เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
เมื่อปฏิบัติดีอยู่แล้วอย่ามากวน
ตั้งแต่วันที่เท่าไร มันล้มลุกคลุกคลานมาได้ ๔ วันนี้แล้วมัง ตั้งแต่วันนั้นมาไม่ดีเลยธาตุขันธ์ เดินไปเฉยๆ คอยแต่หกล้ม ดูเหมือนได้ ๔ วันแล้วมัง ตั้งแต่วันหกล้มไปไหนไม่ได้ มันไม่ได้ล้มแต่มันจะหกล้ม ดูเหมือน ๔ วันนี่มัง (ตั้งแต่วันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร ได้ ๔ วัน) เอ้อ นั่นละธาตุล้มเหลวตั้งแต่นั้นมาเรื่อยๆ เดินไปไหนได้ระวัง ถ้าธรรมดามันล้มไม่รู้กี่ครั้งนะ เรานี้พูดตามหลักความจริงที่ได้ปฏิบัติมา คำว่าเผลอไม่มี ประจำตลอด นี่ละที่มันไม่ล้ม พอมันดีดพับ มันจะรู้ๆๆ ตั้ง ถ้าตั้งไม่ได้สมมุติมันจะล้ม มันก็ล้มทั้งๆ ที่มีสติ อย่างนั้นมันก็ไม่รุนแรง ถ้าเผลอสติล้มแรง อันนี้มันไม่เผลอ แต่ก็ไม่เคยล้ม
เดินไปไหนคอยแต่จะหกล้ม ในระยะ ๔ วันมานี้เดินจงกรมอยู่บนกุฏิก็ต้องได้ระวังตลอด ถ้าไม่เดินก็ไม่ได้ ปวดเข่า ปวดเส้น ปวดเอ็น ก็ต้องเดิน เดินไปมาเบาๆ ได้ระวัง ดูเหมือน ๔ วันนี้มัง ตั้งแต่วันมันล้มเหลวมากๆ ไปไหนไม่ได้เลย จากนั้นก็เรื่อยมา ลดแต่วันนั้นมาก็มาทรงอยู่อย่างนี้ ธาตุมันทรุดมากแล้ว หมอเขาก็รุมเลย อย่างเมื่อวานนี้ก็หมอเต็มกุฏิ มาจากทางขอนแก่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลหรืออะไรที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น พวกหมอมาเต็มอยู่เมื่อวาน ใครบอกเขาก็ไม่ทราบ (ฟังในวิทยุเจ้าค่ะ) นั่นซิ ๓-๔ วันมานี้ หมอเขามาจากขอนแก่นประจำ
เราสังเกตดูอาการของเรา ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น มันอ่อนมาก เดินไปได้ระวัง ปรกติสติก็มีอยู่แล้ว หากมีลักษณะว่าเพิ่มความตั้งใจเข้าไปอีก จึงไม่หกล้ม ถ้าไม่เช่นนั้นเรานี้หกล้มไม่รู้กี่ครั้ง ตายไปนานแล้วละ แต่นี่มันไม่เคยหกล้มเพราะสติดี สตินี่เรียกว่าเป็นอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าเผลอตรงไหน ไม่เคยมี นั่นละเวลาเราฝึกฝนอบรม ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของจิตของธรรมแล้วเป็นอย่างนั้น คำว่าเผลอตั้งใจให้เผลอมันก็รู้อยู่ว่าตั้งใจ มันก็ไม่เผลอเสีย ธรรมดามันก็ไม่เผลออย่างนั้นตลอด
เวลากลางคืนนั่งเงียบๆ อยู่กุฏิ มีเราคนเดียว พระเข้าไปยุ่งไม่ได้นะ มีนิสัยอย่างนั้น อยู่ที่ไหนอยู่แต่คนเดียวๆ สงบเงียบ ไม่มีอะไรกวนใจ มีหนึ่งเป็นหนึ่ง มีสองเป็นสองขึ้นมา แต่พระท่านก็รู้นิสัย ท่านจะจัดอะไร ทำอะไรทำเสีย ตอนที่เราลงจากกุฏิไปนั้นไปนี้ ท่านรีบจัดทำ พอเราไปแล้วก็หายเงียบเหมือนไม่มีพระ มีแต่เราองค์เดียวตลอด เพราะท่านรู้นิสัยว่าเราไม่ชอบวุ่นวาย แต่ไหนแต่ไรมา อยู่กุฏิหลังนี้ ใครที่จะไปทำข้อวัตรปฏิบัติ ท่านจะคอยพยายามสังเกต ตอนเราลงจากกุฏิปั๊บๆ พระก็จะขึ้นไปปุ๊บๆ เสร็จแล้วรีบหนี เราเองก็ไปสะเปะสะปะของเรา ไปนั้นไปนี้ พอไปกุฏิพระก็หนีหมดแล้วๆ
เรื่องข้อวัตรปฏิบัติพระที่จะมาทำ ส่วนมากจะทำตอนเราอยู่นี้ไม่ได้นะ มันเป็นอย่างนั้น ไม่ยุ่งกับใครแต่ไหนแต่ไรมา กุฏิจึงมีแต่เราองค์เดียว ทั้งวันก็อยู่อย่างนั้น พระไม่ไปเกี่ยวข้อง หากจะทำข้อวัตรปฏิบัติอะไร ก็ทำตอนที่เราลงมา พระท่านจะคอยสังเกต พอเราลงพับ พระท่านจะขึ้นปุ๊บปั๊บๆ
ไม่เดินมันก็ไม่ได้ ลำบากนะ มันขัดมันปวดตามนี้ เดินยืดเส้นบ้าง เดินนั้นเดินนี้ ไปนั้นไปนี้ พอยืดเส้นบ้าง เดินมากก็ไม่ได้ จากนั้นก็อยู่คนเดียวๆ ได้ ๔ วันมานี้ละ ตั้งแต่วันล้มลุกคลุกคลานไปไหนไม่ได้เลย ได้ ๔ วันถึงวันนี้ เป็นลักษณะอย่างนั้น เบาลงแต่คอยแต่จะหกล้ม แต่ว่าที่ไม่มีที่ต้องติก็คือสติ ไม่มีเลยแม้ขณะเดียว มันหากเป็นหลักธรรมชาติ ไม่มีที่ว่าจะเผลอนั้นเผลอนี้ ถึงจะทำกิจการงานหยาบละเอียดขนาดไหน สติต้องติดแนบเป็นหลักธรรมชาติของมัน
พูดอย่างนี้แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเป็น นี่ก็เพราะการฝึกฝนอบรมใจเรา ฝึกให้ดี ดีๆ จนดีเลิศไปได้ ถ้าปล่อยให้เลวแล้วเลวลงจนหมดค่าหมดราคา เป็นสัตว์นรกในมนุษย์ได้ไม่สงสัย ถ้าปล่อยตัว เพราะฉะนั้นจงอย่าพากันปล่อยตัว บอกไปสอนลูกสอนหลาน การงานอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวม ให้สอนลูกสอนหลานให้สนใจในกิจการงานเช่นนั้น ไอ้เรื่องเตร็ดเตร่เร่ร่อนนี่ มันเป็นนิสัยของกิเลสหลักลอย ทำคนให้เสียได้ง่าย ถ้ามีธรรมอยู่ในใจสติจะมี ผิดถูกชั่วดีเจ้าของจะรู้ตัวเอง แล้วก็ไม่ทำๆ ต่อไปมันก็ชินเอง
ระยะ ๔ วันนี้รู้สึกว่าธาตุขันธ์ล้มเหลวมาก จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ละ ธาตุขันธ์มันล้มเหลว ถ้าธรรมดานี้ล้มไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ตายไปแล้วละ แต่นี่ก็พูดตามหลักความจริงเหมือนกัน มันไม่เคยเผลอ ถ้าสมมุติว่าจะล้ม ก็ล้มด้วยความมีสติ รั้งไม่อยู่ อำนาจของน้ำหนักสิ่งที่จะพาให้ผิดพลาดให้ล้มมันมีน้ำหนักกว่าสติ สติประคองมันก็ค่อยลงของมัน ที่จะให้เผลอสตินี้ไม่มีนะ เรียกว่าชาตินี้เป็นชาติที่สุด หมดอาลัยในวงสมมุติโดยประการทั้งปวง หมดจากจิตใจโดยสิ้นเชิง ไม่มีเหลือ เหลือแต่ธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมธาตุเท่านั้น ครองร่างอยู่นี่ก็จิตที่บริสุทธิ์นั่นละ เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ ครองอยู่นั่น พอนี้สลายปั๊บ ธรรมธาตุก็เป็นตัวเองทันที คือธรรมธาตุที่ยังไม่เป็นตัวเอง ก็เพราะอาศัยสมมุติไปเกี่ยวข้องอยู่ เช่นธาตุขันธ์ พากินอยู่หลับนอน ขับถ่ายเคลื่อนไหวไปมา มีแต่เรื่องสมมุติทั้งนั้น เรื่องวิมุตติคือจิตที่บริสุทธิ์แล้วไม่มีอะไร รับทราบๆ พอปล่อยนี้ปั๊บผึงไปทันทีเลย
นี่ละจิตที่ฝึกดีแล้ว เราจึงได้สอนพี่น้องทั้งหลายอย่างเต็มอกเต็มใจ ไม่มีสะทกสะท้านว่าจะผิดไป ไม่ว่าสอนธรรมะบทใดบาทใด ได้ฝึกมาแล้วทั้งนั้นจึงได้มาสอน เจ้าของไม่สงสัย สอนก็สอนด้วยความไม่สงสัย ใครจะเอาก็เป็นมงคลแก่ผู้นั้น ไม่เอามันก็เป็นกรรมของสัตว์ จะให้ว่าไง การสอนพระพุทธเจ้าก็ อกฺขาตาโร ตถาคตา ท่านสอนไว้ว่า กิจการงานทั้งหลายเป็นเรื่องเจ้าของทำเอง ทั้งดีทั้งชั่ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น ไม่ใช่ผู้รับบาปบำเพ็ญบุญให้เรา ท่านเป็นผู้แนะทางที่ถูกที่ดีให้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทุกองค์ ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา กิจการงานทั้งหลายเป็นเรื่องของเรา จะต้องทำเองทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอก แนะแนวทางให้เท่านั้นนะ
นี้เราก็ไม่ได้พูดธรรมะมานานแล้ว มีแต่โลกโกโรโกโสขี้หมูราขี้หมาแห้งมายุ่งในสภาธรรมะบนศาลาหลังนี้มาหลายวันแล้วนะ เราเข้าใจมาตลอด เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่ได้ออกสนาม ออกแต่ขี้หมูขี้หมาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ครั้นไปก็เอาขี้หมูขี้หมาไปขยี้ขยำกัน อรรถธรรมไม่มีนะ
นี่ก็ออกพรรษาจะทอดกฐินวัดเราวันที่เท่าไรไม่รู้ (วันที่ ๓ เจ้าค่ะ) วันที่ ๓ เหรอ อันนี้ก็ศรีไทยใหม่มาขอจองกฐินตั้งแต่วันที่ ๑ มกรา ต้นเดือน กลัวใครจะมาเอาก่อน เลยมาจองตั้งแต่โน้น ใครจะจองเมื่อไรเราไม่ได้ว่า เพราะเราไม่มีหวังอะไรกับสิ่งใด ได้มามากน้อยเราก็ทำประโยชน์เท่านั้นๆ สำหรับเรานี้น่าจะเป็นวันที่ ๑๘ วัดโพธิ นั่นท่านเจ้าคุณกับเรามันเป็นอันเดียวกันมาตั้งแต่เป็นมหาเปรียญด้วยกัน ท่านแก่กว่าเรา ๒ พรรษา คุ้นกันมาตั้งแต่เป็นมหาเปรียญด้วยกัน ท่านก็แยกมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดจนกระทั่งทุกวันนี้ สนิทกันมาก
เพราะฉะนั้นท่านถึงพูดในฐานะกันเอง ไม่ผิด ทั้งท่านผู้พูดและเราผู้ฟัง ไม่ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าธรรมดาขัดพระธรรมวินัย เช่นอย่างบอกให้เขามาทอดกฐิน พระเหล่านี้ไปบอกให้เขามาทอดกฐินวัดเจ้าของนี้ผิดพระวินัยนะ แต่สำหรับเจ้าคุณกับเราไม่มีอะไรผิด มันถูกมาตลอด ว่าอะไรไม่ผิดทั้งนั้น นี่ท่านก็บอกว่าให้ไปทอดกฐินวัดโพธิให้หน่อยนะปีนี้ เอ้อ ทันทีเลย นี่เราก็จะไปทอดกฐินให้ท่าน
วัดโพธิเป็นวัดอุปัชฌาย์ของเรา ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี้รู้สึกว่าท่านเมตตาเรามากเป็นกรณีพิเศษจริงๆ คงจะอัธยาศัยใจคอกลมกลืนกันท่า ท่านรักท่านเมตตา เราไปที่ไหนไกลบ้างไม่ได้นะ หาอุบายให้ไปตามมหาบัวมา มีธุระนั้นธุระนี้ ความจริงท่านกลัวเราจะออกจากขอบเขตเรารู้ นู่นเราขโมยหนีจากหมู่เพื่อนไปอยู่ในอำเภอภูเวียงคนเดียว ดูเหมือนได้ ๕ วันมัง แล้วมีคนไปตาม ตามอะไร ท่านเจ้าคุณนิมนต์ให้ไป ท่านมีธุระด่วนว่างั้น ด่วนที่ไหน ไปนี้จะพาเธอไปตรวจเอว เธอเจ็บเอว เท่านั้นละท่านหาเรื่องนะนั่นเป็นอะไรไป
ไปนั้นแล้วเราก็เปิดหนีเลย ท่านก็กลับมา ไปตรวจโรคไปดูด้วยอรรถด้วยธรรม ไปดูถ้าองค์ไหนไม่สบายครางอือๆ อาๆ โรงพยาบาลสงฆ์ ถ้าองค์ไหนดีอยู่ก็เล่นหมากรุกหมากอะไรกันให้เห็นอยู่ เอ๊ มันยังไงพระ คือเราก็หัวโล้นๆ มานี้มันยังไงกัน ยังไม่ได้ตรวจนะ ท่านเจ้าคุณท่านสั่งแม่ชีเฮียง แม่ชีเฮียงก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาดั้งเดิมกับเรา แล้วเอาเราไปตรวจ ไปเราก็ดูนั้นดูนี้ ไปดูพระ พระอือๆ อาๆ เล่นหมากรุกหมากรักอะไรกันก็ไม่รู้ ดูที่ไหนมันดูไม่ได้ ออกจากนั้นปั๊บเปิดเลยไม่เข้าตรวจโรค ว่าไงไปตรวจโรค ไปมาแล้วเราว่า ตรวจเราไม่พูดบอกว่าไปมาแล้ว ออกจากนั้นก็เปิดหนีไปจันท์ หนีจากหมู่เพื่อน
ไปนั้นก็อาจารย์เฟื่อง อาจารย์เจี๊ยะ คุ้นกันมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่นนู้น ทางนู้นก็ไปบอกอาจารย์เฟื่อง ท่านไม่เหมือนอาจารย์เจี๊ยะ ท่านอาจารย์เจี๊ยะนี้โวกวาก เราก็ไปพักอยู่นั้นหลายวันนะ บอกท่านทุกอย่าง ผมมานี้ผมมาในนามอาคันตุกะ ท่านเป็นสมภารร้อยเปอร์เซ็นต์ตามเดิม หน้าที่การงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับประชาชนญาติโยมในวัดในวาให้เป็นเรื่องของท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเป็นแต่เพียงมาอาศัยบารมีเท่านั้น อย่าให้เกี่ยวข้อง การขบการฉันนิมนต์อะไรอย่าเอามายุ่งนะ ให้ท่านจัดทำร้อยเปอร์เซ็นต์ตามเดิม ท่านก็ดีเพราะท่านเรียบๆ นิสัยอาจารย์เฟื่อง มาท่านก็จัดก็ทำ ท่านไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับเราเพราะสั่งขาดเลย ก็เป็นกันเองนี่นะ รู้เรื่องแล้ว อยู่นั้นนานอยู่ สบาย
พอดีอาจารย์เจี๊ยะไปละซี ออกจากวัดเขาแก้วไปบ๊งเบ๊งๆ ไป โผล่ขึ้นไป หือ ท่านอาจารย์มาเมื่อไร เป็นบ้าหรือ เดี๋ยวตีปากเอานะ มาเมื่อไรไม่เห็นทราบว่ะ โวกวากขึ้นแล้ว พูดอะไรเดี๋ยวตีปากเอานะ ออกจากนั้นไปก็ไปโฆษณากัน โฆษณาหยดย้อยเสียด้วย โห พระดี พระอย่างนั้นอย่างนี้มาอยู่จันท์กี่วันไม่มีใครเห็นประกาศ วันหลังหลั่งไหลมาฟังเทศน์ วันหลังมาฟังเทศน์ ได้เทศน์ให้ฟังสองคืนเปิดเลยเรา อยู่ไม่ได้อาจารย์เจี๊ยะไปไล่ นี่พูดถึงอาจารย์เจี๊ยะ
อาจารย์เจี๊ยะกับอาจารย์เฟื่องเป็นคนจันท์ คุ้นกันมาตั้งแต่อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ด้วยกัน คุ้นกันมาก อาจารย์เจี๊ยะนี้พ่อแม่ครูจารย์รักมาก เมตตามาก เพราะท่านเป็นลูกจีน นิสัยท่านบ๊งเบ๊ง ใส่กันเรื่อยกับพ่อแม่ครูจารย์ นั่งอยู่ด้วยกันเหมือนพ่อกับลูกนะคุยกัน พอทางนี้ผิดพ่อแม่ครูจารย์ก็บ๊งเบ๊งขึ้น ทางนั้นก็เถียง ซัดกัน เราเดินจงกรมอยู่ข้างในจนตัวสั่น ทางนั้นฟาดกันเปรี้ยงๆ มันอะไรน้า ผู้กลัวก็กลัวอยู่แล้ว คนไหนมันอาจหาญไปสู้กับพ่อแม่ครูจารย์ สักเดี๋ยวลงมา พอเงียบๆ เราก็ออกไป เสียงตะกี้นี้บ๊งเบ๊งๆ กับพ่อแม่ครูจารย์มีอะไรกัน ก็เย็บจีวรผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ พูดดีอยู่นะ เย็บจีวรผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ
อย่างนั้นละท่านพูดอาจารย์เจี๊ยะ ไม่ได้มีว่าตัวดีนะ ความดีก็อยู่กับท่านตามเดิม เย็บผ้าผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ ท่านพูดเท่านั้น ฟังเสียงบ๊งเบ๊งๆ อยู่ศาลาเล็กๆ เราเดินจงกรมอยู่ในป่า เสียงดุกันอะไรก็ได้ยินหมด นั่นละพ่อแม่กับลูก อาจารย์เจี๊ยะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเหมือนพ่อกับลูกนะ บทเวลาจะขึ้นปึ๋งปั๋งใส่กัน สักเดี๋ยวไปด้วยกันเงียบเลย เวลาลงมา แล้วเสียงอะไรบ๊งเบ๊งๆ ตะกี้นี้ ไปว่าอะไรท่านให้ท่านสับเอาล่ะ เย็บผ้าผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ ไม่ได้ว่าตัวดีนะ เย็บผ้าผิดท่านก็เขกเอาบ้างละซิ ขบขันดี
อาจารย์เจี๊ยะนี้องค์หนึ่งเป็นคนตรงไปตรงมา กิริยาภายนอกบ๊งเบ๊งๆ แต่ภายในละเอียดมาก ดูว่าท่านเคยทำทองมา ภายในละเอียดมาก ทำข้อวัตรปฏิบัตินี้ใครจะไปละเอียดเท่าอาจารย์เจี๊ยะวะ เป็นผู้ดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อแม่ครูจารย์มั่นองค์เดียวเท่านี้ องค์เหล่านั้นไม่ไปเกี่ยวข้อง มีแต่ท่านองค์เดียวทำละเอียด เคลื่อนนิดหนึ่งไม่ได้นะของที่ท่านจัดไว้ทำไว้ บ๊งเบ๊งขึ้นเลย ใครมาทำนี่ เหอๆ ขึ้นเลย ท่านเป็นนิสัยอย่างนั้น นี่ท่านก็เสียไปแล้ว ท่านบอกตรงๆ เลย อาจารย์ที่อยู่บนหัวใจผมนี้มีสององค์ว่างั้นนะ ท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง ท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครๆ ง่ายนะ
พูดต่อหน้าเลย อาจารย์อยู่บนหัวใจผมมีสององค์ คือท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง กับท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านลงแล้วลงจริงๆ นะ คือเราจะเด็ดจะเดี่ยวขนาดไหนเป็นธรรมล้วนๆ ท่านฟังตามนั้น ท่านยอมรับๆ เพราะฉะนั้นท่านถึงบอก ท่านเคารพพระอยู่สององค์นะ มีท่านอาจารย์มหาบัวกับท่านอาจารย์มั่นอยู่บนหัวใจ นอกนั้นท่านบอกว่าท่านไม่ลงใครง่ายๆ ท่านว่า ท่านก็พูดตรงๆ นี่ท่านก็เสียเสียแล้ว ละเอียดมากท่านอาจารย์เจี๊ยะ ข้อวัตรปฏิบัติละเอียดที่สุด กิริยาภายนอกบ๊งเบ๊งๆ แต่เวลาเข้าภายในนี้ทำงานละเอียดนี้ท่านละเอียดมากที่สุด
เวลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นป่วย ท่านอาจารย์เจี๊ยะอยู่ทางภาคใต้นะ ท่านเชื่อความฝันของท่าน ท่านอยู่ภาคใต้ท่านฝันว่าพ่อแม่ครูจารย์นี้เปลือยกายหมดเลย พอตื่นขึ้นมาก็บ๊งเบ๊งๆ โอ๊ย ต้องกลับสกลนครเดี๋ยวนี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นต้องป่วยหนัก เมื่อคืนนี้ฝันผิดปรกติเอาเหลือเกิน พอเข้ามาก็ได้ทราบข่าวว่าท่านกำลังป่วยหนักจริงๆ นั่นคำฝันของท่านเตือนท่าน เตรียมของไม่บอกใครนะ คือไม่มีใครไปบอกว่าท่านป่วยหนัก ฝันว่าท่านเปลือยหมดทั้งตัว พอตื่นขึ้นมา โถ ตายนี้พ่อแม่ครูจารย์มั่นป่วยหนักแล้ว ท่านเตรียมของออกมาสืบโน้นถามนี้ เป็นยังไงเขาออกวิทยุทางไหนบ้าง
แต่ก่อนสื่อสารมันไม่ได้คล่องตัวอย่างทุกวันนี้ จะฟังเสียงวิทยุบ้างเท่านั้นละ พอมาเขาก็เล่าให้ฟัง ท่านก็บึ่งถึงเลย ท่านคล้ายๆ คำฝัน คำฝันพ่อแม่ครูจารย์เปลือยกายหมดเลย แสดงว่าป่วยจะหนักมากความหมายว่า มาก็เป็นจริงๆ กับเราท่านลงมาแต่ไหนแต่ไรอาจารย์เจี๊ยะ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล้าพูดอย่างอาจหาญชาญชัยเลย อาจารย์ที่มีอยู่ในหัวอกผมมีสององค์ มีท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง ท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ก็เป็นจริงๆ ท่านกลัวเรามาตลอดนะ ทั้งเคารพทั้งกลัวมาตลอด พูดอะไรๆ อย่าไปให้ท่านอาจารย์มหาบัวทราบนะ กูหัวแตกนะ ท่านพูดอย่างนี้ละ กูหัวแตกนะ ท่านเคารพมากเคารพเรา อย่าไปให้ท่านอาจารย์มหาบัวทราบนะ เดี๋ยวกูหัวแตก นอกนั้นไม่กลัวใคร กับเรานี้กลัว กลัวแต่ไหนแต่ไรมา
จิตท่านก็ภูมิสูง สูงเต็มที่ละจิตอาจารย์เจี๊ยะ เคยเล่าภาวนาให้ฟังตั้งแต่อยู่กับหลวงปู่มั่นด้วยกัน จิตท่านเป็นมาตั้งแต่ต้นนะ ออกบวชทีแรกก็เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์กงมา แล้วก็ติดสอยห้อยตามเข้ามาถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น จากนั้นก็พันกันมาเลย จิตท่านดี นี่ท่านก็เสียไปแล้ว ก็ให้ท่านบุญช่วยเป็นสมภารแทน ประชุมกัน ให้เราเป็นประธานการประชุม เราก็ถามองค์ไหนบ้างที่จะเป็นที่ไว้วางใจได้สำหรับวัดนี้ ท่านก็ชี้บอกท่านบุญช่วย เป็นผู้ตั้งอกตั้งใจดีตลอดมา เราก็เลยมอบให้ท่านบุญช่วยเป็นสมภารวัดปทุมธานี แทนอาจารย์เจี๊ยะที่เสียไป
เพราะวัดนี้เขาถวายเรา เรานิมนต์อาจารย์เจี๊ยะมาอยู่ที่นี่ ทีนี้เวลาท่านอาจารย์เจี๊ยะล่วงไป ปัญหาจึงมาเกี่ยวโยงกับเราผู้ถวายที่ให้ท่านอาจารย์เจี๊ยะครองวัด มาก็ปรึกษาหารือก็ได้ท่านบุญช่วย ท่านบุญช่วยจึงได้ปกครองวัดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ อันนี้ท่านอยู่จันท์ ท่านเป็นลูกจีน พ่อเป็นจีนแม่เป็นคนไทย นิสัยตรงไปตรงมา คุ้นกันมาตั้งแต่บวชใหม่ๆ ท่านดูได้ ๕ พรรษาไปอยู่บ้านโคกนามนกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ตอนนั้นเราได้ ๘ พรรษา เราตามไปทีหลัง
ได้กำชับกำชากับวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลานี้ที่ยึดที่เกาะที่เป็นที่ตายใจก็ไม่มีที่ไหนแล้ว วงกรรมฐานก็มีสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นหนักแน่นมั่นคงอยู่ตามเดิม ตามธรรมดา คือเราไปวัดไหนนี้จะสอดแทรกละเอียดลออมาก พระนั้นหารู้ไม่ว่าเราไปดูอะไรบ้าง ไปหาดูตับดูปอดพระ เข้าใจไหม ดูข้างนอกบอกข้างใน ดูข้างนอกเป็นยังไงเรียบร้อยไม่เรียบร้อยบอกข้างในว่าเลอะเทอะ นั่น ถ้าข้างนอกเรียบร้อยภายในก็เรียบร้อย มันหยั่งถึงกัน ไปละวันไหนว่างไปวัดกรรมฐาน วัดนั้นวัดนี้ เช่นวัดหนองกองบ้าง ศรีชมภูบ้าง ผาแดง ภูสังโฆบ้าง ไปตามวัดต่างๆ เราไปเรื่อยละ นี่เป็นสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น แล้วก็เป็นสายออกจากเราอีกด้วย
อย่างผาแดงหรือภูสังโฆก็ออกจากเราโดยตรง อย่างที่ไหนมักจะออกจากเรา เกี่ยวโยงมากับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เดี๋ยวนี้ก็มีน้อยมาก เวลานี้ที่ใหญ่ในวงกรรมฐานอยู่ ถึงไม่ยกเขาก็ยกแล้ว ว่าเราเป็นองค์หนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ในวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น ความเคารพเลื่อมใสเชื่อถืออะไรจะมาอยู่ที่วัดนี้ทั้งหมด ทำอะไรๆ จะคอยฟังเสียงเราๆ ตลอด ใครๆ จึงมาแตะไม่ได้ เพราะลูกศิษย์ลูกหาในวงกรรมฐานใครๆ ทำไม เช่นพวกปริยัติบ้างจะมามีอะไรๆ พอทราบถึงเราก็ใส่เปรี้ยงหลงทิศไปเลย นี่ละพระกรรมฐานก็เราเป็นผู้ปกครอง ใครมาแตะไม่ได้ เมื่อปฏิบัติดีอยู่แล้วอย่ามากวนเท่านั้น
พระเณรทั้งหลายก็กลัว ฝ่ายปริยัติก็กลัวนะกลัวเรา คือจริงจังมาก ปริยัติก็เรียนมาเหมือนกัน ปฏิบัติเราก็ออก ท่านเหล่านั้นไม่ได้ออกมันก็ต่างกันซิ เพราะฉะนั้นจึงวงกรรมฐานใครไม่ค่อยมาแตะต้องได้ เวลานี้ก็คือเราเป็นใหญ่ในวงกรรมฐาน ไปบางแห่งถูกเขาไล่ เขาจะไล่ คือกลัวว่าจะไปเตะถ้วยลาบถ้วยแกงเขา ไปเขาก็เป็นเจ้าคณะ เป็นเจ้าคณะก็ตั้งเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา พระที่ไหนมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ไม่ได้ ถูกเขาขับเขาไล่ ทีนี้ก็มาเจอเอาอย่างเรา คราวนี้พูดเสียบ้าง
ไปเที่ยวทางมุกดาหาร เจ้าคณะก็เจ้าคณะผีบ้ามาจากไหนก็ไม่รู้ละ พระมาอยู่แถวนั้นไม่ได้ ถ้าโง่ให้โง่เสียจริงๆ ถ้าฉลาดก็ให้เหนือเขาจริงๆ แล้วจะอยู่ได้ พอเราไปนั้นยกขบวนมาจะมาไล่เรา นั่นละได้ตั้งคำสัตย์ จนกรรมฐานอยู่เย็นเป็นสุขเราจึงหนีจากที่นั่น เพราะเราไปโดนเราเอง เจ้าคณะป่าๆ เถื่อนๆ มันมาแล้วมาไล่ว่า ผู้ใหญ่ท่านไม่ให้อยู่นี่ท่านจะอยู่ได้ยังไง ผู้ใหญ่มาจากไหน นั่น บทเวลาเอากัน ใหญ่กว่าธรรมกว่าวินัยใหญ่กว่าศาสดาเหรอ นั่น นี่เรามาในนามของศาสดา เอ้า หลักธรรมวินัยผิดข้อไหนชี้มา นั่นเอาละนะ พระไม่ผิดธรรมวินัยอยู่ไหนก็อยู่ได้พระขัดข้องอะไร มีเจ้าคณะคะแนะมาตั้งบังคับบัญชาเหนือพระพุทธเจ้าไปไหน นั่นเอาละนะ ซัดกันเลย ไม่ได้หนีเรา
มาก็ประกาศหมู่เพื่อน เอา ถ้าสถานที่นี่ไม่สงบด้วยการอยู่ดีกินดีถูกต้องตามหลักธรรมวินัยของพระแล้วเรายังจะไม่หนีไปไหน ใครมาไล่ให้มามาไล่เรา เลยหาอุบายว่า อย่าไปไล่เขานะ พวกนี้เขามามีหลักฐาน คือมันไล่ไม่ลง ก็ไล่เข้าหาธรรมวินัย ตั้งขึ้นมานี้ตั้งขึ้นมาเพื่อปกครอง ปกครองๆ แบบไหน หลักธรรมวินัยปกครองตายตัวแล้วแต่องค์ศาสดา นี้ตั้งมาเพื่ออะไร มาไล่กันออกจากที่จากฐานทั้งๆ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ การไล่ผิด นั่น เอาเข้าละนะ เงียบเลย
เป็นจริงๆ ละเรา ถ้าลงได้ขึ้นเวทีไม่มีคำว่าถอยใคร เอานะเท่านั้นละฟาดเปรี้ยงเลยถอยไม่มี ถ้าผิดถอยทันที เพราะเราก้าวเดินตามหลักธรรมหลักวินัย ใครจะมาเป็นใหญ่กว่าศาสดาไม่ได้ ศาสดาให้อยู่ได้ เจ้าคณะไหนใหญ่กว่าศาสดาจะมาบังคับเราหนีไม่ให้อยู่ไม่ได้ นั่น เรามาตามหลักธรรมหลักวินัย เราไม่ได้มาตามเจ้าคณะคะแนะอะไรนี่นะ ว่างี้ละเรา เป็นอย่างนั้นละ ถูกไล่เหมือนกันเรา เป็นมหาถูกเขาไปไล่ เขาก็เป็นมหา มหาก็มหา นั่นโคตรมหา นี่ก็โคตรมหาเหมือนกัน ต่างคนต่างมีโคตร เอา มาอะไรว่ามา มาไล่ไม่เป็นหน้าเป็นหลังละซิ ก็บอกตรงๆ ไม่หนี ถ้าสถานที่นี่ไม่สงบเราจะไม่หนีไปไหน มันเป็นยังไงมันเก่งนักพวกเปรตพวกผีนี่น่ะ จนเมตตาไม่ได้
เลยเย็นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ไอ้พวกคณะคะแนะมันตายไปกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้นะ พวกกรรมฐานอยู่สบายมา ทางมุกดาหาร เราไปตั้งหลักที่นั่น คือไม่งั้นอยู่ไม่ได้ถูกเขาไล่ ถ้าโง่ให้โง่เสียจริงๆ ถ้าฉลาดก็ให้เหนือเขาทุกอย่าง คงลักษณะเป็นอย่างนั้น แต่เราจะโง่หรือฉลาดก็ไม่ทราบ เอาหลักธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ เวลามาไล่ไม่ถูกธรรมวินัยก็ถูกเราขับไล่อีก เจ้าคณะอะไรป่าๆ เถื่อนๆ มาหาไล่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วจะไปเอาใครมาปกครองศาสนา เอาเปรตเอาผีเหรอ นั่น มาถูกเราไล่ ก็เรียบร้อย
ตั้งดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอนซิ ไม่ได้คำนึงถึงหลักธรรมหลักวินัยอันเป็นเรื่องของศาสดา เอาเป็นเรื่องว่าตัวเป็นใหญ่ คณะนั้นคณะนี้ มันไม่ได้ใหญ่กว่าธรรมกว่าวินัยกว่าองค์ศาสดา แล้วใครจะไปกลัวล่ะ ถ้าเรื่องผิดธรรมวินัย เอ้า เอามาเลย ไม่ต้องไล่เราก็จะหนีเองเราผิด นั่น ถ้ายังดีอยู่แล้วอย่ามา เทวดามาก็เถอะ เป็นว่าไม่หนี เข้าใจไหม เป็นอย่างนั้น
นี่อายุเรา ๙๕ ละนะ ๔ วันมานี้อ่อนมากทีเดียว เดินไปตามวัดตามวาจะล้มนะ ออกไปศาลานี้เข้ามาก็จะไม่ถึงครัว ๔ วัน วันนี้เดินก็เป็นเป็น วันนี้ก็เป็น โซซัดโซเซ สำหรับวัดนี้เราเข้มงวดกวดขันตลอดมา พระเณรมีจำนวนมากเท่าไรให้อยู่เป็นเอกเทศห้ามไม่ให้ใครไปยุ่ง เขียนไว้ห้ามเข้าๆ รอบ คือห้ามเข้าไปกวนพระที่ท่านภาวนา ให้เข้ามาแค่นี้ให้ออก ให้ออกทั้งหมด เราเป็นผู้บังคับบัญชาเอง ไม่ให้ไปกวนพระ เราสงวนพระนักภาวนา เราอยู่ที่นี่เราก็ทำหน้าที่ของเรา แต่ไม่เคยไปกวนพระที่ท่านตั้งหน้าตั้งตาภาวนา ให้ท่านทำตามความสะดวกสบายของท่าน เรามีกิจธุระเราก็ทำตามเรื่องของเรา ไม่ให้ไปกวนพระ พระวัดนี้จึงอยู่ผาสุกเย็นใจในการภาวนาไม่มีใครไปแตะต้องท่านนะ เพราะเราให้เกียรติสำหรับผู้ปฏิบัติ
เราที่ได้ธรรมะมาพูดว้อๆ อยู่นี้ก็ได้มาจากอย่างนี้ อย่างในป่าในเขา ไม่ได้ยุ่งกับใครอยู่ในป่าในเขาที่โลกไม่ปรารถนา ในถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ไปอยู่ในสถานที่โลกเขาไม่นิยมอยู่ เราก็ไปอยู่อย่างนั้น ได้ธรรมมาก็มาจากที่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ทรงบำเพ็ญธรรมอยู่ ๖ ปี เมืองพาราณสี ก็ป่าทั้งนั้นใครไปยุ่งท่าน เป็นศาสดามาแล้วสอนสาวกทั้งหลายก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง สถานที่สะดวกสบายต่อการบำเพ็ญสมณธรรม เพราะปราศจากสิ่งรบกวน ให้เธอทั้งหลายอุตส่าห์อยู่และปฏิบัติอย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด นั่น พระโอวาทนี้เน้นหนักมากในอยู่ป่าอยู่เขา
เพราะฉะนั้น อย่างพวกเปรตพวกผีมันมาพูดด้วยความโมโหโทโส เวลาสวนหมัดไปไม่เห็นมาตอบเรา พูดด้วยความเคียดแค้น ไม่ได้พูดด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต ฟังซิน่ะ มันก็มาจากพระพุทธเจ้า เราก็รื้อมาแต่พระพุทธเจ้าตีเข้าไป นี่มันวิกลจริตหรือมันเป็นบ้าไปจนไม่มีสติแล้วพระเหล่านี้น่ะ พระอยู่ในบ้านมันเป็นบ้ากันไปหมด ถ้าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริตซัดกันซิ เงียบเลยไม่เห็นตอบมา นั่น
ก็พูดไม่ผิด ศาสดาองค์เอกบำเพ็ญอยู่ในป่า ถ้าสมัยปัจจุบันนี้เขาเรียกมหาวิทยาลัยป่า พระสาวกทั้งหลายที่เราได้กราบไหว้ล้วนแล้วตั้งแต่ท่านอยู่ในป่าทั้งนั้น จะมาอวดดิบอวดดีมาจากไหนมันอยู่ในบ้าน มันเอาบ้ามาอวดเหรอว่างี้แล้ว ลงได้เป็นพระวิกลจริตนับแต่พระพุทธเจ้าลงมา ในบ้านมันก็เป็นบ้ากันทั้งหมดนั่นแหละ พระบ้าทั้งหมดเราว่างี้เลย เอ้า มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เอากระดูกหมูกระดูกวัวมาอวดธรรม
วันนี้ก็วิงเวียน ไปไหนมาไหนลำบากอยู่วันนี้ วิงเวียน เดินไปนี่เป็น เป็นอยู่ในนี้ ไม่ทราบมันเป็นเพราะอะไร เป็นหนักๆ ในธาตุขันธ์ เดินไปลักษณะส่ายๆ แต่สติมันดีไม่ค่อยล้มละ เดินไปมานี้มันส่าย เดินส่ายโซซัดโซเซ ออกไปศาลานี้ ไปกราบพระที่ศาลา อย่างสองวันล่วงมาแล้วไม่ไป ไปไม่ถึง ไปถึงประตูกลับ เมื่อวานนี้ไปถึง มันอ่อนขนาดนั้น พูดถึงเรื่องธาตุขันธ์มันอ่อนของมัน แต่หัวใจนี้พูดตรงๆ ไม่มีคำว่าอ่อน ครอบโลกธาตุ เอาอ่อนมาจากไหน จิตใจไม่มีวัย ไม่มีคำว่าหญิงว่าชาย เป็นธรรมล้วนๆ ธรรมธาตุอยู่ที่ใจ เมื่อใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วมันก็จ้าอยู่ตลอดเวลา อันนั้นไม่ได้มาขึ้นอยู่กับสมมุติล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้นะ เอาละที่นี่จะให้พร
(จากอินเทอร์เน็ต เอาแต่หัวข้อที่สำคัญๆ นะคะ บอกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยห่วงกฎหมายเงินตรา คลอดไม่ทันรัฐบาลนี้ แล้วก็หลวงตาบัวบิณฑบาตนายกฯ ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัติเงินตรา เอารายละเอียดนะคะ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก หลวงตามหาบัวร่อนหนังสือถึงนายก ขอให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัติเงินตรา หวั่นธนาคารแห่งประเทศไทยทำเงินคลังหลวงสูญ
๑ ตุลาคม เวลา ๐๙.๔๐ น. พระอาจารย์นพดล นันทโน พระลูกวัด วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี พร้อมพระสงฆ์จำนวน ๘ รูป และประชาชนจำนวน ๒๐ คน เดินทางมายื่นหนังสือถึง พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอบิณฑบาต ร่างพระราชบัญญัติเงินตรา ที่เสนอให้ สนช.พิจารณา โดยขอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญและสนช.ร่วมกันรักษาอำนาจและวิธีการบริหารจัดการสินทรัพย์ ในบัญชีทุนสำรองเงินตราและบัญชีสำรองพิเศษ ให้คงไว้ตามกฎหมายเดิม ไม่ต้องการมีแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ
พระอาจารย์นพดลกล่าวว่า เป็นตัวแทนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดบ้านตาด มายื่นหนังสือถึงนายกฯ กรณีการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา เพราะเป็นห่วงการที่จะให้อำนาจแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย นำเงินจากบัญชีเงินทุนสำรองเงินตรา และบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งเราเรียกว่าเป็นเงินคลังหลวงไปทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อเก็งกำไร ซึ่งมันมีความเสี่ยง เงินส่วนนี้เป็นเงินที่ต้องเก็บไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยก็เคยบริหารจนขาดทุนมาแล้ว หลวงตาจึงได้มอบหมายให้พวกเรามายื่นหนังสือต่อนายกฯ และสนช. ด้วย เพราะพระราชบัญญตินี้จะเข้าสู่สนช. ภายในสัปดาห์นี้
และหัวข้อต่างๆ เช่นฉลองภพขอศึกษาข้อเสนอยับยั้งพระราชบัญญัติเงินตราก่อน แล้วก็มีหัวข้อว่า ศิษย์หลวงตามหาบัวชี้ภัยพระราชบัญญัติเงินตรา อาจทำให้ประเทศชาติย่อยยับ แล้วก็บอกว่า ศิษย์หลวงตามหาบัวขวางรัฐบาลล้วงคลังหลวง ชี้ทำลายวินัยการเงิน รายละเอียดคงไม่ต้องค่ะคล้ายๆ กันค่ะ) เราไปทำลายคลังหลวงก็ให้ได้ยินสักที มีแต่ส่งเสริมคลังหลวง ทองคำได้ตั้งหมื่นกิโลกว่า ดอลลาร์ได้ถึง ๑๐ ล้านกว่า มีแต่ให้ๆ ที่ว่าหลวงตาไปทำลายคลังหลวง ทำลายอะไรก็ให้ว่ากันไป เข้าใจไหม เจตนาของเราแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีที่จะทำลายส่วนรวม นอกจากเสริม ยก อุ้มเท่านั้นเอง ก็มีเท่านั้นละ เอาละให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |