เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ธรรมประเภทนี้หาที่ไหนไม่เจอ
พ่อแม่ครูจารย์มั่นเล่าอะไรให้ฟังนี้ โอ๊ย เป็นคติซึ้งมากนะ แต่ท่านเล่าท่านพูดเฉยนะ นั่นละจอมปราชญ์ไม่เหมือนจอมลิงๆ คอยแต่จะหัวเราะขบขันอยู่ภายในอกจะแตก ท่านเล่าอะไรๆ ท่านเล่าเฉย ไอ้เราผู้ฟังมันขบขัน มันน่าหัวเราะ มันแค้นในหัวอก ท่านพูดเรื่องเณร ตั้งแต่สมัยท่านเป็นเณรก่อนจะฉันนี้ ท่านให้เสก ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ให้ได้ปฏิสังขา เณรไหนไม่ได้ เณรที่เป็นหัวหน้าเสกเป่าแล้วก็ยื่นคำข้าวให้กัน ฟังซิน่ะ ท่านเล่าท่านพูดเฉยนะ ไอ้เรานี่มันอกจะแตก
เณรสมัยก่อนยังมีปฏิสังขานะ พระสมัยปัจจุบันนี้ไม่มีเลย มีแต่ตะกละตะกลาม ได้เท่าไรอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์เท่าไร มันจะเอามาเผาหัวมันเหรอเราอยากว่าอย่างนั้น ตั้งแต่เณรเขาฉันจังหัน เขายังมีปฏิสังขา พระเราใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีปฏิสังขาเลย ถ้ามีแต่โลภโมโทโสไปไม่ได้นะ โลภลาภโลภยศ โลภสรรเสริญเยินยอ เป็นบ้าลาภบ้ายศ บ้าสรรเสริญคือพระสมัยปัจจุบันนี้ ใหญ่เท่าไรยิ่งเลว สู้เณรไม่ได้ เณรก่อนเขาจะฉันจังหัน หัวหน้าเณรผู้เสกปฏิสังขา แล้วก็ยื่นคำข้าวให้กัน ยื่นไปจนสุดเณร จึงจะลงมือฉัน
นี่ละเณรสมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เป็นเณร ท่านก็มีปฏิสังขาเหมือนกัน ท่านว่างั้น นี่ละมันขบขัน ไม่ลืมนะเรา ท่านเล่าแต่ท่านเล่าเฉยนะ จอมปราชญ์ ไม่เหมือนจอมลิงๆ ปั๊บๆๆ ไปไหน เวลาจะฉันจังหัน
ต้องหัวหน้าเณรเอาไปเสกปฏิสังขา แล้วยื่นคำข้าวให้เณรครบเรียบร้อยแล้วค่อยฉัน ท่านไม่ฉันมูมๆ มามๆ ตะกละตะกลามเหมือนพระปัจจุบันนี้ พระปัจจุบันนี้กินไม่เลือก ไม่มีคำว่าปฏิสังขา สู้เณรไม่ได้นะ เณรที่พ่อแม่ครูจารย์ท่านเล่าให้ฟัง น่าฟังมาก ใครจะเอาไปเป็นคติเครื่องเตือนใจก็เอาไป
พระสมัยปัจจุบัน เณรสมัยปัจจุบันนี้เลวมาก ยิ่งกว่าสมัยเณรหลวงปู่มั่นนะ เณรหลวงปู่มั่นยังดี มีปฏิสังขา พวกเรานี้มันไม่มี ยิ่งหลวงตาบัวด้วยแล้วยิ่งแล้ว มีเท่าไรเอามาๆ มีแต่กวาดแต่ต้อน ฟาดจนจะขี้แตกกับที่นั่ง ก็ไม่มีปฏิสังขานะหลวงตาบัวนี่สู้เณรไม่ได้ โยมเอาอะไรมาให้ เออ ดีนะโยม ดีนะๆ เรื่อย เป็นอย่างงั้นละ ไม่มีปฏิสังขา เอาไปพิจารณาซิเรื่องเหล่านี้ ที่ท่านมาเล่าก็เป็นคตินั่นเอง ทำอะไรท่านว่า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย พิจารณาใคร่ครวญเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยทำกิจการงานนั้นๆ ดี เสยฺโย ประเสริฐ นิสมฺม กรณํ เสยฺโย เป็นงานที่ประเสริฐ แต่นี้แปลเอาความพอดีกับสาธารณชนบอกว่าดีเท่านั้น ถ้าแปลตามศัพท์ก็เรียกว่าประเสริฐ
เวลาจะฉันจังหันมีปฏิสังขาก่อน เสกปฏิสังขา อยู่ทางภาคอีสานนี้กินข้าวเหนียวกันนะ เสกคาถาเป็นคำๆ แล้วยื่นให้กัน เณรไหนไม่ได้นี่ยื่น เณรไหนได้แล้วก็ไม่ต้อง เสกคาถาของเจ้าของเอง ถ้าเณรไหนยังไม่ได้ปฏิสังขา ต้องได้เสกไปให้ ยื่นให้คนละคำๆ ไปเลยนะ นี่พ่อแม่ครูจารย์เล่านะ เพราะฉะนั้นมันถึงฝังลึกมาก ถ้าคำพูดของพ่อแม่ครูจารย์พูดคำไหนนี่ แหมซึ้งมากนะ ซึ้งจริงๆ ซึ้งอยู่ในหัวใจ ฝังลึกมาก เช่นอย่างไปกราบท่าน ไม่มีจืดมีจาง กราบพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา มหาบุญมหาคุณครอบหัวครอบกระหม่อมเราอยู่ตลอดเวลา คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละที่ซึ้งมากที่สุด ท่านเป็นนิสัยจอมปราชญ์ เป็นพญาราชสีห์ รูปร่างท่านจริงๆ ก็ไม่โต แต่โตเพราะคุณธรรมและมารยาทของท่าน ธรรมในใจของท่านพาท่านใหญ่นะ ไปที่ไหนนี่เหมือนว่าคับโลกไปเลย ความดีของท่าน เมตตาธรรมของท่านครอบไปหมดเลย
ทีนี้เวลาเราปฏิบัติ เอ้า ทีนี้เข้ามา เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติตามท่าน ท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ท่านปฏิบัติมาธรรมเต็มภูมิ เต็มหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ความสง่าราศีความเลิศเลออัศจรรย์ออกจากใจหมดเลย รวมแล้วมาอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นคำว่าสุขก็ดี ทุกข์ก็ดีจึงอยู่ที่ใจ ไม่อยู่กับสิ่งของเงินทอง มาอยู่ทึ่ใจ เวลาไปกราบท่าน ไปที่ไหนก็เหมือนกัน ที่เราไปกราบสกลฯบ่อยๆ นั้น มันเป็นจุดใหญ่ของท่าน การสร้างวัดป่าสุทธาวาส ก็เป็นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเรานี่สร้าง วัดป่าสุทธาวาส คำว่าป่าๆ จริงๆ ไม่มีบ้านคนแม้หลังเดียว เขาเรียกดงบาก ไปสร้างวัดก็เป็นท่าน
นั่นละวงกรรมฐาน ศูนย์กลางของกรรมฐานแต่ก่อนอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส องค์ไหนไปเที่ยวทางไหนมาก็ลงมาที่นั่นๆ ที่นั่นจึงรวมเป็นวัดกรรมฐาน ศูนย์กลางของพระมาที่นั่น ที่เรียกว่าวัดป่าสุทธาวาส เดี๋ยวนี้ไปดูซิวัดป่าสุทธาวาส มันเป็นวัดป่าคนไปหมดแล้ว วัดป่าสุทธาวาสมีแต่ชื่อ แต่ก่อนตั้งตามหลักธรรมชาติที่มีแต่ป่าล้วนๆ นะ ตั้งนั่นละท่านตั้งวัดป่าสุทธาวาส สมัยเราไปก็ยังเห็นไม่มีบ้านคนนะ ไม่มี พ.ศ. ๒๔๘๐ หรือ ๒๔๘๓ หรือไงเราไป ยังไม่มีนะบ้านคนไม่มีแถวนั้น ไม่มีเลย มีแต่สนามกว้างขวาง สนามนั้นก็เครื่องบินเขาก็ไม่มาลง ก็มีแต่พวกวัวพวกควายเต็มสนาม เดี๋ยวนี้เป็นสถานที่ราชการแล้ว
นั่นละท่านให้ชื่อว่าวัดป่าสุทธาวาส จากวัดไปบิณฑบาตในจังหวัดสกลนครสองกิโล มีที่นั่นเท่านั้นที่บิณฑบาต นอกนั้นไม่มีบ้านผู้บ้านคน ไม่มี มีแต่ดงแต่ป่าทั้งหมด นี่ก็เป็นองค์ท่านทั้งสอง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นละไปสร้างที่นั่น ทีแรกก็ไม่ใหญ่โตแหละ ท่านไปอยู่ ท่านบำเพ็ญภาวนา ตอนที่เราไปพ.ศ.๒๔๘๔ ก็ยังไม่มีบ้านคน ไม่มี แถวนั้นไม่มีเลย พ.ศ. ๒๔๘๔ เราไปที่นั่น เป็นดงจริงๆ เป็นป่าจริงๆ วัดป่าสุทธาวาสเป็นป่าโดยสมบูรณ์ สมชื่อสมนาม กุฏิของพระก็กระต๊อบกระแต๊บนะ แต่ก่อนที่เราไปมีโรงฉันไม่ใหญ่โต เล็กน้อยทั้งนั้น ๒๔๘๔ นั่นละเราไป
พระก็เป็นพระกรรมฐานจริงๆ ทรงวัดป่าสุทธาวาสไว้ได้ดีตอนนั้น แล้ววัดป่าสุทธาวาสเลยกลายเป็นศูนย์กลางของพระกรรมฐาน องค์ไหนมาจากที่ไหนก็มาที่นั่นๆ เป็นที่รวม นั่นเพียงพ.ศ.๒๔๘๔ ก็เป็นดงหมดแล้วแถวนั้น ไม่มีนะบ้านคน ไม่มีเลย มีแต่ป่ากับสนามบินกว้างๆ มีแต่วัวแต่ควาย เขาเอามาเลี้ยงเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้มันเป็นสถานที่ราชการแล้ว หมด ไม่มีเหลือ
นี่ละท่านเป็นผู้สร้างเอง สร้างพอได้อยู่เท่านั้นละ เรียกว่าสร้าง ท่านก็ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างละ เห็นที่เหมาะสมที่นั่นก็ไปอยู่ ท่านไปอยู่ที่ไหนก็มีพระมีเณรมาก ครั้นต่อมาเลยขยาย เลยกลายเป็นวัดป่าสุทธาวาสไป เรายังทันเห็นซากของวัดป่าสุทธาวาสได้ดี เพราะไม่มีบ้านคนเลยแถวนั้น ดงทั้งนั้น ที่เป็นตึกรามบ้านช่องรอบวัดนั้น มีแต่ดงนะนั่น เดี๋ยวนี้ก็ดูเอาเถอะ
พ่อแม่ครูจารย์มั่นตอนนั้นอยู่แถวสกลฯ ๘ ปี เราก็อยู่ที่แถวสกล ๘ ปีเหมือนกัน คือเป็นจุดศูนย์กลางก็ได้แก่พ่อแม่ครูจารย์มั่น ตอนนั้นท่านอยู่บ้านโคกนามน ท่านมาสมัยที่สอง สมัยแรกตั้งแต่สร้างวัดป่าสุทธาวาส แล้วท่านก็ไปหมดทุกแห่งทุกหน ภาคเหนือท่านไปอยู่มากนะ อยู่นานภาคเหนือ ทางเชียงใหม่ ท่านก็ไปบรรลุธรรมที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่เรายังเสียใจที่เราลืม อัศจรรย์ธรรมของท่านที่บรรลุ เวลาท่านเล่าให้ฟัง การที่จะเล่าธรรมอย่างนั้น ท่านไม่ได้เล่าสุ่มสี่สุ่มห้านะ ต้องมีพระ พระต้องเป็นที่แน่ใจ ซึ่งควรจะรับธรรมของท่านได้ อยู่ทีละ ๓ องค์ ๔ องค์ นั่นละท่านจะเล่า
เรามันก็เป็นนิสัยซอกแซกมาตั้งแต่นู้นแหละ ซอกแซกถามนั้นถามนี้ ถามไประวังหน้าผากด้วย ก็จอมปราชญ์กับจอมโง่สนทนาธรรมกัน ถามท่านซอกแซกซิกแซ็กตลอดถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ถามหมด ได้ความหมดเลย นั่นละจอมปราชญ์จอมธรรมอยู่นั่น ถ้าพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม พวกเปรตพวกผีนี้ใครจะไปเก่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่น
โอ๊ย เวลาท่านเล่าอัศจรรย์ น้ำตาร่วงนะ หันหน้าเข้าฝาเรา คืออัศจรรรย์ น้ำตาร่วง อัศจรรย์ถึงท่านเล่าถึงพวกเปรตพวกผี พวกสัตว์นรก โน่นเห็นไหม จากนั้นก็เล่าถึงพวกเทพ สวรรค์ พรหมโลก พวกเหล่านี้มากราบท่านทั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชก็มา นำคณะมา มานี้กฎระเบียบเขาดีมาก ว่างั้นนะ มานี้มีองค์เดียวที่จะฝากปัญหากันเข้ามา หาผู้เดียวเป็นผู้ถามปัญหามา เวลาพวกเทพทั้งหลายมาฟังเทศน์กับท่าน ฝากปัญหามาถามปัญหา ท่านก็ตอบๆ ปัญหาภายในใจ อย่างนี้เป็นประจำ
ท่านพิสดารมากนะพ่อแม่ครูจารย์ จึงได้ปรากฏชื่อลือนามมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เฉพาะอย่างยิ่งประวัติของท่านที่เราเขียนก็ไม่มากนัก ก็ได้พอหอมปากหอมคอ มาอ่านกัน เราได้อุตส่าห์พยายามเขียน เหตุที่จะเขียนนี้ก็คือว่า ตอนนั้นท่านเริ่มป่วยนะ เราก็พูดตรงๆ จิตของเรากำลังหมุนติ้วๆ ไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน ต้องได้บังคับด้วยพุทโธให้สงบ ไม่งั้นมันจะพุ่งๆ ทางสติปัญญา เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นความเพียรฆ่ากิเลสโดยลำพัง ได้รั้งเอาไว้ๆ ไม่รั้งมันจะตายจริงๆ ความเพียรทางด้านนี้นะ จิตกับกิเลสตัณหา สติปัญญากับกิเลสตัณหามันฟัดกันนี้ ถึงขั้นธรรมะฆ่ากิเลสฆ่าอย่างนั้นแหละ
ถอดออกจากหัวใจนี้มาพูดเลยนะไม่ใช่ธรรมดา ทำไมจึงถอดออกมา มาอวดท่านทั้งหลายเหรอ ก็เพื่อจะให้เป็นคติว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นยังไง สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบเป็นปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าใครนำไปปฏิบัติ นี่เวลามันเป็นขึ้นมาก็เป็นอย่างนั้น ปฏิบัติธรรม ท่านเล่าให้ฟังนี้อัศจรรย์ ท่านมาอยู่ต้นไม้ต้นเดียวเวลาบรรลุธรรมท่านว่า ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมก็พิสดารมาก จิตของท่านหมุนติ้วๆ ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาหาเจ้าของที่กำลัง จิตอันนี้มันหมุนก่อนท่านพูดแล้วแหละ หมุนก่อนอยู่แล้ว เวลาท่านป่วยยิ่งหมุนหนัก
กิเลสกับธรรมฟัดกันเป็นอัตโนมัติ ได้รั้งเอาไว้ๆ คำว่าขี้เกียจขี้คร้านไม่มีเลย หายหน้าไปหมด มีแต่ความดูดดื่ม แดนมรรคผลนิพพานเหมือนว่าชั่วเอื้อมๆ นั่นน่ะมันบืนนะ นี่เป็นความเพียรอัตโนมัติมีแต่จะไปท่าเดียว ท่าที่จะอยู่อะไรไม่ได้ ขาดสะบั้นไปเลย มีแต่จะไปท่าเดียว ทีนี้ท่านก็เริ่มป่วย ท่านเริ่มป่วยเราก็ยิ่งหมุน ท่านป่วยหนักเราก็ป่วยหนัก ท่านป่วยทางธาตุทางขันธ์ เราป่วยทางด้านจิตใจ ระหว่างสติปัญญากับกิเลสฟัดกัน นี่พูดให้ฟังชัดๆ เสียนะ
นี่จวนจะตายแล้ว ๙๕ ย่างเข้ามาแล้ว เดี๋ยวนี้หลงหน้าหลงหลังแล้วแหละความจำ ไปที่ไหนๆ เช่นอย่างเข้าห้องไป ลืมแล้วนะนั่น เดินจงกรมอยู่บนกุฏินั่นแหละ ถึงเวลาหมู่เพื่อนไปบิณฑบาตเราก็เดินจงกรมอยู่นั้น แล้วเข้าห้อง เข้าไปก็ลืมเลย ลืมกิน เข้าห้องมันเหนื่อยก็เลยทอดร่างกายลง ทีแรกเดินจงกรมอยู่หน้ากุฏิ ประมาณพระบิณฑบาตสัก ๓๐ นาทีแล้วก็เข้าห้อง เข้าห้องก็ไม่หลับไม่แหล็บอะไรแหละ เข้าห้องนอนพักอารมณ์สงบ สักเดี๋ยวได้ยินเสียงเคาะประตูป๊อกๆ อ้าว ได้เวลาแล้วหรือ เลยออกมา อย่างนั้นละมันไม่ได้สนใจกับอะไร
ทีนี้เวลาจิตของเราหมุน ธาตุขันธ์ของท่านก็หมุนเพื่อจะพัง จิตของเราก็หมุนกำลังจะพังกิเลสเหมือนกัน หนักพอๆ กัน ของท่านก็หนักทางธาตุขันธ์ที่จะแตกสลายทำลาย มันเขย่าท่าน ธาตุขันธ์เขย่า จิตเป็นผู้รับทราบๆ ไม่กระทบกระเทือนอะไร แต่ธาตุขันธ์มันทำงานของมันเพื่อจะแตกจะดับ ที่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยคือทุกข์อยู่นั้นหมด มันอยู่ในขันธ์ ถ้าคนธรรมดาแล้วจิตก็มาอยู่ในนั้นเป็นไฟเลยนะ ธรรมดาก็ไม่เป็น เรื่องฟืนเรื่องไฟเผาธาตุเผาขันธ์ให้แตกสลายมันก็หมุนของมัน จิตที่บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้วก็รับทราบตลอดรอบด้านๆ แต่ไม่เข้ามาถึงจิต ฟังเสียนะ จิตกับร่างกายไม่ได้เป็นอันเดียวกัน เมื่อธรรมเป็นธรรมล้วนๆ ภายในใจแล้วรู้หมด นี่ท่านก็ยิ่งหนัก เราก็หนักทางด้านจิตใจ
เราก็ภูมิใจในการปฏิบัติอุปัฏฐากพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ เราภูมิใจตลอดมาไม่มีอะไรละ เต็มภูมิ ภูมิแห่งความโง่ของเราปฏิบัติอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านติดแนบอยู่นั้นเลย จนกระทั่งท่านเคลิ้มหลับไปนิดหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาปั๊บ ท่านมหาไปไหน แน่ะพระทั้งวัดไม่ถามหานะ ท่านมหาไปไหน ลืมตาปั๊บขึ้นมา ท่านมหาไปไหน เราต้องบอกไว้เราเดินจงกรมอยู่ข้างๆ เวลาท่านหลับเราก็ถอยออกจากมุ้งไป สักเดี๋ยวท่านตื่นขึ้นมา ท่านมหาไปไหน แน่ะอย่างนั้นละ คือท่านก็รู้อยู่ เมตตามาก ตายใจกับการดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่าน เราทุ่มหมดนะ
ทุกอย่างร่างกายของท่าน ยิ่งเป็นส่วนภายในแล้วจะไม่ให้ใครเข้าไปแตะ เราเป็นคนสงวนรักษาเหมือนการรักษาสงวนรักษาธาตุขันธ์ของเราเอง ร่างกายของเราเอง จะมีแต่เราคนเดียว ท่านก็ไม่ว่าอะไรนะ ท่านจะให้เปลี่ยนตัวก็ไม่เคยมี เอ้อ ท่านมหาก็ดูแลผมอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน วันไหนหนักๆ กลางวันก็เป็น ส่วนมากกลางวันจะสงบ กลางคืนหนาว วัณโรค ไอนอนไม่หลับ เราก็อยู่กับท่าน เอาเต็มเหนี่ยวเลยว่างั้นเถอะ เราไม่คำนึงถึงเรื่องของเรา มอบถวายท่านหมด แต่สำคัญที่จิตของเราที่เป็นอัตโนมัติมันก็หมุนของมันอยู่ การทำงานก็ทำไป ทางนี้ก็หมุนตลอด
นี่ละถึงกาลเวลาของจิตของธรรมที่จะสังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติเป็นอย่างนั้น จะทำงานภายนอกทำอะไรก็ตาม แต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในใจจะไม่มีหยุด เป็นอัตโนมัติ เช่นอย่างเราฉันจังหันอยู่นี้ เคี้ยวไปนี้มันไม่ได้มาสนใจกับการขบการฉันรสชาติอะไรของอาหารไม่มี มันจะหมุนของมันอยู่ลึกๆ อยู่อย่างนั้นตลอด เหมือนเราทั้งหลายที่มีกิเลสครองใจ บีบบี้สีไฟใจ เราจะอยู่ที่ไหนๆ กิเลสจะต้องพาคิดพาปรุง กวนใจตลอดเวลา รับประทานอาหารอยู่ก็เหมือนกัน มันก็คิดก็ปรุงของมันเรื่องของกิเลสเต็มตัวไปอย่างนั้น ทีนี้ธรรมเมื่อเวลาเข้าแทนที่นั้นแล้วก็แบบเดียวกัน ทำอะไรๆ ธรรมจะทำงานของตัวเองเป็นอัตโนมัติ นี่ละถึงขั้นจะไปขั้นไม่อยู่
ท่านป่วยหนักเท่าไรเราก็ยิ่งติดอยู่กับท่านไม่ได้ออก สำหรับอวัยวะของท่านเราจะไม่ให้ใครเข้าไปแตะ เรารักเราสงวน เราเทิดทูนมากที่สุดเลย พระเณรท่านก็รู้ท่านไม่ทะลึ่ง เพราะกิริยาความเคลื่อนไหวระหว่างเรากับท่านพระเณรก็ดูอยู่แล้ว เราโง่หรือเราฉลาดแค่ไหนพระเณรก็ดูอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านถึงไม่เข้ามาทะลึ่ง ท่านอยู่ข้างนอก กลางคืนท่านอยู่ข้างนอกมุ้งเต็ม เราอยู่คนเดียวภายใน ไม่ว่าจะปวดหนักปวดเบาปวดอะไรๆ เราจัดการหมดเลยไม่ให้ใครไปเห็นอวัยวะท่าน นี่คือความรักความสงวนเทิดทูนเต็มหัวใจ ไม่มีอะไรเสียดายในธาตุขันธ์ในจิตใจของเจ้าของเลย พุ่งไว้กับท่านหมดเลย
นี่ละที่ว่าปฏิบัติอุปัฏฐากท่านด้วยความรักความเทิดทูนเป็นอย่างนั้น เป็นก็เป็น ตายก็ตายไปเลย ที่จะว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่มี นี่ละอำนาจแห่งจิตที่เทิดทูนครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้น กลางคืนคืนไหนท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเราไม่ได้นอน แต่ท่านก็ไม่เห็นเคยพูดนะว่า นี่ท่านมหาก็ดูแลผมตลอดเวลา ไม่มีเวลาจะพักผ่อนนอนหลับ ควรจะเปลี่ยนตัวให้องค์อื่นมาแทน ท่านไม่เคยพูด เราก็ไม่เคยสนใจกับใครที่จะให้มาเปลี่ยน มันไม่ถนัดเหมือนเราทำเอง โง่ฉลาดก็ตามมันก็เป็นอย่างนั้นจะว่าไง โง่กับฉลาดทุ่มลงไปหมดเลย
อย่างนั้นละที่เราได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านเต็มหัวใจเรา ทุกอย่างกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ สำหรับอวัยวะภายในของท่านจะไม่ให้ใครไปเห็นเลยเทียว เราจะดูแลคนเดียวเหมือนอวัยวะท่านกับของเราเป็นอันเดียวกัน รักษาอวัยวะของเจ้าของฉันใด รักษาอวัยวะของท่านอย่างนั้นเหมือนกัน เราปฏิบัติอย่างนั้นกับท่าน ตอนนั้นจิตหมุนแล้วนะ หมุนทำงานของมัน มันก็ไม่ถอยทางจิตก็ดี ทางทำก็ทำไป ส่วนหยาบกิริยาอาการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับท่านทำไป แต่ความเคลื่อนไหวของจิตระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันมันก็ทำงานของมันไปนั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงว่าจิตนี้ทำงานได้ตลอดนะ ไม่ได้พักผ่อนนอนหลับเหมือนเรานะ ทำงานได้ตลอด นั่งอยู่นี้มันก็ทำงานของมัน เช่นนั่งอยู่นี้มันคิดอยู่ตลอด ใจดวงใดมันก็คิดของมันอยู่ตลอดอย่างนั้น ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่หากเป็นอย่างนั้นในหลักธรรมชาติของคนมีกิเลส
ทีนี้เวลาธรรมเข้าหมุนกิเลสภายในจิตใจก็แบบเดียวกัน จะอยู่ที่ไหนมันก็หมุนของมัน ฆ่าของมัน เอาจนกระทั่งบางทีขึ้นนะแต่ไม่ใช่สำคัญ ฟัดกับกิเลสเหมือนว่าหมอบราบไปหมดเลย อำนาจของสติปัญญาก้าวเข้าขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วกิเลสจะโผล่ไม่ได้ โผล่ขึ้นมาพับขาดสะบั้นๆ นี่สติปัญญาแก่กล้า กับสติปัญญาที่ไปนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาต่างกัน นั่งอยู่บนภูเขาตั้งสติพับล้มผล็อยๆ กระแสของกิเลสตีเอาๆ ตั้งให้อยู่ไม่อยู่ ตั้งเพื่อล้มๆ นี่ละที่น้ำตาร่วง ได้มีความโกรธแค้นกับกิเลสตัณหามาเป็นมุมานะก็ครั้งนั้นละ เราไม่ลืมนะ เคียดแค้นจริงๆ เคียดแค้นให้กิเลส ถ้าเป็นเคียดแค้นให้คนอื่นผู้ใดแล้วเป็นบาปเป็นกรรม แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสตัณหาซึ่งเป็นข้าศึกต่อใจของตัวเองนี้เป็นธรรม
จนขนาดที่ว่าน้ำตาร่วง หือ มึงเอากูถึงขนาดนี้เทียวหรือ นี่เคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว หือ มึงเอากูถึงขนาดนี้เทียวหรือ น้ำตาพัง สู้มันไม่ได้ สติตั้งพับล้มพร้อมๆ ตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ เวลากระแสของกิเลสมันรุนแรงไม่อยู่นะสติ จนน้ำตาร่วง เคียดแค้นให้กิเลส ถึงขนาดที่ว่า หือ มึงเอากูขนาดนี้เทียวหรือ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง มันผูกโกรธผูกแค้นใส่กันอย่างถึงใจนะ อย่างไรให้กูถอยกูไม่ถอย มึงต้องพังวันหนึ่ง ก็เกิดมุมานะ เอานั้นละเป็นต้นเหตุที่โกรธแค้นให้กิเลสในเจ้าของ ฟาดลงไปจนกระทั่งถึงขั้นเป็นอรหันต์น้อยขึ้นมา ก็กิเลสที่มันเก่งๆ สู้สติปัญญาไม่ได้ อะไรโผล่มาพับขาดสะบั้นทันทีๆ เลย เรียกว่าไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำลายกิเลสนะ ธรรมชาติของธรรมที่ทำงานเองอัตโนมัติมันทำลายของมันเอง ผางๆ ๆ เลย ขาดสะบั้น
จนกระทั่งถึงบางทีเงียบหมดเลยในหัวใจ หือ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ เป็นในใจ แต่มันว่าเฉยๆ มันไม่ได้สำคัญว่าเป็นอรหันต์นะ คือมันเงียบหมด ฟัดกันไปฟัดกันมา จนกระทั่งถึงขั้นมันละที่นี่ ไม่ได้ว่าละอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ที่ว่านี่ละวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม นั่นละบทเวลามันจะเอากัน คือจิตเวลามันหมุนเข้าๆ ใกล้ถึงจุดอวิชชาจะขาดสะบั้นมันหากเป็นของมันเอง หมุนเข้าไป ตามเข้าไปๆ นี่สรุปเอาเลยไม่ได้ซอกแซกเหมือนจิตเป็น การพูดพูดเป็นประโยคๆ เอาเท่านั้นนะ
จากนั้นมามันมาสำรวมตัวเองนะ ตอนที่กิเลสจะขาดสะบั้นออกไปหมดโดยสิ้นเชิง มันมาวินิจฉัย อะไรก็พิจารณาหมดแล้ว รู้หมดปล่อยไปหมดแล้ว ทำไมมันยังมีปัญหาอยู่ในใจ ว่าสุขก็ดีทุกข์ก็ดี ใจนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักนะ เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าเศร้าหมองเดี๋ยวว่าผ่องใส ทำไมใจอันนี้ถึงเป็นได้หลายอย่างนักนะ วินิจฉัยเจ้าของ มันไม่มีที่วินิจฉัยมีแต่จิตแห่งเดียว ลงมาหมดแล้วปล่อยมาหมด ยังเหลืออยู่ที่อวิชชาเป็นต้นเหตุ มันแสดงเหตุอยู่ในนั้นแต่เราไม่รู้
พอมาถึงขั้นนี้แล้ว ว่าจิตนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักนะ เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์เดี๋ยวว่าผ่องใสเดี๋ยวว่าเศร้าหมอง ทำไมจิตดวงนี้ถึงปลิ้นปล้อนหลอกลวงเอานักหนา ว่าอย่างนี้นะ คือมันวินิจฉัยเรื่องจิตตัวเอง สักเดี๋ยวพอจิตสงบลงแล้วมีคำบอกขึ้นมา ธรรมนั่นละท่านบอกขึ้นมา ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดีความทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ.ธรรมเหล่านี้รวมลงมาแล้วเป็นอนัตตานะ คือไม่ควรถือมั่น ให้ปล่อยให้หมดความหมายว่างั้น พอว่างั้นจิตชะงักนิ่ง จะไหวไปมาที่ไหนจะคิดอะไรไม่คิด จะเผลอก็ไม่เผลอหากอยู่กลางๆ
สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลย สิ่งที่ไม่เคยคาดเคยฝันกระจายขึ้นมาเลยจนตัวพุ่งไหว แรงอยู่นะกิเลสกับจิตที่มันขาดจากกันนี้รุนแรง สำหรับเราเองแรงมากทีเดียว เพราะฉะนั้นเราถึงได้กล้าพูดว่าฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา แต่มันเป็นอยู่ระหว่างกายกับจิตนะรุนแรงจิต ร่างกายจนพุ่งเลยกระเทือนไปหมดเลย จากนั้นมันก็จ้าครอบไปหมดในโลกธาตุ โอ้โห ขึ้นแล้วนะที่นี่ หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำนะ พระพุทธเจ้าแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ มันซ้ำๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นแล้วนะที่นี่ พอนั้นผางขึ้นมา หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไงมันเป็นแล้วนั่น
เราไม่เคยคาดเคยคิด ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมาจนถึงขณะนั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ต้องติดใจตลอดเวลา ไม่นึกว่าจะแยกตัวมาเป็นอย่างนั้นได้ ทีนี้เวลามันเป็นขึ้นมานี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่น เพราะฉะนั้นถึงว่า หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น อัศจรรย์เกินเหตุเกินผล น้ำตาร่วงนะ น้ำตานี้เป็นเรื่องสมมุติ ที่ว่าพระพุทธเจ้านิพพาน พระสงฆ์ทั้งหลายปลงธรรมสังเวชคือน้ำตาร่วง นี่ละขันธ์ทำงาน จิตพระอรหันต์ท่านจะเป็นอะไรไป
ที่ว่าท่านปลงธรรมสังเวช คือน้ำตาพระอรหันต์ร่วงนั่นเอง ขันธ์ดีดรับขันธ์ ขันธ์หนึ่งพระพุทธเจ้านิพพาน ขันธ์หนึ่งก็เกิดความสลดสังเวชถึงบุญถึงคุณถึงอะไรทุกอย่าง บุญคุณมหาคุณของพระพุทธเจ้า จะมารวมอยู่ในหัวใจพระอรหันต์หมดเลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมสังเวชขึ้นมาน้ำตาร่วงๆ น้ำตานี้เป็นสมมุติ พระพุทธเจ้านิพพานก็เป็นสมมุติเข้ารับกันได้ ธรรมชาติวิมุตติไม่มีปัญหาอะไรแหละ เป็นอย่างนั้น มันวิ่งขึ้นมาหากันหมดละ ไม่ต้องไปเรียน เป็นในตัวเองมันก็กระจายเพราะมันเป็นเหมือนกัน เช่นอย่างมันถึงที่แล้ว ถามหาพระพุทธเจ้าถามหาอะไร นั่นฟังซิ
เราเคยมีไหมแต่ก่อนในหัวใจเรา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่แต่ก่อนก็ไม่เคยคิด แต่มันเป็นธรรมทั้งแท่งแล้วกระจาย เหมือนว่าแม่น้ำครอบมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นละ ทีนี้ธรรมที่ครอบโลกธาตุก็แบบเดียวกัน จึงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นอันเดียวกัน คือเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด ไม่ต้องไปหาดูพระพุทธเจ้าองค์นั้นองค์นี้ ดูอันนี้กระจายเหมือนน้ำในมหาสมุทร จ่อมือลงปั๊บนี้ถึงมหาสมุทรด้วยกันหมด นี่จ่อมือลงปั๊บถึงวิมุตติธรรม มันก็เป็นวิมุตติธรรมเหมือนกันหมด ถามหาพระพุทธเจ้าทำไม นั่นเวลามันถึงกาลนั้นแล้วไม่ต้องไปถามใคร
นี่ละการปฏิบัติธรรมให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณาไว้ เราจวนจะตายแล้วเปิดให้ฟังเสียทุกอย่าง เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันเป็นสนามแห่งโลกธรรม อย่ามาถือสีถือสานะ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เคยอยู่เคยกินเคยหลับเคยนอน มันก็ผิดกันแต่ว่าอันหนึ่งยึดอันหนึ่งไม่ยึดเท่านั้น หิวโหยก็ยึด อิ่มพอก็ยึดใจที่มีกิเลส ถ้าใจไม่มีกิเลสหิวโหยก็ไม่ยึด อิ่มพอก็ไม่ยึด ในธาตุขันธ์ทำไปเสีย ถึงเวลากินก็กินไปหลับไปนอนไปยังไง แต่ไม่ยึดผิดกันเท่านั้นแหละ สำหรับปุถุชนนี้ยึดหมด สำหรับอริยบุคคลชั้นอรหันต์แล้วไม่ยึด สักแต่ว่ากิริยาทำตามความจำเป็นของธาตุขันธ์ที่มันต้องการเท่านั้น จิตหมดแล้วความต้องการ หมดโดยประการทั้งปวง มีแต่ปล่อยให้กิริยาที่เป็นสมมุติทำงานตามเรื่องของมันเท่านั้น นี่ละการปฏิบัติถ้าเอาจริงเอาจัง
สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นปัจจุบันตลอดไม่มีปลายไม่มีต้น เป็นสวากขาตธรรมเป็นปัจจุบันตลอด ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วจะเจอพระพุทธเจ้า เจอพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ถามหาใครละ พระพุทธเจ้าเป็นยังไงมันเป็นอันเดียวกันแล้ว พระธรรม พระสงฆ์ก็เหมือนกันเป็นอันเดียวกันอยู่ในนั้นหมดแล้ว นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น พวกเรานี่เรียนมาตำรับตำราก็เป็นหนอนแทะกระดาษไปตามหนังแส่หนังสือ ได้เรียนมายังตั้งภูมิเพิ่มกิเลสอีกนะ ตั้งภูมิชั้นภูมิเพิ่มกิเลสอีก
ได้ชั้นนั้นชั้นนี้กิเลสเสริมตัวเข้าไป กูได้นักธรรมตรี กูได้นักธรรมโท กูได้นักธรรมเอก กูได้มหาเปรียญ กูได้เป็นปลัด กูได้เป็นสมุห์ กูได้เป็นพระครู กูได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ กูได้เป็นสมเด็จ บ้าไปหมดเลย มันเสริมกิเลสเหล่านี้ เวลามันพอแล้วเหล่านี้มันเป็นเปลือกเป็นกระพี้เท่านั้น ไปหลงมันหาอะไร นั่น นั่นละฟังให้ชัดเสียวันนี้ เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามใครเป็นขึ้นจากหัวใจ เราก็เป็น สอบมหาดีใจ โอ๊ย ใจพอง แน่ะ นักธรรมตรีก็ใจพอง นักธรรมโทก็ใจพอง นักธรรมเอกก็ใจพอง ฟาดถึงชั้นมหาแล้วใจพอง
บทเวลามหาวิมุตติมหานิพพานผางขึ้นนี้ล้มหมด สิ่งเหล่านั้นล้มหมดเลย ที่จะให้พองอย่างนั้นล้มหมด อันนี้เหยียบแหลกหมดเลย สมมุติทั้งปวงในสามโลกธาตุล้มหมดเลย เหลือแต่ สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อมโมฆราช เธอจงมีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิซึ่งเป็นเหมือนก้างขวางคอ คือเป็นเราเป็นเขานั่นเหมือนกับก้างขวางคอออก เธอจะพึงหลุดพ้น พญามัจจุราชจะตามไม่ทัน นี่ละแปลออกเป็นอย่างนี้
ทีนี้จิตเวลามันถึงขั้นนั้นแล้วพิจารณานี้ออกระหว่างสมมุติกับวิมุตตินี้ สมมุตินี้สูญหมดเลยนะ โลกธาตุนี้เหมือนไม่มี เพียงเวลาจิตเราเข้าพักสงบก็เหมือนกัน ถ้าไม่พักสงบมันก็มีเป็นเงาๆ อย่างนี้ เห็นรูปหญิงรูปชายรูปสัตว์รูปบุคคลก็เป็นเงาๆ ส่วนความว่างมันทับไปหมดแล้วนะนั่น ทีนี้พอเข้าจิตปั๊บที่นี่ปล่อยหมดความว่าง เต็มเลยครอบโลกธาตุ นั่นฟังเสียนะผู้ปฏิบัติ นี่ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด ไม่ได้มาโอ้อวดใครนะ ใครจะฟังก็ฟัง นี้อายุ ๙๕ ปีแล้วนะ อย่ามายึดถือกิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์มันเข้ากันได้ไหม ให้ยึดหลักใหญ่คือ สุญฺญโต โลกํ ความว่างเปล่านี้เกิดจากธรรมปราบกิเลสที่มันเป็นก้างขวางคอ มันไม่ว่างอยู่ตรงนั้นแหละ ฟาดอันนี้ลงแล้วโล่งหมดทุกอย่างโล่งหมด นี่การปฏิบัติธรรม
ธรรมพระพุทธเจ้านั้นของเล่นเมื่อไร สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบ องค์ไหนมาตรัสก็แบบเดียวกัน บาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มี เหล่านี้สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันหมด ใครอย่าไปลบล้าง อันนี้คือท่านผู้วิเศษ ผู้ท่านที่ทรงโลกวิทูรู้แจ้งโลกนอกโลกในโลกผีโลกคนหมด โลกเทวบุตรเทวดารู้หมดแล้วจึงนำมาสอนโลก พวกเราตาบอดเที่ยวลบล้างหมดนั้น มันจะโกยเอาตั้งแต่นรก ตื่นขึ้นมาก็สร้างแต่ทางนรกๆ ตายไปแล้วไม่ต้องบอกจมเลยๆ ผู้ที่สร้างความดีเชื่อตามจอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้า ใครจะพูดให้ถูกต้องแม่นยำเหมือนพระพุทธเจ้ามีเหรอ จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ ชอบด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องทุกอย่าง โลกวิทูรู้แจ้งจริงๆ เห็นจริงๆ โลกผีโลกคนโลกนรกอเวจีสวรรค์ชั้นพรหมถึงนิพพานรู้หมด ไม่มีใครรู้เกินศาสดาองค์เอกไปได้
ไอ้เรานี้โง่ที่สุดไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้ามีอย่างหรือ ให้พากันจำเอานะ ให้ไปปฏิบัติอุตส่าห์พยายาม เราเกิดมานี้มาทำบุญให้ทานเป็นบุญของเราละ ถ้าเชื้อบุญเก่าเราไม่มีจะไม่อยากทำ การทำบุญให้ทานไม่อยากทำ กิเลสจะขวางหน้าขวางตาเหมือนอย่างโยมหนึ่งชื่อโยมจีน เอา เราจะเล่าให้ฟัง แกตำหนิแกนะ แกเป็นคนจริงจังเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยว เป็นนักเลงโตก็ได้ เป็นนักปราชญ์ก็ได้ เราไปพักอยู่สถานีทดลอง แกมาได้กำลังใจที่นั่น เราไปพักที่นั่น แกอยู่บางสะเก้า จังหวัดจันทบุรี อยู่บางสะเก้า
พอทราบว่าเราไปนี้แกจะสั่งลูกหลานของแก สูอย่ายุ่งกูนะ นี่ท่านอาจารย์มหาบัวท่านมาพักอยู่ที่สถานีทดลอง ถ้าท่านอยู่เมื่อไรกูจะอยู่ที่นั่นเมื่อนั้น สูอย่ามากังวลกับกู มาเลย ถ้าเราอยู่สักกี่วันแกก็อยู่ที่นั่น นี่ละที่ว่าแกตำหนิแก แกตำหนิก็แบบแกชมนั่นละ ตำหนิใจที่มันโหดร้ายแต่ก่อนแกว่างั้น ดูนิสัยเป็นได้ทีเดียว นิสัยเป็นได้ทั้งมหาโจรทั้งนักเลงโตทุกอย่างไม่มีใครเกินแก จิตใจเด็ดเดี่ยว เคร่งขรึมนะ เป็นนักเลงได้อย่างเต็มตัว
นี่ละตอนนั้นเขามาชวนไปวัดแกว่านะ โอ้ โกรธให้เขา เขาเดินผ่านมาหน้าบ้านเขาชวนไปวัด แหม โกรธแค้นให้เขาอย่างเต็มตัวเลย ถ้าเป็นอย่างอื่นแล้วตามฆ่าแกว่างั้นนะ แต่นี้เขาชวนไปวัดแกก็ว่างั้น เขาไม่ได้ชวนไปไหน ไอ้เราไปก็ได้เราไม่ไปก็ได้เขาไม่เห็นว่าอะไร เขาผ่านมาเขาก็ชวนไปวัดยังไปโกรธไปแค้นให้เขา จิตตอนนั้นเป็นอย่างนั้นแกว่า ทีนี้มาจิตตอนหลังนี้มันสว่างจ้าไปหมดซิ เห็นใจคนอื่นเห็นหมด เอา ยกตัวอย่างเข้ามาย่อๆ อีก คุยกันท่านสิงห์ทองอ้าปาก ตัวพระขี้ดื้อนะอ้าปากฟังเขา แกก็พูดอยู่นั้น แกเคร่งขรึมนะ ยิ้มๆ เท่านั้นละ อย่างมากยิ้มนิดหนึ่ง นิสัยเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดทุกอย่าง ถ้าว่าเป็นนักเลงได้เต็มตัว เป็นบัณฑิตก็ได้เต็มตัวเหมือนกัน
ทีนี้แกก็เล่าถึงเรื่องจิตตภาวนา มาทุกวันนี้กับที่จะโกรธแค้นให้เขาที่เขาชวนไปวัดนี้แหม ทำไมเป็นอย่างนั้นจิตดวงนี้ ว่าเจ้าของนะ มันทำไมถึงโหดร้าย ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็มาตำหนิเจ้าของ เอ ทำไมจิตดวงนี้มันจึงโหดร้ายเอานักหนานะ เวลาจิตสว่าง ภาวนาแกจิตรู้นะ รู้จิตของใครรู้ ทีนี้ท่านสิงห์ทองก็เป็นพระขี้ดื้ออยากรู้อยากเห็น นั่งอยู่ แล้วจิตอาตมาเป็นยังไงเพราะแกนั่งอยู่ แกไม่ค่อยหัวเราะนะ อย่างมากยิ้มเท่านั้นละ เคร่งขรึมมาก นั่งคุยกันนี่ เราก็นั่งนี่ ท่านสิงห์ทองนั่งอยู่นี้คุยกัน เอาอย่างจังๆ เลยนะ จิตอาตมาเป็นยังไง จิตท่านยังไม่พ้นว่างั้นเลย เพียงแต่ผ่องใส ไม่เหมือนจิตท่านอาจารย์ที่พ้นไปแล้ว
นั่นเห็นไหมใส่อย่างจังๆ เราก็นั่งฟัง แกพูดเฉย ทางนี้หัวแฮ่ๆ หน้าแห้งนะ หัวแฮ่ๆ แต่หน้าแห้ง แกจี้เอา แล้วพูดแกพูดเฉยไปเลยนะ ไม่ถามแกก็ไม่พูดนี่ ไปถาม จิตอาตมาเป็นยังไง จิตอยู่กับตัวยังถามเขา เขาก็ใส่เอาเสียบ้าง จิตท่านยังไม่พ้นแต่ผ่องใสเขาว่า เรื่องผ่องใสๆ ไม่พ้น ไม่เหมือนจิตท่านอาจารย์ซึ่งพ้นไปหมดแล้ว แกเอาอย่างจังๆ อย่างนี้เลย แล้วขบขัน
พอแกไปแล้วเป็นยังไงลิงตัวนี้น่ะ แฮ่ๆ ลิงตัวนี้เห็นไหมแมวเขาตบหน้าผากมันนั่นเราว่างี้ พอเขาจากกันไปแล้ว ถามเป็นยังไงลิงตัวนี้ถูกแมวตบหน้าผาก แฮ่ๆ ว่าจิตของอาตมาเป็นยังไง คือลิงสอดเข้าไป แมวก็ปั๊วะมา จิตท่านยังไม่หลุดพ้น เป็นแต่เพียงผ่องใสว่างั้น แล้วหัวเราะแฮ่ๆ
วันนี้ได้พูดธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ได้ฟังทั่วประเทศไทย ธรรมประเภทนี้หาที่ไหนไม่เจอ เราก็เรียนจนเป็นมหาหาไม่เจอ แต่เวลาจะเจอก็เจอที่ตรงนี้ ที่ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ใครจะกล้าพูดถ้ามันไม่เป็นในจิต เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจิตจะเป็นอย่างนี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงขณะนั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ แยกกันไม่ออก พอธรรมประเภทนี้ผางเข้ามานี้รวมเป็นธรรมแท่งเดียวกันหมดเลย นั่นละ โห ทำไมพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ไม่เคยคาดเคยคิด เวลาเป็นอย่างจังๆ ให้เห็นแล้วปฏิเสธไปได้ยังไง นั่น พากันจำเอา
(ลูกสาวหมอสานิตย์ ถวาย ๕๐๐ บาท) หมอสานิตย์ละติดพันกับวัด หมอรุ่งเรืองนี่คนหนึ่ง หมอที่ติดพันกับวัด เท่าที่เราชัดเจนในวัดของเรา มาเกี่ยวข้องกับเราก็คือหมอรุ่งเรือง หมอสานิตย์ นี่ละหมอลงใจในศาสนาเชื่อศาสนาก็คือสองหมอที่เราเห็นได้ชัดเจน นอกนั้นอาจจะทะนงตัวว่าเรียนสรีรศาสตร์ เรียนสรีรศาสตร์เรื่องร่างกาย เรียนนี้เพื่อรู้สาเหตุของโรคของภัยเกิดขึ้นยังไง จะดับด้วยวิธีใด ยาขนานใดต่างหากเข้าใจไหม พวกหมอเรียนสรีรศาสตร์ตามทางเดินของธาตุของขันธ์ของเส้นของเอ็นเขาทำงานยังไงกันเป็นยังไงกัน แล้ววิกลจริตไปยังไงๆ จะแก้ด้วยยาชนิดใด เขาเรียนอย่างนี้ต่างหาก
แต่สรีรศาสตร์ของทางพุทธศาสนานี้เรียนเหล่านี้ก็รู้ รวมลงไปแล้วเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ปล่อยพรึบหมด มันต่างกัน สรีรศาสตร์ทางพุทธศาสนาเปิดโลกธาตุ ดับความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้สิ้นเชิง แต่สรีรศาสตร์ทางหมอนั้นบางคนมีเมียห้าคนก็มี มีผัวห้าคนก็ได้ ผัวลับผัวแจ้ง เมียลับเมียแจ้ง มียังงั้น กิเลสไม่ได้ลดตัวลงเข้าใจไหม นี่ละจึงพูดให้ชัดเจน นี่สรีรศาสตร์ทางหมอ นี่สรีรศาสตร์ทางพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างนี้นะ บางทีอาจจะถือเนื้อถือตัวว่าเราเรียนสรีรศาสตร์ไปเทียบเท่าพระพุทธเจ้า เข้าใจพุทธศาสตร์มันไม่ได้เป็น มันเป็นคนละอัน อันหนึ่งแก้กิเลส อันหนึ่งแก้โรคแก้ภัยเท่านั้น แต่สั่งสมกิเลสขึ้นด้วยการเรียนสรีรศาสตร์ก็ได้หมอ สำหรับเรียนสรีรศาสตร์ทางพระพุทธศาสนามีแต่ปล่อยกิเลสๆ ต่างกัน
(เขาชื่อแอ๋ว เป็นพยาบาลอยู่ศิริราช ถวาย ๑,๐๐๐ บาท)พอพูดถึงเรื่องหมอแล้วก็มาเรื่อยนะหมอ ฝ่ายหมอมาแล้ว เอา เปิดให้ฟังตามความจริงไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามใครนี่นะ เราว่าส่วนมากฝ่ายหมอมักจะลืมตัวตรงนี้ ที่เรียนสรีรศาสตร์แล้วเอาสรีรศาสตร์ของคนมีกิเลส กับสรีรศาสตร์ของคนสิ้นกิเลสคือพระพุทธเจ้า เอามาชนกันมันก็หงายไปหมดซิ หงายไปหมดคือว่าขาดทุนพวกนี้ ยกตนข่มท่านไปเลยโดยไม่รู้สึกตัวนะ เลยเอาความเป็นหมอจากเรียนสรีรศาสตร์นี้เข้าไปเทียบความเป็นหมอของพระพุทธเจ้าที่ทรงภาวนารู้สรีรศาสตร์ ผิดกันมากนี่ ไปเทียบกันเข้ามันก็พังแหละคน
(พ่อแม่ครูจารย์บอกว่าจิตเป็นกลางๆ ยังไม่ไปทางไหนนี้ เขาเรียกว่าอุเบกขามัธยัสถ์ใช่ไหมฮะ) มัธยัสถ์กลางๆ ไม่เอนไปทางไหนไม่ทำงาน จะเผลอก็ไม่เผลอจะทำงานก็ไม่ทำ นั่นละกิเลสขาดสะบั้นตรงนั้น ธรรมทำงานเต็มที่ ที่ว่าบรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมเวลานั้นจิตไม่ทำงาน คือพิจารณาหมดแล้วทุกอย่างหมดแล้วมาเป็นอุเบกขากลางๆ ให้เผลอไม่เผลอ เป็นแต่เพียงไม่เอนไปทำงานนั้นงานนี้ต่อไป สุดเท่านั้น นี่พูดจริงๆ เป็นอย่างนั้นละ เพราะวินิจฉัยถึงเรื่องจิตเป็นได้หลายอย่าง ทำไมเดี๋ยวเศร้าหมองเดี๋ยวผ่องใส เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าดีว่าชั่ว ทำไมจิตดวงนี้จึงเป็นได้หลายอย่างนัก
เพราะพิจารณาหมดแล้วมันปล่อยหมด ยังเหลือแต่จิตกับอวิชชาพันกันอยู่ พอเข้าไปถึงนั้นแล้วก็ไปถึงตัวอวิชชา เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวผ่องใสเดี๋ยวเศร้าหมอง ทำไมจิตดวงนี้เป็นได้หลายอย่างนักนะ จากนั้นจิตก็นิ่ง แล้วก็ขึ้นมาว่า ความผ่องใสความเศร้าหมอง ความสุขความทุกข์เหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าอนัตตานี้แล้วจิตก็นิ่งนะ ตอนนี้นิ่งอันนี้นิ่งเพื่อจะพังทลายสมมุติ นิ่งเฉย สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลย นี่ละที่ตัดสินกันขั้นสุดท้ายสำหรับเราเอง ว่าความสุขก็ดีทุกข์ก็ดีเศร้าหมองก็ดีผ่องใสก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ รวมกันลงอนัตตาสำหรับเรา พอว่ามันก็ผางซิ
ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไปยึดหาอะไร แน่ะ เพราะฉะนั้นที่ใครว่านิพพานเป็นอนัตตา จึงว่าโง่มากที่สุดนะ อนัตตาก็เป็นทางเดินของพระนิพพาน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี่เป็นทางเดินของพระนิพพาน ถ้าเอานิพพานมาเป็นอนัตตาเสียเองแล้ว นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิใช่ไหมล่ะ เราเคยค้านอยู่ทางภาคเหนือได้ออกทางวิทยุกระจายเสียง เราตอบอย่างฉะฉานทีเดียว อาจหาญมาก ก็มันมาโดนเอาธรรมชาตินี้เข้า ซึ่งเราผ่านมาหมดแล้วนี่ อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน ยังจะเอานิพพานมาเป็นไตรลักษณ์เสียเอง นิพพานจะวิเศษวิโสอะไร ซัดกันเลยละ
นี่เขาก็ออกในบ่ายวันนั้นนะ วิทยุเราพูดอยู่จังหวัดอะไรนะ เขื่อนอะไร (จังหวัดตาก ที่เขื่อนภูมิพล ครับ) เอ้อๆ เขื่อนภูมิพล เขาถามตอนเช้า เราก็ตอบไปนั้น ตอนบ่ายออกแล้ว ออกกระจายไปหลายวัน ออกก็ออกเถอะ ธรรมนี้ธรรมพระพุทธเจ้า เราเป็นหลวงตาบัวก็ตาม ธรรมนั้นไม่ใช่หลวงตาบัวเข้าใจไหม ธรรมพระพุทธเจ้า เอาละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |