เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ฟังเสียงจอมปราชญ์
(ลูกศิษย์ท่านอาจารย์นพดล ที่อยู่กำแพงเพชร วัดดอยลับงา ถวายทองเจ้าค่ะ) ท่านนพดลก็เป็นพระวัดนี้ ออกจากนี้ไปก็ไปอยู่ดอยลับงา.ไปมาอยู่ตลอด ทำการทำงานอะไรไปมาตลอด ดอยลับงา ดี ท่านก็ทำเหมาะสมดี ที่พักท่านไม่มีหรูๆ หราๆ เป็นธรรมชาติเหมือนพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเป็นศาสดาของโลกท่านอยู่อย่างนั้น ท่านไม่อยู่หอปราสาทราชมณเฑียรนะพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญไปอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ๖ ปี ตกนรกทั้งเป็นถ้าเทียบกับสมัยที่ว่าโลกเขานิยม ออกจากกษัตริย์ก็เหมือนตกจากสวรรค์ลงไปนรกทั้งเป็น ออกจากกษัตริย์เข้าป่าเลย
ที่นั่นเหมาะท่านไม่สร้างอะไร อย่างนั้นเราพอใจนะ คือธรรมจะเกิดในสถานที่แร้นแค้นกันดาร ที่กิเลสไม่ชอบ ถ้าตรงไหนกิเลสไม่ปรารถนาธรรมอยู่ตรงนั้นละ ให้เข้าตรงนั้น ท่านสอนว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ แต่พวกอึ่งอ่างมันเต็มอยู่ในตลาดกระดูกหมูกระดูกวัว ผู้ที่เสาะแสวงหาธรรมเข้าอยู่ในป่าปุ๊บเลย รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วเธอทั้งหลายจงอยู่ในรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา เห็นไหมล่ะ ศาสดาตรัสรู้ตรงนั้น สาวกทั้งหลายที่เป็นสรณะของพวกเราเป็นอย่างนั้น ท่านออกมาจากที่แร้นแค้นกันดาร ที่หรูหราฟู่ฟ่าไม่มีอะไรเกิด มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมือง
เป็นอย่างนั้นเหมาะเราไปดูแล้ว ท่านนพดลก็ไม่หรูหรา เรียกว่าลูกศิษย์มีครู พระพุทธเจ้าเป็นครู สาวกทั้งหลายออกมาจากป่าจากเขา สถานที่โลกสกปรกทั้งหลายเขาไม่ต้องการ ท่านไปอยู่ที่นั่น เป็นสรณะของพวกเราๆ ท่านออกมาจากป่าจากเขาที่แร้นแค้นกันดาร ดอยลับงาเป็นที่สงัดวิเวกดีเราไปดูแล้ว ขึ้นไปทางโน้นไปเที่ยวดูหมดเลย เหมาะทั้งนั้น ที่พักก็แบบพระพุทธเจ้าพัก สาวกทั้งหลายพัก ท่านอยู่ท่านอยู่อย่างนั้น ไม่หรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ เหมือนอย่างพวกส้วมพวกถานมันกลบความสกปรกของมัน สร้างขึ้นอย่าง โถ ให้สดสวยงดงามอวดกัน นั่นละกิเลสอวดกิเลส ความจริงมันกลบความสกปรกของมัน หรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ ให้ซากผีดิบอยู่ สร้างอันนั้นสวยอันนี้งาม ให้ซากผีดิบเข้าไปอยู่ ฟังซิน่ะ
พระพุทธเจ้าท่านเล็งดูหมด ที่ไหนที่กิเลสไม่ต้องการท่านไปอยู่ที่นั่นๆ เช่นในป่าในเขาอย่างนี้กิเลสไม่ต้องการกิเลสไม่ชอบ ธรรมชอบเข้าไปอยู่ที่นั่น ตรัสรู้ธรรมปราบกิเลสขาดสะบั้นไปเลย นั่น ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ นะ สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกกาลสถานที่เวล่ำเวลาอกาลิโก คำว่า สวากขาตธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ย่นเข้ามาก็สวากขาตธรรม ในบท สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม รวมมาปั๊บมาลงอยู่ที่สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ดำเนินตามเถิดไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัยธรรมพระพุทธเจ้า มีแต่กิเลสมันเสกสรรปั้นยอมันนี้ทันสมัยตลอดเวลา สัตว์โลกจึงจะตายเพราะมัน ถูกมันจูงจมูกไป
ธรรมะจูงท่านไม่ได้นะ ดูอะไรที่แสลงธรรมจะรู้ทันทีๆ เลย ส่วนมากมีแต่เรื่องแสลงธรรม แต่ท่านผู้มีธรรมในใจเต็มหัวใจแล้วท่านไม่ได้ว่าแสลงธรรม แสลงธรรมของผู้ชอบกิเลส ชอบสกปรก แสลงพวกนี้ แต่พวกนี้ชอบมาก แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ ธรรมไม่ได้ปรากฏที่ไหนนะที่ว่าของเลิศเลอ ใจเท่านั้นเป็นผู้สัมผัสรับธรรม บรมสุขก็ใจเท่านั้น มหันตทุกข์ก็ใจเท่านั้น กิเลสก็อยู่ที่หัวใจ มหันตทุกข์ก็อยู่ที่หัวใจ ธรรมอยู่ที่หัวใจ บรมสุขอยู่ที่หัวใจ ชำระออก
พอพูดเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึก กิเลสเกิด กิเลสตีธรรมจะทำให้ธรรมหมอบว่างั้นเถอะ เราลงจากภูเขา ก็สี่ห้าวันฉันทีหนึ่ง อยู่บนภูเขา สี่ห้าวันลงมาบิณฑบาตในหมู่บ้านเขา ไกลนี่นะ ๔ กิโลกว่าๆ แล้วลงจากภูเขามันทางสะดวกที่ไหน ด้นดั้นมาอย่างนั้นละ พอมาก็กิเลสเกิดเลย คือเดินยังไม่ถึงบ้านเขามันหมดกำลัง พักอยู่กลางทางเสียก่อน นั่งอยู่กลางทาง สักเดี๋ยวกิเลสขึ้นละ เป็นคำๆ นะสอนขึ้นมานี้ นี่ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหมว่างั้นนะ มันขึ้นที่นี่ ว่าจะฆ่ากิเลสให้ตายแต่ท่านกำลังจะตายเวลานี้รู้ไหม คือกิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม มันขึ้น
พอทางนั้นขึ้นปั๊บ นี่กิเลสขึ้นละนั่น ธรรมก็ขึ้นปุ๊บรับกันเลย การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอา ตายก็ตาย นั่นพุ่งเลยเข้าใจไหมละ นี่ละมันแก้กัน แก้อยู่ในหัวใจ ผุดขึ้นมาเป็นคำๆๆ นะ เพราะธรรมก็ดีกิเลสก็ดีอยู่ที่หัวใจ ออกมาจะออกจากหัวใจ ถ้าเป็นกิเลสเกิดก็เกิดที่หัวใจ ธรรมเกิดก็เกิดที่นั่น นี่เรียกว่ากิเลสเกิด ท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นกิเลสขึ้นนะ ทางนี้ธรรมะขึ้นรับกันปั๊บ การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอา ตายก็ตายพุ่งเลย นั่นละธรรมแก้กิเลสแก้ขึ้นได้ปุ๊บ ทางนี้ก็แก้กันปั๊บไปเลย ถ้าเชื่อกิเลสก็อ่อนเปียกไปเลย นี่ไม่เชื่อกิเลสเชื่อธรรมก็พุ่งเลย
ทุกอย่างละเรื่องธรรม เราน่ะทุกข์ยากลำบากมากเสียด้วย เราก็เป็นนิสัยผาดโผนเสียด้วย ทำอะไรมันไม่ธรรมดา ทั้งๆ ที่ครูอาจารย์ท่านไสเราขึ้นท่านก็ต้องได้รั้งเอาไว้ คือมันผาดโผนเรา พ่อแม่ครูจารย์ได้รั้งเอาไว้นะ ท่านรั้งด้วยอุบายของท่านนั่นแหละ เว้นคืนหนึ่งเว้นสองคืนนั่งตลอดรุ่งๆ ไปเล่าธรรมะถวายท่าน ทีแรกท่านก็สรรเสริญเยินยอ เอาละทีนี้ได้หลักละเอานะ อัตภาพนี้มันไม่ตายถึงห้าหนละมันตายหนเดียวเท่านั้น เอา ฟาดลงไปได้หลักแล้ว ทางนี้ก็เท่ากับหมาตัวหนึ่ง พอออกจากเจ้าของไปแล้วก็ใบไม้แห้งใบไม้สดร่วงลงมานี้นึกว่าข้าศึกก็ทั้งจะเห่าจะกัด มันได้กำลังใจเข้าไปแล้วเป็นอย่างนั้นละ
ท่านได้รั้งเอาไว้ คือว่ามันเอาจริงๆ นั่งจนก้นแตก นั่งภาวนาฟาดหามรุ่งหามค่ำจนก้นแตก แต่ท่านไม่ทราบละก้นแตกนะ แต่ท่านทราบคือเรื่องการทำนี้มันเตลิด เรียกว่ามันเลยพอดีท่านก็หักเอาไว้ให้อยู่ในความพอดีๆ จอมปราชญ์กับจอมโง่ ท่านจอมปราชญ์ท่านสอนเรา เรามันจอมโง่ต้องฟังเสียงจอมปราชญ์ ท่านว่างั้นเราก็พัก แน่ะ ถ้าท่านแย็บออกตรงไหนเราจะปฏิบัติตามทุกอย่างเลย ลงขนาดนั้นลงพ่อแม่ครูจารย์ ลงสุดขีด มันผาดโผนมากไปท่านก็รั้งเอาไว้ เราก็หยุดกึ๊กตามที่ท่านรั้ง ถ้าไม่งั้นมันเอาจริงๆ
เราพิจารณาย้อนหลังแล้วก็รู้สึกว่า ได้อนุโมทนาความรู้ความเห็นความกระทำของตัวเองนะ แต่มีคำหนึ่งที่ว่า แหม อย่างนั้นมันก็ทำได้ โอ้โห อย่างนั้นมันก็ทำได้ เวลาผ่านมาแล้วนะ ปฏิปทาของเราที่ทำมันแทบเป็นแทบตายมาโดยลำดับ พิจารณาย้อนหลัง คืออย่างทุกวันนี้มันตายเลยทำอย่างนั้นไม่ได้ นี่โหย อย่างนั้นมันก็ได้ๆ คือเดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้ตายเลย มันเอาได้ทำได้ นิสัยอันนี้ละมันฆ่ากิเลสได้ นิสัยที่ว่าผาดโผน ผาดโผนทางด้านธรรมะฟัดกิเลสมันขาดสะบั้นซิ ถ้าผาดโผนกิเลสตาย ยอมตามกิเลสแล้วตายเลยละ นี่ซัดกิเลสๆ
โอ๊ย หนักมากนะการฆ่ากิเลสนี่หนักมากทีเดียว ลงจากภูเขามาจะไปหมู่บ้านไปบิณฑบาต ๔-๕ วันไปทีหนึ่ง มันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตมาฉันเสียทีหนึ่ง ไปตามทางลงมาจากภูเขาเห็นแต่พวกนกยูงนะ นกยูงมันวิ่งผ่าน ตาดีมากนกยูง เห็นทีไรเป็นมันเห็นเราแล้วมันวิ่งแล้วนั่น มันไม่บินละมันวิ่ง นกยูงโทนก็มีนกยูงฝูงก็มี นกยูงโทน วิ่งปึ๊ดๆ ตัดหน้าไป มันเห็นเราแล้วเราลงมาจากภูเขา มันวิ่งผ่านหน้าเรา บางทีก็พวกเก้งพวกอะไร เพราะมันไกล ทางตั้ง ๔ กิโล จากนี้น่าจะถึงสี่แยกดงเค็งละมังจากนี้ไปถึงหมู่บ้านเขา ค่อยเดิน แต่เดินไม่ได้เสียเวลานะถึงจะเดินช้าเดินเร็ว ระยะทางใกล้ไกลขนาดไหนไม่ได้เสียเวลา จิตตภาวนาติดกับตัวตลอดไปเลย ทั้งไปทั้งกลับ
ที่ไปฉันก็คือว่าเยียวยาธาตุขันธ์ให้พอใช้เพื่ออรรถเพื่อธรรมต่อไป เวลามันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตเสียทีหนึ่ง พอทนได้ทนไป เพราะการขบการฉันมันรู้ชัดเจนนะ ฉันมากฉันน้อยการภาวนามันจะวัดกันบอกกัน ถ้าฉันน้อยหรือไม่ฉันนี้ภาวนาดีๆ แต่คนเราไม่ฉันไม่ได้มันก็จะตาย ก็ต้องฉันให้นั่นละ เพราะฉะนั้นจึงอดบ้างอิ่มบ้างสับปนกันไป นี่พูดถึงอยู่ในภูเขา ลงบิณฑบาตตามบ้านเขา บ้านเขาไม่มีหลายหลังแหละ ๕ หลัง ๖ หลัง ๙ หลัง ๑๐ หลัง เขาอยู่ตามภูเขา เรามองไปภูเขาเข้าใจว่าจะมีแต่ภูเขา บ้านคนก็มีนะ แห่งละ ๔ หลังคาเรือน ๕ หลังคาเรือน มีอยู่ทั่วๆ ไป นั่นละเราอาศัยเขา บิณฑบาตมาฉันเสียวันหนึ่งพอยังอัตภาพให้เป็นไปพอ
เรื่องอาหารการกินจะเป็นยังไงไม่สนใจนะ พอยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เรื่องอาหารการกินจะรสดีหรืออาหารดีไม่ดีไม่สนใจ พอยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่งๆ เพื่อธรรมเท่านั้น การปฏิบัติจิตตภาวนาที่จะทรงมรรคทรงผลจริงๆ ส่วนมากต่อมากเป็นอย่างที่ว่านี้ทั้งนั้น ไปสนทนาครูอาจารย์องค์ใดๆ ก็ตามเถอะ ที่ท่านได้ธรรมมาสอนโลกนี้แหมแทบเป็นแทบตาย เราก็ว่าแต่เราแทบตาย เวลาท่านเล่าให้ฟังแล้วเราเลยหมอบสู้ท่านไม่ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ทรมานมากหรือไม่มากครูบาอาจารย์แต่ละองค์ๆ ไม่ได้ง่ายนะ หนักมาก เราก็ว่าเราแทบตาย พอท่านเล่าให้ฟัง โอ๋ย เรานี้หมอบสู้ท่านไม่ได้ว่างั้นนะ ท่านหนัก นั่นละการฝึก
คือถ้าร่างกายอ่อนลงจิตดีดขึ้นๆๆ อาหารนี้สำคัญ อาหารนี้พอประทังนะ ร่างกายสะดวกสบายแต่ใจก้าวไม่สะดวก ถ้าอาหารบกลงไปเบาลงไปๆ จิตนี้ดีดขึ้นๆๆ อย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องมีอดบ้างอิ่มบ้างสับปนกันไป ก็มาหยุด คือไม่อดตั้งแต่พรรษา ๑๖ ไป ถึงขนาดนั้นท้องเสียแล้วนะ ท้องเราเสียตั้งแต่พรรษา ๑๖ จนกระทั่งอายุ ๘๕ มันจะตาย คือมันเป็นเรื้อรังๆ เพราะตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี นี่ทรมานอย่างหนัก การอดอาหารเป็นที่หนึ่งๆ
เราไม่สนใจกับธาตุขันธ์จะเป็นยังไง มีแต่ว่าการอดอาหารภาวนาดีๆ ก็อดเรื่อยๆ ธาตุขันธ์มันก็เสีย พอพรรษา ๑๖ นี้ไม่อดอีกแล้ว ทีนี้มันก็ค่อยเสียไปเรื่อยๆ ตั้งแต่พรรษา ๑๖ ผ่านไปแล้วไม่ได้อดอาหาร แต่นี้ท้องมันเสียแล้วนะ ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เก้าปี นี่ละฝึกทรมานมาก ทางอาหารการกินทรมานกันมากมันจึงเสียตรงนี้ เดี๋ยวนี้ค่อยดีละสำหรับท้องดี หมอเติ้งเราไม่ลืมนะ เราจะตายในชนพรรษาที่เท่าไหร่นะ ที่จะออกช่วยโลก พอดีได้ยาหมอเติ้งมาฉัน ที่มันถ่ายตลอดไป ทั้งอ่อนทั้งเพลียทุกอย่าง พอฉันยานี้ไปแก้กันปึ๋งเลย ดีดได้ จึงได้ช่วยโลกตลอดมา ถ้าพูดตามสัดตามส่วนก็คือว่า นิสัยเรามันผาดโผนแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าได้ลงใจที่ไหนแล้วเอาเลยขาดสะบั้นไปเลย ถ้าไม่ลงใจนี้ไม่แน่ ถ้าได้ลงใจแล้วผึงเลยเทียว
(ลูกศิษย์ถวายปัจจัยเป็นเงินสดและทองคำ) เอา สาธุ (สาธุ) ได้มานี้เข้าคลังหลวงไทยเรานะ ส่วนเงินนี้ออกช่วยโลก ส่วนทองคำเข้าคลังหลวงทุกบาททุกสตางค์ ไม่ให้แยกไปไหนเลยทองคำเข้าคลังหลวงล้วนๆ ส่วนเงินสดนี้ออกช่วยโลกไม่เข้า เราก็ได้ทำเต็มกำลังละช่วยโลก เรียกว่าเต็มกำลังของเราในชีวิตของพระนี้ มาเป็นบั้นแก่ ได้ช่วยโลกมากที่สุดคือบั้นแก่ ตอนหนุ่มก็ฟัดเจ้าของ หลังจากนั้นแล้วทีนี้ก็ช่วยโลกสงสารเรื่อย ไม่เอา อะไรเหล่านี้ๆ ไม่เอา ออกทั้งนั้นเลย ออกช่วยโลกทั้งหมดเราไม่เก็บ เงินทองไม่เก็บ ทองคำเข้าคลังหลวงล้วนๆ ส่วนเงินสดนี้ออกช่วยบ้านช่วยเมือง เฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล สร้างนั้นสร้างนี้ให้โรงพยาบาล เครื่องไม้เครื่องมือแพทย์พิสดารมาก การช่วยโลกนี้โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่ช่วยมากที่สุด ทางวงราชการก็เป็นแห่งๆ ไม่ได้มากนัก แต่สำหรับโรงพยาบาลเรียกว่าเป็นแถวไปเลย ได้ช่วยมากเป็นแถวไปเลย
ทองคำเข้าคลังหลวงหมด ทองคำเข้าคลังหลวงทั้งหมด ส่วนเงินนี้ออกช่วยโลก สร้างนั้นสร้างนี้ ส่วนมากสร้างโรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์พิสดารมากนะ ทั้งเครื่องมือแพทย์ทั้งตึกทั้งรถยนต์ บางทีขยายที่ให้ ที่คับแคบ ที่เขาจะขายซื้อให้ โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง ที่ช่วยโลกนี้โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งทั่วประเทศไทย ช่วยทุกภาค เรียกว่าทั่วประเทศ เป็นแต่เพียงว่าทางไหนจำเป็นมากน้อยต่างกันเพียงไรเท่านั้นละ ที่ช่วยนี่ช่วยทั่วประเทศ ภาคใต้ก็ถึงนราธิวาสช่วยเท่าไรล้าน อย่างนี้ละ เป็นอย่างนั้นช่วยเรื่อยมา ภาคใต้ ภาคเหนือ ทุกภาควัดนี้ช่วยหมดเลย เสร็จแล้วนะ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |