะไรก็ไม่เห็นละ ใจบอดเท่านั้นอะไรก็ไม่เห็น ออกไปจากนั้นก็ฟัดกันเลย พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ จึงได้ม้วนเสื่อกิเลสลง หลังวัดดอยธรรมเจดีย์เราก็ไม่ลืมนะ วัดดอยธรรมเจดีย์นี้จึงเป็นวัดสำคัญมากที่เราลืมไม่ได้ ลืมไม่ได้จริงๆ วัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวัดที่ได้ความอัศจรรย์ถึงสองครั้ง
ครั้งแรกก็ไปชมเชยเจ้าของ จิตมันว่างเวลานั้น ว่างหมดเลย มองไปไหนก็ว่างหมด เหยียบอยู่บนพื้นดินนี้ว่างไปหมดเลย นี้ก็อัศจรรย์ตัวเอง ว่าทำไมจิตของเราถึงอัศจรรย์เอานักหนา ว่างก็ว่างเอาเสียหมดโดยสิ้นเชิง แล้วธรรมะท่านกลัวจะหลงท่านก็.พอความรำพึงอันนี้ขาดลงหยุดลง ก็เป็นคำพูดขึ้นมาเป็นคำๆๆ บอก ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดความรู้ คือจิตนั่นละ อะไรๆ ว่างหมด แต่ตัวจิตมันยังไม่ว่างความหมายว่างั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน ผู้รู้ก็คือใจ อยู่ที่ไหนล่ะ ก็อยู่ที่ใจดวงนั้น นั้นแลคือตัวภพ นั่นมันแก้ไม่ได้
ถ้าไปเล่าถวายพ่อแม่ครูจารย์ฟังนี้ท่านจะเปิดขึ้นเดี๋ยวนั้น ดีไม่ดีอาจจะบรรลุธรรมในขณะนั้นก็ได้ แต่นี้ท่านเสียไปแล้วละเราถึงงงแก้ไม่ตก จากวัดดอยธรรมเจดีย์ก็ไปนู้นทางอำเภอบ้านผือ ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ ไปคนเดียว เดือน ๕ เดือน ๖ ต่อกันก็กลับไปวัดดอย จึงไปเปิดโล่งกันที่นั่น ไปปลงที่นั่นละ จุดต่อมไปปลงกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ทีนี้มันถึงว่างหมด ว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน แต่ก่อนมันว่างภายนอก ตัวนี้ยังไม่ว่าง จุดต่อมแห่งผู้รู้นั้นยังไม่ว่าง พอผู้นี้ว่างแล้วก็ว่างไปหมดเลย ก็เป็นวัดดอยธรรมเจดีย์ที่ไปอยู่ที่นั่น
จึงไม่ลืม เรื่องวัดดอยธรรมเจดีย์ไม่ลืมละ จุดสุดท้ายไปที่วัดดอย ไปปลงกันลงที่นั่น ปลงลงหมดโดยสิ้นเชิงที่นั่น วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี ไม่ลืมเลยนะ เพราะกระเทือนมาก นั่นละปลงกันลงที่นั่นโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือตั้งแต่บัดนั้นมา ทีนี้มันถึงว่างที่นี่จิต ทีนี้ว่างหมดละ หมดเลย ภายในใจก็ว่างภายนอกก็ว่าง ภายในใจก็ปล่อยวางตัวเอง ข้างนอกก็ปล่อยวางหมด เรียกว่าปล่อยวางหมดโดยสิ้นเชิง อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เราจึงไม่ลืมวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวัดที่เราระลึกถึงวันตายก็ไม่ลืมละ ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ไม่มีอะไรอีกละ
วัดดอยธรรมเจดีย์จึงเป็นวัดที่ระลึกถึงวันตายก็ไม่ลืม เป็นวัดสำคัญอยู่มากทีเดียว นี่ละที่ได้ธรรมมาสอนอยู่เวลานี้ สอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายไม่ทราบว่ามันเป็นยังไงนะ หรือไปสอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมัน มันเหยียบหัวไปทุกวันก็ไม่รู้นะ ธรรมนี้เอามาสอน ธรรมนี้ธรรมพ้นโลกเอามาสอน แต่มันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของกิเลส กิเลสจะเหยียบย่ำทำลาย สอนแทนที่จะได้เป็นของดิบของดี กลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองแล้วก็ไปเผาไหม้ครูบาอาจารย์ไปก็ได้ เราไม่ได้เชื่อนะ คนมีกิเลสมาหากันนี้มันเรียนวิชาหมามาด้วยมากัดกัน ไปตามถนนหนทาง อยู่ที่วัดก็กัดกัน ออกไปก็กัดกัน ตามหลังเราไปก็กัดกันตามหลังเราไป
มันเก่งกล้าอยู่นะกิเลส ตามหลังครูบาอาจารย์ไปก็กัดกันตามหลังไป แง้ง้าๆ กัน เข้าใจไหม มันน่าทุเรศนะ เราไม่ได้อะไร ได้แต่ความทุเรศ สลดสังเวชเท่านั้น เพราะสอนเต็มภูมิแล้ว แล้วมันยังเอาวิชาหมากัดกันมาอวดหน้าต่อหน้าต่อตาอีก โฮ้ มันเก่งมากนะกิเลสนี่เก่งจริงๆ นะ มันเอาวิชาหมากัดกันมากัดกันต่อหน้าต่อตาครูบาอาจารย์จนได้ นี่ละกิเลสมันอายใครเมื่อไร มันไม่อายใครนะ มันถือว่าตัวดีตัวเด่นไปหมด กิเลสตัวนี้ถ้ามันหนาแน่นเท่าไร ตัวนี้ดีกว่าเพื่อนกว่าฝูง ไปที่ไหนกระทบกระเทือนที่นั่น ไม่ได้มองดูใจเขาใจเรา มองดูแต่ใจตัวเองใหญ่กว่าโลกๆ แล้วไปที่ไหนกระทบกระเทือนที่นั่น จำให้ดีนะ
มาฟังธรรมให้เอาธรรมนี้เข้าไปสู่หัวใจไปดูหัวใจตัวมันเบ่งๆ นั้นน่ะ มันเบ่งอยู่ที่หัวใจที่มีกิเลสนั่นละ หัวใจที่สิ้นกิเลสแล้วไม่มีอะไรเบ่ง ว่าอะไร อย่างมากก็มีแต่ความสลดสังเวชเท่านั้น ไม่มีอะไรต้อนรับ เพราะความเลวร้ายอย่างนั้นไม่มี ตัวมันมีมันก็แสดงออกเต็มเหนี่ยวของมัน ตัวที่ไม่มีก็มีแต่ความสลดสังเวชเท่านั้น ให้พากันไปคิดไปอ่าน ดูหัวใจตัวเอง ดูให้กว้างขวางออกไปทั่วถึงใจเขาใจเรา อย่าดูตั้งแต่หัวใจเรามันจะใหญ่โตเบ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าดูหัวใจคนอื่นแล้วเฉลี่ยก็พออยู่กันได้ เก็บความรู้สึกไว้ได้ ไม่ออกทุกแง่ทุกมุมตามความคิดของกิเลสเสียถ่ายเดียว ก็อยู่กันได้คนเรา
ถ้าเอาแต่หัวใจตนออกกางแล้วไปที่ไหนกระทบกระเทือนหมดนะ คนไปที่ไหนมักกระทบกระเทือนคนอื่นก็คือคนประเภทนี้ละ เห็นใหญ่แต่ตัวคนเดียว คนอื่นเป็นหมูเป็นหมาไปหมด เป็นคนเป็นราชสีห์เสือโคร่งแต่ตัวคนเดียว ไปไหนมันก็กัดไปเรื่อยๆ ใช้ไม่ได้ ให้ดูใจเขาใจเรา ถ้าดูแต่ใจเราแล้วมันเบ่ง มันเย่อหยิ่งจองหอง ถ้าดูใจคนอื่นด้วยใจเราด้วยเฉลี่ยกันแล้วก็พออดพอทนคนเรา ให้พากันพินิจพิจารณา
มาปฏิบัติธรรม อย่าเอาแต่กิเลสออกหน้าออกตาตลอดเวลาดูไม่ได้เลย ให้เอาธรรมออก ดูกันเห็นกันให้ดูด้วยความเป็นธรรม และความให้อภัย เก็บความรู้สึกไว้ให้ดี อย่าให้มันออกรวดเร็วนัก ไอ้ความรู้สึกกับปากเปราะนี้มันไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว พากันจำเอาไว้ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละ พากันจำเอา ให้ปฏิบัติ หยุดละ เทศน์เท่านั้นละ หยุดเหนื่อย
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |