อยากไปนิพพานในชาตินี้
วันที่ 8 ตุลาคม 2550 เวลา 7:55 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

อยากไปนิพพานในชาตินี้

ก่อนจังหัน

         โก้ไหมหลวงตาบัว นั่งอยู่นั่นโก้ไหม พัดเปรียญ ๓ ประโยคนั่น เป็นยังไงโก้ไหม นี่ท่านอาจารย์มหาทองสุก ที่เราลงมาจากภูเขา อ้าว เรียนมาแทบล้มแทบตาย ได้พัดประจำมหาเปรียญไหมล่ะ กระผมไม่สนใจกับมันละ อู๊ย ไม่ได้ๆ ท่านจัดเองนะนั่น พัดของท่านไม่ใช่พัดของเรา ท่านก็ลุกปุ๊บปั๊บไปเลย ไม่ได้ๆ เรียนแทบเป็นแทบตายนี่นะ ท่านก็ไปเอาพัดของท่านมา นิมนต์เรามานั่งเก้าอี้ คือธรรมดาเราไม่ได้นั่งเก้าอี้กับท่าน ท่านจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เอ้ามานั่ง เอาพัดมาวางนี่ มหาบัวมีพัดประจำ อยู่ที่วัดสุทธาวาส

พอพูดเรื่องนี้ก็ทำให้อัศจรรย์เอามากนะ ไม่เคยคาดเคยคิด อย่างท่านอาจารย์มหาทองสุกเอามาพูดเวลานั้น คือเรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว เวลาพูดถึงเรื่อง โอ๊ย ท่านตัวสั่นเลย ตื่นเต้นหรืออะไรชอบกลนะ ผิดปรกติมาก คือถังน้ำมันเบนซินอยู่นี่ ถังน้ำมันเบนซินเขาเปิดเอาไว้ ไม่เปิดมากเปิดนิดหน่อย น้ำมันเบนซิน นี่ไอ้แท่นเล็กๆ อัฐิพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอาวางไว้ข้างบนผอบรอที่จะเข้าบรรจุ ทีนี้โบสถ์ยังไม่เสร็จ ถ้าโบสถ์เสร็จแล้วจะเอาเข้านั้น เลยรอ ท่านก็ส่องไฟธรรมดาละ ก็ถังน้ำมันเบนซินอยู่นั่น พอส่องไป ปึ้งขึ้นเลย ดับพรึบหายเงียบ จนท่านอาจารย์มหาทองสุกล้มท่านว่านะ มันปึ้งขึ้นอย่างแรงจนล้ม ไอ้เทียนไขที่ถือไปนั้นก็หลุดมือๆ ไปด้วยกัน อันนั้นมันปึ้งเดียวหายเงียบเลยนะ มันเป็นยังไง

นี่ละอัฐิของพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ข้างบนแท่น ถังน้ำมันเบนซินอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่อานุภาพอันนี้จะเป็นอะไรไป ลงปึ้งขนาดนั้นแล้วต้องหมดเลยกุฏิหลังนั้น เผาท่านอาจารย์มหาทองสุกด้วยละเราแน่ใจ คือท่านไม่ได้สติเลยท่านว่า พอปึ้งแล้วก็ล้มทั้งหงาย แล้วเทียนหลุดมือไปเลย แล้วอันนี้ก็ดับ ไฟดับ อัฐิพ่อแม่ครูจารย์มั่น เป็นผอบอยู่ข้างบน ไม่ใช่เพราะอันนี้จะเป็นเพราะอะไร อัศจรรย์อยู่นะ ท่านเล่าเวลานั้นยังตื่นเต้นอยู่นะ

         ท่านอาจารย์มหาทองสุกนิสัยท่านสงบเรียบร้อยดีมาก มารยาทเต็มยศของพระเลย ท่านก็เสียขณะเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส ตกลงก็เลยได้เผาที่นั่น นี่ละที่ท่านไปคว้าเอาพัดมาให้เรา ตั้งเก้าอี้ขึ้นเลย ท่านจัดเองนะ เราไม่ได้จัด โอ๊ ไม่ได้ๆ ท่านว่างั้นนะ เรียนมาแทบเป็นแทบตาย เขามีพัดยศประจำเปรียญทั่วแผ่นดิน เราไม่มีกับเขาใช้ได้ไง ทั้งพูดทั้งจัดนะ แล้วก็นิมนต์เราไปนั่ง หลวงตาบัวก็เป็นมหา ก็มีพัดยศอยู่นั่น พัดเปรียญ ๓ ประโยค ทุกวันนี้มันเฟ้อมากคงไม่มีพัดอย่างนั้น คือมันมากต่อมากเลยไม่มีพัด แต่ก่อนพัดประจำ ได้เปรียญ ๓ ประโยคแล้ว พัดเปรียญ ๓ ประโยค

               สำหรับเราไม่ได้สนใจกับอะไร เพราะฉะนั้นเวลาท่านถาม ว่าไงเรียนมาแทบล้มแทบตาย ได้เห็นพัดยศกับเขาไหมล่ะ ท่านว่างั้น เฮ้ย กระผมไม่สนใจ อู๊ย ไม่ได้ กึ๊กกั๊กเลย แล้วก็จัดให้ ท่านก็เป็นเปรียญ ๓ ประโยคเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพัดอันนี้จึงเข้ากันได้

         เมื่อคืนนี้ห้าทุ่ม ฝนตกหนักนะ เราก็นั่งอยู่บนศาลา อู๊ย ตกนาน เพราะฉะนั้นตอนเช้ามันจึงเห็นน้ำเจิ่งเต็มอยู่นี่ ตั้งกี่ปีแล้วน้ำไม่เคยไหลผ่าน ปีนี้มีแล้ว นี่เหมือนกับโบร่ำโบราณเรา แต่ก่อนมาสร้างวัดทีแรกก็เป็นอย่างนั้นล่ะน้ำ ไหล คือหน้ากำแพงมันเป็นนาเขา ท่วมหมดเลย มองออกไปนี่เป็นน้ำหนองหานไปเลย นี่หายไปกี่ปี เพิ่งมาปรากฏ ปรากฏเมื่อเช้านี้ เหือดแห้งจริงๆ ไม่เคยเห็นมีน้ำไหลผ่านวัด เพิ่งมาเห็นวันนี้เมื่อเช้านี้ เราไปเที่ยวดู เพราะเห็นฝนตกเมื่อคืนตกหนัก เราก็นั่งดูๆ ตอนห้าทุ่มมันเร่งใหญ่ๆ ให้พรๆ  

หลังจังหัน

         เมื่อเช้านี้เราออกมาตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ไปดูน้ำ คือฝนตกหนักเมื่อคืนนี้ นั่งดูมันอยู่นี่ ๕ ทุ่ม ตกหนักตกนานเสียด้วย จากนั้นมันก็พรำไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงจะไปดูน้ำ ออกไปดูน้ำเต็มไปหมด  เราไปถึงแค่ตรงสะพาน ก็พอดีๆ กับที่น้ำท่วมให้เห็นนี่ แต่ก่อนมันเป็นธรรมดาของทุกปีๆ ถึงหน้าน้ำ น้ำก็เรื่อยๆ ท่วมไปอยู่นู้น หายหน้าไปหลายปี เพิ่งมาเห็นเมื่อเช้า ฝนมีแต่ฝอยๆ เมื่อคืนนี้ไม่ฝอย ใส่ตูมเดียว น้ำก็มาเต็มหมด เมื่อเช้านี้ออกแต่เช้าเลย ๖ โมงเช้าออกไปห้วย ฝนตกหนักเหลือเกินเมื่อคืน น้ำจะเป็นยังไง ไปดูน้ำ กำลังไหลเต็ม ศาลาใหญ่ท่วมเลย ข้างๆ คล้ายกับโบรมโบราณเรา ตอนมาสร้างวัดใหม่ๆ น้ำเป็นอย่างนี้ จากนั้นมาหายหน้าไปเลยน้ำ เพิ่งมาปรากฏปีนี้ น้ำไม่มาก แต่ปีนี้ได้ปรากฏ

         พูดถึงเริ่มเป็นหน้าฝนมาตั้งแต่เดือนพฤษภามาถึงเมื่อคืนนี้ มีฝนห่าเดียว ตกเมื่อคืน อ้าวแต่ก่อนมันฝอยๆ มาเรื่อยๆ เมื่อคืนนี้กระหน่ำลงมา เราก็นั่งดูอยู่เมื่อคืน นั่งภาวนาอยู่ ๕ ทุ่ม ตกนานด้วย ตั้งแต่นั้นแล้วก็พรำเบาๆ นี่น้ำท่วมหมด เหมือนกับน้ำแต่เก่าก่อนโบรมโบราณนะ แล้วหายหน้าไปหมด ไม่ทราบเป็นยังไง เราก็งงเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะดงอันนี้นะ แต่ก่อนเป็นดงหนาป่าทึบตั้งแต่หน้าวัดไปนี้ ไปอำเภอหนองแสง ดงใหญ่ทั้งนั้นละ เดี๋ยวนี้หมดมันเป็นบ้านคน เลยน้ำก็หมดไปตามๆ กัน ทำให้สงสัยป่าไม้หมด น้ำก็เลยค่อยๆ หมดไปด้วย เมื่อเช้าไปดูน้ำ โถ มันตกนานด้วยเมื่อคืนนี้ จนได้คิดนะ นั่งภาวนาอยู่หน้ากุฏินั่นแหละ ฝนตก นั่งอยู่หน้ากุฏิ ๕ ทุ่ม มันก็หนักอยู่ โถ หนักมาก ตกอยู่นานร่วมชั่วโมง ที่ตกอย่างหนักนะ เสมอ จากนั้นก็ค่อยเบาลงๆ แต่ไม่หยุด เบาเรื่อย

เพราะฉะนั้นพอสุดท้ายเราถึงออกไปดูน้ำเลย เชื่อ ฝนเมื่อคืนต้องทำให้น้ำมาก เราเชื่อ พอ ๖ โมงเช้าออกเลย ไปดูน้ำที่ศาลา น้ำเฉพาะศาลานั้นท่วมหมดใช่ไหม นั่นละ ก็เพิ่งจะเห็นปีนี้ มันเป็นอะไรนะ มาสร้างวัดทีแรกก็มีอยู่น้ำท่วมๆ พอหลังจากนั้นมาหายหน้า แทบไม่มี เพิ่งมาปรากฏเอาเมื่อเช้านี้ (วันนี้พระได้ลุยน้ำบิณฑบาตเจ้าค่ะ) ตอนเช้าเหรอ (เจ้าค่ะ เมื่อเช้านี้ค่ะ) เมื่อคืนนี้ตก เอ้ออย่างนี้ซิ ตั้งแต่ตั้งหน้าฝนมาเดือนพฤษภา พึ่งมามีฝนเมื่อคืนนี้ คือฝนตกเป็นห่าจริงๆ เมื่อคืนนี้ ตกหนักด้วย ก็นั่งภาวนาอยู่นั่น ดูมันอยู่ตอน ๕ ทุ่ม ตกหนักเสมอ จากนั้นก็พรำเบาๆ เรื่อยไม่ขาด เพิ่งมาหยุดเอาตอน ๖ โมง ฝนหยุด

พอออกจากที่แล้วปั๊บไปดูน้ำก่อน เชื่อว่าฝนตกขนาดนี้น้ำต้องมาก มาจริงๆ เต็ม แล้วปลาอยู่ในห้วยจะออกมาทางไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น้ำเมื่อมันท่วมมันล้นฝั่งไปแล้ว ปลาก็ไปได้ละ ปลาเขาเอามาปล่อย เทเป็นหมื่นๆ เขามาเท คลองหน้าวัดเป็นคลองที่ปลามากที่สุด นี่เขาจะมีโอกาสออกเที่ยว แต่เราก็วิตกวิจารณ์ ครั้นออกไปเที่ยวแล้ว หม้อแกงก็อยู่นั้นละ อยู่ข้างหน้า โดดไปนี้โดดลงหม้อแกง เสร็จเลย เราคิดไปอย่างนี้นะ พอโล่งทางนี้ติดทางนี้ มันลำบากเหมือนกัน เพราะเราคิดปั๊บ เราจะออก พอโล่งตรงนี้ติดตรงนั้น โล่งตรงนั้นติดตรงนี้ หายใจไม่ออก

อย่างเรื่องปลานี้ก็เหมือนกัน วันนี้ปลาต้องออกแน่ เขาอยากไปรื่นเริงเราก็ยินดีกับเขา แต่มันมีหม้อแกงใหญ่อยู่ข้างหน้าละซี จิตมันก็ถอยกรูดๆ เลย เปิดช่องนี้ปิดช่องนี้ วันนี้น้ำมาก ตั้งแต่พฤษภามาจนกระทั่งป่านนี้ จะหมดฤดูฝนแล้ว พึ่งตกมาเมื่อคืน ตกจริงๆ เอ้ออย่างนี้เป็นน้ำเป็นเนื้ออย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ฝนแต่ก่อนตกอย่างนี้ละ ตกสม่ำเสมอๆ น้ำท่วมมาหน้าวัดๆ ตลอด นี่หายหน้าไปตั้งเป็นสิบกว่าปีแล้ว ไม่เห็นน้ำเลย พึ่งมาเห็นเมื่อเช้านี้

         พอพูดเรื่องน้ำนี่ เราไปพักอยู่ที่เขื่อนน้ำอูน แต่ก่อนเขายังไม่กั้นเขื่อน พักภาวนาอยู่ที่นั่น เป็นเดือนอ้ายเดือนยี่ ฟ้าใหม่ฝนตก ลำน้ำอูนมันมาอยู่ข้างๆ  เราก็กางกลดลงริมแม่น้ำอูน มาภาวนา ออกมาจากหนองผือ มาพักภาวนาอยู่ที่นั่น มันสงัดดี ฝนก็ตกพอดี สามทุ่มฝนตก ไอ้เราก็ไม่มีอะไร พึ่งไปพักภาวนาอยู่ที่นั่น พอสามทุ่ม ไอ้เสือมันก็มาที่นั่น ควายแม่กับลูกก็อยู่ที่ฝั่งเป็นฝั่งทางนี้ ฝั่งทางเสืออยู่นี้ สามทุ่มพอดี อยู่ๆ ฝนก็ตก ตอนนั้นฝนตกด้วย กำลังตกเดือนอ้ายเดือนยี่ ฟ้าใหม่ฝนใหม่ ตกหนัก หนาวมาก ฝนหน้านี้หนาวมากทีเดียว เราก็อยู่นั้นละ พอเราโดดออกจากมุ้งมา ฝนตก ฟังเสียงควายร้องข้างๆ เสือมากัดมัน เราก็โดดออกจากมุ้งมา มันมาทำอะไรกันที่นี่

ควายมันโดดออกไป ข้ามไปฝั่งโน้น เสือก็อยู่ทางฝั่งที่เราอยู่นี้ เราร้องขึ้นเลย มันมาหาทำอะไรกันที่นี่ กลางคืนนะ เสือ เรากางมุ้งอยู่ ฝนก็ตกด้วยนะ ไอ้เสือก็มากัดควาย ควายก็ร้อง เราก็โดดออกจากมุ้งนั่นละ ขนาบขึ้นเลย มันมาร้องทำไม กัดกันทำไหมนี่ ไล่กลางคืน ตอนเช้าเห็นรอยเสือ ที่นี่แม่มันโดดเข้าไปทางนี้ มันข้ามไปโน่นไม่ได้ ไอ้ลูกมันวิ่งเข้าบ้าน เจ้าของเขาทราบ เห็นลูกมันวิ่งเข้าบ้าน อ้าวแม่มันเป็นยังไงนี่ เขาเลยวิ่งออกมา เขาเลยมาก่อไฟไว้กับตัวแม่มัน ก่อไฟไว้ นั่นละเสือมันก็ไม่กล้าลงไปซ้ำซาก เราก็อยู่ข้างบน เสือโคร่งใหญ่นะ เราอยู่ข้างบน ควายมันอยู่ฟากทางแยกทางเราอยู่ มันไปมันข้ามไม่ได้ เสือกัดขามัน

เขาก็เลยมาก่อไฟให้เรา เราก็อยู่ทางด้านนี้ เสือดูรอยมันผ่านไปผ่านมานะ แต่ไม่กล้าเดิน เพราะมันเห็นไฟ กลัวเจ้าของเขาจะดักยิง พอตื่นเช้ามาเห็นแต่รอยเสือผ่านไปผ่านมา มุ้งเราก็อยู่นี้ รอยเสือก็วิ่งไปมา มันเสียดายซากควายที่ยังไม่ตาย มันเคยกิน ก็พอดีเขาก่อไฟไว้ มันเลยไม่กล้าเดิน กลัวเจ้าของเขามาดักยิง ตื่นเช้าเราก็ไปดู อ๋อ มาร้องใกล้ๆ นี่เอง เสือก็มากัดควาย มันมากัดอะไรกันที่นี่ ไม่ได้เห็นเสือละ แต่ได้ยินเสียงควายร้อง เสือมันก็หลบหนีไป แต่ว่ามันก็ผ่านไปผ่านมาอยู่นะริมน้ำอูน เราก็อยู่นี้ เสือก็ผ่านไปผ่านมา มันไม่ส่งเสียงละเสือ เช้าจึงรู้ว่าควายอยู่นั่นเขามาก่อไฟให้มัน เสือมันไม่ลงไปซ้ำ ถ้าไม่มีไฟไม่เห็นคนมันจะลงไปซ้ำ กินเลย มันคงกลัวเขาจะดักยิงมัน มันก็เลยไม่กล้าลง

ตอนฝนตกนะนั่น ตกหนักเสียด้วย โหย หนาวจะตาย เอาผ้าหรืออะไรที่จะเปียกใส่ในบาตรๆ ไว้ มีแต่มุงข้างนอกนะ แล้วเอาอะไรมารอง ก็เอาฟางมารองนั่งนอนอยู่ที่นั่น ฝนตกหนักเสียด้วยนะ คืนนั้นละคืนทรมานมาก เสือก็มากัดควายอยู่ข้างๆ ก็ร้องใส่เสืออีกเราก็ดี เสือมันก็ไปละ เราก็อยู่ที่นั่น (เขื่อนน้ำอูนช่วงไหนคะ) เขื่อนน้ำอูนที่ไปหนองบัว เขื่อนน้ำอูนที่เราไปอยู่แต่ก่อนยังไม่มีเขื่อนนะ เวลาเขากั้นเขื่อนแล้วน้ำจึงท่วมหมดที่เราอยู่ ท่วมหมดเลย ท่วมขึ้นถึงนี่ นั่นละเขื่อนน้ำอูน ที่เขื่อนน้ำอูนกั้นเอาไว้ เราอยู่ข้างหน้านู้นแต่ก่อน เขายังไม่กั้นเขื่อน

         อย่างนั้นละพระกรรมฐาน เวลาเที่ยวกรรมฐาน โดนทุกปีเรา แต่ไม่เคยเข็ดนะ มันแปลกอยู่ที่ไม่เข็ด คืออำนาจของธรรมมันดูดๆ ธรรมดูดตลอด ความทุกข์ยากลำบากไม่สนใจ ไม่เข็ด ทุกปีหน้าเดือนอ้ายเดือนยี่ฝนตกหนัก โธ้ หนาวมากนะ ตกกลางวันเราก็ไม่ว่า ส่วนมากมันตกกลางคืนนี่ซี มันปิดประตูตีหมา ยังแต่ขี้ทะลักเท่านั้น ฝนตกแรง เป็นอย่างนั้นแทบทุกปี คือตอนนั้นเป็นเวลาที่จะออกเที่ยวกรรมฐานภาวนา พอเดือนมีนา เมษา ขึ้นเขาไปตามถ้ำ ถ้าเลยกว่านั้นเดือนอ้ายเดือนยี่นี่เที่ยวอยู่ตามป่า เที่ยวอย่างงั้นเที่ยวกรรมฐาน

กรรมฐานนี่พูดถึงเรื่องลำบาก ลำบากมากอยู่นะ แต่ที่ว่าลำบากมากนี่ มันไม่มีน้ำหนักเท่าธรรมนะ ธรรมดึงดูดๆ เพื่อมรรคผลนิพพานๆ เรื่องความลำบากลำบนไม่ได้สนใจนะ ไม่เข็ด มุ่งต่อธรรมอันนั้นละ อยู่ได้ทั้งนั้น ความมุ่งมั่นมีตรงไหนตรงนั้นละเป็นจุดที่หมาย แล้วอุปสรรคอะไรๆ นี้ไปขวางหน้าไม่ได้นะ

         คือการภาวนานี้เราจะพูดให้ฟัง เวลาจิตยังไม่สงบ ก็จิตธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ นี่นะ ถ้าไปสู่สถานที่กลัว เวลามันกลัวให้จิตเข้ามาตั้งอยู่กับพุทโธ อย่าให้ออกไปหาที่กลัว ส่วนมากจิตเรามันเป็นบ้า ถ้าว่ากลัวผีก็จิตไปอยู่ป่าช้านะ ถ้าว่ากลัวเสือก็จิตไปอยู่กับเสือ เป็นอย่างนั้นนะ มันไม่ได้อยู่กับกลัว ทีนี้มันก็เพิ่มความกลัวมากเข้าๆ ละซี ทีนี้ก็ได้อุบายอันหนึ่งมา ไม่ให้คิด เราหาอุบายสอนเราเองนะ กลัวเสือกลัวอะไรๆ ก็ตาม ให้อยู่กับพุทโธ ไม่ให้ออกจากนี้ ถ้าออกจากนี้ปั๊บ กลัวเสือแล้ว เพราะเสือมันชุมนี่

พอนึกอยู่กับพุทโธๆ อำนาจของธรรมกับพุทโธเข้ากลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้วแน่นปึ๋งนะ ที่นี่ไม่ว่าแต่อะไรละ เสือเดินเข้ามาจะเดินไปลูบคลำเสือได้ ฟังซิน่ะ แต่ก่อนมันกลัวจนตัวสั่นก็ได้ มันกลัวมาก ขณะก่อนนะ พอเราภาวนาพุทโธๆ หนักแน่นเข้าๆ พุทโธกับธรรมนี้มันเป็นอันเดียวกันแล้ว แน่นปึ๋ง ไม่กลัวอะไรเลย คิดไปถึงสามแดนโลกธาตุ ไม่มีกลัวอะไรเลย นั่นเห็นไหมล่ะ จิต เป็นอยู่ในหัวใจนี่มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง วิธีดัดสันดานตัวเอง แม้แต่เสือมันจะเดินเข้ามานี้ จะไปลูบคลำหลังเสือได้สบายๆ ทั้งๆ แต่ก่อนก็กลัวเสือจนตัวสั่น แต่ขณะหลังนี้ไม่เป็นอย่างนั้นละมันกล้า เมตตา ถ้าว่าอะไรมันอ่อนนิ่มไปหมดเลย ไม่ได้กลัวอะไรในโลกอันนี้ ถ้าเสือมานี่จะเดินเข้าไปหามันได้เลย ลูบหลังมึงไปไหนอย่างนั้นอย่างนี้ พูดกับมันอย่างเราพูดกับหมาเรานี่นะ มันเปลี่ยนนะจิต

         นี่ได้ฝึกมาหมดแล้ว ที่ได้มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง วิธีดัดสันดานตัวเอง กลัวเท่าไรยิ่งเข้าๆ จิตอยู่ในขั้นพุทโธนะ พุทโธไม่ปล่อยกับสติแล้วอยู่ได้สบายๆ นี่ขั้นหนึ่ง ขั้นนี้เป็นขั้นเพื่อจิตสงบ ขั้นที่สองวิปัสสนา ขั้นพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ พอว่าเสือนี่อะไรเป็นเสือ นั่น มันหากเป็นของมันเองนะ เล็บหรือเป็นเสือ กลัวเล็บหรือ เล็บเราก็มี ไล่กันไปไล่กันมา กลัวตา ตาเราก็มีไม่เห็นกลัว กลัวเขี้ยวมัน เขี้ยวเราก็มี ไปจนตรอกเราไม่ลืมนะ ไปจนตรอก ไล่ไปถึงหางที่นี่

ถ้าจะเอาหางเราอวด เราไม่มีหาง กลัวหางมันหรือ มันพลิกได้นะ กลัวหางมันหรือ ตั้งแต่มันยังไม่เห็นกลัวเราไปกลัวมันทำไม หางติดตัวมันอยู่ไม่เห็นกลัว เรากลัวหาอะไร แก้ปั๊บเลย นี่ละปัญญา ถึงขั้นแยกธาตุแยกขันธ์คือขั้นวิปัสสนา เราเห็นเสือปั๊บมันจะพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ปุ๊บๆ ต่อจากนั้นหมดสภาพรูปธรรมทั้งหลาย หมด จิตว่าง พอปรุงขึ้นพับ พอว่าเสือพับดับพร้อมๆ ไม่ได้พิจารณาอะไรเลย จิตว่าง นั่นเป็นขั้นๆ

ถึงขั้นจิตว่างไม่มีอะไรกล้าไม่มีอะไรกลัว ไม่ถอย มีแต่ธรรมจ้าบนหัวใจ มันสว่างจ้าอยู่ภายใน มันว่าง ว่างหมดเลย สัตว์เสือไม่มี มันว่างหมด ถึงขั้นมันว่างหมดมันว่างอย่างนั้น จนกระทั่งเข้ามาถึงว่างภายในจิต คือว่างภายนอก ภายในจิตยังไม่ว่างก็ยังไม่สิ้นสุด  ว่างภายนอกว่างหมด ว่างเข้ามาภายใน ปล่อยวางภายในหมดเลย ทีนี้หมดโลกธาตุว่างไปหมด พอว่างตัวนี้เท่านั้นว่างหมดโลกธาตุ ถ้ายังไม่ว่างอันนี้ อันนี้ว่างอันนั้นว่างก็ยังไม่หมด พอเข้ามาถึงตัวนั้นก็วาง อันนั้นก็ว่างๆ อันนี้ก็ว่างอันนี้ก็วาง วางหมดเลย หาย ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวหมดโลกธาตุ

การพิจารณาภาวนากรรมฐานท่านทั้งหลายฟังเสียนะ หลวงตาบัวมาอวดท่านทั้งหลายเหรอ ภาวนามาแทบเป็นแทบตายถ้าได้เห็นเราเวลาทุกข์จนข้นแค้นจะเป็นจะตาย มีมากเราเองนะ แต่สำคัญจิตใจมันเด็ดมาก เราไม่ค่อยเหมือนใครง่ายๆ ว่าอะไรเป็นอย่างนั้นๆ ขาดสะบั้นไปเลย ถึงพ่อแม่ครูจารย์ท่านเป็นอาจารย์เราสอนเรา ฉุดลากเราขึ้น ท่านยังต้องได้รั้งเอาไว้ๆ คือมันผาดโผน เป็นอย่างนั้นละ แต่เราก็ได้ชมนิสัยเรานี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้มันก็ไม่ได้ผลอย่างนี้ แน่ะ นิสัยนี้ผาดโผนมากทีเดียว เป็นก็เป็น ตายก็ตายผึงเลยทันที จิตนี้เด็ดมากพูดจริงๆ จิตเราเด็ดมากเชียว ลงได้ลงใจแล้วเอาเถอะว่างั้นเลย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไม่มีอะไรขวางหน้าได้เลย พุ่งๆ นี่อำนาจของจิตเมื่อมันเด็ดเด็ดอย่างนั้น เวลามันอ่อนอ่อนไปหมด ขึ้นอยู่กับการอบรม

ข้อพิจารณาถึงเรื่องแยกธาตุเสือ แล้วอะไรเป็นเสือ นั่น หาไล่ไปหมดจนกระทั่งถึงหาง มันมีเครื่องรับกันๆ ว่ากลัวตา ตาเราก็มีไม่เห็นกลัว กลัวเล็บมันเล็บเราก็มีไม่เห็นกลัว ไล่เข้าไปๆ ของมันก็มีของเราก็มี สู้กันได้ตลอดๆ  สุดท้ายที่ว่าจะจนตรอก กลัวหางมันเหรอ เราจะเอาหางออกมาอวดมันไม่มีหางซิ พลิกปั๊บ ตั้งแต่ตัวมันเองมันยังไม่เห็นกลัวหางมัน เราจะกลัวหาอะไร แน่ะมันแก้กันได้นะ มันยังไม่เห็นกลัวหางมัน เราจะไปกลัวอะไรอยู่ไกลๆ มันแก้ได้นะ นี่คือปัญญา ผ่านได้สบายๆ

การภาวนา พูดถึงเรื่องการภาวนา นิสัยเรามันจริงจังมากทีเดียว พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็รู้ว่าเรามุ่งต่อท่านโดยตรง คือเราสงสัยมรรคผลนิพพาน อ่านไปๆ จิตใจมันมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน อยากไปนิพพานในชาตินี้ อยากสิ้นกิเลสในชาตินี้ แต่ก็ยังงมๆ งูๆ ปลาๆ มันหาหลักยึดไม่ได้พอที่จะก้าวพุ่งไปเลยไม่ได้ ก็มองเห็นแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่น องค์นี้ละองค์ที่จะเปิดทางมรรคผลนิพพานนรกอเวจีให้เราเห็นทราบอย่างชัดเจน คือองค์นี้ละ ไปก็ผึงเลย เข้าไปหาท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลย เราไม่ลืมนะ

โถ ท่านกางเรดาร์ไว้ พูดอย่างเด็ดเลย ท่านมาหาอะไร ขึ้น มาหามรรคผลนิพพาน ท่านก็ไล่ไป ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไล่ไปๆ กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ เอา ฟาดลงตรงนี้ด้วยจิตตภาวนา มันก็ลงตรงนี้ พอลงตรงนี้แล้วทีนี้เอาละ ขาดสะบั้นไปเลย คือแต่ก่อนมันสงสัยมันไม่รุนแรง มันสงสัยมรรคผลนิพพาน พอท่านเปิดให้แล้วกิเลสก็มีอยู่ในใจ ควรจะสงสัยมรรคผลนิพพานกลับไม่สงสัยนะ พุ่งเลย นั่นละมันถึงได้กำลังมาก ถ้าลงได้ลงใจแล้วเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ลงใจไม่ลง อย่างนี้ละ คาราคาซังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอลงใจแล้วทุ่มเลยเทียว

นี่ก็พ่อแม่ครูจารย์เปิดทางมรรคผลนิพพานให้ อะไรๆ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ อะไรๆ ไล่ไปหมด ไล่เข้ามา ตัวกิเลสตัวตัณหาตัวธรรมอยู่ที่ใจ ให้พิจารณาที่ใจด้วยจิตตภาวนา จิตตภาวนาเท่านั้นจะเปิดได้ เปิดข้าศึกและมหาคุณอยู่ที่ใจของเรา พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาได้เพราะภาวนา สาวกทั้งหลายเป็นเพราะภาวนา เราก็เอาภาวนาให้เห็นธรรม เห็นธรรมแล้วก็เห็นเราตถาคตอยู่ที่ใจ มันก็ลงใจ ตั้งแต่นั้นมาก็ฟาดเลย

แต่ไปเที่ยวกรรมฐานไม่ได้ไปกับใครนะ ไปองค์เดียวตลอด นิสัยเป็นอย่างนั้น ถ้าไปสององค์เป็นน้ำไหลบ่า กำลังไม่แรง สององค์สามองค์ไม่ได้ละเรา เป็นน้ำไหลบ่ามันไม่แรง ถ้าไปองค์เดียวมันพุ่งๆ ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ เป็นตายอยู่กับเราไม่ยุ่งกับใครเลย อยากกินกี่วันก็กิน ไม่กินก็ไม่กิน เรื่อยไปอย่างนั้น ถ้ามีเพื่อนฝูงไปด้วย ถ้าเราไม่ฉัน ท่านก็เกรงใจท่านเกรงใจเราไม่รุนแรง เพราะฉะนั้นเราจึงไปกรรมฐานองค์เดียว พ่อแม่ครูจารย์ก็เสริมด้วยนะ ถ้าเป็นเราแล้วเสริม ท่านว่าไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เออ ขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ

เพราะท่านเห็นเราจริงใจมาก อยู่กับท่านท่านก็รู้อยู่ บางทีสององค์สามองค์ลาไปเที่ยว เหอ ขึ้นเลยนะ ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ตกนรกให้เห็นอยู่ทั้งวันทั้งคืน แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกออกจากวัดนี้ไป แล้วใครจะกล้าไปใช่ไหม ไม่มีใครกล้า ก็อยู่ในนี้มันก็ตกนรกให้เห็นอยู่ทั้งวันทั้งคืน แล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนล่ะ ท่านว่าเท่านั้นหมอบนะไม่ไป ส่วนเรา สาธุ ไม่ได้โอ้อวด พอได้โอกาสเรียบร้อยก่อนที่จะลาท่านไป โถ ต้องได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคม ตามกำลังของคนโง่กับจอมปราชญ์

ก่อนที่จะไปก็กราบเรียนปรึกษาหารือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นโอกาสที่ว่างแล้ว ในวัดนี้จะมีธุระอะไรๆ บ้าง เพราะเราเป็นหัวหน้าเกี่ยวข้องกับพระกับเณรกับวัดวา ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ถ้าท่านว่าไม่มีอะไร หากว่าไม่มีอะไรก็อยากจะกราบลาพ่อแม่ครูจารย์ไปพักภาวนาสักชั่วระยะหนึ่ง บอกระยะนะ ไม่ได้บอกว่าไปเลยนะ เพราะดูท่านแล้วท่านก็เมตตาเรามากขนาดไหน เกี่ยวกับพระเณรทั้งวัดอยู่กับเราทั้งนั้น ท่านก็ว่า เอ้อ ไปได้

ทีแรกท่านไม่ตอบนะ หากว่าไม่มีธุระอะไรแล้วก็อยากจะกราบลาพ่อแม่ครูจารย์ไปภาวนาสักชั่วระยะหนึ่ง ท่านนิ่งนะ ถ้าหากว่าท่านไม่เปิดออกมาอีกเราก็ไปไม่ได้ พูดแล้วไว้นานๆ ได้โอกาสแล้วท่านหากเปิดออกมาเอง เอ้อ ที่ท่านมหาว่าอยากไปภาวนาก็ไปได้แหละ นั่นเปิดแล้วนะนั่น พอเปิดแล้วท่านก็ถามต่อ คิดว่าจะไปทางไหนล่ะ เราก็กราบเรียนท่านจะไปทางนั้นๆ แล้วจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สนใจว่าพระเณรจะมาสนใจกับเรา พระทั้งวัดหนองผือเราไม่สนใจกับใคร มีแต่เราคนเดียวๆ เกี่ยวกับท่านโดยเฉพาะ

แต่เวลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้วเกาะพรึบเลย โถ พระเณรมาจดจ้องเราอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ จนได้เป็นขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อน เพราะไม่สะดวกสบายในการภาวนา หลังจากพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแล้ว นั่นละจิตหมุนเป็นธรรมจักรอยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่คนเดียว ทีนี้หมู่เพื่อนจะไปกับเราได้ยังไง ขโมยหนีกลางคืนก็ไป กลางวันก็ไป หมู่เพื่อนว่ายังไงก็ไม่ฟังรุมตาม พอตกกลางคืนหมู่เพื่อนพักภาวนา เราเตรียมของไว้เรียบร้อย มันเหมือนบ้านะเรา เตรียมของไม่มากนะ บาตร จีวร กลด เท่านั้นแหละ เอาวางเรียบร้อยแล้วเดินฉากดูที่พระเณรตามเกาะเรา ฉากไปองค์นี้เดินจงกรม องค์นั้นนั่งภาวนา ดูใครไม่สนใจกับเรากลับมาเตรียมของเปิดหนีทางนี้เลย ทางไหนมีพระไม่ไป ออกกลางคืนไปเลย ไปกลางคืนนะ ตื่นเช้ามาแตกฮือเลย ถ้าตกนรกตกได้เราเรื่องขโมยหนีจากหมู่เพื่อน

กลางวันก็เหมือนกัน ดูอาการเสียก่อน ดูลาดเลาดูพระดูเณร ถ้าเห็นไม่มีองค์ไหนสนใจกับเรา ส่วนบริขารเราเตรียมไว้พร้อมแล้ว พอกลับมาสะพายบาตร ทางไหนไม่มีพระออกทางนี้ไปเลย กลางคืนก็ออก เป็นอย่างนั้นละ เราไม่ทราบว่าพระเณรมาจดจ้องเราอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ตอนที่เรากับพ่อแม่ครูจารย์โดยเฉพาะปฏิบัติตนอยู่อย่างนั้นแล้ว เราก็ไม่สนใจกับพระเณร จึงไม่ทราบว่าพระเณรได้เกี่ยวข้องกับเราเมื่อไร แต่พอท่านมรณภาพเกาะพรึบเลย นี่ละที่เราลำบาก เป็นขโมย จิตก็เป็นจิตธรรมจักรด้วย มีแต่พุ่งๆ ไปกับใครไม่ได้ อยู่กับใครไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียว ทำงานตลอด กลางคืนนอนไม่หลับ ธรรมฆ่ากิเลส

นี่ละถึงกาลเวลาธรรมฆ่ากิเลสฆ่าตลอดนะ กิเลสฆ่าสัตว์ทำลายสัตว์ทั้งหลายฆ่าตลอด ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสทำลายสัตว์ฆ่าสัตว์ ให้ได้รับความลำบากลำบนทั่วหน้ากันหมด นี่คือกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ทีนี้พอธรรมมีกำลังมากขึ้นมาแล้วฟัดกิเลส ทีนี้ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เราไม่เคยคิดแต่ก่อนว่าธรรมะจะฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ แต่เวลามันเป็นในจิตของเราแล้วอยู่ที่ไหนฆ่าแต่กิเลส แม้ที่สุดฉันจังหันอยู่นี้ มันไม่ได้อยู่กับอาหารหวานคาวนะ จิตของเรามันหมุนฆ่ากิเลสตลอด กลางคืนนอนไม่หลับ นี่ละเวลาธรรมะฆ่ากิเลสฆ่าเป็นอัตโนมัติ เหมือนกันกับกิเลสทำลายสัตว์โดยอัตโนมัติ มาทราบด้วยเจ้าของชัดเจน จึงพูดได้เต็มปากไม่สงสัย

จนกระทั่งกิเลสทุกส่วนๆ ขาดสะบั้นลงไป มหาสติมหาปัญญาแก่กล้าสามารถฟาดขาดสะบั้น ผางเลย โลกธาตุนี้ว่างไปหมดเลย นั่นละที่นี่หมด ไม่มีอะไรกวนใจตั้งแต่บัดนั้นมา เราก็พูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ วันนั้นเป็นวันกิเลสม้วนเสื่อลงจากใจของเราบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่เคยได้ฆ่ากิเลสตัวใด หมดโดยสิ้นเชิง ส่วนธาตุส่วนขันธ์มันก็เป็นธรรมดาของโลกสมมุติ เขาติเราได้ เราติเขาได้ จึงว่าร่างกายนี้เป็นโลกธรรม ใครจะตำหนิติชมอะไรได้ทั้งนั้น เพราะอยู่ในสมมุติด้วยกัน ส่วนจิตนั้นไม่มีทาง ผ่านไปหมดแล้วจากสมมุติทั้งหลาย มันก็รู้เองในตัว เป็นอย่างนั้นละ

(เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหนูภาวนาที่บ้านตาดนี้ ขณะที่ภาวนาดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ แล้วจิตมันสงบเข้ามาภายใน ความรู้สึกว่าร่างกายหายไป แล้วมีจิตผู้รู้เด่นชัดขึ้นมา มันตื่นเต้นอยู่สักหน่อยหนึ่งว่าอยู่ดีๆ ร่างกายหายไปได้ยังไง) ให้อยู่กับจิตนะ ให้อยู่กับผู้รู้เลย เข้าใจไหม มันจะแสดงอาการเป็นอาการของจิตๆ ถ้าจิตตั้งไว้อยู่แล้วจากนั้นก็ค่อยกลับลงมาๆ มาสั่งสมกำลังที่จิต ถ้าปล่อยให้เป็นตามอารมณ์ต่างๆ แล้วมันเพลิน กำลังทางด้านจิตใจที่จะแก้กิเลสไม่ค่อยมี มีแต่ความเพลินไปกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอพูดอย่างนี้เราก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว เรื่องไล่แม่ชีแก้วลงจากภูเขาร้องไห้ลงไปก็เพราะเหตุนี้เอง

โห เรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมแกไม่สงสัยเลย แกพูดธรรมดาๆ ตลอดถึงพวกเปรตพวกผีแกพูดได้ธรรมดา เพราะแกรู้จริงๆ ว่างั้นเถอะ จนติด รู้เสียจนติด ภาวนาถ้าไม่รู้ไม่เห็นเหล่านี้เหมือนไม่ได้ภาวนา เหมือนไม่มีผลงาน พอรวมปั๊บให้ออกรู้สิ่งต่างๆ ทั่วโลกดินแดนแล้วกลับมา ภูมิใจว่าได้รู้ได้เห็น ก็ฟังดูซิ ทีนี้เมื่อติดมากเราก็รู้ว่าติดมาก แล้วค่อยตีตะล่อมเข้ามา เราไม่ได้หักทีเดียวนะเพราะมันติดอย่างมากแล้ว ค่อยตีตะล่อมเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย จนอาจารย์กับลูกศิษย์ทะเลาะกันเลย เรากับผู้เฒ่าแม่แก้วทะเลาะกันเลย แกไม่ลงเรา แกติดแล้วนั่น แกนึกว่าแกเก่งกว่าเราเสียด้วยซ้ำไป เราด้นเดาเฉยๆ นะ คือแกสู้เราซิจึงเป็นเหมือนว่าแกเก่งกว่าเรา

พอสุดท้าย เอ ไม่ได้แล้วนี่ มันต้องได้ใช้ไม้หนักแล้วคราวนี้ ไม้อย่างนี้ไม่ได้ผล พอถึงไม้หนักก็ไล่ลงภูเขาเลย บอกไม่ฟัง มัดกันเลยบอกห้ามไม่ให้ออกเป็นอันขาด วันจะเอากันนะ มันจะรู้อะไรๆ ก็ตามปล่อยให้หมด พิจารณาอย่างนั้นๆ มันจะลงอย่างนี้ นี้เป็นวิธีการถอนกิเลส เราบอก วิธีการนั้นสั่งสมกิเลส เหมือนเราเดินไปที่ไหนก็เห็นเห็นไปเรื่อยๆ ด้วยหูด้วยตาของเรา ดูภายในมันก็เห็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ทางแก้กิเลส เราก็ชี้แจง ทางแก้กิเลสให้ลงตรงนี้ สอนวิธีการให้ลงๆ แกก็ยังไม่ลงๆ  สุดท้ายก็ไล่ลงภูเขาเลย ไป ใครเป็นนักปราชญ์ให้ไป เราเป็นคนโง่เราจะอยู่ตามความโง่ของเรา ไปใครเป็นนักปราชญ์ อย่ามาอยู่ที่นี่กับคนโง่มันจะเลอะเทอะกัน ระหว่างคนโง่กับคนฉลาด

แกก็ลงภูเขาไปร้องไห้ มันก็เข้ากันได้กับนึกย้อนหลัง ความรู้ของแกเก่งมากนะ สมัยพ่อแม่ครูจารย์ไปอยู่แกก็รู้ ภาวนารู้ ตอนที่เราไปทีหลังแกบอกล่วงหน้าไว้เลย บอกว่าคราวนี้ละหลังจากหลวงปู่มั่นผ่านไปแล้ว คราวนี้เป็นคราวที่สองเรื่องจะคล้ายคลึงกันกับมีครูอาจารย์มาโปรดพวกเรา มองดูบนน่านฟ้ามีแต่ดวงแต่ดาวกระจ่างแจ้งมาหมด ดวงใหญ่ดวงเล็กๆ ลงท่ามกลางวัดห้วยทราย แตกกระจายไปตามบริเวณนอกๆ คือพระเณรจะอยู่ด้วยเวลาเราไปอยู่ที่นั่น

พออาจารย์องค์ไหนมาก็ให้ไปดู ใช่ไหม ไม่ใช่ แกรู้ด้วยนะองค์ไหนแน่นู่นน่ะ องค์ไหนมาใช่ไหม ไม่ใช่ๆ เรื่อยไป พอเราไปเท่านั้นละ เขาทราบแกก็ไปบอกให้เขามาดู พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสงเสียเลย นี่ละผู้ที่เคยฝึกทรมานกัน มันหากยอมกันเองนะในหลักธรรมชาติ พอเราไปแกก็ไปดู พูดแล้วสาธุ พูดตามหลักความจริง ทั้งจะปวดหนักทั้งจะปวดเบา ทั้งกลัวทั้งกล้า ทั้งเคารพเลื่อมใสเต็มไปหมด แกบอกว่าขี้ก็จะออก พูดตรงๆ อย่างนี้ มันเป็นอะไรไม่ทราบมันหากเป็นของมันเอง ทีนี้พอกลับไป องค์นี้ใช่ไหม ใช่ว่างั้นเลย แกบอกเขา องค์นี้ละองค์ที่จะฝึกทรมานพวกเรา แต่คอยดูไปก่อนท่านจะสอนพวกเราหรือไม่คอยดูไป บทเวลาเราไล่ลงจากภูเขามันสอนหรือไม่สอนไม่รู้ นั่นมันก็เข้ากันได้ทุกอย่าง แกก็ลงได้อย่างนั้น

ปี ๒๔๙๔ ไปห้วยทราย นั่นละปี ๙๔ ฟัดกันตรงนั้น ปี ๙๕ เอาสุดเหวี่ยงเลยเชียว จนกระทั่งไล่ลงจากภูเขา ปี ๒๔๙๕ แกร้องไห้ลงจากภูเขา พอไปแกก็ไปรู้สึกตัวในคำเทศน์ของเรา เราเทศน์อย่างนี้แกไม่ยอมเอา เหมือนกับว่าสู้ของแกไม่ได้ ทีนี้เวลาไปหมดทางแล้วถูกเราไล่ลงไม่มีที่เกาะที่ยึด เอ้อ นี่เราก็มาหาครูอาจารย์ เราก็แน่ใจว่าอาจารย์องค์นี้จะเป็นผู้ฉุดผู้ลากเราให้พ้นจากนรกอเวจีภพชาติต่างๆ ได้คือองค์นี้ แต่ครั้นแล้วถูกท่านไล่ลงภูเขาไม่มีที่เกาะ น้ำตาพังร้องไห้จากภูเขา

ก็มาระลึกถึงโทษตัวเอง การที่ท่านไล่ลงจากภูเขาเพราะเหตุไรท่านถึงไล่ นี่เอากัน เพราะไม่ฟังคำของท่าน แน่ะ ถ้างั้นก็เราผิดซิ ท่านสอนอะไรก็ปฏิบัติตามท่าน เรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา ถ้าหากว่าเป็นที่ถูกต้องท่านก็ยอมรับไปแล้ว นี้ท่านไม่ยอมรับ ท่านปัดให้เข้ามาสู่จุดนี้ แต่เราดื้อเถียงท่าน ท่านไล่ลงภูเขาสมควรแล้วว่างั้นนะ เอ้า ถ้าว่าตั้งใจจะฟังจากครูบาอาจารย์เป็นอรรถเป็นธรรมจริงๆ เอาให้ฟังเสียงท่านซิน่ะท่านสอนอะไร แกก็ไปทำ พอไปทำวันนั้นก็ลง. โอ๋ เหมือนว่าจักรวาลขาดสะบั้นไปหมดเลย พอลุกออกจากที่ก็กราบไปทางภูเขา เราจำพรรษาบนภูเขากับเณรภูบาล ให้พระจำอยู่ข้างล่าง เราอยู่ข้างบน พอออกจากสมาธิแล้วก็นั่งกราบไปทางภูเขา พอตอนบ่ายก็พาพวกเพื่อนพวกฝูงไป ส่วนมากพอวันพระเขาจะข้ามตัดทุ่งนาขึ้นภูเขา วัดอยู่นู่นเขาไม่ไป เขาลงจากนู่นเขาก็มา

วันนั้นเขายกขบวนไป ถูกเราไล่ลงจากภูเขาได้ ๔ วัน พอกลับขึ้นมาตอนบ่าย ๔ โมงเรากำลังปัดกวาดอยู่บนภูเขา พอโผล่หน้าขึ้นมา มาอะไรจอมปราชญ์ มาหาอะไรจอมปราชญ์มาหาคนพาลอะไร เดี๋ยวๆๆ ให้พูดเสียก่อน ให้พูดก่อน เอ้า ว่าอะไรมีอะไร ตกลงเขาก็มานั่งเต็ม เราก็ปัดกวาดเลยวางไม้กวาดที่นั่น เณรก็วางไม้กวาดก็มานั่งฟังด้วยกันอยู่ลานหิน ซัดกันนั้น ลงๆ ยอมรับ ว่าจิตก่อนที่จะมานี้ก็เพราะได้ทำตามท่านนั่นละ จิตได้ลงอย่างอัศจรรย์เลย แล้ววันนี้ถึงได้มาต่อ แล้วมาสารภาพความจริง จากนั้นแกก็อธิบายต่อ ทีนี้เรื่องของแกที่รู้มากๆ นั้นปล่อยหมดเลยนะ ไปกับเรื่องของเราล้วนๆ เลยไม่นาน ปี ๒๔๙๕ แกก็ผ่านได้เลย

ปี ๙๓ เราย้อนไปจำพรรษาหนองผือ พ่อแม่ครูจารย์มรณภาพไปแล้วเพื่อความอบอุ่นแก่ชาวหนองผือเพราะมีคุณมาก พอ ๙๔ เราก็ไปห้วยทราย ได้พบกัน . ๙๔-๙๕ ๙๔ กำลังฟัดกันเต็มเหนี่ยวละกับแก ไล่แกลงภูเขาร้องไห้ พอ ๙๕ ซัดกันลงเรา พอลงเราแล้วนี้ก็ซัด เร็วนะแกเร็วอยู่ ผางไปได้เลย เรื่องราวเป็นอย่างนั้นกับแม่ชีแก้ว เรื่องความรู้นี้เด่นมากนะ ความรู้ของแกแปลกๆ ต่างๆ เด่นมาก ไม่ผิดด้วย ก็วัดแกอยู่ทางฟากบ้านห้วยทรายใช่ไหมล่ะ บ้านห้วยทรายอยู่จุดศูนย์กลาง วัดเราอยู่ในป่าทางโน้น เราก็มีนิสัยอย่างนี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับใคร จะไปไหนมาไหนไปเลยๆ แกรู้นะ พอเราฉันจังหันแล้วเราจะไปภาวนาที่ไหนเราออกไปละๆ

พอฉันจังหันแล้วบอกลูกน้องละ ไปละนะวันนี้ไปแล้ว บอก ไปแล้ว เย็นไปหมดแถวนี้ว่างั้น ถ้าไม่ไขแกก็บอกว่าไปแล้ววันนี้ แกก็ให้ลูกน้องไปดู ไปแล้ว ทีนี้เวลาเรามาก็เหมือนกันนะ ถ้าหากว่าแกจะไขเงื่อนแกก็ไขบ้างนิดหน่อย นี่เริ่มมาละนะ คืออบอุ่นเข้ามาๆ นี่แกไขเงื่อน ธรรมดาแกไม่บอกนะ บอกว่า มาถึงแล้ว แม่นยำ ไปแล้ววันนี้ ไปดูหายเงียบ มาถึงวัดแล้ว ก็อยู่หมู่บ้านตรงนี้ วัดเขาอยู่นี้ วัดเราอยู่ในป่า เราไปไหนมาไหนเราเกี่ยวข้องกับใครเมื่อไหร่ไม่เกี่ยว ทีนี้เวลามาถึงแล้ว มาแล้วนะมาแล้ว เตรียมของมาละ จีบหมาก หุงข้าวหม้อเท่านี้

เราก็ถามจีบหมากจีบมาทุกวันเหรอ ไม่ได้จีบทุกวัน เพราะอะไร ก็คุณแม่บอกให้จีบเมื่อเช้านี้ บอกว่าท่านมาแล้ว หุงข้าวก็หุงทุกวันเหรอ ไม่ได้หุง หุงวันนี้เท่านั้นแหละ แกบอกว่ามาถึงแล้วว่างั้น แน่ะ ไม่ได้เห็นเรื่องเรานะ อยู่คนละฟาก ทีนี้เวลาเราไปปั๊บ ไปแล้วนะวันนี้ แม่นยำ เวลามาปั๊บ มาแล้ว แน่ะ อันนี้ไม่ผิดเลยถูกต้องแม่นยำ ความรู้ของแกเก่งมาก นี่ที่ได้ไล่ลงจากภูเขา เราไปหาทีแรกแกก็บอกว่าแกหยุดภาวนามานาน มันทนไม่ไหว เพราะญาท่านๆ คือความเคารพสูงสุดของเขา บอกว่าห้ามไม่ให้ภาวนาเวลาเราจากไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายเราจะบวชให้ เป็นเณรแล้วให้ไปกับเรา แต่นี้มันเป็นผู้หญิงมันลำบาก เอ้า จะเสวยบุญเสวยกรรมเหมือนโลกเขาก็แล้วแต่เถอะท่านว่างี้ แล้วท่านทิ้งท้ายว่า ต่อไปจะมีผู้มาสอนนะ ท่านว่างี้นะ

นั่นละเวลาท่านออกปฏิบัติก็พอดีเป็นจังหวะที่เราไปเที่ยวทางนั้นพอดี จึงได้เอากัน แกก็ลงได้ นี่ก็เก่งทางความรู้นอกๆ พวกเปรตพวกผีนรกอเวจีแกเห็นหมดเลย ก็อย่างที่เราพูดถึงเรื่องของเราผิดที่ไหน เรามาถึงไม่ถึงแกรู้แล้วเห็นแล้ว นั่น ข้างนอกไปจากนี้มันก็เหมือนกัน พวกผีอยู่ในห้องขังเหมือนกันก็มี แน่ะ ฟังซิแกพูดนะ พวกผีทั้งหลายนี้เป็นบริเวณเขาอยู่บริเวณผีอยู่ แล้วบางแห่งก็มีเขามีกรงขังๆ แล้วพวกผีอยู่ในกรงขัง แกไปถามนะ แล้วอันนี้ขังเขาไว้ทำไม พวกนี้พวกผีอันธพาล ปล่อยไม่ได้ คือปล่อยมันไปอาละวาดเขา ต้องขังเอาไว้

โอ๊ มนุษย์มีห้องขัง ผีก็มีห้องขังเหมือนกัน แกก็ถามเหมือนกัน เอ้า ทำไมนึกว่ามีห้องขังตั้งแต่มนุษย์ แล้วทำไมผีต้องมีห้องขัง ผีก็มีผีอันธพาล ผีชั่วผีดีเหมือนกันจึงต้องทำเหมือนกัน แกถามพวกผี แกมาพูดอย่างสบายนะ เก่งมากเรื่องความรู้อย่างนี้ อัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุเร็วนะ เพราะแกผ่านไปตั้งแต่ ๒๔๙๕  ๒๔๙๓ เราจำพรรษาหนองผือ ๒๔๙๔ ห้วยทราย ๙๕ ห้วยทราย ระยะนั้นละ ไปอยู่นั้น ๔ ปี (มรณภาพ ๒๕๓๔)

เราจำไม่ได้ จวนจะตายเท่าไรก็บ่นถึงเรา ไม่บ่นอะไรนะบ่นถึงบุญถึงคุณทั้งนั้นเลย จวนจะตายเท่าไร บ่นอยากให้เราไปเยี่ยมๆ เราไปส่วนมากเราไม่ค้างคืนละ เราไปเยี่ยมแกแล้วกลับมาวัดเรานี้ ๓ ชั่วโมง แกบ่นมากตอนแกจะล่วง บ่นมาก บ่นคิดถึงบุญถึงคุณทุกอย่างบ่นหมดเลยนะ รวมมาลงในหัวใจแกหมดถึงบุญถึงคุณของเรา ที่แนะนำสั่งสอนแกมาสักเท่าไรไม่พรรณนาไปละ เอาแค่นี้ละว่างั้นเถอะ อัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุแล้ว นี่ก็ลูกสาวของแก หมอเพ็ญศรีสร้างเจดีย์ให้ ดูว่า ๑๘ ล้าน สร้างให้ ใครเคยเป็นลูกที่สดๆ ร้อนๆ เห็นแกก็บอก ว่าคนนี้คนนั้นเคยเป็นลูกๆ ถ้าหากไกลกว่านั้นแกก็ไม่บอก ผู้ที่อยู่ใกล้ที่สดๆ ร้อนๆ แกก็บอก เช่นหมอเพ็ญศรี แล้วใคร พระก็เหมือนกันองค์ไหนเคยเป็นลูกของแกแกก็บอกหมดนั่นละ องค์นั้นเคยเป็นลูก คนนี้เคยเป็นลูก เอาละทีนี้จะให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก