เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ไม่มีร่องรอยก็คือจิตท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว
ก่อนจังหัน
พระมาฉันเท่าไร (๓๑ ครับผม) พระทั้งหมดเท่าไร (พระ ๕๗ เณร ๑ เป็น ๕๘) ลงมาฉัน ๓๑ ขาดไปเท่าไร (๒๗ ครับผม) ที่ท่านขาดไปไม่มาฉันนี้ ไม่ใช่ท่านไม่หิวไม่อยากนะ ท่านหิวท่านอยากท่านบังคับเอาไว้ไม่ให้มันฉันมากมันจะเต็มท้อง อาหารเต็มท้อง ธรรมไม่มีในใจ ธรรมแห้งผากแต่อาหารเต็มท้องใช้ไม่ได้นะ ให้ใจเต็มไปด้วยธรรม อาหารจะบกบางบ้างไม่เป็นไร ต่อไปนี้ให้พร
หลังจังหัน
(เขาอยากถวายที่ครึ่งไร่ตรงสามแยกทางเข้าบ้านตาดนี่ครับ) ที่นี่มีผู้ถวายเยอะนะ ถวายที่ให้เรา ดูเหมือนอยู่ตามภาคต่างๆ แต่เราจำไม่ได้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ มีมากอยู่เขาถวายที่ให้เรา อันไหนที่ว่าจัดการแล้ว เราก็สั่งเลยๆ คือถ้าเขาถวายแล้วก็อย่าให้มันเป็นโมฆะ ทิ้งไว้เปล่าๆ เมื่อเขาถวายก็เพื่อทำประโยชน์ เพื่อบุญเพื่อกุศลแก่ผู้มาถวาย เราก็รีบจัดรีบทำ สั่งเสียทุกอย่างให้จัดทำ มีผู้ถวายมากต่อมาก ถวายที่ตามภาคต่างๆ
ดูว่าทางภาคตะวันออกก็มีปราจีน เราผ่านไปอยู่ใกล้ๆ นะ ทางเราผ่านไปทางปราจีน ไปทางเกษียรใหญ่ ไปทางนู้น กำลังพิจารณา เราไม่ได้ถามดูพระที่มาจากอำเภอศรีมหาโพธิมาอยู่ที่วัดนี้ ก็ดีอยู่พระองค์นี้ แต่ก่อนเป็นเณรอยู่ที่นี่ ก็ประสาเด็กอย่างว่าละ อยู่ๆ ก็มาลาเราไปเที่ยว จะไปเที่ยวยังไง ไปกับใคร ไปกับหลวงพ่อ เราก็ฟัง หลวงพ่อเป็นหลวงพ่อยังไง ถาม ท่านเล่าให้ฟังย่อๆ เราเลยสั่งเด็ดขาดเลยนะ ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่น่าจะดีกว่าที่จะเร่ๆ ร่อนๆ นะเราว่า นี่ฟังถามไม่ค่อยได้เรื่อง ว่าจะไปเที่ยวๆ กับหลวงพ่อ หลวงพ่ออะไรก็ไม่รู้ ไม่ต้องไป เราสั่ง
สั่งขาดเณรคนนี้ละ นอกนั้นไม่ ดูเหมือนอายุพรรษาได้ ๑๕-๑๖ พรรษา เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้วเณรนี้ อยู่อำเภอศรีมหาโพธิ แล้วเขาถวายที่นั้น เราจึงกำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ปรึกษาดู ดูอาการของท่าน ดูว่าชื่อสมบูรณ์ แต่ชื่อเล่นเขา ทางบ้านเขามาเยี่ยมท่านว่าชื่อป้าง เราก็เลยเรียกเณรป้าง ยังไม่ได้ถามดู ถ้าควรจะไปสร้างวัดที่นั่นก็ได้ เขาถวายที่เราแล้ว ที่อำเภอศรีมหาโพธิ หากว่าท่านสมควรที่จะไปอยู่นั้นได้เราก็ให้ไป ดูลักษณะเรียบร้อยอยู่ ชื่อสมบูรณ์
ทางญาติๆ เขามาเยี่ยม เขาบอกชื่อป้าง เราจับได้ป้าง เลยป้างมาเรื่อยเลยจนกระทั่งทุกวันนี้ สมบูรณ์หายหน้าไปแล้ว ยังเหลือแต่ป้างๆๆ เรื่อย เดี๋ยวนี้อยู่นี้ละ ดูเหมือน ๑๕-๑๖ พรรษาแล้ว ตั้งแต่เป็นเณรอยากลาเราไปเที่ยว ถามดู จะไปเที่ยวกับใครๆ หลวงพ่อ หลวงพ่อยังไงถาม หลวงพ่อที่พาไปก็น่าจะไปแบบนั้นแหละ เราไม่แน่ใจเราบอกไม่ต้องไป เราแน่ใจว่าหลวงพ่อนี้ (หลวงตา) จะดีกว่าหลวงพ่อนั้น เราว่า ไม่อวดเราว่า ฟังพูดเรื่องหลวงพ่อนั่นเร่ๆ ร่อนๆ หลวงพ่อนี่ไม่เร่ร่อนนะ เราก็ว่าอย่างนี้ ไม่ต้องไป อยู่นี้ละ เดี๋ยวนี้ได้ ๑๖-๑๗ พรรษาแล้วมั้ง เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้วเดี๋ยวนี้ เณรนั้นละ อยู่กับเรา ที่อยู่อำเภอศรีมหาโพธิ หากว่าสมควรที่จะรับที่ไว้ ถามองค์นี้สมควรจะอยู่ ก็จะให้ไปอยู่ที่นั่น อำเภอศรีมหาโพธิ เรียบร้อยดีเณรเล็กๆ ตัวเท่ากำปั้น เดี๋ยวนี้มันอายุ ๑๖-๑๗ พรรษา เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้วเณรชื่อป้าง
สำหรับพระเณรที่ออกจากวัดป่าบ้านตาดนี้มีมาก มีทุกภาค ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก มีหมด ออกจากวัดนี้ ทางภาคใต้ก็มีท่านคลาดอยู่จังหวัดพังงาเวลานี้ เป็นหลักอยู่นั้น อยู่ในภูเขา ท่านคลาดเป็นพระวัดนี้ ออกจากนี้ก็ไปอยู่ที่พังงา เป็นคนพังงา เดี๋ยวนี้ยังมีอีกองค์หนึ่งชื่อนรา ดูเหมือนจะอยู่ที่พังงาหรืออะไร ตั้งใจดีองค์นี้ เข้มแข็งดี ได้พูดแล้วก็พูดเสียบ้าง มานี่ องค์นี้ละองค์อยู่เดี๋ยวนี้ นี่พึ่งจะลง
แต่ก่อนพูดเถียงเราว้อๆ มันพึ่งแตกออกมาจากเปลือกไข่หรือ มันมาเถียงอุปัชฌาย์มันแล้วนี่ ว้อๆ ยังไงกันนี่ โตมาเดี๋ยวมันจะไม่เป็นเสือโคร่งเหรอเราว่า ดุเอา เดี๋ยวนี้ลงราบแล้ว เดี๋ยวนี้ยังอยู่นี้ละ อยู่นานนะ อยู่พังงาองค์นี้ อีกองค์นั้นเป็นท่านคลาด ได้สององค์ ทางภาคใต้มีปรากฏอยู่สององค์ มีเยอะนะ ที่ไม่ขาดเลยคือจันทบุรี ตั้งแต่สร้างวัด พระไม่เคยขาดจนกระทั่งป่านนี้ ดูเหมือนจะ ๓ องค์หรือ ๔ องค์ จันท์ อยู่ที่นี่ นอกนั้นก็มีทุกภาคๆ ละอยู่ที่นี่
มานี้เราสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง พระเณรจะมากจะน้อยให้เป็นระเบียบเดียวกันหมด เคลื่อนไม่ได้บอกอย่างนั้นเลย ยิ่งเฒ่าแก่แล้วยิ่งค่อยปล่อยค่อยวางไป อย่าให้มีเรื่องมาหาเรานะ ถ้ามีแล้วไม่วินิจฉัยมาก ไล่เลย เราสอนเต็มภูมิของเราแล้ว เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ไม่เป็นท่าเราก็ไล่ออกเลย ไม่ให้อยู่ เดี๋ยวนี้เป็นระยะไล่นะ เพราะสอนเต็มภูมิแล้ว ถ้ามาผิดเกะๆ กะๆ ให้เห็นอยู่นี้ ไม่เอาละเดี๋ยวนี้มีแต่ไล่ออกเลย ขี้เกียจสอน ทุกภาคละมาอยู่นี้ ทางโน้นก็ยังเหลือท่านคลาดเป็นหลักอยู่ทางภาคใต้ จังหวัดพังงา ท่านนราก็อยู่ที่นี่เป็นประจำ ภาคใต้มีอยู่นี้องค์หรือสององค์ เราลืมแล้วละ อยู่ประจำ ทางภาคเหนือดูไม่ค่อยมีเดี๋ยวนี้ ภาคกลาง ภาคไหนจำไม่ได้นะ องค์ไหนที่เป็นหลักๆ จากวัดนี้ไป
เดี๋ยวนี้มันแก่แล้ว ไม่ค่อยเอาอะไรละกับพระกับเณร แต่ก่อนเข้มงวดกวดขันมากทีเดียว เอาจริงเอาจังมากแต่ก่อน เดี๋ยวนี้เฒ่าแก่มาแล้ว ไปไหนมาไหนเพียงแค่วัดนี้ก็จะไม่ไหวแล้ว เดินหย็อกๆ แหย็กๆ ไปเท่านี้เหนื่อยแล้ว แต่ก่อนไปสุดวัดๆ เรื่อยละ เวลาว่างๆ เดี๋ยวนี้ไปไม่ได้ละ ไม่ไป เดินจงกรมก็เดินหย็อกแหย็กๆ อย่างนั้นละ เอามือขัดหลังเดินเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นละ มันแก่แล้ว อายุนี้ ๙๕ ย่างแล้ว อ่อนมากเวลานี้ เดินไปจากวัดเข้ามาก็เหนื่อย ไม่อยากไปไหนละ กลางคืนก็นั่งเป็นตุ๊กตาอยู่คนเดียว เป็นตุ๊กตากลางคืน นั่งภาวนาคนเดียวสบายๆ
จิตที่ฝึกให้เข้าเป็นธรรม ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วนี้ มันเป็นธรรมธาตุนะอยู่ในใจ เป็นธรรมธาตุมันจ้าหมดเลย นั่นละจิตถ้าฝึกได้เต็มที่เต็มเหนี่ยวแล้วก็ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน จะเรียกว่าจิตก็ได้ เรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ ถ้าถึงขั้นนั้นแล้วจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน นี่เรียกว่าคงเส้นคงวาแล้ว หนาแน่นแล้ว ถ้าจะว่านิพพานเที่ยงดูอันนี้ก็รู้เอง ดูเวลาไหนก็เป็นอย่างนั้น ไม่ดูก็เป็นอย่างนั้น จะว่าดูหรือไม่ดูมันก็เหมือนดูตลอด มันความรู้อยู่กับตัวเอง คำว่าเผลอว่าเผลนี้พูดจริงๆ นะ เราบอกเราไม่มี สตินี่ติดแนบอยู่กับใจ ใจเป็นธรรมชาติ สติก็เลยเป็นธรรมชาติอันเดียวกัน ที่จะเผลอๆ ไผลๆ ไปนี้มันไม่มี เราบอกตรงๆ ที่จะเดินช้าเดินเร็วไปไหนก็ตาม เคลื่อนไหวไปไหนก็ตาม สติกับจิตมันเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมชาติ นี่ละฝึกให้ได้แล้วเป็นอย่างนั้นละ
ขอให้ฝึกให้ได้ซิจิตดวงนี้ จะไม่มีอะไรในโลกนี้เลิศเลอยิ่งกว่าจิตที่ฝึกได้แล้ว เลิศเลอสุดยอดเลย สุดอยู่ที่จิต ทุกข์มหันตทุกข์ก็อยู่ที่จิต สุขเป็นบรมสุขก็อยู่ที่จิต มาอยู่ที่จิตอันเดียว ในโลกธาตุนี้มารวมอยู่ที่จิต ทั้งทุกข์ทั้งสุขอยู่ที่นี่หมด เป็นผู้รับทราบทุกอย่าง เพราะเป็นนักรู้ ฝึกทำให้เป็นอย่างนั้นซิจิต ถ้าฝึกเป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่มีคำว่าตายว่าเป็นเลย เท่ากัน เพราะธรรมชาตินี้ถ้าพูดภาษาโลก แยกเป็นโลกก็เรียกว่าเป็นหลักของตัวเองแล้ว ไม่ทราบจะพาไปพึ่งใคร ไม่ได้เหมือนธรรมชาตินี้ ธรรมชาตินี้พอตัวแล้วทุกอย่าง ไม่ต้องพึ่งอะไร
คำว่าแสวงหาธรรมๆ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วแสวงหาอะไร นี่ละถึงขั้นที่ว่าแสวงหาธรรม พอมาถึงขั้น วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ แล้วเท่านั้น จิตกับธรรมก็เป็นอันเดียวกัน ไม่ไปหาอะไรที่ไหนละ หาธรรมก็ไม่หา หาอะไร ธรรมกับจิตก็เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว เวลาหาธรรมก็คือว่ายังบกพร่อง กิเลสตัณหาเต็มหัวใจ ธรรมไม่ค่อยมี อันนี้ทุกข์มากนะ กิเลสมีมากน้อยเพียงไรทุกข์มาก ถ้ากิเลสเบาบางลงไปก็ทุกข์น้อยลงไป กิเลสขาดสะบั้นออกไปแล้วทุกข์ไม่มี ในจิตของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มีทุกข์ในใจ มีก็มีแต่ยิบๆ แย็บๆ ตามธาตุตามขันธ์ พอคิดพับดับพร้อมๆ ไม่มีร่องรอยก็คือจิตท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว ไม่มีร่องรอย คิดพับดับพร้อมๆ เป็นหลักธรรมชาติของมัน
ฝึกให้มันได้อย่างนั้นซิ ฝึกจิต เมื่อฝึกได้แล้ว ความเป็นอยู่ความตายไป ไม่มีอะไรเป็นปัญหา ความเป็นอยู่ความตายไปก็คือธาตุขันธ์ รวมตัวแล้วก็สลายออก ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติของตัวเอง ไม่ต้องไปหวังพึ่งใครอะไรที่ไหนแล้ว นั่นละจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วแสนสบาย ท่านว่าบรมสุขอยู่ตรงนั้นพอ ไปถามหานิพพานที่ไหน ว่านิพพานก็นิพพานทั้งเป็นอยู่ในนั้นละ นี่ละการฝึกจิต ฝึกให้ดีนะ อย่าเหลาะแหละ โยกๆ คลอนๆ ทำอะไรให้มีจริงมีจัง หลักความจริงนี่สำคัญมาก ถ้าเหลาะแหละแล้วทำอะไรเหลาะแหละทั้งนั้นละคนเรา ถ้าจิตใจมีจริง ทำอะไรก็จริง ทำภายนอกก็จริง ภายในก็จริง ขอให้จิตจริงเสียอย่างเดียว ถ้าจิตเหลาะแหละ ข้างนอกก็เหลาะแหละ ข้างในก็เหลาะแหละ ไม่ได้เรื่องได้ราวนะ
ให้พากันฝึกจิต ภาวนาใจให้ดี สติเป็นของสำคัญมาก ควบคุมจิตใจให้อยู่ในเงื้อมมือได้ กิเลสจะกองเท่าภูเขา เกิดไม่ได้ ถ้าสติยังดีอยู่ สติดีอยู่ตลอด กิเลสเกิดไม่ได้เลยตลอด วันยังค่ำก็เกิดไม่ได้ ถ้าสติเผลอพับ กิเลสเข้าปุ๊บเลย นั่น ขึ้นอยู่กับสตินะ การฝึกภาวนาต้องฝึกหัดสติให้ดี ถ้าฝึกหัดสติดีแล้ว จิตจะตั้งฐานได้เป็นความสงบร่มเย็น
นี่ได้ฝึกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว หายสงสัยแล้ว การฝึกจิตก็หายสงสัย พูดเสียตรงๆ เลยละ ผลแห่งการปฏิบัติธรรม เมื่อถึงที่มันแล้วหายสงสัยทุกอย่าง ธรรมก็ไม่หา หาอะไรหาธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว หาธรรมก็คือหาใจ ใจก็ไม่สงสัยตัวเองแล้ว จะไปหาที่ไหน ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นั่นละท่านว่าหาธรรมก็อยู่ที่ วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ เสร็จแล้วงาน งานก็คืองานฆ่ากิเลส เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีงาน มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลา จิตฝึกได้เป็นอย่างนั้น ให้พากันจำเอานะ วันนี้พูดเท่านั้นละเหนื่อย หูก็อื้อ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |