เชื่อแต่ยังไม่ลงใจ
วันที่ 28 ตุลาคม 2550 เวลา 7:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

เชื่อแต่ยังไม่ลงใจ

         ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีกจนกระทั่งถึงวันที่ ๒๗ ตุลา ได้ทองคำ ๕๕๐ กิโล ๑๐ บาท ๙๖ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็นทองคำ ๑๑,๕๘๗ กิโล ๔๙ บาท ๘๕ สตางค์ ตั้งแต่เราเริ่มช่วยโลกมาปี ๔๐ แหละ ปีเมืองไทยจะจม เราได้พากันฟื้นตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑,๕๘๗ กิโล ๔๙ บาท ๘๕ สตางค์ ทองคำที่เข้าคลังหลวง ส่วนดอลลาร์ได้เข้าเพียง ๑๐ ล้านสองแสนกว่า ก็คงไม่ได้เข้าอีกแล้วดอลลาร์

ดังที่เคยเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกัน คือตอนที่เราเทศน์ช่วยชาติเขาถวายปัจจัยมามากน้อยก็ออกช่วยโลกได้พอเป็นไป ทีนี้พอเราหยุดเทศน์การเงินเหล่านี้ก็ไม่มี แต่ความจำเป็นของโลกหมุนเข้ามาหาเรามีรอบตัวๆ แล้วเงินไทยช่วยเหลือไม่พอ จึงต้องเอาเงินดอลลาร์ออกมาช่วย ทีนี้ตกลงเงินดอลลาร์กับเงินไทยเลยไปด้วยกัน ออกช่วยโลก เว้นแต่ทองคำ ทองคำตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งสุดขีด เรียกว่าร้อยทั้งร้อยเลย ไม่ให้แยกไปไหนเลย ทองคำเข้าคลังหลวงล้วนๆ เวลานี้ทองคำเราที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ไม่ใช่เล่นๆ นะ ได้เยอะอยู่ และหลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมอีก ๕๕๐ กิโล ๑๐ บาท ๙๖ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๕๘๗ กิโล ๔๓ บาท ๘๕ สตางค์

นี่เราอุตส่าห์พยายาม มันก็ได้ขึ้นมาๆ ก็ได้ทองคำตั้งเยอะนะคราวนี้ ตั้งหมื่นกว่ากิโล ๑๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ที่เข้าคลังหลวงของเรา แล้วสมบัติต่างๆ ที่เราพาพี่น้องทั้งหลายนำเข้าสู่คลังหลวงนั้น ผู้จัดการพิจารณาทางคลังหลวงก็มี จะแยกแยะเงินหรือทองคำอะไรไปทางไหนๆ นี้ ต้องผ่านมาหาเราก่อน นั่น แต่ก่อนเขามีอะไรเขาก็ออกของเขาไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ก่อน ทีนี้พอเราเข้าไปเกี่ยวข้อง หาสมบัติเข้าสู่คลังหลวงซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง ทางโน้นที่จะปฏิบัติต่อสมบัติเหล่านี้ต้องได้ปรึกษาหารือกับเรา จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แน่ะ มันก็มีแปลกๆ กันอยู่งั้นใช่ไหมล่ะ  แต่ก่อนเขาไม่ต้องมาถาม เดี๋ยวนี้ไม่ถามไม่ได้ ทางนี้ค้านไปก่อนแล้ว

วันนี้วันอาทิตย์ที่ ๒๘ คือถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ เราไม่ได้ไปโรงพยาบาล จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ นี้ไปทุกวัน จันทร์ไปโรงนี้ อังคารโรงนั้น พุธ พฤหัส ศุกร์ ไป อาทิตย์หนึ่งห้าโรง ที่เราไปส่งให้ ส่วนที่เขามารับที่นี่ เขาก็มารับเอง ไม่ว่าใกล้ว่าไกล เราจัดไว้เรียบร้อยแล้วในโกดังเต็มอยู่นั้น จังหวัดไหนมาได้ทั้งนั้น ถ้ามาไกลก็ให้เป็นพิเศษ ถ้าใกล้หรือธรรมดาทั่วๆ ไปก็ให้ธรรมดา กำหนดมีพิเศษก็คือ เช่นอย่างทางด้านทิศเหนือก็อุตรดิตถ์ ทางนู้นก็ตั้งแต่ยโสธร โคราช เขตนั้นเข้ามานี้ ให้เป็นพิเศษๆ ไกลกว่านั้นยิ่งให้มากกว่านั้น ให้พิเศษๆ ส่วนใกล้เข้ามานี้ก็ให้ธรรมดา คือให้อย่างสม่ำเสมอ วันนี้วันอาทิตย์เราไม่ได้ไปโรงพยาบาล ๒๗-๒๘ วันเสาร์อาทิตย์ ไม่ได้ไป ส่วนมากไปตามวัด ไปตามวัดก็เอาของใส่รถเต็ม เทปั๊วะเลย ไม่ใช่ไปเอา ไปให้ทั้งนั้นๆ ไปที่ไหนให้ๆ เรื่อยๆ

ระยะที่ช่วยชาติคราวนี้ ธรรมะได้มีโอกาสไหลเข้าสู่จิตใจของประชาชนชาวพุทธเราบ้างพอประมาณ ตามที่เราคิดไว้ไม่ผิด คือว่าจะออกช่วยชาติ โลกทั้งหลายจะมองแต่ด้านวัตถุ เขาไม่เคยสนใจมองเรื่องอรรถเรื่องธรรมละ แต่เรามองพุ่งเข้าไปหาธรรม ในคราวนี้ธรรมจะได้เข้าสู่จิตใจคนบ้างพอประมาณ แน่ะ ส่วนสมบัติจะเข้ามากน้อยใครก็ทราบกัน สำหรับธรรมนั้นจะเข้าสู่จิตใจ คนไม่ค่อยได้คิดและไม่ได้คิด เราคิดแล้ว จุดนี้ก็จริงๆ การช่วยชาติคราวนี้ ธรรมะได้ออกช่วยโลกทั่วประเทศไทยเรา เฉพาะวิทยุตั้งร้อยแห่งนะ ออกทั่วประเทศ รวมแล้วเป็นร้อยกว่าแห่ง ธรรมะเข้าสู่จิตใจประชาชน

ธรรมะในตำรากับธรรมะจากภาคปฏิบัตินี้ต่างกันอยู่มาก ไม่ใช่ธรรมดา ต่างกันมากทีเดียว เราจะทราบได้ชัดก็คือว่า เรียนเราก็เรียน ปฏิบัติเราก็ปฏิบัติ ได้สัมผัสทั้งฝ่ายปริยัติ ฝ่ายปฏิบัติ จึงพูดได้ไม่สงสัย ภาคปฏิบัตินี่รู้เห็นขึ้นจุดใดๆ เรื่องใดๆ นี้ ทั้งรู้ทั้งเห็น ทั้งเป็นเจ้าของด้วย เป็นเจ้าของของธรรมประเภทนั้นๆ ที่ปรากฏขึ้นในใจ ส่วนการศึกษาเล่าเรียนมามีแต่ความจำเป็นภาคพื้นของทางภาคปฏิบัติ เรียนจำได้แล้วให้ออกปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ท่านว่าไว้ ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน น่นเรียกว่าแบบแปลนแผนผัง ปฏิบัติคือดำเนินตามที่เรียนมา เอาแปลนออกมากาง ปลูกบ้านสร้างเรือนเอ้าปลูกขึ้นมา ปฏิเวธก็เห็นผลของการก่อสร้างผลงานของตนเป็นลำดับจนสมบูรณ์แบบจากการก่อสร้าง นั่น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จึงแยกกันไม่ออก

เราเรียนเฉยๆ เอาความจำมาเป็นมรรคเป็นผลมาโอ้มาอวด ดีไม่ดีมาเย่อหยิ่งจองหองว่าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ยิ่งเลว คนผู้นั้นเลวกว่าคนที่เขาไม่ได้เรียนเสียอีก เขาไม่ได้เรียนเขาไม่ได้มีอะไรเย่อหยิ่งจองหอง ตัวเรียนมาได้เพียงความจำเอามาโอ้อวดเขา มาเย่อหยิ่งจองหองใช้ไม่ได้เลย เพราะการเรียนนี้มีความจำเท่านั้น ไม่ได้เป็นสมบัติของตัวเอง การปฏิบัติ ผลออกจากปฏิบัตินี่รู้ด้วยเห็นด้วย เป็นสมบัติของตัวด้วย นี่เป็นสมบัติของตนโดยแท้จากภาคปฏิบัติ ที่สืบเนื่องมาจากปริยัติเป็นแบบแปลนแผนผัง เอาปริยัติออกมากางแล้วปฏิบัติตามนั้น ปฏิเวธคือผลของงานก็ปรากฏขึ้นมา

การปฏิบัติธรรม ผู้ไม่เคยปฏิบัติ อย่างน้อยก็ไม่ทราบผลของการปฏิบัติว่าเป็นอย่างไร ก็จะเอาแต่ความจดความจำมาเป็นมรรคเป็นผล มาเป็นตัวเป็นตน ใช้ไม่ได้ ต้องเอาภาคปฏิบัติออกแจงกัน เอาปริยัติออกมาปฏิบัติตามนั้น ผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ เช่นเรานั่งสมาธิภาวนาเป็นยังไง จิตมีความสงบร่มเย็น รู้หยาบละเอียดลึกตื้นหรือกว้างแคบขนาดไหน มันจะบอกขึ้นรู้ขึ้นภายในใจ นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ ผลเกิดขึ้นอย่างนี้ ปริยัติเราได้ศึกษามาแล้ว ปฏิบัติทำลงไปผลก็ปรากฏขึ้นมา ทีนี้คำว่าปฏิเวธก็รู้ผลของงานตัวเองจากการปฏิบัติมีจิตตภาวนา เป็นต้น ไปเรื่อยๆ ทีเดียว

ธรรมะจึงคงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่ตลอดเวลา เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วตลอดมา นี่คือพุทธศาสนา เอาไปปฏิบัติซิ มรรคผลนิพพานได้ยินแต่ชื่อแต่นาม เจ้าของไม่ปฏิบัติจะหามรรคผลนิพพานมาเป็นสมบัติของตัวได้ยังไง ต้องออกปฏิบัติ เมื่อออกปฏิบัติมากน้อยผลงานจะปรากฏขึ้นมาๆ นี่มันก็ไปสัมผัสที่เราบวชใหม่ๆ คือเวลาเราไปเป็นนาคอยู่วัดโยธานิมิตร ท่านพระครูท่านออกเดินจงกรมตอนเช้า ท่านออกเดินจงกรมราวตี ๔ หรือจวนตี ๕ ท่านออกเดินจงกรม ท่านเอาผ้าสังฆาฏิไปพร้อม เพราะท่านจะอยู่ปราศจากไตรจีวรไม่ได้

ท่านเดินจงกรม เราไปเป็นนาคเราก็สังเกตท่าน เพราะท่านนอนในโบสถ์ ข้างหลังโบสถ์คือหลังพระประธาน ปล่อยให้พวกเรานอนอยู่หน้าโบสถ์บ้าง ในบริเวณโบสถ์ข้างหน้าบ้าง เวลาท่านออกไปเดินจงกรมเราสังเกตดู เราไม่รู้ประสีประสาอะไรนี่ ไปเป็นนาคจะบวช เห็นท่านเดินจงกรมกลับไปกลับมา พอบวชแล้วก็อยากภาวนาจะทำยังไง ท่านก็สอน ให้ภาวนาพุทโธแหละ เราก็เอาพุทโธ ท่านว่างั้น ท่านสอน เราจึงได้ภาวนาตั้งแต่นั้นมาเรื่อยๆ

เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ตั้งใจเรียนจริงๆ ๗ ปี พอหยุดจากนั้นก็เข้าป่าเลย เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีนี้ได้ความอัศจรรย์จากการภาวนา ๓ หน ที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นเคยเป็น แต่มาเป็นขึ้นอย่างไม่คาดไม่คิดนี้มันอัศจรรย์มากนะ โถ จิตรวม มันตื่นเต้นว่างั้นเถอะน่ะ จิตรวมนี้ขาดหมดเลย เหลือแต่จิตดวงที่อัศจรรย์ เหมือนอย่างเกาะเล็กๆ อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร จิตดวงนี้เหมือนอยู่ท่ามกลางของสมมุติทั้งหลาย มันอัศจรรย์ นี่ละบวชใหม่ๆ ไปภาวนา นี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นความอัศจรรย์ภายในจิตจากการภาวนา จากนั้นก็เอาใหญ่เลย ไม่ได้ ก็มันไปคาดเอาแต่ผลที่ได้มาแล้ว ปัจจุบันมันไม่สนใจ มันจะเอาอย่างนั้นๆ มันก็ไม่ได้ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี จิตรวมอย่างนี้ ๓ หน

นั่นละที่ฝังลึกเป็นอจลศรัทธา ไม่หวั่นไหว เชื่อมั่นในผลที่ปรากฏว่าจะเขยิบหรือคืบหน้าต่อไปจนถึงมรรคผลนิพพานได้จากนี้ จับอันนี้ไว้ พอออกปฏิบัติแล้วเอาใหญ่เลย ได้อย่างว่า จากกรุงเทพก็มาจำพรรษาที่อำเภอจักราช โคราช เร่งความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย พอออกพรรษาแล้วก็รีบมาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่อยู่วัดโนนนิเวศน์ ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นิมนต์ท่านมาจากเชียงใหม่ ท่านก็มาให้ มาจำพรรษาให้ ๒ พรรษา รีบมาหาท่านไม่ทัน ท่านไปสกลนครเสียก่อน หวุดหวิด สองสามวัน ท่านไปก่อนสองสามวันเรามา เราก็ตามไปทีหลังไปหาท่าน

ที่ขบขันที่ท่านแผดเสียงขึ้นเวลาเงียบๆ มืดๆ เราไปมืดๆ ให้โยมเขาบอกทาง เขาก็เดินไปบอกทาง นี่ละให้ไปทางเส้นนี้ทางคนเดินป่าบุกป่าไป ไปตามนี้จะถึงวัดเลย เพราะวัดพึ่งสร้างใหม่ถนนหนทางอะไรก็ไม่มี เราก็ไป นั่นละไปหาท่านไปมืดๆ เสียงท่านแผดขึ้นมา เราไปก็เดินเถ่อดูศาลาดูกุฏิ กุฏิเล็กๆ แล้วมีศาลาหลังหนึ่ง ใครมานี่ ท่านว่างั้น ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลา ท่านพักในกั้นห้องศาลา พักอยู่นั้น ท่านออกมาเดินจงกรม เราบอกว่ากระผม ผมๆ ขึ้นเลย โอ๊ย เอาใหญ่เลย ถึงใจนะล่ะ เป็นผลบวกตลอด ท่านแผดเสียงขึ้น อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน หาที่ค้านไม่ได้เลย โอ๋ย ทำไมถึงพูดถูกเอาหนักหนา

แทนที่จะเป็นผลลบกลัวท่าน สะทกสะท้านหวั่นไหวไม่นะ มันพุ่งต่อธรรมที่ท่านพูดว่าจริง ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน ท่านว่างั้น ค้านซิใครอยากค้าน ทางนี้ก็พลิกใหม่ กระผมชื่อพระมหาบัว ว่างั้นนะ เออ ต้องว่างั้นซิ ทีนี้ท่านแหย่ละ อันนี้ผมๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ ก็ถูกจริงๆ เด็กมันก็มีผมใช่ไหม ท่านขึ้นไปจุดตะเกียงโป๊ะเล็กๆ  พระก็ปุ๊บปั๊บมาได้ยินเสียงท่านแผดใส่เรา เงียบๆ มืดๆ พระก็เดินจงกรมอยู่เงียบๆ นี่ละเป็นความตั้งใจสุดขีดละ มุ่งจะเอามรรคผลนิพพาน ขอให้ท่านผู้ใดมายืนยันเรื่องมรรคผลนิพพานว่ามีอยู่ เราจะเอาตายเข้าว่าเลยเพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว

ก็คิดเห็นแต่หลวงปู่มั่นที่ปรากฏชื่อลือนามมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก บึ่งหาท่าน ท่านก็ต้อนรับอย่างเต็มเหนี่ยว เหมือนว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้เลย เสียงท่านแผดเปรี้ยงๆ ขึ้นไปท่านก็เทศน์เลย ท่านมาหาอะไร ไล่เบี้ยเข้าไป เราก็ฟังอย่างถึงใจ พอเสร็จแล้วก็ นั่นที่เขียนไว้เข้ากันได้ ท่านสอนว่า ท่านก็เรียนมาพอสมควรจนเป็นมหา พูดกับเราเวลาเทศน์ไม่ได้เหมือนพูดอย่างนี้ นี่เอาใจความพอเหมาะสมออกมา อย่าว่าผมประมาทธรรมะพระพุทธเจ้านะ ให้ยกบูชาไว้ก่อน เวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ให้ท่านออกปฏิบัติ ธรรมะฝ่ายปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งเข้าประสานกัน เวลานั้นเอาไว้ไม่อยู่ คือปริยัติกับปฏิบัติเอาไว้ไม่อยู่ มันจะวิ่งประสานกัน ท่านว่าเราไม่ลืมเลย

ให้เร่งทางด้านปฏิบัติ แล้วธรรมะทั้งหลายนี้ที่ท่านเรียนมาจะวิ่งเข้าประสานกันกับทางด้านปฏิบัติ จะเป็นผลอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง ท่านว่า เราจำไม่ลืมนะ จากนั้นมาก็ฟัดใหญ่เลย เพราะนิสัยนี้เป็นนิสัยที่ผาดโผนโจนทะยานมากอยู่ เอาจริงเอาจัง ตั้งแต่ท่านไสเราขึ้นท่านยังต้องรั้งเอาไว้ คือมันผาดโผน ทำอะไรมันผาดโผนท่านต้องมีรั้งเอาไว้เสมอกับเรา เพราะฉะนั้นท่านพูดอะไรกับเราท่านต้องจริงทุกอย่าง เพราะท่านรู้นิสัย พูดธรรมดาๆ เหมือนพ่อกับลูกพูดกัน พอพูดเรื่องอรรถธรรมนี้ผางขึ้นเลยทันที ไม่มีคำว่าอ่อนข้อ ขึ้นเดี๋ยวนั้นเหมือนฟ้าถล่มเลย เปรี้ยงๆ

ท่านรู้ว่าเราเป็นคนนิสัยจริงจัง เอาใหญ่เลยละ จากนั้นมาออกปฏิบัติ ๙ ปี เอาจริงเอาจังมากทีเดียว เหมือนตกนรกทั้งเป็น ไปคนเดียว ท่านก็ไม่ห้าม ไปเที่ยวกรรมฐานคนเดียวท่านไม่ห้าม นอกนั้นท่านว่าทั้งนั้นแหละ พอมาลาทีละสององค์บ้างสามองค์บ้าง มาลา เหอ ขึ้นทันทีเลย ตั้งแต่อยู่นี้มันตกนรกต่อหน้าต่อตาให้เห็นอยู่นี้ ออกไปนี้มันจะไปตกนรกหลุมไหนล่ะ เพียงเท่านั้นใครจะกล้าไปล่ะ มันก็หมอบหยุด แต่เราลาท่าน ท่านถามไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีนะ ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่าน ท่านว่างั้นนะกับเรา เราก็ไปแต่องค์เดียว

ไปองค์เดียวมันเอาจริงๆ นะ ป่าช้าคือความตายอยู่กับเรา เป็นตายก็ฟัดกันใหญ่โต มาหาท่านทีไรมีแต่หนังห่อกระดูกๆ คือไม่มีเนื้อ เพราะความทรมานมาก ฝึกมาก ข้าวนี้อดมากทีเดียว คือการอดอาหารนี้ภาวนาดี สติดี เพราะฉะนั้นมันถึงหนักทางการอดอาหาร จนกระทั่งท้องเสียเรา ภาวนาเอาจริงเอาจัง จากนั้นมาก็เร่งเรื่อยๆ พอถึงระยะที่ท่านเริ่มป่วย อันนั้นจิตของเราเริ่มขึ้นภาวนามยปัญญาแล้ว สติปัญญาภาวนาโดยอัตโนมัติแล้ว หมุนแล้ว ท่านก็เริ่มป่วย จิตของเราก็เริ่มหมุน หมุนตั้งแต่ท่านยังไม่ป่วย ก็ได้กราบเรียนธรรมะท่าน ปัญหาทางปฏิบัติเรื่อยมา

ทีนี้พอท่านหนักเข้าเราก็หนักทางนี้ ท่านหนักทางธาตุทางขันธ์การเป็นการตาย เราหนักทางจิตใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน วิ่งออกจากทางจงกรมก็มาหาท่าน ออกจากท่านก็เข้าทางจงกรม หนัก ปีนั้นปีหนักมากอยู่ ท่านหนักทางธาตุขันธ์ เราหนักทางจิตใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันโดยอัตโนมัติไม่มีหยุดมียั้งเลย บทเวลาธรรมะมีกำลังออกนี้ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนเราไม่เคยคิดว่าอัตโนมัติๆ อะไร แต่เวลาธรรมะมีกำลังแล้วออกฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัตินะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมันจะหมุนของมันตลอดเวลาฆ่ากิเลส

ทีนี้มันก็ย้อนไปเห็นเรื่องของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ เหมือนกันกับธรรมที่ตามฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเวลานี้ นั่น มันก็จับได้ คือแต่ก่อนกิเลสมันเป็นอัตโนมัติ ทำงานอยู่บนหัวใจสัตว์ตลอดมา เราก็ไม่ได้คิด แต่เวลาธรรมะมีกำลังกล้าแข็งขึ้นมาแล้ว มันฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ มันจึงได้เอามาตอบรับกัน ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ก็เป็นอัตโนมัติอย่างนี้ แต่เวลาธรรมะมีกำลังฆ่ากิเลสก็เป็นอัตโนมัติอย่างนี้เหมือนกัน ทีนี้จับมาเทียบได้แล้ว จากนั้นมันก็หมุนเลยเทียว

กิเลสตัวไหนโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ถ้าลงสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้วกิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ขาดสะบั้นๆ เลย การปฏิบัติให้มันเห็นอย่างนั้นซิมันถึงพูดได้ เราไม่เคยสะทกสะท้าน ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดสะทกสะท้านที่ไหน นอกจากไปที่ไหนที่หูหนวกตาบอดก็บอดไปกับเขาเสีย เขาบอดเราก็บอด เขาหนวกเราก็หนวกไปเสีย ถ้าถึงสถานที่มันควรจะออกมันจะผางของมันออกทันทีเลย อย่างนั้นละธรรมะเกิดภายในใจ เวลาธรรมเกิดภายในใจเกิดตลอด เหมือนกิเลสเกิดภายในใจเกิดตลอด แต่เวลาธรรมะมีกำลังกล้าแล้ว ธรรมะเกิดตลอด กิเลสดับไปตลอดๆ  เอาเสียจนกระทั่งม้วนเสื่อเลย เราก็ไม่ลืม

อย่างเมื่อวานนี้ท่านแบน วัดดอยธรรมเจดีย์มา เป็นวัดที่ฝังลึกมากสำหรับเรา เวลาไปได้ความอัศจรรย์ขั้นแรกก็ไปได้อยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไปอัศจรรย์ตัวเอง คือตอนนั้นจิตมันว่างหมด พิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สิ่งนั้นสิ่งนี้ อสุภะอสุภังไม่มี มันผ่านหมดแล้ว มีแต่จิตว่างๆ จิตมันก็ยิ่งหมุนใหญ่แล้วว่างไปหมด อัศจรรย์จิตตัวเองก็ไปอัศจรรย์อยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ อัศจรรย์สุดท้ายก็ไปอัศจรรย์ที่นั่นอีกเหมือนกัน วัดดอยธรรมเจดีย์

นี่พูดถึงเรื่องการฆ่ากิเลส เมื่อธรรมมีกำลังแล้วฆ่ากิเลสได้อัตโนมัติเหมือนกัน แต่เวลากิเลสมีกำลังมันฆ่าเราทำลายเราทรมานเราโดยอัตโนมัติเหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็กิเลสทำงานๆ บางทีนอนไม่หลับเพราะความคิดมากยุ่งมาก กิเลสมาก ครั้นเวลาธรรมมีกำลังมากถึงขั้นที่นอนไม่หลับก็ไม่หลับเหมือนกันอีกแหละ มันฟัดกับกิเลส เพลิน ไม่มีการหลับการนอน พอก้าวขาลงทางจงกรมเท่านั้นไม่รู้จักขึ้นนะ ไม่รู้จักหยุด จนก้าวขาไม่ออก มันเป็นของมันเอง มันจะหมุนของมันตลอดเวลาเลย ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีเช้าสายบ่ายเย็นถ้าลงได้ก้าวลงทางจงกรม จนกระทั่งก้าวขาไม่ออก คือมันหมดกำลังก็หยุดเสีย นั่น ก้าวขาไม่ออกแล้ว เมื่อย นั่นเห็นไหม นี่ละความเพียรกล้า มันเป็นเอง หมุนตลอดเลยเทียว

อย่างพระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราก็อ่านในตำรามี เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ความเชื่อก็เชื่อแต่ยังไม่ลงใจนัก ท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกเราก็ฟังไปเป็นธรรมดา พอมาถึงวาระของเราเข้ามันเป็นที่นี่ เอาละรับกันเลย ยอมรับ คือพอได้ลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักขึ้น ไม่รู้จักออก จนกระทั่งก้าวขาไม่ออกหมดกำลังแล้วถึงจะออก คือความเพียรมันหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา กลางคืนก็ไม่นอน ต้องบังคับให้นอนด้วยพุทโธ เวลาจะหลับจะนอนจะพักจิตให้เป็นสมาธิสงบ พักงานการค้นคว้าพิจารณาต่างๆ เรียกว่างาน ต้องมาพักทางพุทโธ

พุทโธถี่ยิบ ให้อยู่นี้ จิตสงบแน่ว พักสมาธิ จิตสงบแน่วลงไปพักอยู่นั้นแล้วจะให้หลับก็หลับตอนนั้นได้ ถ้าจากนั้นแล้วมันไม่หลับนะ สติปัญญามันหมุนขนาดนั้นละ เอาจนกิเลสม้วนเสื่อลงหมดแล้ว ทีนี้ความพากความเพียร สติปัญญา มหาสติมหาปัญญา เป็นเครื่องมือฆ่ากิเลส ระงับตัวลงเอง ไม่ต้องบอกระงับเอง เป็นอย่างนั้นละ อันนี้เมื่อเราผ่านมาหมดแล้วมันก็พูดได้ซิ สิ่งเหล่านี้เราผ่านหมดแล้ว เราทำแล้วทั้งนั้น ผ่านหมด อันนี้ก็ไปเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ วัดดอยธรรมเจดีย์จึงเป็นวัดที่สำคัญ ฝังลึกกับเรา ที่อัศจรรย์มาก ตอนเช้ามืด ตี ๔ ตี ๕ เราเดินจงกรมอยู่ด้านตะวันตกวัดดอยธรรมเจดีย์ จิตมันสว่างไสว มันว่างครอบไปหมดเลย ก็มาอัศจรรย์ตัวเอง ว่าจิตของเรา ทำไมมันถึงอัศจรรย์นักหนา ว่างก็ว่างเสียเหลือประมาณ อัศจรรย์ตัวเอง

พระธรรมท่านก็เตือนตรงนั้น แต่เราจับไม่ได้ กลับมาก็มาปลงที่นั่นละ ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ขึ้นไปที่นั่น เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์เดือนสาม ออกจากนั้นดูเหมือนไปทางด้านจังหวัดหนองคาย เข้าไปอำเภอศรีเชียงใหม่ แต่ก่อนยังไม่มีอำเภอนะ อำเภอศรีเชียงใหม่ไม่มี มีแต่อำเภอท่าบ่อเท่านั้น อำเภอศรีเชียงใหม่ยังไม่มี เราผ่านเข้าไปทางนู้น ไปภาวนา เดือนห้าต่อเดือนหกก็กลับไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปม้วนเสื่อกันกับกิเลสลงที่ตรงนั้น สามเดือน กลับไป จากนั้นมาที่นี่ก็มันก็ว่างหมดเลย จะให้ว่าไง

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว มันไม่ชอบแต่พวกเรา ท่านว่าให้ขยัน มันขี้เกียจเสีย แน่ะ ท่านชี้เข้าทางจงกรม มันก็ชี้เข้าเสื่อเข้าหมอนเสีย ถ้าว่าก้มหน้าอยู่ มันก้มหน้าอะไร โอ๊ เย็บเสื่อเย็บหมอนขาด นอนไม่ตื่นไปเสีย อย่างงั้นซี ถึงเวลาเสื่อหมอนห่างไม่ต้องบอก มันไม่อยากหลับอยากนอนละ ที่ว่าพระโสณะประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก เชื่อ ลงได้ลงทางจงกรมแล้ว เดินตลอดเลย กลางคืนก็ตามกลางวันก็ตาม มันเดินอยู่ตลอดว่าไง มันจะไม่แตกได้ไงฝ่าเท้าน่ะ เราก็มาเห็นเราเอง พอเดินก้าวขาไม่ออก เหนื่อยแล้วก็ขึ้นมานั่ง ออกร้อนฝ่าเท้า เหมือนไฟลนนะ ออกร้อน ได้จับฝ่าเท้ามาดู เราไม่ลืมนะ

เอ๊ ฝ่าเท้าแตกเหรอ เอาฝ่าเท้ามาดูก็ไม่เห็นแตก เราเลยเอามือลูบฝ่าเท้า โอ๋ย มันเสียว มันจะเข้าถึงเนื้อ คือหนังมันบางมากแล้ว มันจะเข้าถึงเนื้อ นั่นละพอเข้าถึงเนื้อเมื่อไร เรียกว่าฝ่าเท้าแตก มันไม่ได้แตกอย่างนี้นะ มันทะลุเข้าไปถึงเนื้อต่างหาก พอเข้าถึงนี่ โถ นี่มันจะแตกนะนี่นะว่างั้น มันเสียว พอลูบนี่เสียว เจ็บ ถ้านานกว่านั้นแตก แต่นี้กิเลสมันแตกเสียก่อน ฝ่าเท้าเลยไม่แตก พระโสณะ กิเลสยังไม่แตก ฝ่าเท้าแตกก่อน เอ้า พูดยันกันเลย เอาธรรมต่อธรรมพูดกัน จะเป็นไรไป มีสูงมีต่ำที่ไหน ธรรม เป็นของจริง พูดได้ด้วยกัน ที่นี่พอมาถึงนี่แล้ว ฝ่าเท้ามันก็จะแตก เรามาลูบดู โอ๊ย เสียว ทั้งเจ็บทั้งเสียว มันยังไม่แตก คือมันยังไม่ทะลุถึงเนื้อ

ที่ท่านว่าฝ่าเท้าแตก คือหนังหยาบมันทะลุเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงเนื้อ พอถึงเนื้อเมื่อไหร่เรียกว่าฝ่าเท้าแตก อันนี้ยังไม่ถึง พอลูบอย่างนี้มันเสียวแปลบๆ ทั้งเจ็บนี่จวนจะแตกแล้ว พอดีกิเลสขาดสะบั้นไปเสียก่อน แตกเสียก่อน ฝ่าเท้าจึงยังไม่แตก ไม่งั้นแตกแน่นอน เชื่อ แน่ะ เชื่อพระโสณะ ไม่เชื่อได้ไง ถ้าลงได้ลงทางจงกรม มันรู้จักขึ้นเมื่อไหร่ ไม่รู้จักออก ไม่รู้จักขึ้นนะ ความเพียร ธรรมะนี่ดื่มตลอดนะ เพลินตลอดเลย หมุนติ้วๆๆ นี่ละความเพียรกล้า หมุนตัวไปเอง ถ้ามันยังไม่ได้ที่ได้ทางนะ ลากเข้าทางจงกรม มันก็ดันเข้ามาหาเสื่อหาหมอน เข้าใจไหม แต่เวลามันได้ที่ได้ทางแล้ว โหย มันไม่อยากสนใจกับเสื่อกับหมอน กลางคืนมันนอนไม่หลับ กลางวันยังจะนอนไม่หลับอีก มันหมุนของมัน นั่น เรื่องความพากเพียรเป็นอย่างงั้นละ

เหล่านี้เราผ่านมาหมดแล้ว ถึงได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เอาเสียจนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดกิเลส ฝ่าเท้าก็เลยไม่แตก เป็นแต่เพียงว่าเสียวๆ ถ้านานกว่านั้นจะแตก ฝ่าเท้า นี่กิเลสแตกเสียก่อน พอกิเลสแตกแล้วก็เรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ เสร็จงาน พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว สิ่งที่ควรทำได้ทำเรียบร้อย ควรทำก็คือฆ่ากิเลสนั่นเอง ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่างานฆ่ากิเลส งานฆ่ากิเลสเป็นงานที่หนักมากที่สุดเลย พอฆ่ากิเลสเสร็จแล้ว หมดงาน วุสิตํ อยู่ที่ไหนท่านก็ไม่ได้ฆ่ากิเลส หมดไปเลย วุสิตํ พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว คือการประพฤติปฏิบัติธรรมแก้กิเลสได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

เรื่องการปฏิบัติ ถ้ามันรับกันแล้ว สดๆ ร้อนๆ นะ อย่างพระโสณะท่านว่าเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราก็ฟังธรรมดาๆ ไม่ได้หนักแน่นอะไรนัก พอความเพียรของเราก้าวเข้าไปๆ ถึงขั้นฝ่าเท้าจะแตก มันออกร้อนเป็นประมาณ มานั่งแล้วก็มันออกร้อนเหมือนไฟลน เราก็ เอ๊ ฝ่าเท้าแตกหรือ มาดูก็ไม่แตก พอเอามือลูบดู โอ๊ย เสียวๆ แปลบๆ เจ็บ นี่ละถ้าออกจากนี้แล้ว มันจะทะลุถึงเนื้อเรียกว่าฝ่าเท้าแตก ของเรายังไม่แตก ไม่แตกก็เป็นพยานกันได้แล้ว นั่น คือมันหมุนความเพียรไม่หยุด มันแตกได้

พูดให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธเราฟัง เราพูดอีก พูดอย่างยันตัว ไม่มีสองที่จะเคลื่อนคลาดจากหลักความจริงที่ปฏิบัติมา ไม่มี เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดทุกอย่าง ขอให้รู้พระพุทธเจ้าใครไปบอกท่าน ตรัสรู้ผางขึ้นมาเป็นศาสดาเอกแล้ว นั่น สาวก ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาก็เป็นสรณะของโลกได้แล้ว นั่น อันนี้ขอให้มันเป็นขึ้นในใจ สรณะของเจ้าของก็ปึ๋งขึ้นมาพร้อมกันกับเป็นสรณะของโลกขึ้นในขณะเดียวกันเลย ขอให้มันเป็น มันไม่เป็นมันจึงจืดจึงชืด นิพพานอยู่ที่ไหนไม่รู้ บางรายก็ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี มีแต่เสื่อแต่หมอน แล้วก็ปฏิเสธ รับเสื่อหมอนว่าเป็นของดิบของดีแทนมรรคผลนิพพานไปเสีย นี่ละกิเลสหนาๆ เป็นอย่างงั้นละ เอาละพอ ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก