ว่างจากกิเลสภายในใจว่างหมด
วันที่ 13 ตุลาคม 2550 เวลา 7:55 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ว่างจากกิเลสภายในใจว่างหมด

         เขาเขียว ชลบุรี มีกุฏิสามหลังหรือสี่หลัง เป็นที่ภาวนาในขั้นดีมาก อยู่บนหลังเขาจริงๆ เขาเขียว แล้วพวกสัตว์ทั้งหลายชุม พวกหมู เก้ง มีทุกอย่างอยู่นั้น เหมือนว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นเพื่อนของพระ มันมาเที่ยวหากินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกุฏิพระ มีกุฏิสามสี่หลังเป็นแห่งๆ ระยะเหมาะสมมาก เราขึ้นไปดูจริงๆ ตั้งใจขึ้นวัดเขาเขียวที่ท่านพฤกษ์อยู่ ไปเที่ยวซอกแซกดูหมด ทีนี้เขาก็โจมตีท่านพฤกษ์ว่าเอาเงินสงฆ์เขาเขียวไปสร้างรีสอร์ต เราก็ไปเห็นเองเลยแก้ผางเลยทันที ให้มันหงายหมาไปเลย ฟาดมันหงายหมาไปเลย ปากสกปรกปากอมขี้ หาเรื่องใส่คนอื่น

ที่เขาเขียวก็มีกุฏิสามหลังสี่หลัง เราไปเห็นเองซิ มีทางจงกรม แล้วว่าเอาเงินสงฆ์ มันมีโรงงานที่ไหนบนเขาเขียวที่พระอยู่ มีโรงงงโรงงาน พอจะมีเงินมาสร้างรีสอร์ตก็ค่อยยังชั่วใช่ไหม นี้โรงงานของท่านมีแต่ทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนา อย่างนั้นมันก็ทำนะคนเรา แต่ก็ดี คือเราไปเห็นเอง เรื่องราวที่กำลังโจมตีนั้นมาถึงเรา ก็แก้กันเดี๋ยวนั้นเลย บอกเลยเราไปดูมาแล้ว ว่างี้ละ อย่าโกหกอย่าเป็นปากอมขี้หาเรื่องพ่นคนอื่นเราว่า เราปากอมความจริง คือปากอมธรรม ไปเห็นด้วยตาของเราเป็นอย่างนั้นๆ ชี้แจงเลยออกทั่วประเทศไทย

ที่นั่นเหมาะสมมาก อย่างนั้นละพระที่ท่านได้อรรถได้ธรรมมาแจกจ่ายพวกเรา ได้มาอย่างนั้นละ ไม่ได้มาจากตลาดตเล กระดูกหมูกระดูกวัวที่ไหน ท่านได้มาจากที่อดอยากขาดแคลนทีเดียว ลำบากลำบน คือไปอยู่ในที่ลำบากลำบนเท่าไร จิตมันยิ่งฟิตตัวนะ เข้าในป่าในเขาที่น่ากลัวเท่าไร จิตยิ่งฟิตตัวๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน สติกับจิตติดกันแนบเลยเป็นความเพียรตลอดเลย ไม่ว่าสัตว์ว่าเสือเนื้อร้ายที่ไหน ที่กลัวๆ พอธรรมกับใจเข้ากันแล้ว ไม่กลัว ไม่กลัวอะไรเลย

         อำนาจของธรรมสำคัญมาก ขณะก่อนกลัวจนตัวสั่นเลย ไปอยู่ในป่าเสือ กลัว หายใจจะไม่ถึงท้อง มันจะตายเพราะความกลัว กลัวมาก ก็เป็นทำเลของสัตว์ป่า ของพวกเสือพวกนั้นจริงๆ มันมาได้ทั้งวันทั้งคืน แล้วไปอยู่ในที่เช่นนั้นมันจะไม่กลัวได้ยังไง กลัว นั่นละพอมันกลัวนี้ จิตกับสติติดกันปั๊บๆ ไม่ให้ออก ไปหาสถานที่กลัวสิ่งที่กลัว ไม่ให้ออก บังคับให้อยู่ในธรรมอยู่ในจิต เช่นเรามีคำบริกรรมก็ให้อยู่กับคำบริกรรม สติติดแนบไม่ให้คิดออกไปนอกลู่นอกทาง อันเป็นสิ่งที่น่ากลัว จะทำความเสียหายแก่เรา บังคับไว้ในธรรม ธรรมเป็นคุณ บังคับจิต พอคำบริกรรมกับจิตติดแนบกันแล้วเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมขึ้นมาแล้ว ทีนี้กล้าหาญ

ในขณะหลังใจดวงนั้นเวลานั้นแหละไม่มีคำว่ากลัวเลย กล้าหาญชาญชัย แม้ที่สุดเสือที่ว่าเป็นสัตว์ที่หน้ากลัวมาก เดินดุ่มๆ เข้ามานี้จะเดินไปลูบคลำหลังมันได้นะ ขนาดนั้นละความกล้าหาญของธรรมเวลาเป็น ขณะก่อนกลัวจนตัวสั่น ขณะหลังเป็นอย่างนั้น เลยเป็นมิตรกันไปหมด เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านจึงชอบไปหาที่ดัดสันดาน คือดัดสันดานกิเลสตัวมันหลอกให้กลัวนั้นกลัวนี้ เอาธรรมเข้าไปในจิต บังคับสติให้อยู่กับจิตกับคำบริกรรม ถ้าผู้อยู่ในคำบริกรรมนะ

จิตมีหลายขั้น ถ้าขั้นบริกรรมจิตไม่รวม ให้เอาคำบริกรรมกับจิตติดกัน สติบังคับไว้ไม่ให้คิดออกไปสิ่งที่น่ากลัว สักเดี๋ยวอำนาจแห่งธรรมแสดงขึ้นมาๆ กล้าหาญชาญชัยเดินไปลูบคลำหลังเสือได้เลย ขณะก่อนกลัวจนตัวสั่น ขณะหลังนี้กลายเป็นมิตรเป็นสหายไปหมด ทำได้จริงๆ เราเป็นแล้ว คือเราดัดเรา เอามาสอนนี้ไม่ได้เอามาเล่นๆ นะ สอนจริงๆ เวลากลัวกลัวมากจริงๆ ไปอยู่ในป่ามันจริงๆ กลางคืนกลางวันมีแต่สัตว์แต่เสือ ทีนี้ความตั้งใจความระมัดระวัง สติกับจิตติดกันอยู่ก็เป็นความเพียรตลอด

สุดท้ายจิตเมื่อเป็นธรรมในตัวแล้วมันไม่ได้กลัวนะ อ่อนนิ่มไปหมด แม้ที่สุดเสือเดินมานี้ ทั้งๆ ที่ขณะก่อนกลัวเสือ ขณะหลังนี้เสือเดินมานี้จะเดินไปลูบคลำหลังมันได้เลย จิตดวงนี้ละ ได้ทำแล้ว อันนี้เราพูดตามขั้นของจิตนะไม่ได้เป็นขั้นเดียว ขั้นที่จิตยังไม่สงบยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ ต้องใช้วิธีการอย่างนี้ เอาคำบริกรรมติดกับจิต สติติดแนบไม่ให้มันคิดออกไปหาสัตว์หาเสือหาผีหาอะไรที่เป็นสิ่งน่ากลัว ส่วนมากจิตมันเป็นบ้าของมัน ถ้ากลัวอะไรคิดไปหาแต่สิ่งนั้นละ เข้าใจไหม ว่ากลัวแต่มันเข้าไปหา ถ้าว่ากลัวผีนี่จิตวิ่งเขาไปหาแต่ป่าช้า ถ้ากลัวเสือจิตวิ่งหาแต่เสือ เป็นอย่างนั้นนะ บังคับไม่ให้มันออกไป

ทีนี้พอธรรมบรรจุหัวใจแล้วออกไปคราวหลังไม่กลัวเลย นั่น เราเคยบุกป่าแล้ว นั่นละเวลาจะเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ เป็นบ้าด้วยการเสาะแสวงหาธรรม ไปเดินจงกรมนี้เหมือนว่าเสือนี้มันหมอบอยู่สองฟากทางจงกรม มีแต่ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้นจะกินพระขี้ขลาด นี่ทางจงกรมเรา พอจะก้าวเดินจงกรม เหมือนว่าเสือหมอบอยู่สองฟากทางจงกรม จนตัวสั่นนู่นนะ ดูซิน่ะ นี่วิธีดัดตัวเอง เดินไปนี้มันไปวาดภาพไว้หมดเลย เสือมีแต่ตัวใหญ่ๆ เสือลมเสือแล้งวาดหลอกเจ้าของ เดินจงกรมนี้จะเดินไปไม่ได้ เสือคอยแต่จะกินพระขี้ขลาดองค์นี้ๆ

ทีนี้ก็เอาละนะ จะสู้กันละที่นี่ กำหนดให้ดีๆ ว่า ในแถวที่เสือหมอบอยู่มากๆ นี้ตัวใหญ่ๆ ตัวไหนใหญ่ที่สุดกำหนดให้ดี มันหากหลอกของมันนั่นละ ว่าตัวนั้นใหญ่ที่สุด ไม่มีนะ มันหลอก ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงไหน อยู่ตรงนั้น บุกเข้าไปเลย เข้าไปไม่มี หือ หนึ่งนะ นั่น สองเข้าไป เดินตัวไหนใหญ่บุกเข้าไป บุกเข้าไปที่ไหนมันก็ไม่มีๆ มีตั้งแต่เสือสัญญาหลอกเจ้าของ โหย มันหลอกกูนี่ ยิ่งจับได้ๆ แล้วพุ่งเลยทีเดียว เอาถ้ามันไม่กล้าเมื่อไรแล้วไม่อยู่ มันจะเป็นเข้าบ้านเข้าเมือง เขาว่าเป็นพระผีบ้าก็ให้เห็น นั่นเวลาจะเอากันซัดกันเลย จนกระทั่งกล้าหาญชาญชัยไม่มีอะไรกลัวในโลกนี้ เดินมาทางจงกรมสบายเลย นั่นเป็นอย่างนั้น

นี่เป็นแล้วนะ ได้ดัดเจ้าของแล้ว เวลาเดินจงกรมเสือหมอบอยู่สองฟากทาง จะกินพระขี้ขลาดองค์เดียวนี้ บทเวลาปราบมันด้วยธรรมแล้วไม่มีเสือ เสือสัญญาหลอกเจ้าของต่างหาก เป็นอย่างนั้นละ คือนิสัยการฝึกทรมานนี้ให้เป็นไปตามนิสัยเจ้าของเอง ครูบาอาจารย์จะสอนจะสอนได้เหมือนว่าไม้ซุงทั้งท่อนให้ไปเลื่อยเอา ตีแผ่ออกไปจะเอาไม้ไปทำประโยชน์ชนิดใด เอา เลื่อยเข้าไปตีแผ่ออกไป เรียกว่าซุงทั้งท่อน พระท่านสอนหรือครูบาอาจารย์สอนสอนรวมๆ ไปเลย เวลาเราไปใช้เราต้องแยกแยะออกไปใช้อย่างนั้นนะ

มันเป็นขั้น ถ้าขั้นมันกลัวสัตว์กลัวเสือจิตยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ ให้ใช้คำบริกรรมติดกับจิตไม่ให้เผลอ สติจับกับจิต สักเดี๋ยวก็ความกล้าหาญเกิดขึ้นๆ ทีนี้ไปได้หมด นี่ขั้นหนึ่ง ขั้นที่สอง ถ้าจิตมีสมาธิคือความสงบใจ จิตให้ติดอยู่กับความสงบ จุดที่เด่นในความสงบอยู่นั้น สติจับไว้ตรงนั้นก็ไม่กลัว หาย ทีนี้ถึงขั้นวิปัสสนาแยกธาตุแยกขันธ์สัตว์ แยกธาตุแยกขันธ์เราทั่วแดนโลกธาตุ เห็นสัตว์เห็นเสือแยกเป็นธาตุเป็นขันธ์ไปหมด อะไรเป็นเสือ ไล่ไปหาเล็บ หาฟัน หาตาหาอะไร นั่นละเรียกว่าปัญญาใช้กัน ต่อจากนั้นหมดนะ เป็นขั้น

ถ้ามันหมดในขั้นรูปแล้วมีแต่นามธรรม ปรุงเสือดับพับ ปรุงอะไรดับปั๊บๆ ดับหมดเลย ด้านวัตถุปรุงไม่ขึ้น ปรุงดับพับ เหมือนฟ้าแลบ ปรุงขึ้นแปล๊บดับพร้อม จะไปแยกธาตุได้ยังไงเมื่อถึงขั้นนั้น จากนั้นก็ว่างจิตว่าง ทีนี้ว่างว่างไปหมด ปรุงสัตว์ปรุงเสือไม่มี หมด นี่ละการภาวนาเป็นขั้นเป็นตอนนะ การพูดนี้พูดด้วยการดำเนินมาเรียบร้อยแล้ว พูดจึงไม่ผิด พอไปถึงขั้นว่างนี้มันว่างไปหมด แล้วมันจะกลัวอะไรก็มันว่างไปหมด ปรุงเสือก็เพียงแย็บเท่านั้น เหมือนฟ้าแลบ ดับพับๆ มันจะไปเป็นรูปร่างของเสือให้น่ากลัวได้ยังไงไม่เป็น จากนั้นมันก็ว่างไปหมด ว่างๆ ไปหมดเลยจิต จิตว่าง

นี่ว่างหนึ่งนะ ภายในจิตตัวเองยังไม่ว่าง เหมือนกับห้องนี้ มันโล่งมันว่างหมด แต่เจ้าของไปยืนขวางห้องอยู่ห้องมันก็ไม่ว่าง เรายืนตัวของเราเราดูไปที่ไหนก็ว่างๆ แต่ไม่ดูตัวเจ้าของมันก็ยังไม่ว่าง มีคนหนึ่งมาทัก เอ้า ว่าห้องมันว่าง มันยังไม่ว่างนั่นน่ะเจ้าของไปยืนขวาง ออกมาซิอยากให้ห้องว่าง ออกมาปั๊บก็ว่างหมด นี่คำว่าจิตว่าง ว่างข้างนอกๆ ยังไม่ว่างในจิตเอง พอย้อนเข้ามาหาจิต จิตปล่อยวางจิต พรึบหมด ว่างหมดเลย นั่น มันว่างนอกว่างในเป็นอย่างนั้นนะ

เหล่านี้ต้องออกมาจากด้านปฏิบัติ เราไปหาในคัมภีร์ใบลาน ท่านไว้เป็นกลางๆ ผู้ปฏิบัติจะแยกจะแยะออกเป็นกิ่งเป็นแขนงเป็นก้านเป็นกอออกไปเลยๆ แขนงออกไปเลยยิ่งพิสดารมากนะ แยกออกทางด้านปฏิบัติ คัมภีร์ท่านว่าไว้กลางๆ เรานำคัมภีร์ออกมาเป็นต้นฉบับแล้วก็แยกจากคัมภีร์ออกไปแตกแขนงออกไป นั่นละความพิสดารของภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น รู้อะไรเห็นอะไรเป็นสมบัติของตนๆ ไปพร้อมๆ กัน ไม่เหมือนภาคปริยัติ ภาคปริยัติเรียนมาเท่าไรจำได้ๆ ไม่ใช่สมบัติของตัว จำได้เฉยๆ หลงลืมไปได้สบาย แต่ภาคปฏิบัติรู้ด้วยเป็นสมบัติของตัวด้วย นั่น เป็นขั้น ละกิเลสได้ในขณะนั้นๆ เรื่อย มันเป็นขั้นๆ

จนกระทั่งไปสุดขีดแล้วหมด ละหมด สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเข้ามาผ่านหัวใจเลย นั่นเรียกว่าสมมุติหมดแล้ว หมดในจิตท่านเรียกว่าจิตว่าง ว่างหมด ข้างนอกก็ว่างข้างในก็ว่าง ว่างจากกิเลสภายในใจว่างหมด วางหมด นั่นละท่านว่างโดยแท้ จิตพระอรหันต์ท่านว่างอย่างนั้น วางหมดปล่อยหมด การชำระจิตใจด้วยจิตตภาวนาเป็นของเล่นเมื่อไร อัศจรรย์เจ้าของเอง เราไม่เคยได้อัศจรรย์ตัวเองนะ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยว่าได้อัศจรรย์ตัวเองตรงไหน มีแต่อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี เจ้าของเป็นบ๋อยลอยตามเขาไป

ทีนี้พอมาภาวนามันปรากฏผึงขึ้นมานี้แล้วมันมาอัศจรรย์ตรงนี้ โห อัศจรรย์มาอยู่ที่นี่ แน่ะ เลยอัศจรรย์ขึ้นที่นี่ สง่างามๆ จากนั้นอันนี้ขยายตัวออกเพราะการอบรมตลอด ยิ่งสว่างไสวยิ่งละเอียดลออยิ่งซึ้งไปเรื่อยๆ ภายในจิตใจ นี่ละจิตตภาวนาเป็นของสำคัญ จากนั้นกิเลสจะมีอยู่มากน้อยพังหมดเลย พอกิเลสพังแล้วทีนี้ไม่ต้องบอก อาโลโก อุทปาทิ จ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน ที่มัวหมองมืดตื้อเพราะกิเลสเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไร ต้นไม้ภูเขาไม่ได้มาปิดจิตปิดใจให้มืดตื้อหรือมัวหมอง กิเลสเป็นตัวปิดบัง พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วจ้าไปหมดเลย อย่างนั้นละการภาวนา

เรื่องนี้เรื่องภาวนานะไม่ใช่ธรรมดา เราจะคิดให้รู้ให้เห็นไม่ได้ ต้องใช้เรื่องภาวนา ภาวนาบุกเบิกความมืดบอดทั้งหลายออก กระจายออกๆ จนกระทั่งจ้าขึ้นหมด ให้พากันจำเอานะเรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ อย่างที่ผู้จริตนิสัยชอบทางรู้ทางเห็นทางภายนอกอันนี้ อย่างแม่ชีแก้วนั่น นั่นก็รู้ละ เห็นไปหมดเลย พวกเปรตพวกผีพวกเทวบุตรเทวดา อะไรซอกแซกซิกแซ็กเห็นไปหมด เวลามันรู้รู้อย่างนั้น

อันนี้เป็นไปตามนิสัยนะ ถ้านิสัยไม่รู้นั้นก็ไม่ต้องไปยุ่ง ถ้านิสัยมันไปชอบรู้แล้วมันหากเป็นไปเองเสาะแสวงเอง แตกแขนงไปเอง ติดพันกันไป ความรู้เหล่านั้นก็กระจ่างออกไปเรื่อยๆ ถ้านิสัยอย่างนั้นไม่มีก็ไม่ต้องยุ่ง เพราะนั้นไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส แก้กิเลสจริงๆ แก้เข้าไปที่หัวใจ อย่างแม่ชีแก้วนี่เก่งทางภายนอก เก่งมากทีเดียว บอกว่าเก่งมากเลย อย่างเรานี้เคลื่อนไปไหนแกรู้หมด แกอยู่นู่นน่ะฟังซิน่ะ วัดแกก็อยู่ฟากบ้านทางด้านนู้น หมู่บ้านอยู่ตรงกลาง วัดเราอยู่ในป่านู้น นี่เราก็เป็นตามนิสัยของเรา แต่ก่อนเด็ดจริงๆ ใครมายุ่งไม่ได้ ว่าจะไปไหนมาไหนไปเลย ไม่มีใครทราบเราจะไปไหน นี่พอเราปั๊บออกไป ทางนู้นบอกแล้ว พอจังหันเสร็จแล้ว ไปแล้วนะวันนี้นะบอกเพื่อนฝูง ไปแล้ววันนี้

ถ้าแกไขความออกไปแกก็บอกว่า เย็นไปหมดเลย ถ้าไม่ไขก็บอกว่า ไปแล้ววันนี้ พวกนั้นก็ไปดู ไปแล้ว ทีนี้พอมาแล้ว มาแล้วละถึงแล้ว ตรงเป๋ง อันนี้ไม่เคลื่อนเลย การออกการเข้าของเรานี้แกรู้ทุกระยะเลย ว่าไปแล้ววันนี้ ไปจริงๆ ทั้งๆ ที่วัดอยู่คนละทวีป บ้านอยู่นี้ สำนักชีอยู่โน้น วัดเราอยู่โน้น แล้วเราก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับใครแต่ไหนแต่ไรมา จะไปไหนเราไปของเราเลย รู้จนได้ รู้ เวลามาถึง มาถึงแล้ววันนี้นะ อันนี้ไม่เคลื่อนเลย ไปแล้ววันนี้ก็ไม่เคลื่อน มาแล้วไม่เคลื่อน แกเก่งความรู้อันนี้

จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแกร้องไห้เลยกลางคืน อย่างนั้นละแกแม่นยำมาก พอสว่างออกมาแกร้องไห้ พวกแม่ชีแม่ขาวทั้งหลายในสำนักชีรุมเข้ามา คุณแม่เป็นอะไรๆ จะเป็นอะไร หลวงปู่เสียแล้วเมื่อคืนนี้ นั่น บอก ร้องไห้อยู่คนเดียว ถามว่าเป็นอะไร จะเป็นอะไร เป็นบ้าหรือพวกนี้ จะหาว่าแกเป็นบ้า หลวงปู่ท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ แกร้องไห้นะ

พอดี ๗ โมงเช้าเขาก็วิ่งมาจากคำชะอี ประกาศทางวิทยุทางนู้นบอกว่า หลวงปู่มั่นเสียแล้ว เวลาเท่านั้นๆ ก็วิ่งเข้ามาหาสำนักชี บอกว่าหลวงปู่มั่นเสียแล้วเมื่อคืนนี้ พวกนี้ร้องไห้ตามกันหมด ทีแรกก็ว่าแกเป็นบ้า เข้าใจไหม แกร้องไห้อยู่คนเดียว พวกนั้นว่า คุณแม่เป็นอะไรหรือๆ อยากจะพูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่า เป็นบ้าหรือว่างั้น แกก็บอก จะเป็นอะไร หลวงปู่ท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ สักเดี๋ยว ๗ โมงเช้าเขาก็มาบอก ร้องไห้กันหมดทั้งสำนักชี นั่นแกแม่นยำมาก

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก