จริงมาแต่เด็ก
วันที่ 21 กันยายน 2550 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

จริงมาแต่เด็ก

วันนี้ธาตุไม่เอาไหนนะ ระยะอาทิตย์นี้ธาตุไม่ดีเลย ไม่เอาไหน วันนี้ก็ไม่เอาไหน มันอ่อนไปหมดในธาตุในขันธ์ ธาตุขันธ์นี่เราเคยพูดแล้ว อายุ ๒๓ เต็มที่ธาตุขันธ์ จนเจ้าของรำคาญเจ้าของ รำคาญจริงๆ คือฉันไม่รู้จักอิ่ม มันอะไร ว่าให้เจ้าของ รู้สึกหงุดหงิด อะไรไม่พอๆ รสมันกลมกลืนไปหมดตลอดเวลา แม้ที่สุดเอาข้าวเปล่าๆ มาให้กินมันหวานไปเลย อู๊ย พิลึก อายุ ๒๓ จนรำคาญเจ้าของ เป็นจริงๆ ในจิต มันพิลึกพิลั่นอะไร กินเท่าไรก็ไม่พอ ท้องเต็มปากยังอยาก

คือตอนบวชมันได้พินิจพิจารณาเรื่องเจ้าของ เป็นฆราวาสไม่ค่อยได้ยุ่งคิดกับมัน มีแต่หน้าที่การงานยุ่งไปหมด แต่เป็นพระเรามันได้คิด อายุ ๒๓ นี่ละกำลังเต็มที่เลย ลักษณะเหมือนมันดีดผึงผังๆ กำลังนะ กินนี่เอามาเท่าไรไม่พอ ท้องเต็มปากยังอยาก เอาข้าวเปล่าๆ มากินหวานไปเลย เราไม่ลืมนะ ปีอายุ ๒๓ พิลึกจริงๆ กำลังวังชาดีดผึงๆ การกินนี้ไม่พอ ไม่รู้จักอิ่ม ฉันจนเต็มท้องแล้วมันยังอยาก โฮ้ จะให้ใส่อะไรอีก มันยังอยาก ท้องเต็มยังอยาก อายุตอน ๒๓ ละ มันพิลึก

เราไปโคราชไปฉันข้าวเจ้าเสียด้วย ข้าวเจ้ารสชาติหรืออะไรของมัน น้ำหนักสู้ข้าวเหนียวไม่ได้ ล้างบาตรยังไม่เสร็จอยากอีกแล้ว หิวอีกแล้ว โอ๊ะ มันยังไง รำคาญเจ้าของจริงๆ อ้าว เราพูดตามความจริง ล้างบาตรอะไร ฉันเสร็จอยู่นั่น แล้วมันก็ไม่อิ่มนั่นแหละ แต่มันเต็มท้องแล้วไม่อิ่มจะให้ใส่อะไร ไปล้างบาตรมันหิวอีกแล้ว โอ๊ย แต่นี้ถึงวันพรุ่งนี้ก็ ๒๔ ชั่วโมง ยังไงกัน ได้พิจารณาอยู่โคราช นี่พินิจพิจารณาธาตุขันธ์เวลามันดีดมันดิ้นของมันนี้ ทุกอย่างมันต้องการทั้งนั้น อาหารอะไรๆ อร่อยหมดเลย จับได้ชัดเจนอายุ ๒๓ ปี ที่ทุกอย่างกำลังวังชาก็เต็มที่ การอยู่การกินไม่รู้จักพอ อาหารเต็มท้องยังอยากอีกๆ

อายุ ๒๓ แหละมันเต็มที่ แต่อายุตั้งแต่ ๗๐ มาแล้วนี้ ไม่ปรากฏว่าอยากข้าวหิวข้าว ไม่มีเลย ฉันไปอย่างนั้นแหละ ยิ่งทุกวันนี้แล้วยิ่งแล้ว ที่ว่าอยากข้าวหิวข้าว ไม่มี ตั้งแต่ ๗๐ มา ๗๐-๙๐ นี่ก็๙๕ แล้ว อายุลดลง เวลาอายุลดลงนี้ไม่มีคำว่าหิว ตั้งแต่ อายุ ๗๐ มานี้ไม่ปรากฏว่าอยากว่าหิวอะไรเลย ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งแล้ว ธรรมดาเราเฒ่าแก่มาเท่าไร ยิ่งเป็นความกังวลชีวิตจิตใจความเป็นอยู่ของเจ้าของนะ คือไม่อยากตายด้วยสำคัญ แก่ก็ยังไม่อยากแก่ ตายก็ไม่อยากตาย กังวลนะ กังวลจิต คนทั้งหลายทั่วโลกเป็นอย่างนั้น นี่หมายถึงผู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย

แต่ที่เราได้ปฏิบัติธรรมมาโดยลำดับจนเต็มความสามารถของเราแล้ว มันหมดความกังวลเรื่องเป็นเรื่องตาย ไม่มี ไปเมื่อไรก็ได้ว่างั้น พร้อมเสมอถ้าว่าพร้อม ไม่วิตกวิจารณ์กับความเป็นอยู่และความตายไป เพราะธรรมชาตินี้มันเต็มแล้วความพอ ความพอนี้เป็นพออย่างเลิศอย่างอัศจรรย์ด้วยอยู่ในหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันนี้มันพอไปหมดเลย ไม่สนใจกับอะไร จะเป็นจะตายอะไรก็คืออันนี้เป็นตัวยืน เป็นก็มีแต่ธาตุขันธ์ทรงอยู่ เวลาตายธาตุขันธ์สลาย อันนี้ไม่สลาย เต็มตัวอยู่นี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวิตกวิจารณ์กับความเป็นความตาย คือมันพอเสีย

อบรมให้พอจิต ถ้าพอแล้วมันพอหมด สามโลกธาตุไม่เอาอะไร ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง จิตใจพอนั่นละพอ ทีนี้จะเอาอะไรเข้าไปเสริม ความพอนี้เป็นพออย่างเลิศเลอไม่ใช่พอธรรมดา สิ่งเหล่านั้นที่ว่าดิบว่าดีอะไรจะส่งเสริม ความสรรเสริญชมเชย มันก็ไม่วิเศษยิ่งกว่านั้น สรรเสริญมีแต่ชื่อเฉยๆ นั่นละพอ โลกธรรม ๘ ขาดสะบั้นไปหมดในหัวใจไม่มีเหลือเลย ก็มีอยู่ตั้งแต่เวลาธาตุขันธ์มีอยู่นี้ มันก็ดีดก็ดิ้นไปตามประสาของมันอย่างนั้นละ แต่ใจนี้หมดสภาพทุกอย่าง วงสมมุตินี่ไม่มี ไม่มีในหัวใจเลยนะ หมด

คำว่าสมมุติก็คือกิเลสนั่นละ เป็นตัวสมมุติ ตัวยุแหย่ก่อกวนวุ่นวายภายในใจ คือกิเลส อันนี้หมดแล้วก็ไม่มีอะไร ว่าก็ว่าแต่ปากเฉยๆ จิตไม่มีว่าทุกข์ ไม่สบายอย่างนี้ หรือรำคาญอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าไปอย่างนั้นธรรมชาตินั้นไม่มี เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด

ฝึกจิตตั้งแต่ออกปฏิบัติพรรษา ๗ พอหยุดเรียนออกเลย เพราะเรามีคำสัตย์คำจริง มุ่งหน้าที่จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียว พอพรรษา ๗ แล้วก็ออก พรรษา ๑๖ ตัดสินกันลงได้เป็นเวลา ๙ ปี พรรษา ๗ นี่ขึ้นเวทีไม่มีกรรมการแยก ใครดีให้อยู่บนเวที ใครไม่ดีให้พังลงเลย ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน ไม่มีถอยกัน ถึงกิเลสจะเต็มหัวใจก็ตาม นั่งน้ำตาร่วงบนภูเขาคือสู้กิเลสไม่ได้ก็ตาม แต่จิตที่จะสู้กับกิเลสไม่ถอย เพราะฉะนั้นจึงได้ออกอุทานในใจ เวลาตั้งสติไม่อยู่ ตั้งไม่อยู่จริงๆ ตั้งพับล้ม ตั้งล้ม ตั้งเพื่อล้ม ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ นี่กระแสของกิเลสรุนแรง ก็จับได้มาเป็นระยะๆ เวลามันรุนแรงๆ อย่างนั้น

ไม่ได้นิยมว่าอยู่ในป่าในเขาที่เช่นไร กิเลสมันอยู่กับใจมันกวนใจ เวลากระแสของกิเลสมันรุนแรงนี้ตั้งสติไม่อยู่ ตั้งสติคือการต้านทานกิเลส ตั้งไม่อยู่ ล้มๆ ทั้งนั้น จนน้ำตาร่วงเราก็ไม่ลืม น้ำตาร่วงแล้วยังมีอุทานหรือว่ามีอะไร เรียกว่าฝังลึกมากนะ เอาจนน้ำตาร่วง โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ เป็นอยู่ในใจนะ มึงกู มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ เอาละว่างั้น คือบทตัดสินกัน เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นอันนี้เป็นธรรมนะ เคียดแค้นให้กิเลสภายในใจตัวเอง

เคียดแค้นให้บุคคลหรือสัตว์ตัวใดก็ตาม เป็นบาปเป็นกรรมเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสอยู่ในตัวเองนี้เป็นธรรม ทำให้มุมานะ ให้มีอะไรทุกอย่าง ความเข้มแข็ง นี่ละซัดกันกับกิเลส ฟาดเอาจนกระทั่ง ตั้งแต่กิเลสเอาเราน้ำตาร่วงบนภูเขา ฟัดกับกิเลสไม่หยุดไม่ถอย น้ำตาร่วงครั้งสุดท้าย นั่น ครั้งสุดท้ายที่เคยเล่าให้ฟัง น้ำตาร่วงนี้เป็นมหามงคลอย่างยิ่ง น้ำตานี้มีราคา น้ำตาร่วงที่สู้กิเลสไม่ได้นั้นเป็นน้ำตาที่ขาดทุนสูญดอก แต่น้ำตาที่ชนะกิเลส กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว เป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามาก จับได้ตลอดเลย

ใครไม่ได้สู้กับกิเลสเสียก่อน ใครอย่าว่างานใดหนักงานใดมากนะ งานใดหนักหรือหนาเป็นทุกข์อะไรนี้ เราอย่าไปว่า ถ้ายังไม่ได้ต่อกรกับกิเลสเสียก่อน ให้พิจารณาแล้วงานสู้กับกิเลสนี่ละ อันนี้เป็นงานหนักมากทีเดียว พอกิเลสขาดสะบั้นไปเหมือนฟ้าดินถล่ม นั่นเห็นไหมกิเลสอยู่ในหัวใจนี้ พอขาดสะบั้นจากกันเหมือนฟ้าดินถล่ม ร่างกายนี่พุ่งเลย อยู่ธรรมดานี่ดีดผึงเลย มันรุนแรงเราไม่ลืม ระหว่างกิเลสกับจิตมันขาดจากกัน เหมือนร่างกายของเรานี้ดีดผึง จึงเป็นเหมือนว่าฟ้าดินถล่มในระยะนั้น

ความจริงก็ร่างกายนั่นละมันไหวตัวอย่างรุนแรง ฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้นละ แต่ร่างกายนี่ดีดผึงเลยนะ จากนั้นมาก็เรียบเลย ที่นี่ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะมากวนใจ เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง คำว่ารักก็ไม่มี ชังก็ไม่มี โกรธเกลียดเหยียดอะไรก็ไม่มี เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งหมด เอาอันนี้ออกได้แล้วก็ไม่มีอะไรกวนใจ นั่นละท่านว่าแสนสบาย บรมสุขอยู่กับกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจ เรียกว่าใจที่บริสุทธิ์ เรียกว่าบรมสุขได้แล้ว

อาทิตย์หนึ่งมานี้ธาตุขันธ์ไม่ดีเลย ตั้งแต่เริ่มเป็นหวัดบ้างนิดหน่อย แต่มันพิษอะไรอยู่ภายในบ่มอยู่สุมอยู่นี่ละ ให้กำลังอ่อนลงๆ นี่อายุก็ ๙๕ แล้ว ๙๕ ย่างขึ้นมาได้ สิงหา กันยา นี่ละได้ ๒ เดือนเหรอ สิงหาครบรอบแล้วก็เป็นเดือนหนึ่งขึ้นมาแล้ว กันยาก็เป็นสองเดือนละ นี่ ๙๕ ย่างเข้ามาได้สองเดือน สิงหา กันยา อ่อนๆ มากนะเวลานี้ แต่ความเมตตาหากเหลือล้นพ้นประมาณ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้อยู่ ฉันจังหันเสร็จแล้วไปละ ไปเพราะความเมตตานะไม่ใช่เพราะอะไร ที่ไหนบกพร่องตรงไหนๆ เช่นวันหนึ่งๆ ไปโรงพยาบาลโรงหนึ่ง วันหนึ่งไปโรงหนึ่งเรื่อยๆ อย่างนั้นละ

ปัจจัยมอบให้โรงละสองหมื่นๆๆ ไปเรื่อยๆ เลยเพราะความเมตตา เขาขายตามข้างทางนี้ก็จอดรถซื้อของเขา อย่างเอานะเอาเสียชิ้นหนึ่งนิดหนึ่ง แล้วก็มอบเงินให้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าพันละ มอบเงินให้พันหนึ่งแล้วไปๆ ทุกวันนี้เป็นอย่างนั้น คือในตัวเจ้าของก็พูดให้มันเต็มยศเลยว่ามันพอทุกอย่างแล้ว ทีนี้ความพอนี้กับความเมตตามันกระจายออก พอออกจากคำว่าพอ จึงมองไปที่ไหนสงสารไปหมดทุกหย่อมหญ้านะ ควรสงเคราะห์สงหาอะไร ก็สงเคราะห์ไปเต็มกำลังของเราในสิ่งที่มีที่จะช่วยสงเคราะห์ สงเคราะห์เรื่อยๆ ไป คือเมื่ออันนี้มันพอมันไม่เอานะ

กิเลสไม่มีพอ ได้เท่าไรๆ ตายทิ้งเปล่าๆ เดินไปตามถนนหนทางมันอดคิดไม่ได้ละเห็นเขาก่อเขาสร้างอะไรๆ มันไม่ใช่ความจำเป็นที่จะได้อยู่อาศัยจากการสร้างนั้น มันเป็นเรื่องของกิเลสพาฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมได้ไม่พอ อยากให้เขาชมเชยสรรเสริญว่ามีหน้ามีตาเป็นคนมั่งมี มีตึกรามบ้านช่องมีอะไร เอาอันนั้นมาเป็นเครื่องประดับ เอาวัตถุภายนอกมาเป็นเครื่องประดับ สำหรับกิเลสเป็นอย่างนั้น ส่วนธรรม ธรรมเป็นเครื่องประดับพอหมด ไม่เอาอะไรทั้งนั้นปล่อยโดยสิ้นเชิง ที่อยู่ที่อาศัยอะไรอยู่ได้ทั้งนั้นๆ อันนี้พออยู่ในตัวแล้ว เพียงอาศัยสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น จะไปทำอะไรให้มันหรูหราฟู่ฟ่า แน่ะ ความหรูหราฟู่ฟ่าเป็นอรรถเป็นธรรมก็เต็มหัวใจแล้ว อันนั้นมันหรูหราฟู่ฟ่าได้ประโยชน์อะไร เอามาแข่งกับความหรูหราอันนี้มันก็ไม่มี

แต่กิเลสมันไม่พอ มันอยากหรูหราฟู่ฟ่า สร้างนั้นสร้างนี้ ให้พอไม่พอ ตายทิ้งเปล่าๆ เศรษฐียิ่งมีทุกข์มากนะ คนทุกข์คนจนหาเช้ากินเย็นเขาก็ทุกข์ ยอมรับว่าทุกข์ เห็นกันอย่างชัดเจนว่าพวกนี้เป็นทุกข์ เศรษฐีเขาถือกันว่าพวกมั่งมีศรีสุขเป็นคนทรงความสุขความเจริญ ตรงกันข้ามนะ นั่นละกองทุกข์ใหญ่อยู่ตรงนั้น มันดีดมันดิ้นอยู่ในหัวใจ มันไม่ได้ว่าอันนี้ได้อันนี้อันนี้พอแล้วๆ ไม่มี ได้เหยียบเข้าไปขยับเรื่อยๆ ดิ้น นั่นละกิเลส คำว่ากิเลสคือความไม่พอ หิวโหยตลอดเวลา ท่านว่ากิเลสตัณหา ตัณหาคือความอยากความหิวโหย มันดีดมันดิ้นตลอดเวลา

ใครจะเอาสิ่งเหล่านี้มาให้เป็นความสุข อย่าหวังว่างั้นเลย เพราะกิเลสตัวหิวโหยมันมีอยู่ตลอด ได้มากเท่าไรมันยิ่งหิวมากๆ ได้เท่าไรไม่พอๆ ตายทิ้งเปล่าๆ ถ้าธรรมแล้วพอ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ เต็มหัวใจเสียอย่างเดียวพอหมด ไม่เอาอะไร พอ ธรรมคือความพอ กิเลสนี้ไม่พอ ถ้าพูดก็เหมือนว่าดูถูกโลก แต่เราเทียบธรรมกับกิเลสต่างหาก กิเลสพาสัตว์โลกเป็นอย่างนั้นๆ ธรรมพาสัตว์โลกเป็นอย่างนั้นๆ เอาอันนี้มาเทียบต่างหาก ไม่ได้คิดแม้เม็ดหินเม็ดทรายว่าจะดูถูกผู้หนึ่งผู้ใด ที่เขาสร้างเขาทำอะไรมากมาย ว่าก็ไปตำหนิกิเลสที่พาคนให้ดีดให้ดิ้น ถ้าอันนี้ดับลงแล้วอะไรก็ยุบ สบายไปหมดนั่นละ

กิเลสพาโลกให้ทุกข์ ใครมีจะเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาจะให้มีความสุขไม่มี เพราะกิเลสมันหิวโหยตลอด ไม่ได้มีคำว่าพอ ตายด้วยความหิวโหย ถ้าธรรมมีมากมีน้อยพอ ธรรมเต็มหัวใจแล้วพอหมด ให้พากันตั้งใจปฏิบัติฝึกหัดตนเอง คนเราไม่ได้ดีเพราะชื่อเพราะนามนะ อย่าพากันเป็นบ้าตั้งชื่อตั้งนาม ตั้งชื่อตั้งนามนี้ฟากจรวดดาวเทียม ชื่อมันอยู่โน้นอยู่จรวดดาวเทียม แล้วตัวคนเป็นยังไงไปอยู่ไหน อยู่ใต้ก้นนรก ชื่อเจ้าของอยู่ฟากจรวดดาวเทียม แต่ตัวเจ้าของเองอยู่ใต้ก้นนรก ได้แต่ชื่อก็เอา ไม่ได้อะไรกิเลสหลอกคน หลอกลมๆ แล้งๆ มันก็เชื่อจะว่าไง

วันนี้เหนื่อยมากไม่ทราบเป็นอะไร อาทิตย์หนึ่งนี้เป็นอะไรอยู่ภายใน หวัดก็มีนิดหน่อย แต่มันสุมอยู่ภายใน วันนี้ก็ไม่สบาย ธาตุขันธ์อ่อน อ่อนก็อ่อนเราไม่ได้วิตกวิจารณ์กับมัน มันจะอ่อนก็อ่อน มันจะตายก็ตาย คือเรื่องวิตกวิจารณ์กับความเป็นความตายมันหมดโดยสิ้งเชิงไม่มีอะไรเหลือ เป็นก็เป็นตายก็ตาย เท่านั้นพอ มันไม่มีอะไรวิตกในแดนโลกธาตุนี้ สำหรับจิตแล้วเป็นอย่างนั้น จิตพอแล้วนั่นละแสนสบายบรมสุข คือคำว่าจิตพอ กิเลสขาดลงไปจิตก็พอ ถ้ากิเลสยังมีอยู่ไม่พอ หิวตลอด พอกิเลสขาดลงไปพอหมดทุกอย่างนั่นละ ให้พากันจำเอานะ

ลูกหลานที่มาศึกษาก็ให้ตั้งอกตั้งใจเป็นคนดีให้มีขอบเขต เวลาวัยมันคึกมันคะนองก็คึก แต่ธรรมให้บีบบังคับเอาไว้ ธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ กิเลสเป็นคันเร่ง มันเร่งเรื่อยนะกิเลส มันดีดมันดิ้นอยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอย่างนั้นอยากเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของกิเลส ธรรมห้ามล้อเอาไว้ให้อยู่ในความพอดีๆ เรียกว่าธรรมห้ามล้อ ถ้าไม่มีธรรมห้ามล้อเสียคนได้เพราะความอยากความทะเยอทะยาน ให้พากันจำเอาลูกหลานทุกคนๆ เห็นมาฟังเทศน์ทุกวันๆ ให้ปฏิบัติตัว

อะไรดีสู้เราดีไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอันนี้จะเอาอะไรมาดีมาแข่งกับเราดีไม่ได้ ถ้าเราดีเสียคนเดียวเหนือไปหมดเลย สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดีมันก็มาเหยียบเจ้าของ มันไม่ดี เราไปเสกสรรเฉยๆ แล้วก็มาเหยียบหัวเจ้าของ ถ้าดีภายในใจดีด้วยอรรถด้วยธรรมนี้ไม่เหยียบ ส่งเสริมให้มีความสุขความสบาย วัยเด็กนี่ละมันคึกมันคะนอง พ่อแม่จะตายละ พ่อแม่ขวนขวายหาเงินหาทองมาให้ลูกเต้า เป็นเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเครื่องศึกษาเล่าเรียนเครื่องเล่นต่างๆ พ่อแม่จะตายนะ ลูกมันสนุกสนานวิ่งตามหมู่ตามเพื่อนเขา

หมู่เพื่อนเขามีอะไรเราอยากมี ทีนี้อยากมีเราไม่มีเงินก็ต้องไปควักเอาตับพ่อแม่ละออกมา พ่อแม่เลยจะตาย มีลูกหลายคนเท่าไรพ่อแม่จนจะตาย พอคิดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงตัวของเราเอง นักเรียนเขาเป็นลูกเสือ นักเรียนพวกลูกเสือ ไอ้เราก็อยากเป็นลูกเสือกับเขา มาออดอ้อนขอเงินพ่อเงินแม่ โอ๊ย เงินกูไปขายหมากแน่ง ก็ได้มา ๖-๗-๘ บาทเท่านี้แล้ว สูเอาไปกินหมดกูจะได้อันใด สุดท้ายพ่อแม่ก็เลยให้เงิน ๖-๗-๘ บาท ให้ไปซื้อเครื่องลูกเสือ เราไม่ลืมนะ กูก็หาเงินมาได้ ๗-๘ บาทเท่านั้น นี่สูก็จะไปแต่งลูกเสือหมด

ลูกเสือนั่นราคาของมัน ๗ บาท มันไม่ใช่ง่ายๆ แต่ก่อน เงิน ๗ บาทแต่ก่อนนะ ตกลงกูก็ให้สูหมดกูก็บ่ได้ เราบ่ลืมนะ ขอพ่อขอแม่ พ่อแม่ก็สงสาร หมู่เพื่อนเป็นลูกเสือลูกก็อยากเป็นลูกเสือ มาออดอ้อนขอพ่อขอแม่ เห็นเขาเป็นลูกเสือลูกเราอยากเป็น ไม่ได้เป็นก็ยังไงกัน เอ้อ กูก็หาเงินมาได้ ๖-๗ บาทนั่นละ สูเอา เอาไปเสีย ให้หมดทั้ง ๗ บาท ไปซื้อเครื่องแต่งตัวลูกเสือพี่กับน้อง พี่ชายกับเราสองคนเป็นเงิน ๗ บาท ธรรมดามันจะ ๓ บาทเครื่องลูกเสือเต็ม เพราะเงินมีค่ามีราคา เครื่องลูกเสือเต็มตัวละลง ๓ บาทแล้ว อันนี้พี่กับน้อง ตกลงฟาดเสีย ๗ บาท เราไม่ลืมนะ

กูก็ไปได้หมากแน่งมาขาย เข้าใจไหมหมากแน่ง ลูกเร่วนั่น เอามาขายก็ได้เงินเท่านี้ละ ๗ บาท อย่างนั้นสูก็เอาเสีย กูบ่ได้หยังจักแนวละ อันนี้เราก็บ่ลืม พ่อกับแม่สงสารลูก เห็นคนอื่นเขาเป็นลูกเสือ ลูกก็รีบมาขอพ่อขอแม่ ไม่งั้นก็อายหมู่เพื่อน แล้วก็มาขอพ่อขอแม่ สุดท้ายมีเงิน ๗ บาท ขายลูกเร่วได้ ก็เลยเอาไปเสีย กูไม่เอากูหามาให้สู เราไม่ลืมนะ อันนี้พ่อแม่ให้ เลยได้เป็นลูกเสือกับเขา แต่ก่อนมันมีประเภทลูกเสือ เครื่องแต่งตัวลูกเสือทั้งหมด ๓ บาทเต็มยศละ นี่เราก็ได้ ๗ บาทพี่กับน้อง

พี่ชายพูดทีไรมันโมโหให้มันบักห่านั่น ชื่อคำไพ แต่กับน้องๆ นี้ โอ๋ย น้องรักมันมากนะ ไปไหนรุมเลยละพวกน้องๆ ทั้งหญิงทั้งชาย มันไปไหนนี้น้องๆ รุมเลย เราเขาไม่ไปใกล้เขากลัว มันเหมือนเสือนะบ้าตัวนี้ เด็กมายุ่งไม่ได้ กับพี่ชายนี้ไปไหนรุมเลย ต่างกันนะเรากับพี่ชาย เราก็เป็นพี่ของน้องๆ นั่นก็เป็นพี่ ถ้าพี่ชายคนโตไปไหนนี้รุมเลยไปตาม เราไปไหน โอ้ย บักห่ามันไปแล้วดีคงจะว่างั้น แผ่นดินสูง พวกน้องๆ นะ บักห่านี่มันไปแล้วแผ่นดินสูงละมื้อนี้ กูได้ลืมตาอ้าปากแล้ว มันดุเราน่ะ คิดอยากหัว น้องไม่รักนะเรา พี่ชายไปไหนรุมกับน้องๆ พอเห็นเราออกจากบ้านไป บักห่านี่มันไปแล้วนะ แผ่นดินสูงคงจะว่างั้น แผ่นดินสูงพวกน้องๆ เขาว่าแผ่นดินสูง เขาชังเราเราดุ

มันก็ดุมาแต่นู้นละ ยิ่งไปบวชด้วยแล้วดุเด็ดตามหลักธรรมหลักวินัย พระเณรมาทำระเกะระกะให้เห็นขัดธรรมขัดวินัยข้อไหนมันรู้นะ ทำไมจึงทำอย่างนั้น มันผิดวินัยข้อนั้นข้อนี้ บางทีพระรังเกียจก็มี เราก็จับเอาไว้ๆ เดี๋ยวนี้มาประมวลคิดย้อนหลังที่พระรังเกียจเราเกลียดเพราะเหตุไร เพราะเราไม่ดีหรือเป็นยังไง พระเหลวไหลเราเตือนเอาบ้าง บางทีเข้ากันไม่ได้ รังเกียจ พระเหล่านั้นเกลียดเราก็มีเวลาบวชอยู่ ตั้งแต่พรรษาน้อยๆ นั่นละ แต่โตเข้ามานี้ไม่มีใครกล้ามารังเกียจได้ละตีหน้าผากเอา เข้าใจไหม นี่พูดแต่เด็กๆ เป็นอย่างนั้นละ

คือนิสัยมันจริงมาแต่เด็กเสียด้วย ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น ยิ่งไปบวชด้วยแล้วขัดข้องธรรมวินัยข้อไหนว่าเอาว่าพระ เพราะเราไม่ทำ เราตรงแน่วตามหลักธรรมหลักวินัย ทีนี้เห็นระเกะระกะเราว่าเอาบ้าง พระโกรธให้เรามี เราก็ไม่ลืม ได้พิจารณาย้อนหลังกับเพื่อนกับฝูงที่อยู่ด้วยกันมาเป็นยังไงๆ คิดย้อนหลังหมด เอาละวันนี้เท่านั้นละ ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก