(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๕๐๐ คน)
เราจะพูดทั่วไปหมด เราไม่พูดกับคนคนเดียว ปากเรานี้จะทั่วไปหมด มาเอาพิเศษคนเดียว เอารัดเอาเปรียบใช้ไม่ได้ เช่นอย่างเดินไปนี้ คนนี้คว้ามับ คนนี้จับ ตีมือไว้เลย การอยากจับ อยากจับทั้งผู้หญิงผู้ชายด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่ามาเอารัดเอาเปรียบกับคนคนเดียวเรา จากคนทั่วประเทศไทย ตีเลยนะ คว้ามับ ๆ นั่นซี ตีปั๊บเลยนี้ก็ดี นั่นวิชาลิง นี่วิชาแมว ก็ใส่กันทันล่ะซี การอยากจับอยากต้องเขาไม่ได้จับต้องด้วยแบบกิเลสตัณหา เขาจับต้องด้วยการเคารพบูชา ทั้งหญิงทั้งชายเป็นได้ด้วยกัน จะมาทำคนเดียวแต่เราใช้ไม่ได้ เราบอก สอนด้วยชี้หน้าด้วย คนเอารัดเอาเปรียบไม่ดีว่างั้นเลย
(ถวายหลวงตา ๘,๘๐๐ บาท ฉลองหลวงตาอายุ ๘๘ เจ้าค่ะ) อายุ ๘๘ เหรอ ๘,๘๐๐ อายุ ๘๘ โอ๊ย อยากฟาด ๘๙ ในวันพรุ่งนี้อีกด้วย เห็นรายได้มาก ๆ นี้เราอยากเลื่อนยศขึ้นอีก ๘๙ แล้ว ๙๐ ขึ้นเรื่อยทันทีเลย เหมือนเจ๊กฝัน
พระในวัดนี้ไม่ทราบกี่องค์ ไม่เคยถามชื่อถามเสียง อยู่จังหวัดไหน อำเภอ ตำบลใด ไม่เคยถาม มองเห็นว่าหลักธรรมวินัยเข้ากันแล้วเป็นลูกศิษย์ตถาคตอันเดียวกันหมดเลย เพราะฉะนั้นเรื่องชื่อเสียงของพระของเณรไม่ค่อยทราบ แต่ถ้าผิดพลาดจับทันทีเอาทันทีเลย ดีไม่ดีไล่ออก หลักอยู่ตรงนั้นนะ ถ้าอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก โดยการประพฤติธรรมวินัยสม่ำเสมอกันแล้ว อยู่ด้วยกันได้เป็นอวัยวะเดียวกัน ถ้าผิดพลาดปั๊บแล้วจับทันทีดุทันที ควรไล่-ไล่ออกเลย ผิดหลักธรรมวินัย การอยู่ร่วมกันต้องแตกต้องแยก ถ้าสมมุติว่าเราตั้งชื่อให้เราก็ตั้งชื่ออะไรไปอย่างนั้นละ ไม่ค่อยตั้งชื่อเหมือนโลกเขาตั้ง ตั้งแบบตลก
เมื่อวานนี้มาเป็นเรื่องขบขัน ใครไม่มีวาสนาไม่ได้ยินนะ นิทานหรือเป็นเรื่องของประเพณีทางภาคอีสาน เขาชอบเล่นสนุกสนานกัน แล้วพระในวัดก็ไปเชื้อเชิญเขาให้มาในงาน เช่นอย่างเราส่งข่าวส่งคราวผ้าป่า ให้มาในงานวันนั้นเวลานั้น นี่เขาก็ประกาศเชื้อเชิญกันมา แต่ผู้ที่ไปเชื้อเชิญนั้นน่ะเชื้อเชิญผิดวันไป คืองานนั้นเป็นวันเพ็ญ แต่ประกาศออกไปว่า วันแรมค่ำหนึ่ง รวมกันวันแรมค่ำหนึ่ง ทีนี้เวลาเขามาที่ไหนได้ งานมันเสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่วันเพ็ญ พวกที่เขามาทีหลังเขาก็มาตามนัดตามหมายมันเป็นวันแรมค่ำหนึ่ง ทีนี้พอมาแล้ว โหย เห็นแต่ตูบตองตาย(เพิงพักมุงด้วยใบตองเหี่ยวแห้งไม่มีผู้คน) เห็นแต่หมาติดตีนข้าวต้ม เงียบไปเลย แล้วทำยังไงที่นี่ ว่ามีงานวันนี้ไม่เห็นมีผู้มีคน
มีอะไรเขามีตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่วันเพ็ญนั่นน่ะ วันนี้พวกเธอทั้งหลายพึ่งมา ก็ใบบอกบุญเขาบอกว่าวันแรมค่ำหนึ่งนี่นะเราก็มาตามวัน โอ๊ย งานเขาเสร็จไปตั้งแต่วันเพ็ญเมื่อวานนี้ โห ทำยังไงพวกเราเสียท่า เราก็ต้องแก้ท่าของเราซี ตั้งขบวนขึ้นขบวนแห่ มีขิกมีขออะไรเขาก็แขวนตามผ้า เขาเดิน เขาเรียกเซิ้ง ฟ้อน เซิ้ง อันนี้ก็ดังกิ๊กลิ๊กกิ๊กแล็ก เข้าใจไหมล่ะ เขาก็ตั้งขบวนขึ้นละที่นี่ แห่รอบโบสถ์ พูดเป็นเสียงเดียวกัน เขานัดกันหมดเรียบร้อยให้พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันพร้อมกัน ๆ เขาเรียกคำเซิ้ง พอเตรียมขบวนเรียบร้อยแล้วก็แห่ เสียงเขาก็ขึ้นพร้อมกัน ๆ เย็ดหีแม่มึงหัวโล้นมีดแถ บุญมื้อเพ็งให้กูมามื้อแฮม(เสียงคนหัวเราะ) ขึ้นพร้อมกัน ๆ เขาก็ร้องรอบโบสถ์นั่นละไป
เขาไม่ได้ขึ้นหนเดียวนะ เขาร้องเป็นลำดับ ๆ ตลอดเลย ทางขอทางขิกเขาก็แขวนนี้ ทั้งฟ้อนทั้งเซิ้งอะไรทุกอย่างนั่นละ ขึ้นพร้อมกัน ๆ เย็ดหีแม่มึงหัวโล้นมีดแถ บุญมื้อเพ็งให้กูมามื้อแฮม มันขึ้นพร้อมกัน ๆ หัวโล้นนี่เพราะมีดโกน มีดโกนเขาเรียกมีดแถ เข้าใจไหม ไอ้เย็ดหีแม่ อย่าให้พูดเถอะ เรียกว่าเขาแก้หมัดกัน พวกนี้ไปเชิญเขามา งานมันเสร็จตั้งแต่วันเพ็ญคือเมื่อวานนี้ แต่บอกเขาว่าวันแรมค่ำหนึ่ง เขามาแล้วมันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เห็นแต่ตูบตองตาย เห็นแต่หมาติดตีนข้าวต้มเข้าใจไหม ข้าวต้มติดตีนหมา นี่เป็นนิทานข้อหนึ่ง ทางภาคอีสานเขาเล่นเป็นอย่างนั้น
แล้วอีกอันหนึ่งเมื่อวานนี้มันก็เลยต่อกัน เหตุที่จะพูดเมื่อวานนี้เพราะพวกชัยภูมิเขามา คณะชัยภูมิมาตอนเย็น เห็นว่ามีลักษณะเงียบ ๆ คน เราด้อม ๆ ออกไปจะไปดูว่าร้านเขารื้อกันหมดแล้วยัง เราก็ด้อม ๆ ออกไป พอไปดูเสร็จแล้วก็เข้ามา เห็นพวกชัยภูมิมากันเยอะ กำลังเดินออกจากนี้ออกไปถึงหน้าศาลา พอดีเราเดินสวนทางมา อยู่ไหนล่ะนี่ (อยู่ชัยภูมิ) แล้วมายังไงพึ่งมาถึงเหรอ (พึ่งมาถึง) โฮ้ นี่มันยังไงกัน มันจะเข้านิทานบุญวันเพ็ญมาวันแรมเข้าใจไหม นี่มันจะเข้านิทานแล้วนะ บุญวันเพ็ญมาวันแรม ก็ยังดีอยู่นะคือมันเป็นวันเดียวกัน งานเขามีแต่เช้าโน้น ไอ้เราพึ่งมาเดี๋ยวนี้ คือตอนเย็นเข้าใจไหม แต่มันก็อยู่ในกำหนดวันเดียวกัน เอาละยังไม่สายเกินไป พอว่าอย่างนั้นพวกแขกก็มารออยู่นี้แล้ว พอเห็นเรามานี้เราเข้าศาลาเขาก็รุมมาเลย ก็เลยยกนิทานนี่ละ เย็ดหีแม่มึงหัวโล้นมีดแถ บุญมื้อเพ็งให้กูมามื้อแฮม ขึ้นนี่
จากนั้นก็ต่อเรื่องท่านเจ้าคุณอุบาลีล่ะซี ท่านเจ้าคุณอุบาลีฉลองพระงาม ลพบุรี ท่านก็บอกทางภาคอีสานมา ใครมีวิชาความรู้อะไรให้เอามาแข่งกันสนุกสนานในงานนี้ความหมาย พวกบั้งฟืนบั้งไฟ พลุอะไรก็แล้วแต่ ใครมีวิชาทางไหนให้เอามาเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาเล่นในงานนี้ เขาจุดบั้งไฟขึ้น ทีนี้เวลาเขาแห่บั้งไฟซิ แห่ก่อนที่จะจุด เขาก็แห่รอบบริเวณนั้น ท่านเจ้าคุณอุบาลีกับทางกรุงเทพฯ ก็มาอยู่นั้น ท่านนั่งอยู่นั้น แล้วพวกทางกรุงเทพฯ ก็เต็มมากราบท่าน พวกนั้นเขาก็เฉยเขาแห่กันไปเรื่อย ๆ แห่บั้งไฟ
อันนี้ก็แบบเดียวกันแหละ พูดก็พูดเป็นเสียงเดียวกันอีก ขึ้นเป็นจังหวะ ๆ เพราะเขาฝึกซ้อมมาแล้ว ฝึกซ้อมการเล่นการสนุกสนานของเขา พอแห่มารอบ ๆ ขึ้นก็จะซี้ บ่ขึ้นก็จะซี้ (เอ๊ มันเรื่องอะไรนี่) เขาเฉยนะ เขาร้องสนุกของเขาเฉย ๆ เขาไม่ได้สนใจว่าอะไรหยาบไม่หยาบ เป็นเพลงเล่นสนุกเขา ทางนี้ก็นั่งฟังอยู่นี้ (มันอะไรเขาพูดเรื่องอะไร ขึ้นก็จะซี้ บ่ขึ้นก็จะซี้) โอ๊ย อันนี้เป็นเรื่องสนุกสนานเขาเล่นของเขาไปอย่างนั้น อย่าไปสนใจกับเขาเลย (มันหมายความว่ายังไง) โอ๊ย ไม่อยากแปลให้ฟังแหละ บอกอย่าให้แปลให้ฟังเลย แปลอะไรเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราเป็นเรื่องของเรา พวกเรามีสมบัติผู้ดีเราก็อยู่สมบัติผู้ดี พวกบ้านี่เขาเป็นบ้าของเขาไป
(มันอยากทราบความหมายนี่นะ มันหมายความว่ายังไง) ท่านบอกเท่าไรไม่ฟัง กวนเอาจนได้นะ กวนให้ท่านแปลความหมายให้ฟัง (มันแปลว่ายังไง ๆ) ก็บอกแล้วไม่อยากแปล เอาอยู่นั่นละกวนให้แปล เอ้า ถ้ายังงั้นตั้งตัวให้ดีนะจะแปลให้ฟัง ท่านก็บอกว่า ขึ้นคือ บั้งไฟจุดแล้วจะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็ตาม ขึ้นก็จะเย็ด ไม่ขึ้นก็จะเย็ด (ว้าย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ขึ้นก็จะเอา ไม่ขึ้นก็จะเอา ไม่ยอมขาดทุน ยังไงนี่) ก็บอกแล้วเขาพูดเรื่องของเขาเอง ท่านหัวเราะ คือเขาพูดสนุกเขาเข้าใจไหม เขาขึ้นเป็นเพลงสนุกเขา ภาษาภาคอีสานเขาว่า ขึ้นก็จะซี้ บ่ขึ้นก็จะซี้ คือบั้งไฟขึ้นก็จะซี้ บ่ขึ้นก็จะซี้
ทางนี้ไม่รู้เรื่องก็ถาม ท่านบอกเท่าไรก็ยังเอาอยู่นั่นไม่หยุดไม่ถอย ท่านก็เลยบอกให้ตั้งตัวให้ดีนะ สมบัติผู้ดีจะล้มอย่าว่าไม่บอก พอว่า ขึ้นก็จะเย็
(อ๊ายย
.) แน่ะบอกแล้ว ก็บอกแล้วนี่น่ะ (มันไม่ยอมขาดทุนพวกนี้น่ะ ขึ้นมันก็จะเอา ไม่ขึ้นมันก็จะเอา) ก็บอกแล้วว่าเรื่องของเขา (ไม่มียอมขาดทุนเลย) จบแล้ว
ท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านฉลอง เขาเรียกพระงาม ๆ ที่ลพบุรี เขาเรียกวัดพระงามด้วย ท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ของพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ท่านเจ้าคุณมีชื่อเสียงโด่งดังมาก สมัยนั้นก็ยกท่านเจ้าคุณอุบาลีนี้เป็นอันดับหนึ่ง นักเทศน์ ท่านเจ้าคุณอุบาลีเป็นนักเทศน์ในสมัยนั้น แต่เสียดายที่ไม่มีเครื่องอะไรอย่างทุกวันนี้ เขาจดชวเลขหรืออะไรไว้ ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ได้ออกจากเนื้อแท้ของท่าน ถ้าอัดเทปนี้ออกคำไหนก็ติดเทปใช่ไหม เต็มเม็ดเต็มหน่วย น่าเสียดายท่านเทศน์ดี เราเกิดไม่ทันท่าน ท่านมรณภาพปี ๗๕ นะ เราบวชปี ๗๗ ไม่ทันท่าน เท่าที่ทราบมาท่านเป็นธรรมกถึกเอก เรียกว่าทั่วประเทศไทยไม่มีใครเกินท่าน เทศน์เก่งมาก
ท่านเจ้าคุณอุบาลีเป็นชาวอุบลฯ ดูว่าอยู่บ้านก่อหรือหนองไหลอะไร (บ้านหนองไหล) บ้านก่อ-หนองไหลมันอยู่ติดกัน เขาเรียกบ้านก่อ-หนองไหล เราไปวัดอาจารย์ชาก็ผ่าน เขาเรียกบ้านก่อ เอ๊ ไม่ใช่ก่อท่านเจ้าคุณอุบาลีเหรอ แต่เราก็ไม่ได้ซอกแซกถาม แถวที่จะเข้าวัดหนองป่าพงเป็นบ้านก่อ บ้านก่อมันมีต้นก่อ ต้นก่อชุม ๆ เขาก็ให้นามว่าบ้านก่อ หนองไหล พวกไหลนี่เป็นพวกเหมือนผือ เกิดอยู่ในน้ำเขาเอามาทอเสื่อ เขาเรียกไหล ทางนี้เรียกว่ากก กกกับไหลก็ชื่ออันเดียวกัน เพราะไปดูเส้นแล้วกกกับไหลก็อันเดียวกัน
เหมือนเรื่องกินกับสะแตกก็อันเดียวกัน ถ้ากินมากเขาเรียกว่าสะแตก กินธรรมดาเขาเรียกว่ากิน ต่างกันเท่านั้นละ ถ้ากินแบบฉิบหายอย่างคนไทยเรากินนี้ เขาเรียกสะแตกกันทั้งเมืองไทย ถ้ากินดิบกินดีกินธรรมดา มีการประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักประมาณในการกินเขาก็เรียกว่ากิน ถ้ากินแบบผาดโผนโจนทะยาน กินจนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว อย่างนี้เขาเรียกสะแตก เข้าใจไหม พวกนี้มันอ่อนภาษาต้องอธิบายให้ฟังเรื่อย ๆ นั่นละที่ว่าบ้านก่อ-หนองไหล ท่านอยู่อุบลฯ
ท่านอาจารย์เสาร์บ้านอะไรน้า ลืมแล้ว แต่ก่อนก็พอจำได้แต่มันก็ลืมเสีย ทั้งหลวงปู่มั่น ทั้งหลวงปู่เสาร์ ทั้งท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเจ้าคุณอุบาลีนี้จำได้มันพาดพิงไปทั้งสองบ้านเลย บ้านก่อ-หนองไหล แต่ไม่ทราบว่าท่านอยู่บ้านก่อหรือบ้านหนองไหลก็ไม่ทราบ แต่เวลาทราบจริง ๆ ว่าท่านอยู่บ้านก่อ ต้นก่อมีชุม ๆ เขาเอานั้นเป็นนามของบ้านเลยว่าบ้านก่อ ส่วนหนองไหลก็มีกกเยอะ เขาไปตั้งบ้านเขาเรียกบ้านหนองไหล หนองกกนั่นแหละ เท่าที่ทราบท่านพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกประชาชนที่เขามีความเคารพเลื่อมใสท่าน เขามาฟังเทศน์ท่าน เขาว่ามีสามล้ออยู่ในกรุงเทพฯ เป็นสามล้อประเภทใดไม่รู้นะ เขาว่าเสียถึง ๗๐ สตางค์เขาก็ยอมมา ค่าสามล้อมาจากบ้าน เงิน ๗๐ สตางค์แต่ก่อนมันเท่ากับ ๗๐๐ กระมังถึงพันก็ไม่รู้นะ มันต่างกันคุณค่าของเงิน มาฟังเทศน์ท่านที่วัดบรมนิวาส ท่านเทศน์เก่งว่างั้น แต่เราไม่ทันท่าน ท่านมรณภาพปี ๗๕ เราก็บวชปี ๗๗ ไม่ทัน
หลวงปู่มั่นเคารพท่านมากนะ เคารพท่านเจ้าคุณอุบาลี พูดคำไหน ๆ แย็บออกรู้ทันที ท่านพูดด้วยความเคารพเลื่อมใส ด้วยความเทิดทูนจริง ๆ คือท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านหนักทั้งปฏิบัติด้วย ทั้งปริยัติด้วย ท่านเป็นแบบฉบับได้ เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านปริยัติ นำกรรมฐานคือหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ แต่ก่อนนะ ทางด้านปริยัติ ทีนี้กรรมฐานท่านก็ออกเที่ยว พอพูดเรื่องนี้แล้วก็ไปสัมผัสกับเรื่องมหาทองดำที่เป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส เป็นคนจังหวัดระยอง มาอยู่วัดบรมนิวาสนั้นจนกระทั่งอายุพรรษาแก่สมควรเป็นหัวหน้าวัด ก็เลยตั้งเป็นเจ้าอาวาส แต่ก่อนชื่อมหาทองดำ ท่านเล่าให้ฟังขบขันดีนะ
เราไปกับอาจารย์เจี๊ยะ มาจากจันท์แล้วก็มาพักวัดบรมนิวาส เพราะเป็นวัดที่เราเคยพักเคยอยู่ มาพักที่นั่นละ ขึ้นไปหาท่าน ท่านก็พูดถึงเรื่องกรรมฐานด้วยความยิ้มแย้มนะ เหอ มาเหรอท่านมหา ว่าอย่างนั้นละ ขึ้นไปกับอาจารย์เจี๊ยะ เออ กรรมฐานดีนะ ขึ้นเลยนะ ผมเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านว่าตอนนั้นท่านเป็นเณรไปเที่ยวทางลพบุรี ไปเที่ยวกรรมฐานกับท่าน เวลาไปเที่ยวกรรมฐานไปภาวนานี้ โฮ้ จิตมันลง ว่างั้นนะ ท่านเจ้าคุณองค์นี้ละ ธรรมดิลกหรือไง แต่ชื่อเดิมชื่อมหาทองดำ ๗ ประโยค ท่านเลยพูดเสียเป็นตุเป็นตะ เราก็ฟังกับอาจารย์เจี๊ยะ ดูเหมือนปีพ.ศ.๙๕ เรามาจากจันท์มาที่นั่น ลงเรือมา ท่านพูดถึงเรื่องกรรมฐาน โฮ้ ผมไปภาวนาอยู่ ไปกับท่านเจ้าคุณอุบาลี ตอนนั้นดูว่าท่านเป็นเณรนะ ไปภาวนานี้จิตมันลงมันสงบแน่ว มองดูอะไรนี้มันจืดมันชืดไปหมด ท่านว่าอย่างนี้นะ
นี่ละถ้ามันเป็นในจิตเห็นไหมล่ะ พูดก็แบบคึกคักขึงขังตึงตัง นั่นมันรู้ในจิตมันอาจหาญนะ ไม่ได้เหมือนที่เราจำได้ทางปริยัตินะ มันเห็นตัวจริง ท่านพูดคึกคักขึงขังตึงตังทีเดียว ทีนี้ออกมามองที่ไหน โอ๊ย เทศน์ได้หมดว่างั้นนะ มันเป็นโวหารออกในตัวของมันเอง แต่ไม่ได้เทศน์แหละ มันหากอยากเทศน์นะ อยากสอนเขาสงสารเขา จิตมันสงบมันเย็น มองไปไหน อู๋ย มันเป็นอรรถเป็นธรรมไปหมด ท่านเล่าถึงเรื่องภาวนา ทีนี้เวลาท่านพากลับมาแล้วจิตมันค่อยเสื่อมไป ๆ เลยเสื่อมจนทุกวันนี้ ไม่ได้อย่างนั้นอีกท่านว่าอย่างนั้นนะ ตอนอยู่นั้นจิตมีแต่ความสงบเย็น ลง ๆ รวมสงบแน่ว ๆ นั่นฟังซิท่านพูดอย่างอาจหาญ ก็เราก็นั่งฟังอยู่นี่ พูดให้มันตรง ๆ นี่ก็คือกรรมฐานพูดง่าย ๆ เอ๊อ ฟังกรรมฐานพูด ท่านพูดอดีตของท่าน
พอเล่าให้ฟังท่านก็ย้อนกลับมาถึงเรื่องว่า สำนวนโวหาร โอ๋ย มันออกเองเป็นเอง ไม่ต้องไปหาเรียนที่ไหน ความจริงมีที่ไหนมันสัมผัสสัมพันธ์ มันรู้ไปหมดเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟอยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไปเลย ท่านว่าอย่างนั้นนะ นั่นเห็นไหมความจริง พอพูดปั๊บเราเข้าใจทันที ๆ เลย โอ๋ย เทศน์ก็เก่งแต่ไม่ได้เทศน์ ถ้าให้เทศน์ โอ๋ย ไหลไปเลย ดีไม่ดีอาจจะจับแขนลากลงจากธรรมาสน์ก็ได้ แต่นี้เราเสริมต่างหากนะ คือมันจะเลยมันจะผาดโผนจะเป็นบ้า เข้าใจไหม
ขั้นสมาธินี่ขั้นยังไม่รู้จักประมาณ ขั้นปัญญาผ่านไปแล้วนั้นรู้จักประมาณทุกอย่าง ควรหนัก-หนัก ควรเบา-เบา ควรออกน้อย-น้อย ควรออกมาก-มาก ควรทุ่ม-ทุ่มเลย เป็นไปในหลักธรรมชาติ อันนี้สมาธิมันผาดโผน โวหารก็แตก-แตกในขั้นสมาธินั่นแหละ อยู่ในขั้นไหนแตกฉานในขั้นนั้น พอก้าวเข้าสู่ขั้นปัญญาแตกฉานทางด้านปัญญา ฟาดทะลุวิมุตติหลุดพ้นแตกสามโลกธาตุ ฟังซิน่ะ ในหัวใจดวงนี้ เป็นยังไงใครประมาทได้เมื่อไร
เดี๋ยวนี้กิเลสครอบหัวมันอยู่ ที่ไหนมีแต่มูตรแต่คูถ เต็มศาลาหลังนี้มีแต่มูตรคูถ ใครเข้ามา-มาวัดป่าบ้านตาด-มาขี้หมาอะไรมีแต่มาหาพวกมูตรพวกคูถ อาจารย์ใหญ่มูตรคูถก็อยู่ที่นี่ กำลังเทศน์อยู่เดี๋ยวนี้ พอจากนั้นแล้วทีนี้ท่านก็พูดถึงเรื่องเทศน์เก่ง (ภาวนาสงบใจ เทศน์ โหย โวหารนี้แตกไปเลย นี่ท่านมหาปฏิบัติมานานเท่าไร) เราว่าก็ออกตั้งแต่พรรษา ๗ ปี ๙๕ มันพรรษาเท่าไรนะ ดูจะเป็นพรรษา ๑๙ ท่านพูดจี้มาเลย ท่านพูดอาจหาญท่านปฏิบัติ ท่านจี้ออกมาเลย(นี่ท่านมหาปฏิบัติมานาน เป็นยังไง เทศน์เก่งไหม โวหารแปลกไหม เทศน์เก่งไหม) โอ๊ย ไม่ได้เรื่องแหละเราว่างี้ (ไม่ได้เรื่องอะไร อาจารย์เจี๊ยะก็อยู่นั้น ขวานผ่าซาก ไม่ได้เรื่องอะไร ท่านอาจารย์มหาเทศน์เก่งมาก) เอาอีกแหละ(ทำไมมาโกหกกันล่ะท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านมหานี่เทศน์เก่งมากนะ) ท่านไปได้ยินเราเทศน์ที่วัดคลองกุ้ง
ทีแรกเราอยู่วัดคลองกุ้ง เราขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อน เพื่อนฝูงรุมเรา-เราจะตายเราหาอุบายออกมาบอกจะไปเยี่ยมแม่ นั่นทางออกของเรา ไปเยี่ยมแม่ใครจะตามไม่ได้ ก็เราไปเยี่ยมแม่จะไปหาความสงัดที่ไหนเราว่างั้น ก็มาเยี่ยมแม่ได้ ๒ คืน จากนั้นก็เผ่นลงกรุงเทพฯ ไปกรุงเทพฯ พักได้สองคืนสามคืนก็ออกจันท์ หลบหนีจากเพื่อน ไปอยู่ที่จันท์ก็ไปพบอาจารย์เฟื่องอยู่นั่น เพื่อนเดียวกัน เคยอยู่ด้วยกันที่หนองผือกับหลวงปู่มั่น ก็บอกท่าน ท่านก็ดีอาจารย์เฟื่อง นี่ผมมาหลบซ่อนหาความสงบสบาย ท่านไม่ต้องยุ่งเรื่องการถูกนิมนต์ที่ไหน ๆ ให้ท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่นี้ ให้ปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านโดยสมบูรณ์ ผมเป็นเพียงแขกมาอาศัย ไม่ต้องนิมนต์ผมไปฉันที่นั่นที่นี่ ด้วยความเกรงอกเกรงใจไม่ต้องพูดละ ผมมาหาความสงบ ท่านก็ไม่มานิมนต์เรา เพราะเราบอกเด็ดขาดอยู่แล้วว่ามาหาความสงบ
ทีนี้มาอยู่นั้นได้ประมาณสักอาทิตย์กว่า พอดีท่านอาจารย์เจี๊ยะล่ะซีโผล่ไปนั้น โอ๊ นี่ท่านอาจารย์มา ขึ้นเลย เป็นบ้าเหรอนี่ อยู่ด้วยกันมานาน โห ไม่มีใครรู้มาอยู่แถวนี้น่ะ รู้ไม่รู้เป็นไร ดุ โอ้ย แล้วกันที่นี่ ออกจากนี้ไปจะไปโฆษณาชาวจันท์ วันหลังเขาจะแตกฮือมาละ เป็นจริง ๆ พอวันหลัง โอ๊ย แตกฮือมาเลย เราก็อยู่ได้อีก ๒ คืน นั่นเห็นไหมมากวน มาก็ได้เทศน์ให้เขาฟัง นั่นละท่านได้ฟังตอนเราเทศน์อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเวลามาจากจันท์ด้วยกันมาเข้ากรุงเทพฯ ท่านถึงบอก ท่านอาจารย์มหาเทศน์เก่งนะ ไปเลย เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้นนะ
นี่พูดถึงเรื่องภาวนา เป็นอย่างนั้นละ จิตถ้ามันแตกของมันออกแล้วจะรู้จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แปลก ๆ ต่าง ๆ ตามภูมิของจิตของธรรม ภูมิสมาธินี้ผาดโผน เทศน์ไม่ค่อยยับยั้งชั่งตัวได้ละ มันผาดโผน ไม่เหมือนขั้นปัญญา แต่ขั้นสมาธินี้สำหรับเราเองเราพูดจริง ๆ เราไม่เคยสนใจจะเทศน์กับใคร รู้ขนาดไหนมันก็รู้อยู่จำเพาะของมันที่จะแก้กิเลสไปโดยลำดับ ไม่เคยสนใจจะเทศน์สอนใครนะ เพราะเรามุ่งต่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว ไม่เคยสนใจ คิดดูปฏิบัติมา ๙ ปีไม่เคยสอนใครเลยนะ ออกปฏิบัติไปคนเดียว ๆ ตลอด ทีนี้เวลาไปเทศน์ที่ไหนที่บอกว่าเทศน์ไม่เป็น เวลาไปเทศน์เขาว่า อู๊ย เทศน์เก่งมาก เวลาจำเป็นก็เทศน์เสีย
ก็อย่างเทศน์ที่วัดคลองกุ้งนั่นแหละ อาจารย์เจี๊ยะท่านฟังอยู่นั้น ท่านจึงเอามาอวดต่อหน้าท่านเจ้าคุณทองดำ (ท่านมหาเป็นยังไง เทศน์เก่งไหม) อู๋ย ไม่เป็นท่าเราว่างั้น ไม่เป็นท่ายังไงท่านอาจารย์มหาเทศน์เก่ง ขึ้นเลยทันที อาจารย์เจี๊ยะ อู๋ย เทศน์เก่งมาก เราหยิกเท่าไร ก็เทศน์เก่งจะให้ว่าไง ขึ้นอีกนะ เรานั่งข้าง ๆ กันเราหยิกไว้ ก็จะให้ว่ายังไง เทศน์เก่งก็ว่าเก่งล่ะซีขึ้นอีก ทีนี้เราก็เลยหมดเสียง
ลงมาข้างล่าง ทำไมจึงไปพูดอย่างนั้น ไปขายอ้อยในสวนอ้อย ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านควรเคารพ ฟังเสียงท่านซิท่านพูดอะไรต่ออะไร เสียงท่านก็เป็นเสียงท่าน เสียงเราก็เป็นเสียงเรา ขึ้นอีกละไม่ถอย ไม่ถอยเลย ไม่มีถอย เสียงท่านเป็นเสียงท่าน เสียงเราเป็นเสียงเรา ขึ้นเลย ขบขันดี อาจารย์เจี๊ยะ นี่เราพูดถึงเรื่องเราภาวนา เป็นอย่างนั้นละฟังเอาซิ เจ้าคุณทองดำ จิตเป็นสมาธิ โห มันแตกฉานในภูมิสมาธิ มันเทศน์ไปได้หมดท่านว่างั้น แต่ก็ไม่ได้เทศน์เพราะไปกับผู้ใหญ่ อู๋ย มันอยากเทศน์ท่านว่างั้นนะ ถ้าเทศน์ก็คงจะได้จับแขนดึงลงจากธรรมาสน์ คือลงไม่เป็น ขึ้นเตลิดเปิดเปิงเลย เรื่องภาวนาเป็นอย่างนั้น
หลักธรรมชาติที่จิตรู้มันเหมือนปริยัติเมื่อไร เราก็เรียนมาแล้วปริยัติ ได้เฉพาะความจำ ๆ เรียนคัมภีร์ไหนสูตรไหน จะรู้เรื่องรู้ราวไปตามคัมภีร์ตามสูตรไม่แตกแยกไปเลยนะ นี่ละความจำ ไปได้ตามจุดตามสูตรเท่านั้นละ มันไม่แตก แต่ภาคปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้น สูตรนี้เป็นกระทู้ มันแตกกระจายออกไปอีกกี่แขนง แขนงหนึ่งแตกออกไปอีกเท่าไร ๆ นั่นภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงพระไตรปิฎกใน พระสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านทรงพระไตรปิฎกในไว้สมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว ออกแง่ไหนได้หมดเลย เรียกว่า พระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอก ได้แก่คัมภีร์ใบลาน ที่ไปจดจารึกออกมาจากพระไตรปิฎกใน อันนี้ไม่กว้างขวาง ใครจะเรียนมามากขนาดไหนก็ไม่เลยคัมภีร์ไป
แต่เรื่องปฏิบัตินี้ โหย ไม่ต้องพูดนะ คัมภีร์เกิดทีหลัง หลักธรรมชาตินี้เกิดในหัวใจใคร เกิดแล้ว ๆ เรื่อยไปเลย ไม่ได้คำนึงคำนวณถึงคัมภีร์ไหนนะ พร้อมอยู่ในนั้นหมด นั่นละหลักธรรมชาติของธรรมที่เป็นความจริง สภาพทั่วโลกดินแดนเป็นความจริงทั้งนั้น เรียกว่าเป็นเชื้อไฟทั้งหมด ไฟได้แก่ธรรม ได้แก่สติปัญญา หรือญาณหยั่งทราบ นี่เป็นเหมือนไฟ มันจะซึมซาบไปตามหลักความจริง รู้เห็นไปทุกสิ่งทุกอย่าง สมควรพูดมากน้อยเพียงใดก็รู้ประมาณในตัวเอง ๆ ถ้าไม่สมควรจะพูดก็เหมือนหูหนวกตาบอดไปเสีย ถ้าสมควรจะพูดแง่ใด ออกมาทันที ๆ ออกเต็มเหนี่ยวออกทันที ความรู้ที่เป็นหลักธรรมชาติเป็นอย่างนั้นนะ
เหมือนไฟได้เชื้อ สัมผัสปั๊บอะไรเป็นเชื้อไฟขึ้นมาแล้ว ธรรมนี้จะเข้าปึ๋ง นำออกมาแล้ว ๆ เป็นอย่างนั้น มันต่างกันทางภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติ ต่างกันจริง ๆ พูดกันไม่ถูกเลยนะ เทียบกันไม่ได้เลย
อย่างที่หลวงปู่มั่นท่านพูดว่า ธรรมที่มาในพระบาลี เท่ากับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้น แต่ธรรมที่ไม่มาในคัมภีร์ใบลานนี้ เท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทร ฟังซิน่ะ ท่านไม่เป็นท่านเอามาพูดได้ยังไง ท่านเป็นเต็มหัวใจท่านแล้ว ในคัมภีร์ใบลานเท่ากับน้ำในตุ่มในไหไม่ได้มากนะ มีเท่านั้น แต่ที่ไม่ได้มาในคัมภีร์ใบลานนี้ เท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทร นั่นท่านไม่รู้ท่านพูดมาได้ยังไง พูดไปไหนไหลไปเลย ๆ เป็นเชื้อไฟไปหมด จะพูดเรื่องอะไร ๆ ความจริงทั้งหลายเป็นเชื้อไฟ ธรรมเหมือนกับไฟ สติปัญญาจะวิ่งสัมผัสกัน ๆ เรื่อย ๆ ไหม้กันไปเรื่อย ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใดจะออกจากใจ ๆ ทั้งนั้น ใจจะสัมผัสทางหลักธรรมชาติ นั่นมันต่างกันอย่างนั้นนะ
เรายิ่งอยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายเห็นธรรมพระพุทธเจ้าจริง ๆ ไม่ได้เห็นแต่ในแบบแผนตำรับตำรา ซึ่งเป็นเพียงแบบแปลนแผนผัง อยากให้เห็นตัวตึกรามบ้านช่องที่ออกมาจากแปลนจริง ๆ มาปลูกมาสร้างขึ้นมา แปลนนี้บ่งบอกว่า เป็นตึกหลังขนาดไหน ๆ มีกี่ห้องกี่หับ ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เป็นแปลนทั้งนั้น แปลนนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีต่าง ๆ อยู่ในนี้หมด พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วแสดงออกมาก็ไปจดจารึกออกมา ได้บ้างขาดบ้างเสียบ้างก็เป็นธรรมดา แต่ได้หลักเกณฑ์มา แต่ธรรมที่ท่านทรงไว้จริง ๆ ไม่บกพร่องเลย เต็มสมบูรณ์ นั่นละธรรมใน พระไตรปิฎกใน ถ้าว่าพระไตรปิฎก
แต่แต่ก่อนท่านไม่นิยมแหละพระไตรปิฎกนะ คือพระไตรปิฎกนั้นหมายถึง พระปิฎก ๓ คัมภีร์ ปิฎก แปลว่า ภาชนะ ไตร แปลว่า สาม ภาชนะสำหรับรับธรรมไว้ ๓ ประเภท คือ ๑.พระวินัยปิฎก ๒.พระสุตตันตปิฎก ๓.พระอภิธรรมปิฎก นี้มาแยกทีหลังนะ แต่ก่อนท่านรวมกันอยู่ในพระไตรปิฎกใหญ่นี้หมด แต่พอแยกออกมาก็เป็นปิฎกประเภทนั้น ๆ สำหรับอยู่ในใจของท่านจริง ๆ เต็มไปหมดแล้วคำนวณอะไร ออกมาที่ไหนพับออกเลย รับเลย ๆ นั่นพระไตรปิฎกใน ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีอัดมีอั้น สามแดนโลกธาตุครอบหมดเลย ไม่มีว่าจะไปติดตรงไหน ๆ
จะติดอะไร เช่น สิ่งนั้นเคยเห็นไหม ไม่เคยเห็นก็ตาม เราติดเราว่าไม่เคยเห็น เขาไปเห็นแล้วเราไม่เห็นก็ตาม แต่เราไม่ติดเรา เราไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่ติดอะไรทั้งนั้นในโลก ถ้าเราติดเราเสียอย่างเดียว รู้เท่าฟ้าเท่าแผ่นดินก็ติดตลอดเวลา เราไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่ติดอะไรทั้งนั้นในโลกนี้ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้า ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันไม่มีอะไรติด เหนือหมดทุกอย่างแล้ว ต่างกันอย่างนั้นนะ
จึงอยากให้บรรดาผู้ปฏิบัติศาสนาของเราได้เห็นมรรคผลนิพพาน ที่แสดงไว้สด ๆ ร้อน ๆ พระไตรปิฎกนี้สด ๆ ร้อน ๆ บอกแปลนแห่งบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่าง ๆ ไว้อย่างสมบูรณ์นะแปลนนี้ พอปฏิบัติตามนี้เรียกว่าเอาแปลนนั้นมากาง จะปลูกละที่นี่ ปลูกบ้านปลูกเรือน ควรจะเป็นขึ้นขนาดไหน ๆ แล้วจะสำเร็จขึ้นจากการปฏิบัติของตัวเอง เช่นอย่างขึ้นขั้นสมาธินี่ เรือนร่างขึ้นเป็นสมาธิแล้ว สมาธิขั้นใดรู้แล้ว ๆ ถึงขั้นปัญญา ปัญญาขั้นใดออก-ออกมาแจกออกมาด้วยข้อปฏิบัติ รู้เป็นปัญญาของตัวเอง เป็นปัญญาความจำมี ปัญญาของตัวเองมี
ปัญญาของตัวเองคือปัญญาความจริง เกิดขึ้นจากตัวเอง เราเป็นเจ้าของสมบัติด้วย สมาธิก็เราเป็นเจ้าของ ทุกขั้นของสมาธิ ปัญญาทุกขั้นเราเป็นเจ้าของ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น เรารู้เราเห็นเราเป็นเจ้าของสมบูรณ์แบบ ๆ นี่ความรู้จริงเป็นอย่างนั้น ความรู้จำรู้เท่าไรมันก็ไม่มี จำชื่อกิเลสได้กิเลสไม่เคยถลอกปอกเปิก จำชื่อมรรคผลนิพพานได้ ไม่เคยมรรคผลนิพพานสัมผัสใจเลย มีแต่ความจำเป็นอย่างนั้นนะ ฆ่ากิเลสไม่ได้ ต้องเอาความจริงออกปฏิบัติกางขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือนเป็นตึกรามบ้านช่องสมบูรณ์แบบ
อันนี้กางแปลนพระพุทธเจ้าพระไตรปิฎกออกมาปฏิบัติตามนั้น ศีลเป็นยังไง สมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง เดินตามนั้นมันก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา วิมุตติหลุดพ้นขึ้นมาในธรรมเสี้ยมสอนไว้นั้นจะไปไหน ธรรมนี้สอนเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ได้สอนเพื่ออะไรทั้งนั้น สอนตามหลักความจริง ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ตามหลักความจริงเป็นลำดับลำดาตามนิสัยวาสนาของตน เราจึงอยากให้รู้ให้เห็นนั่นซิ มีแต่เราพูดคนเดียว ๆ การพูดอย่างนี้นะ ไอ้เรื่องกิเลสมันเป็นบ้าอยู่ในถังขยะโน่นละ มันคอยจะเห่าจะหอน หาว่าท่านเทศน์ว่าโอ้ว่าอวดอย่างนั้นอย่างนี้ มันอยู่ในถังขยะมันเห่าว้อก ๆ จากถังขยะ
แล้วธรรมกับถังขยะมันต่างกันยังไงฟังซิ ธรรมท่านไม่ได้สนใจว่าถังขยะ ท่านฟาดครอบโลกธาตุโน่น ไอ้ถังขยะนี่เห่าว้อก ๆ ท่านดุท่านด่า เป็นพระอรหันต์แล้วดุ พ่อแม่มึงเคยเป็นพระอรหันต์หรือเราอยากว่าอย่างนั้น มึงเอามาอวดกูทำไมอยากว่าอย่างนี้เข้าใจไหม ถ้าพ่อแม่มึงไม่เคยเป็นพระอรหันต์ มึงไม่เป็นพระอรหันต์มึงอย่ามาให้คะแนนกูตัดคะแนนกู ธรรมกูต่างหากตัดกูเข้าไหนก็ได้ นั่นละเรียกว่าธรรมถึงธรรม นี่เราไม่ได้พูดเป็นความหยาบโลนอะไร คือพูดถึงน้ำหนัก อันนี้ไม่พอเอาโคตรมันมา ให้มันมีน้ำหนักซัดกันเลย
เรื่องธรรมท่านไม่เคยสนใจนะว่าเป็นความหยาบความโลนอะไร ไม่สนใจ มีแต่กิเลสตัวหยาบโลนมันปิดมันป้องของมันไม่ให้ใครมาแตะต้อง มันจะมาโดนเอาความสกปรกของมัน มันจึงต้องประดับประดาตกแต่งทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านเรือน ตลอดที่หลับที่นอนตกแต่งสวยงาม เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวนี้ โหย สวยงามมาก มีแต่กิเลสมันปกปิดความสกปรกไว้ ธรรมะตีเข้าไปตรงนั้น แล้วปล่อยออกอีกด้วย กองทุกข์หมดไปเลย ถ้ากิเลสนี้ โหย ถนอม รักษาเท่าไรยิ่งขนกิเลสตัณหาเข้ามา อันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี หัวใจดีหรือไม่ดีไม่เห็นถาม อันนั้นก็ไม่ดี ๆ มันปรนปรือตั้งแต่ภายนอก หัวใจไม่ได้ปรนปรือ ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายทั้งวันทั้งคืน โง่ไหมมนุษย์เรา เอาละพูดเพียงเท่านี้ละพอ
เป็นยังไงล่ะอาจารย์รัตนาฟังเทศน์วันนี้น่ะ (ดีค่ะ) ก็อย่างนั้นแล้วถอดออกจากหัวใจมาพูดนี่ ธรรมะพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเมื่อไร ไม่มี เปิดธรรมขึ้นมาเป็นธรรมทันที เปิดบาปเปิดกรรมขึ้นมาเป็นบาปเป็นกรรมเป็นกิเลสทันที ทั้งสองอย่างนี้มีผลเสมอกันตลอดมา เปิดทางบาปเป็นบาปขึ้นทันที เปิดทางบุญเป็นบุญขึ้นทันที นี่ฝั่งนี้ฝั่งธรรม ฝั่งนี้ฝั่งกิเลส เปิดทางกิเลส-กิเลสขึ้นทันที เปิดทางธรรม-ธรรมขึ้นทันที ไม่มีอะไรย่อหย่อนหรือลดหย่อนต่างกัน เรื่องผลของธรรมกับผลของกิเลส เป็น อกาลิโก เหมือนกันหมด
นี่ใคร พรทิพย์เหรอ เริ่มจะจำได้แล้ว เห็นแต่เช็ค ๆ พรทิพย์ ตัวพรทิพย์ไม่ทราบ มันไม่เหมือนเช็คล่ะซี นี้จึงเห็นทั้งคนเห็นทั้งเช็ค ทีนี้ต่อไปนี้อาจจะจำได้ ยังมีอาจอยู่นะ ไม่แน่นอนนะ เดี๋ยววันหลังถามอีกก็ได้
สรุปทองคำ ดอลลาร์ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ดอลลาร์ได้ ๑๗,๕๕๒ ดอลฯ ทองคำได้ ๘ กิโล ๒๑ บาท ๖๐ สตางค์ ทองคำที่ต้องการจะมอบเข้าคลังหลวง ๔,๐๐๐ กิโลนั้น เข้ามอบคลังหลวงไปแล้ว ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ฝากไว้กับคลังหลวง ๑,๐๒๕ กิโล รวมทองคำที่มอบไว้และฝากไว้กับคลังหลวงได้ ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำหลังจากมอบและฝากไว้กับคลังหลวงแล้วได้ ๔๘ กิโล ๘ บาท ๓๕ สตางค์ อันนี้ยังไม่ได้หลอมเราได้มาใหม่ รวมทั้งหมดทั้งหลอมแล้วและยังไม่หลอมได้ทองคำ ๒,๑๑๐ กิโลครึ่ง ยังขาดทองคำอีก ๑,๘๘๙ กิโลครึ่ง จะครบจำนวน ๔,๐๐๐ กิโล
(ถวายทองคำและดอลลาร์ ๖๘ ดอลลาร์เพื่อถวายอานิสงส์แด่สมเด็จพระราชินี) เอ้อ แบ่งครึ่งกันกัน (เสียงหัวเราะ) เอ้าก็มันวันเดียวกัน ก็ต้องแบ่งครึ่งซี (เมื่อวานถวายพระหลวงตาเจ้าค่ะ ของสมเด็จท่านเลยมาถวายวันนี้เจ้าค่ะ) เออ ถวายวันนี้ไม่เป็นไรแบ่งกันได้ แบ่งกันได้ไม่เป็นไร หลวงตากับพระราชินีไม่เคยทะเลาะกัน(หัวเราะ) เอาทองคำออก เอาดอลลาร์ออก แล้วส่งพานกลับไป-ไปหามาใหม่ เอาใหม่มาเรื่อย
คลังหลวงนี่เราเป็นหัวใจยืนยันตลอดเวลา รับประกันทุกอย่างอยู่กับเราหมดเลยนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะแทรกซึมไปไหนทางนี้จะติดตามตลอดเลย เราไม่ได้ปล่อยง่าย ๆ นะเราจริงจังทุกอย่าง นี่เราก็รับรอง เรียกว่าตัดคอรองพี่น้องชาวไทยเราแล้วด้วยความคิดเห็นและการดำเนินเราพาดำเนิน เพราะฉะนั้นเราจะพาคิดพาอ่านทุกสิ่งทุกอย่างจนเป็นที่แน่ใจถึงจะลง เรียกว่ายุติได้ เอาละทีนี้ให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com