เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ความตายอยู่กับเรา
โรคนี่มีพิสดารมาฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากต่อมาก เวลานี้เฉพาะอย่างยิ่งประชาชนมีจำนวนมากเท่าไร โรคนี่เยอะ เชื้อโรคก็เยอะ คนไข้จึงเยอะ เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนก็ไม่เห็นมีอะไร โรงพยาบาลก็ไม่มีแต่ก่อนนะ ก็ดูเหมือนไม่มีโรคมีภัยอะไร เดี๋ยวนี้เยอะ โรงพยาบาลเยอะเท่าไรคนตายยิ่งเยอะ คนมองข้ามไปเราจึงบอกจุดตามความจริงเสียบ้าง ในโรงพยาบาลหนึ่งๆ นั้นคือป่าช้า พยาบาลรักษาคนไข้ไม่หายก็ตายที่โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง ตายแล้วค่อยขนออกไปๆ เตียงโรงพยาบาลแต่ละเตียงๆ คนไข้ตายไปสักเท่าไรๆ ป่าช้าอยู่ที่นั่น ให้คิดเสียบ้าง
ใครก้าวเข้าไปโรงพยาบาลว่าตั้งแต่จะหายๆ ไปตายก็มี ความตายมันอยู่กับเราไม่ได้อยู่กับที่นั่นที่นี่ ให้ดูตัวเอง ไปสถานที่ไหนก็เป็นสถานที่บำบัดรักษา รักษาไม่หายก็ตาย เตียงหนึ่งๆ ทั้งคนไข้หายไป ทั้งคนไข้ตายไป มีเยอะๆ แล้วดวงวิญญาณมาเกาะมายึดอยู่ตามนั้นละ โรงพยาบาล โรงพยาบาลเป็นสถานที่ประชุมหรือชุมนุมของดวงวิญญาณที่ตายไปแล้ว อยู่ที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งๆ พอตายแล้วคิดห่วงนั้นห่วงนี้ จิตวิญญาณเกาะอยู่นั้น
ถ้าผู้ที่มีบาปหนักๆ ก็จมไปเลย ไม่มีโอกาสที่จะได้มาเกาะมายึดติดนั้นติดนี้ ถ้าผู้มีบุญมากดีดขึ้นเลย ผู้ที่สัมภเวสีจะหนักหรือเบาอะไรมันก็พอคาราคาซัง นี่ละมันวกเวียนไปเป็นเปรตเฝ้าโรงพยาบาล ใครไปเจ็บไข้ได้ป่วยมันมาจับขากระตุกเอา อ้าว จริงๆ นะ พวกจิตวิญญาณ ภาวนาให้รู้เรื่องเสียก่อนแล้วจะเข้าใจ.เป็นยังไงตายสูญๆ มันหลับตาพูด พระพุทธเจ้า โลกวิทูรู้แจ้ง มันสูญไปไหน นั่น มันไม่ได้สูญ ตายก็เกาะอยู่ตามนั้นละ ถ้าหากว่ากรรมหนักก็ลงเลย รอไม่ได้ ถ้ากรรมหนักทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ฝ่ายดีก็ดีดเลยไม่รอ ฝ่ายชั่วก็ดีดลงเลยไม่รอ
ฝ่ายคาราคาซัง ไอ้พวกจะไปไหนก็ไม่ไป อย่างลูกศิษย์ของหลวงตาบัวอยู่ที่ศาลานี่ ให้มันภาวนามันก็ห่วงหมอน หันไปทางนี้ก็เป็นหมอน หันทางนี้ก็เป็นเสื่อ สุดท้ายก็เลยไม่ได้เรื่องวันหนึ่งๆ นี่ละพวกเปรตเข้าใจไหม ลูกศิษย์หลวงตาบัวมีแต่เปรตทั้งนั้นละ ไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไร แล้วไปไหนละที่นี่ เปรตมาจากไหน ต้นเค้าของเปรตคืออะไร นี่ต้นเค้าของเปรตกินแล้วนอนกอนแล้วนินอยู่นั้นละ ทุกวันไม่ไปไหนละ มีแต่นอน มันหมดกำลัง ทุกวันนี้หมดกำลังแล้ว แต่มันก็หมดกำลังของส่วนธาตุส่วนขันธ์นะ ส่วนจิตไม่มีหมด จ้า พูดให้มันชัดเจน ครอบโลกธาตุจะว่าอะไร
ที่ได้สอนท่านทั้งหลายเอาคำโกหกมาสอนหรือ เราทำแทบเป็นแทบตาย เฉียดสลบไสลๆ ทำความเพียร เพราะเป็นนิสัยอย่างนี้ด้วย นิสัยผาดโผน ว่าอะไรแม้แต่พ่อแม่ครูจารย์ไสขึ้นไปเพื่อขึ้น ท่านยังต้องรั้งเอาไว้ มันผาดโผน ทำอะไรมันผาดโผน มันเป็นละนิสัยอันนี้ มันรุนแรงอยู่ นิสัยนี้มันรุนแรงอยู่นะ นิสัยเรา ถ้าหากว่าไปทางผู้ร้ายชายโจรแล้ว มันจะไม่ได้ตายในเรือนจำนะ มันจะตายอยู่ตามป่า คือไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เขา ตายอยู่ในป่า เจ้าหน้าที่เขาฆ่าอยู่ในป่า ไม่ได้จับตัวมันไปเข้าคุกละ ตายอยู่ในป่า เป็นอย่างนั้นละ นี่ถ้าเป็นโจรเป็นอย่างนั้นว่างั้นเถอะ
นี่มันดีหมุนมาทางธรรมะเสีย มันก็แบบเดียวกันมาทางธรรมะขาดสะบั้นไปเลย จึงได้ธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ มีแต่เรื่องผาดโผนโจนทะยานทั้งนั้นละ กิเลสมันไม่มีตัวอ่อนแอมีแต่ตัวผาดโผนโจนทะยาน ธรรมะจะอ่อนแอไม่ได้ มันต้องซัดกันเต็มเหนี่ยวๆ นั่งตลอดรุ่งๆ ตลอดรุ่งจนก้นแตก อย่างนั้นละมันผาดโผน นั่งวันไหนตลอดรุ่ง ฟาดเริ่มมืดตลอดรุ่ง ลุกถ่ายหนักถ่ายเบาไม่มีข้อยกเว้น มีข้อยกเว้นข้อเดียว คือเว้นแต่ครูบาอาจารย์หรือพระเณรเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินภายในวัด เราจะลุกไปช่วย ถ้านอกจากนั้นแล้วไม่ให้มีเลย เอาเลยเรา นั่นเรียกว่าคำสัตย์คำจริง
ยกเว้นก็ยกเว้นอย่างที่ว่า อย่างเช่นครูบาอาจารย์ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินภายในวัดเราจะลุกไปช่วยเหตุการณ์อันนั้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ใด มีเฉพาะเหตุการณ์ของเราเอาตายเลย นั่น ถ้าไม่ถึงวันเวลาออกไม่ได้ นั่น มัดอย่างนั้น แล้วจริงเสียนะไม่ใช่เล่นๆ จริงเสียด้วย จิตนี้มันเด็ดอยู่ตลอด ทุกขเวทนาเผาร่างกายเหมือนไฟไฟเผาหัวตอ หัวตอคือเรา ทุกขเวทนาคือไฟ เหมือนไฟเผาหัวตอ เวลามันหนักหนักจริงๆ แต่จิตไม่ยอมถอยซิ มันจะเผาก็เผาไป หัวตอกับไฟ เอา เผากันไป จิตไฟเผาไม่ได้ จิตนี่ทำงานฟัดไปเลย สติปัญญาหมุนติ้วๆ เลย ผางออกได้ นั่น
คนเราไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ เวลาจะเป็นจะตายจริงๆ มันหาทางออกได้ ฉลาดนะ นั่งภาวนาฟาดเสียหามรุ่งหามค่ำ จนกระทั่งก้นแตก นี่ก็พ่อแม่ครูจารย์รั้งเอาไว้ ทั้งๆ ที่ท่านไสเราขึ้นนะ แต่เวลามันขึ้นมันผาดโผนเกินไปต้องรั้งเอาไว้ให้ขึ้นพอดี อย่าให้ขึ้นแบบผาดโผน นั่งจนก้นแตกท่านก็หาอุบายสอน พอขึ้นไปกราบปั๊บ วันนั้นจะไปเล่าเรื่องอัศจรรย์ให้ท่านฟัง ถ้าวันไหนเราขึ้นไปเฉพาะเราองค์เดียวปั๊บแล้ว วันนั้นแน่แล้ว คือฟัดกลางคืนซัดกับกิเลสพอแล้ว ตอนเช้าก็มาเล่าถวายท่าน เพื่อท่านได้แนะนำ ตรงไหนบกพร่องท่านแนะนำแล้วก็ซัดเลยๆ
พอขึ้นไปนั่งกราบปั๊บๆ ม้าตัวไหนที่มันคึกมันคะนองมาก เจ้าของเขาต้องฝึกอย่างหนักทรมานอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนกระทั่งม้านี้ลดพยศลง ม้าลดพยศลงการฝึกเขาก็ลดลง การทรมานม้าเขาก็ลดลง จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้แล้วการฝึกเช่นนั้นเขาก็ระงับไป ท่านพูดเพียงเท่านั้น ท่านไม่ได้หันมา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงอยากให้ท่านว่าอย่างนั้น ท่านพูดเพียงเท่านั้นเราเข้าใจแล้ว จากนั้นมาเราก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอย่างที่ว่า คือมันผาดโผน ก็เว้นคืนหรือสองคืนขึ้นไปแล้วๆ ไปทีไรนี้เอาเป็นเอาตายออกเลย แล้วก็ธรรมอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ในเวลาจะตายจริงๆ ธรรมเกิดนะ
มันจะตายจริงๆ สติปัญญามันจะหมุนของมันติ้วๆ ไม่ถอย นั่นละได้ธรรม ทีนี้เรื่องจะเป็นจะตายก็ระงับไปหมดเลย ได้ธรรมอัศจรรย์ขึ้นมาๆ อย่างนั้น เอาจริงเอาจังมาก เพราะนิสัยนี้มันจริงจังแต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่เป็นฆราวาสก็จริง ถ้าลงได้ลั่นคำไหนแล้วต้องเอาให้ได้ไม่หยุด ฆราวาสก็เหมือนกัน ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เป็นอย่างนั้น แล้วนิสัยเป็นคำสัตย์คำจริง เมื่อเข้าสู่ธรรมแล้วก็ยิ่งเด่นละที่นี่ ยิ่งใช้ได้หนักมือเอาเต็มที่ๆ
ที่พูดทั้งนี้มันได้อนุโมทนาเจ้าของนะ ที่ว่าเจ้าของมีความอ่อนแอท้อแท้ที่ตรงไหน ทำความเพียรอ่อนแอท้อแท้ตรงไหนๆ ไม่มี ซัดกันตลอดๆ มาเลย จะเป็นจะตายแพ้ทางไหนก็ เอา ยอมรับว่าแพ้ เพราะสติปัญญาไม่พอ เอา ยอมแพ้ไป แต่ความสู้ไม่ถอย นี่ได้ชมที่ความสู้ไม่ถอย เคยพูดให้ฟังจนกระทั่งน้ำตาร่วงบนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ น้ำตาร่วงบนภูเขา เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนา เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ว่ากิเลสเจ้าของนั่นละ มันก็เป็นจริงๆ นั่นละทำให้มุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลสตอนที่กิเลสฟาดเราเสียจนกระทั่งน้ำตาร่วงบนภูเขาสู้มันไม่ได้ๆ มันเหลือแต่ใจ แต่กำลังวังชาลวดลายสู้กิเลสไม่ได้
ล้มทั้งหงายๆ มาโรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น มาเล่าถวายให้ท่านฟัง ท่านพลิกใหม่แก้ใหม่ๆ กลับไปใหม่ เอาใหม่อยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็ได้ เป็นอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ยกไว้ที่ ขิปปาภิญญา เสีย คือผู้ที่รู้ได้เร็ว นอกนั้นมันแทบเป็นแทบตายทั้งนั้นละ อย่างครูบาอาจารย์องค์ไหนที่มาสอนพวกเราอยู่ปัจจุบันนี้ เวลาท่านเล่าให้ฟังนั้นแหมไม่ใช่เล่นนะ เราก็นึกว่าเราเก่งคนหนึ่งเหมือนกัน เวลาท่านเล่าให้ฟังเราหมอบนะ เหมือนหนึ่งว่าสู้ท่านไม่ได้การฝึกทรมานอย่างหนักๆ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นอย่างนั้น ไม่จริงอย่างนั้นไม่ได้กิเลส ต้องเอาอย่างหนักๆ นี่พูดถึงเวลามันรบกัน
อย่างทุกวันนี้ไม่ได้หน้าได้หลังอะไร ไม่ได้เลย มีแต่อ่อนเปียกๆ ตลอดเวลา เดินหย็อกๆ แหย็กๆ ไปที่ไหนอ่อนเพลียแล้วทุกวันนี้นะ เดินหย็อกๆ แหย็กๆ ไปนี้อ่อนแล้วกำลังหมด แต่ก่อนมันดีดปึ๋งๆๆ เคยได้เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังละมังการฝึกเรา การนอน คำแม่ละฝังลึก เวลาท่านพระครูท่านมาอยู่วัดบ้านที่สถานีทุกวันนี้ วัดบ้านอยู่นั้น เขานิมนต์ท่านมาทำบุญ เวลาท่านจะกลับ เราก็ตกลงใจเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจแล้วว่าจะบวชจะไปพร้อมท่าน ทีนี้พอพ่อออกจากวัดมาก็มาบ้าน บอกว่าท่านเตรียมตัวแล้วท่านจะไปแล้วนะ เราก็ไม่มีอะไร มีแต่เตรียมตัว
สักเดี๋ยวแม่ปั๊บมานั่งข้างๆ เดี๋ยวแม่จะบอกว่างั้น กิจการงานอะไรๆ แม่ไม่มีที่ต้องตินะลูก แต่การนอนนี้เหมือนตายนะลูก อย่างอื่นอย่างใดไม่เด่นเท่าการนอน การนอนนี้เหมือนตายนะ แม่เป็นห่วงการนอน แล้วเวลาไปบวช หมู่เพื่อนไปบิณฑบาตบ้านนั้นเมืองนี้กลับมา แล้วไปนิมนต์ท่านบัวมาฉันจังหัน อย่าให้แม่ได้ยินเลย แม่จะเอาหัวมุดดินไปเลย ฟังนิ่งเฉยนะนั่น ฟังแล้วฝังลึกมากนะ การนอนนะลูก อย่างอื่นแม่ไม่มีที่ต้องติ แต่การนอนนี้เหมือนตายนะลูก ไม่ได้เหมือนอะไรเหมือนตาย
เหตุนี่คืออะไร เราจะไปไหนแต่เช้านี้อย่างนี้เราบอกแม่ก่อน วันพร่งนี้เช้าปลุกหน่อยนะจะไปธุระแต่เช้า พอแม่รับทราบแล้วทีนี้ทอดธุระ นั่นละความทอดธุระนะ มีแม่รับทราบแล้วเอาตายว่าเลยนอน ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง นี่ละมันก็เป็นแบบนั้นไปเลย ทีนี้แม่ไม่ได้คิดภายในของเราซิ เพราะฉะนั้นจึงว่า เวลานอนนี้เหมือนตาย คือไม่มีตื่นเอง ต้องไปปลุกว่างั้น ความภายในของเราคือมีแม่ ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง เท่านั้นทิ้งเลย
ทีนี้ลาแม่มาแล้วก็จับปุ๊บ พอก้าวออกจากบ้านไปวัด เอานะที่นี่ แม่ไม่ได้มาปลุกนะ เราต้องเป็นตัวของเราเต็มที่ จากนั้นดีดผึงเลย อย่างนั้นละดัดเจ้าของ ได้ ๑๘ พรรษาถึงได้ฝึกการตื่นนอนใหม่ คือตื่นนอนนี้ถ้ามีคนนอนอยู่ข้างๆ นี้ตื่นด้วยกันนะ การตื่นนอนมันดีดผึงเลยเชียว ไม่ได้ตื่นธรรมดา ผู้ที่นอนหลับอยู่ด้วยกันอาจจะตื่นกับเราเวลาเราตื่นนอนก็ได้ เวลาตื่นนอนมันตื่นจริงๆ
ถึง ๑๘ พรรษาถึงได้ฝึกการตื่นนอนเสียใหม่ ไม่งั้นดีดผึงตลอด มันเคยมันชิน ดีดผึง ๑๘ พรรษา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่าเรียบร้อยไปหมดแล้ว ทีนี้การหลับนอนควรจะให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นที่สวยงามให้พอเหมาะพอดี ไม่ให้มันผาดโผนเหมือนที่เป็นมา เป็นมามันผาดโผนมาก ตื่นนอนดีดผึงเลยเชียว พรรษา ๑๘ ฝึกใหม่ ฝึกนอน เพราะนอนแบบแม่เนื้อตื่นนายพรานนี้ตั้งแต่วันเข้าไปเป็นนาค จนกระทั่งพรรษา ๑๘ ตื่นแบบนั้นทั้งนั้น ตื่นนี้ผึงเลยๆ พอพรรษา ๑๘ ฝึกใหม่ ฝึกมาจนได้น้ำได้เนื้อ พอตื่นนี้มันจะไม่รู้สึกตัวนะ มันจะดีดของมันเอง ดีดผึงๆ เลย
๑๘ พรรษาฝึกใหม่ ให้อยู่ในความพอดิบพอดี พอตื่นนอนมาแล้วรู้ทิศรู้ทางทุกสิ่งทุกอย่างแล้วค่อยลุกขึ้นมาด้วยความเรียบร้อย แต่ก่อนมันปึ๊งเลยทันที ตอนนั้นตอนรบข้าศึกยกให้ การทำแบบนี้ถูกต้อง คือความไม่นอนใจ บัดนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น ข้าศึกศัตรูทั้งหลายมันก็ม้วนเสื่อๆ ไปหมดแล้ว ทีนี้การตื่นนอนการหลับนอนเราควรจะกะให้เป็นความพอดี จึงต้องฝึกการตื่นเสียใหม่ ไม่งั้นตื่นมันดีดผึงเลย ๑๘ พรรษาฝึกใหม่ ให้มันตื่นนอนรู้ทิศรู้ทางแล้วค่อยลุก ถึงอย่างนั้นก็ฝึกยากอยู่นะ พอปั๊บดีดผึงเลยๆ กว่าจะได้ที่ได้ทาง โอ๊ย นานอยู่นะ
นี่ละความเคยชินต่อนิสัย ตั้งแต่วันเข้าเป็นนาคนี้ถึง ๑๘ ปี ตื่นนอนแบบนี้ทั้งนั้น เป็นมาที่การฝึก อะไรที่ถ้ามันเคยชินต่อนิสัยแล้วมันเป็นเองของมัน เช่นอย่างเราตื่นนอนดีดผึงเลย ผึงเลยเชียว ๑๘ พรรษาฝึกใหม่การตื่นนอน พอรู้ทิศรู้ทางอะไรเรียบร้อยแล้วค่อยลุกธรรมดา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ง่ายๆ นะ พอปั๊บดีดผึงแล้ว ลุกแล้ว ขึ้นแล้ว มันเคยชินต่อนิสัย ฝึกให้มีความพอดี ฝึกไปฝึกมาก็อยู่ในความพอดี จากนั้นก็เลยความพอดีเหมือนคนตายแล้วเลย มันไม่ยอมตื่น มันไม่พอดี นี่ละการฝึกตนเป็นอย่างนั้น
เราพูดจริงๆ เราฝึกอย่างนั้นฝึกเรา สำคัญที่นิสัยมันจริงจัง อันนี้ละพาให้ดี นิสัยจริงจังมากทีเดียว ว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลยๆ ไม่มีคำว่าอ่อนแอท้อแท้ มันเด็ดเด็ดของมันจริง วันนี้ก็ไม่มีอะไรละ จะให้พร (เรือนจำจังหวัดมหาสารคาม ขอความเมตตาสร้างอาคารเรียนหนังสือและปฏิบัติธรรมสำหรับนักโทษ เป็นค่าวัสดุ ๒๐๘,๑๐๕ บาท หลวงตาเมตตาให้)
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |