ด้วยความเคารพเลื่อมใสบูชา
วันที่ 18 กันยายน 2550 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ด้วยความเคารพเลื่อมใสบูชา

เป็นหวัดมันเป็นยังไง อย่างนั้นละคนแก่ ประสาหวัดมันก็เอาให้หมุนติ้วได้คนแก่ เดินมาจากกุฏิจะมานี้จะหกล้มมาตลอด วิงเวียนๆ มาเรื่อย ต้องระวัง นี่ธรรมดาหกล้มไม่รู้กี่ครั้งละเรานะ แต่พูดให้ตรงเป๋งไปตามความจริงเลย นี่เพราะสติ สติไม่เคยมีพรากจากตัวเอง แม้ขณะหนึ่งไม่มี ฟ้าแลบก็ไม่มี สติเป็นธรรมชาติเลย เพราะฉะนั้นถึงไม่ค่อยหกล้ม สติดีพูดง่ายๆ ว่างี้เลย เดินมานี่มันวิงมันเวียนมันจะล้ม จากกุฏิมานี้นะ ไม่สบายมาได้ ๔ วันนี้ หวัดนั่นแหละไม่ใช่อะไร เลยเป็นไปหมดในร่างกาย พอลุกขึ้นเดินนี้คอยแต่จะหกล้มตลอด มันวิงเวียนๆ หมุนติ้วๆ เดินมาจากกุฏิก็ได้ระวังมาตลอดไม่งั้นหกล้ม เพราะมันวิงเวียนด้วยนะ มีวิงเวียนด้วย

ถ้าธรรมดาไม่มาฉัน ธรรมดาแล้วไม่ฉัน แต่นี้ก็ยั้วเยี้ยๆ เต็มวัด เราไม่ฉันเสียองค์เดียวนี้หวั่นไปทั้งวัด แน่ะ ต้องอุตส่าห์ลงมา ถ้าธรรมดาเรื่องอย่างนี้ง่ายมากเรา พอรู้สึกไม่สบายไม่ฉันเลย เรื่องการขบการฉันรู้สึกว่าสบายมากเรา ไม่มีกังวลอะไรเลย เพราะเคยฝึกมาเสียพอ การขบการฉันนี้มันถึงไม่เป็นกังวลเพราะเคยฝึกมาแล้ว นี่ก็ยั้วเยี้ยๆ เราไม่ฉันเสียองค์เดียวนี้ก็หวั่นไปทั้งวัดเลย ก็อุตส่าห์บืนมาอย่างนั้น มาก็เพื่อส่วนรวมไม่ได้เพื่อตัวเอง ถ้าเพื่อตัวเองไม่มาไม่ฉัน ระยะนี้ธาตุขันธ์...มันก็เป็นเพราะหวัดนี่แหละ ธรรมดาหวัดจะมีปัญหาอะไร แต่สำหรับคนแก่นี้เป็นเรื่องใหญ่โตอยู่มาก เดินนี่วิงเวียน สำคัญวิงเวียน มันจะเอาให้หกล้มจนได้แหละ

การฝึกจิตใจให้เข้มแข็งนี่สำคัญมาก ถ้าจิตใจเข้มแข็งเสียอย่างเดียว ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจอ่อนแอล้มเหลวไปหมด พอพูดอย่างนี้แล้วก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นของเรา คือตามธรรมดามาหาท่านทีไรมีแต่หนังห่อกระดูกลงมา คนหนุ่มน้อยอายุ ๓๐-๓๐ กว่า กำลังเร่งความเพียรตอนนั้น พอออกจากท่านไปแล้วก็เอาละ ป่าช้าอยู่กับเราคนเดียว อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน ไม่เอาใครไปด้วย เป็นน้ำไหลพุ่งเลย ถ้ามีเพื่อนฝูงองค์สององค์เป็นน้ำไหลบ่า กำลังความเพียรไม่ติดต่อ ถ้าไปคนเดียวแล้วป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพุ่งๆ ๆ เลย

ทีนี้เวลาลงมาหาท่าน ตอนนั้นอาจจะเป็นดีซ่านหรืออะไร คือเหลืองหมดทั้งตัว ลงมาจากภูเขาก็มากราบท่าน ท่านจะรู้สึกอะไรในจิตของท่านแหละ เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ท่านว่าอย่างนี้ คือมันเหลืองหมดตัวเลย ส่วนเป็นหนังห่อกระดูกไม่ต้องพูด ยังเหลืองหมดทั้งตัวด้วย มันคงเป็นดีซ่านท่า ทำให้เหลืองหมดเหมือนทาขมิ้น พอกราบท่านท่านร้อง เฮ้ย ขึ้น ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ เราก็คอยฟัง อะไรอย่าไปตอบง่ายๆ กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ นั่นละจอมปราชญ์

ท่านร้องโก้กขึ้น เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ เราคอยฟังท่านจะว่ายังไง สักเดี๋ยวตอบรับมาปึ๋งกลัวเราจะอ่อนเปียก กลัวเราจะอ่อนแอ ท่านว่ามันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่นคำตอบของท่านทีหลัง ทีแรกว่า เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็เหมือนกับว่าจะทำให้เราใจอ่อนแอลงไป ท่านปลุกเสียใหม่เลย มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ ท่านว่างั้น นั่นจอมปราชญ์พลิก พูดอะไรลงไปจะเสียประโยชน์ พลิกใหม่ทันที

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกได้ถึงท่านอาจารย์มหาทองสุก ท่านอาจารย์มหาทองสุกเป็นคนสระบุรี ถ้าจำไม่ผิดดูว่าบ้านหนองทานว่างั้นนะ ที่สระบุรี นี่เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตายกันกับหลวงปู่มั่นเรามาโดยลำดับ ท่านอาจารย์มหาทองสุก นิสัยถ้าเทียบท่านอาจารย์มั่นกับท่านอาจารย์มหาทองสุก เรียกว่าหลวงปู่มั่นเรานี้เด็ดขาดๆ  ทางนี้นิ่มนวลๆ จะคล้ายไปทางอ่อนแอ เป็นไข้ละซิ เป็นยังไง คือนิสัยท่านเรียบร้อยอยู่ตลอด แต่เวลาเป็นไข้มานี้เป็นลักษณะอ่อนแอ ท่านก็ใส่ยาเข้าไปขนานแรก มันเป็นยังไง เพียงไข้เท่านี้ก็อ่อนแอปวกเปียกๆ ไปหมดทำไงนี่ มันเป็นนิสัยผู้หญิงนี่ เปลี่ยนผ้าสบงจีวรออก ไปเอาเครื่องนุ่งห่มผู้หญิงมานุ่งห่มแทนมันจะเข้ากันได้กับความอ่อนแอนี่น่ะ ท่านว่างั้น ทางนั้นร้องไห้ ท่านรู้แล้วนะนี่ วางยาขนานนี้ไม่ถูก

กลับมาทีหลังทีนี้อ่อนนิ่มไปหมดเลย คือยาขนานเด็ดเดี่ยวนี่ไม่ได้ผล ต้องเอายานิ่มเอายาไสกบเข้าไป อย่างนั้นท่านอาจารย์มั่น ท่านบอกให้เปลี่ยนออกหมด ผ้าสบงจีวรมันเครื่องของผู้ชาย ยังเป็นเครื่องของพระด้วย แล้วอ่อนแออย่างนี้มันเข้ากันได้ยังไงท่านว่า ทางนั้นร้องไห้ ทีนี้พลิกใหม่ อ่อนนิ่มไปเลย อย่างนั้นละท่านวางยาปั๊บแล้วสังเกตดูผล พลิกปั๊บ

ท่านอาจารย์มหาทองสุกนี้เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตายกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นจริงๆ มันหากเป็นตามนิสัยบุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยเกี่ยวโยงกันมายังไง มันหากเป็น อย่างหลวงปู่มั่นกับอาจารย์มหาทองสุกนี้ชัดเจนมากทีเดียว ท่านเคยพึ่งเป็นพึ่งตายกันมา ไปได้รับความทุกข์ความลำบากที่ไหน มีแต่กับท่านอาจารย์มหาทองสุกแหละไปด้วยกัน เวลาเจ็บไข้ทางนั้นเขก หากไปด้วยกันอย่างนั้นละ ทุกข์ยากลำบากก็มีสององค์นี่ละ ที่ว่าท่านเป็นเสือเย็น เสือเย็นก็คือท่านอาจารย์มหาทองสุกกับพ่อแม่ครูจารย์ เขาตู่ว่าเป็นเสือเย็น

เขาว่าอย่างนี้ อู๋ย ไม่ได้นะท่านมหา ถ้าเราไปตอนที่เขากำลังยกโทษนี้ ตายไปแล้วพวกนี้จะเป็นสัตว์เป็นเสือตกนรกไปหมด เราต้องอนุเคราะห์เขา ท่านพลิกไปอย่างนั้น นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น จนกว่าเขากลับใจได้เรียบร้อยแล้วเราจะไปไหนค่อยไป เอ้า ทุกข์ยากลำบากอะไรก็ทนเพื่อมนุษย์ตาดำๆ คนทั้งหมู่บ้านมายกโทษท่านว่าเป็นเสือเย็น แทนที่ท่านจะเป็นเสือเย็นกับเขาไม่เป็น ท่านว่าเขาคิดผิดแล้ว ถ้าเราไปเสียตอนนี้ความคิดอันนี้เป็นอกุศลมากทีเดียว ตายแล้วจะไปเป็นสัตว์เป็นเสือตกนรกกันหมด ต้องอยู่อนุเคราะห์เขาเสียก่อน ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านอนุเคราะห์ ท่านเป็นธรรมไปหมดท่านไม่ได้เป็นโลกนะ

คือความคิดความปรุงของคนมีกิเลส ส่วนมากจะเป็นแต่ฝ่ายลบๆ ท่านไม่มีฝ่ายลบ คงเส้นคงวา เขาตำหนิอย่างนั้นแทนที่ท่านจะพากันหนีไปเสีย ท่านไม่นะ ท่านอยู่จนกระทั่งเขากลับใจได้ท่านค่อยไป อย่างนั้นละเรื่องธรรม แต่กิริยาที่แผดไม่มีใครเกินหลวงปู่มั่นนะ เหมือนฟ้าลงฟ้าร้องฟ้าผ่า กิริยาอาการเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดทุกอย่างเลย แต่จิตนี้นิ่มไปหมด พลังที่ออกมาจากนั้นเป็นพลังของเมตตานะ ไม่ใช่เป็นพิษเหมือนกิเลสทั้งหลาย ถ้ากิริยาแสดงออกมานั้นธรรมดาเป็นกิเลส เป็นไฟออกมา นั้นเป็นน้ำออกมา มันต่างกัน ก็ไฟคือกิเลสไม่มีในใจของท่านจะเอาอะไรมาเป็นไฟ ก็มีแต่น้ำ เป็นน้ำดับไฟ แผดก็เหมือนฝนตกลงมาเย็นไปหมดแหละ

เรียกว่าเต็มกำลังความสามารถของเราแหละ ที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านในวาระสุดท้าย เราพอใจในการถวายชีวิต ทุกอย่างมอบกับท่านเลยเทียว แต่พระเณรท่านก็รู้ท่านไม่เข้ามายุ่ง มีแต่เรากับท่านอยู่ด้วยกัน เวลาท่านเป็นหนักนี้มีแต่เราเท่านั้นอยู่กับท่าน สององค์เท่านั้น ตอนนั้นท่านเป็นวัณโรค วัณโรคเขากลัวกันมากนะแต่ก่อน เราไม่สนใจ ปากเรากับปากท่านคลอเคลียกันอยู่ตลอดเวลา จับสำลีมากว้าน เสมหะท่านเหนียว เราต้องเอามือกว้าน ปากเรากับปากท่านก็อยู่ด้วยกัน ไม่สนใจ

แต่ก็เดชะไม่เป็นอะไรนะ คือมันติดกันง่ายมากเขาว่างั้น วัณโรค ถ้าอย่างเรานี้ร้อยทั้งร้อยติดหมดว่างั้นนะ คือเรามันคลอเคลียมันไม่สนใจกับที่ว่าวัณโรคณะแรกอะไรละ คือพ่อแม่ครูจารย์นี้เลยชีวิตจิตใจของเราไปหมดแล้ว มันจะมาห่วงใยอะไรกับความเป็นความตายของเรา มันไม่มาห่วงนะ ไม่ห่วงเลยสำหรับเราเอง ด้วยความเคารพเลื่อมใสบูชาสุดหัวใจอยู่กับท่านหมดเลย มอบถวายหมด

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน เราก็ยังภูมิใจอยู่นะ จนถึงขนาดที่ว่า คือท่านคงจะไว้ใจนั่นเอง พอท่านเคลิ้มหลับไปบ้างอย่างนี้ เราจะบอกพระ เราไปเดินจงกรมอยู่ข้างๆ นี้ คือเวลาท่านเคลิ้มหลับ เราอยู่กับท่านติดกันเลย พอท่านเคลิ้มหลับไป เราก็ออก บอกไปเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้าท่านตื่นขึ้นมาท่านมักจะเรียก มักจะถามถึงเรา พอท่านตื่นขึ้นมา ท่านถามให้บอกเรา พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน อย่างนั้นนะ

สมเจตนาของเราที่เทิดทูนสุดหัวใจ เป็นตายมอบกับท่านหมดแล้วนะ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีคำว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เป็นอะไรไม่มี มอบให้ท่านหมดเลย นี่ท่านก็รู้สึกว่าเมตตามากสุดขีดเลย เวลาท่านไม่ได้นอนกลางคืน คือรบกับพวกวัณโรคนี้ เวลาหนาวนี่ไอ กลางคืนบางคืนไม่ได้หลับนะ ท่านไม่หลับ เราก็ไม่หลับอยู่นั้นแหละเป็นประจำ ถ้ากลางวันสงบ นั่นละพระเณรจะได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เราก็ห่างออกไปตอนกลางวัน พอค่ำเข้ามา เราจะเข้าแหละ พระเณรท่านก็รู้ รู้นิสัยรู้กิริยาแห่งการทำ ในระหว่างเรากับท่าน พระเณรท่านจึงไม่ค่อยไปยุ่งละ ท่านคอยอยู่วงนอก มีแต่เราอยู่กับท่านวงในๆ โดยเฉพาะ

เหมือนว่าโง่กับฉลาดก็เรียกว่าเรามอบถวายท่านหมดแล้ว สุดหัวใจเราแล้ว เป็นตายเราก็มอบหมด ไอ้วัณโรคณะเรกอะไรกลัวว่ามันจะติดจะอะไรเรา ไม่สนใจ เอาชีวิตเข้าว่าเลย พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน แน่ะ เอาอย่างนั้นละนะ เราติดอยู่กับท่านตลอดเวลา เราภูมิใจในการปฏิบัติต่อพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ ภูมิใจจริงๆ คือเรามอบถวายหมดเลย เป็นตายของเราไม่ให้มี ให้อยู่กับท่านหมด

ตั้งแต่อยู่ด้วยกันนี้ท่านก็ไว้ใจอยู่แล้ว การเกี่ยวข้องกับหมู่กับคณะอะไรๆ นี้ เราจะให้เรียบหมดเลย ให้ท่านอยู่ผาสุกร่มเย็น เพราะเรามาเอง ท่านไม่ได้นิมนต์มา เรามาเอง อย่าก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายขัดหูขัดตาให้ท่านลำบากเลย เราจึงต้องคอยดูแลข้างนอก อยู่ในวัดก็เป็นอย่างนั้นตลอดเลย เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งหนัก เราจะเป็นตัวสำคัญอยู่ในนั้นเลย นี่เราก็ภูมิใจเวลาท่านมรณภาพ เพราะตั้งแต่เริ่มหนักเข้านี่ เราไม่ได้จากท่านเลย ติดพันตลอดเลย ถึงขนาดที่ว่าลืมตาขึ้นมาแล้ว ท่านมหาไปไหน

พระทั้งวัดท่านไม่ได้ถามหานะ พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน แน่ะ เราเข้าปุ๊บเลย อะไรๆ เราไม่สนใจ ถ่ายหนักถ่ายเบา เราจัดการไม่ให้ใครไปเห็นอวัยวะของท่าน เราเทิดทูนสุดยอด รักสงวนด้วย อวัยวะของท่านทุกส่วน ไม่ให้ใครไปเห็น มีแต่เราคนเดียว ซึ่งเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกับท่านเท่านั้นปฏิบัติต่อกัน เราทำหมดทุกอย่าง การถ่ายหนักถ่ายเบา เราไม่ให้เข้าไปยุ่ง เราทำคนเดียวๆ เลย เสร็จแล้วยื่นออกไปๆ ท่านไม่พูดละ ท่านเฉย แต่จะตำหนิเราว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ไม่มีนะ เพราะเราก็ทำสุดกำลังของเราอยู่แล้ว ท่านไม่ค่อยพูดละ หนักเข้าเท่าไรเรายิ่งติดกับท่านเลย

ตอนนั้นก็เป็นเวลาที่จิตของเรากำลังหมุนติ้วภายใน มันเป็นมาแล้ว ท่านก็ทราบแล้วตั้งแต่ท่านยังไม่ป่วย จิตของเรามันก็หมุนเป็นธรรมจักรแล้วนั่น มันพุ่งๆ แล้ว พอดีท่านป่วย ทีนี้ท่านก็เพียบทางธาตุขันธ์ เราก็เพียบทางด้านจิตใจระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ มันไม่หยุดนะ คือมันเป็นอัตโนมัติอยู่อย่างนั้นแหละ นี่ท่านก็เพียบทางธาตุขันธ์ เราเข้าไปอุปัฏฐากท่าน ดูแลท่าน จิตของเรามันก็หมุนของมันอยู่นั้นละ แต่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอออกมาเท่านั้น มันดีดผึงเลยละจิต ความเพียรอัตโนมัติ จนกระทั่งวาระสุดท้ายท่านสิ้นไปนี้ แหม สลดสังเวชเรา น้ำตาร่วงทันทีเลย

เรียกว่าหมดที่พึ่งเรา หมดที่พึ่ง คือจิตขั้นนี้ใครจะมาตอบมารับไม่ได้ง่ายๆ นะ ต้องเป็นผู้ที่ผ่านพ้นไปแล้วหมดแล้ว เพราะจิตอันนี้มันเข้าด้ายเข้าเข็มๆ จิตเราหมุนทั้งวันทั้งคืน ทีนี้มีผู้มาตอบปัญหานี้จะไปตอบแบบธรรมดาไม่ได้นะ ท่านพูดออกมาคำเดียวปั๊บถึงแล้ว พังแล้ว มันขัดข้องตรงไหน พอท่านพูดออกมาคำเดียวพังเลยๆ นั่นละความรู้ของจอมปราชญ์สอนจอมโง่เป็นอย่างนั้น

ทีนี้จิตใจก็อยู่กับท่านหมด ในเวลาท่านล่วงไปแล้วทำไง นั่งน้ำตาร่วงอยู่นั่นละ เฝ้าศพของท่าน ตั้งแต่ตี ๔ พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้แหละ จนกระทั่งพระถึงเวลาบิณฑบาต ตั้งแต่ตี ๔ นั่งเป็นเหมือนหัวตอ แต่จิตมันไม่ได้เหมือนหัวตอ มันหมุนอยู่กับครูบาอาจารย์ เรียกว่าหมดที่พึ่งๆ ตลอด เพราะจิตของเราจะอยู่กับท่านเท่านั้น ใครมาตอบไม่ได้ละ ต้องท่านคนเดียวตอบ ตอบแล้วขาดสะบั้นๆ เลย เพราะจิตนี้เป็นจิตอัตโนมัติแล้ว

พอท่านล่วงไปแล้ว นั่งน้ำตาร่วง ตั้งแต่ตี ๔ ละ ตอนนั้นตีสอง ๒๓ นาที ท่านล่วงตอนนั้นพระชุลมุน ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ส่วนพระเณรอยู่นอกๆ เพราะครูบาอาจารย์อยู่ภายใน เราก็รองลงมาคอยดูแล พอท่านสิ้นเราก็นั่งเฝ้าศพท่านอยู่ น้ำตาร่วงเรื่องที่พึ่ง ขาดที่พึ่ง ตั้งแต่ตี ๔ จนกระทั่งถึงเวลาบิณฑบาต หมู่เพื่อนมาสะกิดปั๊บ ได้เวลาบิณฑบาตแล้ว หือ ตั้งแต่ตี ๔ ถึงเวลาบิณฑบาต นั่งไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย นั่งเป็นหัวตอแต่จิตมันหมุนของมันกับครูบาอาจารย์ ถึงเวลาออกบิณฑบาตถึงได้ลุกออกบิณฑบาต

เราไม่ลืมนะ พ่อแม่ครูจารย์เป็นมหาบุญมหาคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมของเรา เราลืมเมื่อไร สดๆ ร้อนๆ กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่มีคำว่าจืดว่าจาง เป็นปัจจุบันตลอดเลย สดๆ ร้อนๆ เช่นอย่างเวลาว่างตอนบ่ายๆ เราก็ลงไปกราบท่านที่ศาลาใหญ่ กราบรำพึงรำพันถึงเรื่องมหาบุญมหาคุณของท่าน ที่เป่ากระหม่อมของเรา ซึ้งทีเดียวนะ สดๆ ร้อนๆ กราบรำพึงบุญคุณของท่าน ท่านแก้ตรงไหนขาดสะบั้นๆ แก้เรา เพราะจอมปราชญ์แก้จอมโง่ ติดข้องตรงไหน พอเล่าถวายท่าน ท่านใส่เปรี้ยงทันทีขาดสะบั้นๆ เลย

ไปก็ไปกราบที่ศาลาใหญ่ ตอนบ่ายจะไปทุกวันนั่นแหละ ไปกราบไปรำพึงรำพันถึงบุญถึงคุณของท่านที่มีต่อเรา ล้นเกล้าล้นกระหม่อมของเราตลอดมา พ่อแม่ครูจารย์มั่นสุดยอดในหัวใจของเรา ที่บุญคุณทั้งหลายของท่านมาครอบกระหม่อมจอมขวัญของเราหมดเลย เพราะฉะนั้นถึงไม่มีคำว่าจืดจาง พอท่านล่วงไปแล้วก็น้ำตาร่วงเลย โอ้ พิลึกจริงๆ

ตอนนั้นรู้สึกเหมือนว่าฟ้าดินถล่มนะ พระเณรนี่โกลาหลอลหม่านกันหมดเลยวงกรรมฐาน ๓-๔ ปี ถึงเกาะกันได้ แตกกระจัดกระจายเลย พอพ่อแม่ครูจารย์เสียองค์เดียว ครูบาอาจารย์องค์นั้นอยู่ที่นั่นๆ ก็ได้ไปหาองค์นั้นหาองค์นี้บ้าง เริ่มแรกนี่ประมาณสัก ๓-๔ ปีนี้ แหม ยุ่งมากทีเดียว ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ที่ท่านล่วงไป ซึ่งมีธรรมเต็มหัวใจ สั่งสอนสัตว์ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มภูมิของท่านแล้วล่วงไปนี่ แหมพิลึกนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละที่ให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐานมากที่สุดเลย เราไม่ได้ลืมนะ สดๆ ร้อนๆ

อันนี้ก็เป็นเหตุให้เรานำมาพูด ท่านคงจะพิจารณาเรื่องของเราพอแล้วแหละ กำลังนวดเส้นอยู่ พระสององค์นวดเส้นถวายท่าน ท่านพูดขึ้นลักษณะเอะใจ เออ ท่านว่า นี่เวลาผมตายแล้วพวกท่านทั้งหลาย จะไปอาศัยไปพึ่งใครเกาะใครล่ะ เวลาผมตายแล้ว พวกท่านจะไปเกาะใครพึ่งใครล่ะ ไม่นานนักเดี๋ยวขึ้นอีกเป็นลักษณะเอะใจอยู่นั้น เออ เอ้าให้พึ่งท่านมหานะ ขึ้น คำนี้ท่านพูดกับพระ ท่านไม่ได้พูดกับเรา ให้พึ่งท่านมหานะ ท่านมหาสำคัญอยู่มากทั้งภายนอกภายใน เท่านั้นปิดปากเลย พระเณรก็จับจ้องเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาท่านมรณภาพ พระเณรจึงเกาะเราพรึบเลย ได้คำนี้ละเป็นสำคัญ เกาะเราพรึบ เราก็หลบ

ตอนนั้นเรากำลังหมุนติ้วๆ อยู่กับใครไม่ได้ การทำความเพียรนี้ถึงเวลาอยู่กับใครไม่ได้อยู่ไม่ได้จริงๆ สำหรับเราอยู่ไม่ได้เลย คืออันนี้มันหมุนทั้งวันทั้งคืนตลอด ใครจะมาเกี่ยวข้องไม่ได้ เกี่ยวข้องก็เหมือนเราว่างงาน เช่นอย่างเราเขียนจดหมายหนังสืออยู่ มีคนมาคุยกับเรา ถึงเราไม่เขียน เราก็จับปากกาจ้อ  เขียนไม่ได้ เพราะแขกเข้ามาเกี่ยวข้อง พอแขกไปก็เขียนปั๊บๆๆ อันนี้ก็เหมือนกัน เกี่ยวข้องกับใคร นั่นละเข้ามาทำลายวงงานของเรา เมื่ออยู่คนเดียวแล้วทั้งวันทั้งคืน มันหมุนของมันอยู่อย่างนั้นตลอด

นี่ในขั้นจิตมันหมุน หมุนอย่างนั้นแหละ ธรรมเป็นเอง ธรรมแก้กิเลส อยู่ที่ไหนแก้แต่กิเลส ถึงขั้นแก้แก้ตลอด ถึงขั้นผูกมัดอย่างเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนผูกตลอด มีแต่กิเลสผูกมัดหัวใจสัตว์ ทรมานหัวใจสัตว์โดยไม่รู้สึกตัวเลย เราก็มาเห็นธรรมะข้อนี้ที่เกิดกับเรา ถึงเวลามันแก้มันแก้เอง แก้ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนแก้กิเลส แก้ไม่หยุดไม่ถอย นั่นละอยู่กับใครไม่ได้ ระยะนั้นอยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่คนเดียวๆ ตลอด ไม่สนใจกับอะไร นี่เรียกว่าขั้นอยู่คนเดียว ใครจะไปยุ่งด้วยไม่ได้ สำหรับเราเองเป็นเช่นนั้น

ใครๆ ก็เถอะน่าจะคล้ายคลึงกัน ถึงขั้นที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วมันต้องหมุนตลอด ใครมายุ่งไม่ได้ ประชาชนญาติโยมยิ่งห่างไกล ไม่สนใจเลย จนกระทั่งพุ่งทะลุเลย ที่นี่จะมองดูโลกดูสงสารก็ดูได้ ตอนนั้นดูไม่ได้นะ จิตเวลามันหมุนมันจะไปรอไม่ได้จริงๆ ยังไงก็ไม่รอ เป็นกับตายต้องพุ่งให้ถึงที่สุดอย่างเดียวเท่านั้น บอกว่าเท่านั้นๆ เลย นี่เราเป็นมาหมดแล้ว

หมู่เพื่อนก็รุม ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแล้วหมู่เพื่อนรุม ก็ไม่ทราบว่ามาสนใจจดจ่อเราอยู่ตั้งแต่เมื่อไร เราไม่เคยสนใจกับใคร ถ้าว่าลาไปเที่ยว ท่านอนุญาตเรียบร้อยแล้ว จะไปทางไหนๆ ท่านก็ถาม แล้วจะไปกี่องค์ บอกไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย ท่านเสริมสำหรับเรานะ ถ้าว่าไปองค์เดียว เอ้อขึ้นเลย พระเณร ท่านส่ายมือ อย่าไปยุ่งท่านมหานะ ให้ท่านไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่าน ใครจะไปยุ่งก็ร่มโพธิ์ร่มไทรคือท่านเอง เราจึงไม่สนใจกับใครว่าจะมายุ่งกับเรา

พอท่านมรณภาพแล้วเกาะพรึบเลยที่นี่ แหม ลำบาก ขโมยหนีจากหมู่เพื่อนนี่ลำบากมากนะ กลางคืนก็ขโมย ถ้าเป็นบาปเป็นกรรมก็เราตัวเบอร์หนึ่ง ขโมยหนีจากหมู่เพื่อน ก็รุมเกาะเรา ครั้นไปอยู่ด้วยกันแล้วทำไงที่นี่ เราก็หมุนของเราตลอดเวลา ทีนี้ก็เอาละพอเผลอ กลางคืนก็ไปนะ พระเณรองค์นั้นอยู่นั้นๆ แต่งบริขารเสร็จเรียบร้อยแล้ววางเตรียมพร้อมแล้วนั่น เดินฉากดูลาดเลาก่อน ดูองค์นี้เดินจงกรม องค์นั้นนั่งภาวนา ดูพระเณรท่านไม่สนใจกับเรา พอกลับมาแล้วสะพายบาตรขึ้นบนบ่าออกทางนี้ ทางไม่มีพระเณร

พวกนั้นพอเราไปนี้ แหมยุ่งใหญ่เหมือนกันนะพระก็ดี เราก็ไปของเราเลย ทางไหนออกได้ถ้าไม่มีพระละออกทางนั้น ไม่มีพระไปเลย กลางคืนก็ไป กลางคืนก็หนีจากหมู่เพื่อน เพราะมันหมุนของมัน มันเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อนไม่ได้ ถึงคราวเกี่ยวไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ สำหรับเราเอง ไม่ได้เลย ต้องหาทางออก พอออกไปแล้วก็เหมือนกับว่าพ้นจากนรก นรกคือพระเณรยุ่งเรา พอออกไปแล้วก็พุ่งๆ เลย  ออกนี้ไปอยู่ที่นี่ประมาณ ๖-๗ วัน ปั๊บหนีแล้วไปอยู่ทางนั้น ๖-๗ วัน ปั๊บไปอยู่ที่นั่น อยู่อย่างนั้นตลอด ไม่งั้นพระเณรตามทัน นี่เราเคยเป็นมาแล้ว

น่าสงสารพระเณรเหมือนกัน รุมตามๆ ก็ไม่มีที่เกาะจะให้ว่าไง พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้วก็หวังจะเกาะเรา ไอ้เราก็ไม่มีที่เกาะ ก็มีแต่ธรรมอย่างเดียว ก็ฟาดกันนี้เลย นี่ละมันก็กองทุกข์อันหนึ่ง ขโมยหนีจากหมู่เพื่อน หลบไปนั้น หลบไปนี้ หลบไปทางนู้นเรื่อย นี่ละการทำความเพียร อยู่คนเดียวๆ จนกระทั่งเรื่องมันทะลุไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ค่อยรับบ้างพระเณร ค่อยรับพระเณร

ท่านเพ็ง วัดถ้ำกลองเพลนี่ติดสอยห้อยตามเรา จึงได้มาเล่าให้ฟัง ท่านเพ็งเป็นคนทราบเรื่องราวของเราเป็นองค์แรกหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่ลืมนะ แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ที่เราเป็นนั้นเป็นกลางคืน แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ เท่ากับวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ พอเสร็จลงมาจากนั้นแล้วท่านเพ็งเป็นคนทราบครั้งแรก ท่านเพ็งก็ติดตามมาด้วย มาพักสุทธาวาส ๒ คืนก็จะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิ เลยเล่าให้ท่านเพ็งฟังเรื่องอัศจรรย์ ท่านเพ็งท่านก็ตื่นเต้นเหลือเกินนะ พอเราเล่าให้ฟัง

ไม่เคยฟังฟังเสีย ท่านติดสอยห้อยตามผมมานานสักเท่าไรแล้ว คำนี้ท่านเคยได้ยินไหม โอ๋ย ไม่เคยได้ยินเลยคำนี้ ท่านพอใจตื่นเต้นมากจิตที่มันขาดสะบั้นจากกัน ระหว่างวัฏวนกับวิวัฏฏธรรม ท่านเพ็งจึงรู้สึกว่ามีบุญมากอยู่นะ แต่ก่อนยังเป็นเณรก็ได้อุปถัมถ์อุปัฏฐากพ่อแม่ครูจารย์มั่น แกงหม้อเล็กเท่านี้นะแกงทุกวัน ท่านเพ็งเป็นเนื้อบนเขียง พ่อแม่ครูจารย์เป็นมีดสับลง ไอ้เราเป็นเขียงหนุนไว้.ท่านเพ็งเป็นเนื้อบนเขียงพอดี ถ้าจะหยุดก็หยุดไม่ได้เพราะเราหนุนไว้ พาหลบพาหลีกอยู่นั้นละ ท่านไม่ให้ทำ เราก็ทำแบบไม่ให้ท่านรู้นี่ ได้อะไรมาไม่ให้รู้ ของดิบของดีได้อะไรมานี้จะไม่ให้ท่านเห็นเลย

ตัวสำคัญก็คือเราพูดให้มันชัดเจนเสีย เวลาหาอุบายที่จะมาเอาของที่อุดร ท่านก็ทราบลึกๆ แหละ เราว่าจะไปเยี่ยมโยมแม่ อะไรก็ว่าไป ทราบว่าโยมแม่ไม่ค่อยสบาย เข้าท่านะ มาไม่หาอะไรนะไปกว้านเอาของในตลาด ให้เขาใส่เข่งๆ เต็มเข่ง เอาของที่เราต้องการสำหรับธาตุขันธ์พ่อแม่ครูจารย์ ได้เต็มแล้วก็ไปเลย พอไปถึงปั๊บนี้ก็เอาล้อใส่เข้าไป ไปถึงหน้าวัดแล้วก็ขนออกไปกุฏิลึกลับนู่นนะ ที่เก็บของไม่ให้รู้นู่นนะ เราก็ว่าเราฉลาด พอลงปั๊บแล้วก็ขนของลงปุ๊บๆ ให้ล้อมา เราตามกลบรอยล้อนะ กลัวท่านจะมาเห็นว่างั้นเถอะ มากลบๆ หมด

พระก็มาดูจริงๆ นะ เอาพระเอาเณรมาดูไม่ให้เห็นรอยล้อนี้ ดูตลอดปัดกวาดตลอดเรียบเลย จนกระทั่งถึงทางร่วม ดูแน่ใจแล้ว เห็นไหมล่ะคนโง่กับคนฉลาดผิดกันแค่ไหน เราก็คอยดูเพราะเราเป็นนักโทษนี่ ท่านพอออกมาเพราะทราบว่าเรามาถึงเย็นวานนี้ เราไปไหนท่านทราบ มันตัวถ้าว่าหมาก็เป็นหมาพราน หมาพรานจริงๆ ละซิ หาอะไรมาถวายท่านไม่ให้ท่านรู้ๆ วันนั้นพอเข้าไปแล้วก็ขบขันดีนะ คืออุบายหาทางออกดีนะ พอจะมาพรรณาเอาแก่นขนุนท่อนหนึ่งมาใส่นั้น หากจนตรอกมันจะออกทางแก่นขนุน ออกได้จริงๆ นะแปลกอยู่

พอเอาของขนใส่เข่งๆ เต็มล้อๆ แล้วให้เณรเพ็งเป็นหัวหน้าเก็บเรียบร้อยไปไว้กุฏิลึกๆ ไม่ให้ท่านเห็น พอไปมาแล้วกลบรอยล้อไม่ให้เห็นเลย พากันมาดูทั้งพระทั้งเณรดูด้วยกันนั่นนะ ดูเรียบร้อยแล้ว เอ้อ เอาละหายสงสัย นี่ละที่ว่าจอมปราชญ์กับจอมโง่มันผิดกัน ท่านจับเอาจนได้ พอออกมาเราก็คอยสังเกตดูท่าน ตาท่านสอดส่องปั๊บๆๆ เราเป็นขโมยเราก็คอยแอบสังเกตดู มันมีรอยล้ออันหนึ่งกลบไม่หมดตรงนั้น นอกนั้นเรากลบหมดแล้ว

นี่มันรอยล้อมาจากไหน เอาละนะที่นี่ ก็ท่านรู้แล้วว่าเราเป็นโจรหัวโจก เหอ รอยล้อมาไงนี่ โอ๋ มาที่พรรณาเห็นแก่นขนุนนี้ดีเลยใส่แก่นขนุนมาบ้าง เอาแก่นขนุนมา ท่านคงนึกในใจว่าขนุนใหญ่นั่นแหละ ท่านคงว่าขนุนใหญ่นั้นแหละ ตกลงท่านก็ไม่ว่าอะไร ไปเห็นรอยล้อ กลบหมดแล้วนะยังเห็นได้นี่น่ะตาท่าน เห็นไหมล่ะ นี่ล้อมายังไงรอยล้อมายังไง ทางนี้ก็หาทางออกไว้แล้ว อ๋อ เมื่อวานมาเห็นแก่นขนุนพรรณามันดีก็เลยเอาแก่นขนุนให้เขาใส่ล้อมา ท่านคงนึกในใจละ ขนุนใหญ่นั้นแหละ ตัวโจรใหญ่มันเอามาคงว่างั้น ขบขันดีนะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ขนาดนั้นละเราที่เทิดทูนท่านสุดหัวใจทุกอย่าง

ของอะไรที่ถูกกับธาตุกับขันธ์ท่านเราจะพยายามหามาๆๆ ไม่ให้ท่านรู้นะ รู้ไม่ได้ ท่านเพ็งละเป็นเขียงรอง ให้ท่านเพ็งมาทำ ท่านสับท่านเพ็ง ท่านเพ็งเป็นเนื้อบนเขียง เราเป็นเขียงท่านเป็นมีดยำลง ท่านเพ็งก็ไม่ทราบจะปฏิบัติต่อใคร ท่านว่ามาทำหาอะไรนี่น่ะ บิณฑบาตมาล้นบาตรๆ กินให้ตายมันก็ตายนี่นะ ท่านไปอย่างนั้นนะ มายุ่งทำไมท่านว่างั้น อันนี้เป็นเรื่องของท่าน เราก็ไปกระซิบกับท่านเพ็งให้ทำอย่างนั้นๆ แก้ตัวเข้าใจไหม หาอุบายแก้ตัว ท่านเพ็งก็ทำตามเราทุกอย่าง เพราะท่านก็เคารพเรา

ทีนี้เวลาบิณฑบาตนั่นละที่มันขบขันมาก ท่านก็ทำอาหารเล็กๆ อยู่ในครัว ตามธรรมดาบิณฑบาตท่านออกหน้าแล้วพระเณรจะหลั่งไหลไปตามท่านๆ ลงจากศาลาหอฉันนั่นน่ะ พอท่านออกไปแล้วพระเณรก็ตามหลังท่านเป็นสายยาวเหยียดไป แต่วันนั้นเผอิญอะไรไม่รู้ พระเณรออกไปหมดแล้วท่านยังไม่ไปท่านยังอยู่นั้น ทีนี้เณรเพ็งก็ว่า กูตาย ไปหมดแล้ว แสดงว่าพ่อแม่ครูจารย์ไปแล้วก็วิ่งจากครัว เหอ มาไงม้าแข่งนี่ จะขับไล่ท่านเพ็งออกจากวัดนะ ม้าแข่งมาจากไหน ต้องออกจากวัดเณรนี้มันยังไงกัน เณรม้าแข่งนี่ว่างั้นนะ โอ๊ะ กูตาย วันนี้ทำไง ท่านจะเอาเณรออกจากวัด ก็เรานั่นละจะเป็นคนแก้ไม่ใช่ใคร

ไม่สบายวันนั้น บิณฑบาตท่านพูดอะไรกับเราเราก็นิ่งเฉยไม่พูดเลย ทุกวันมีตอบบ้างอะไรบ้างวันนั้นนิ่ง ท่านคงจะทราบว่ามหาองค์นี้มันจะตาย วันนี้กูจะไล่เณรเพ็งออกไปมันจะไปแบกเณรเพ็งเอาไว้นี่ กูพูดอะไรมันก็ไม่พูด ท่านรู้นะเรื่องเหล่านี้รู้หมด พอฉันเสร็จแล้ว เพราะเราเคยปฏิบัติ ฉันเสร็จแล้วไปเช็ดไปกวาดถูที่บริเวณท่านฉัน ให้พระเณรเอานั้นลงไป มีอะไรก็คุยกับท่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป คุยไปคุยมาดึงเข้ามาๆๆ ใกล้เข้ามาหาเณรเพ็งนี่นะ พอถึงนั้นเฉียดตรงนั้นแล้ว เอ้อ ขึ้นเลย

ไหนเณรเพ็งว่าไงท่านมหา ขึ้นเลย เข้าจุดแล้วที่นี่ กราบเรียนท่าน กราบเรียนท่านอย่างมีเหตุมีผลนะท่านก็ฟัง พอสุดท้ายท่านยังไว้ลวดลายนะ เราขอเมตตาจากท่านเพราะมันลุกลี้ลุกลนมันรีบมันกลัวจะไม่ทัน มันก็เป็นบ้างอะไรๆ นี้ ขอเมตตาเอาไว้เสียก่อน เออ คราวหลังเป็นอย่างนี้ไม่ได้นะเพ็ง เราเอาไว้อันนี้ก็ดี ท่านรู้เราแล้วตั้งแต่บิณฑบาตเราไม่พูดอะไรเลย มหานี้มันจะอกแตกละวันนี้กูจะไล่เณรเพ็งหนีคงว่างั้นนะ

เพราะเราเป็นคนแบกพระทั้งวัด พระท้ายวัดหัววัดผิดก็เราผิดๆ จนกระทั่งท่านจับได้ เอ้อ ใครผิดท้ายวัดหัววัดก็มหาผิดๆ หูหนวกตาบอดมาก็มหาผิด คนง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขามา เป็นบ้าเป็นบอมาก็มหาผิด มหานี้มันทำไมจึงโง่ขนาดนั้น มันควรจะใช้ชื่อเป็นหมาละมัง ท่านว่าเราเฉย คือท่านจับได้ว่าเราเอาหมู่เอาเพื่อนว่างั้นเถอะ ท่านก็จับได้ซินานเข้าๆ ใครผิดท้ายวัดหัววัดก็มหาผิดๆ.มหานี่มันจะเป็นหมาละนะ เราเฉยขอให้หมู่เพื่อนพ้นภัยก็แล้วกัน ภัยใหญ่อยู่กับท่านนะ เราหลีกได้พ้นก็แล้วกัน ขบขันดีนะอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น

แต่กับเราท่านก็ไม่ว่าอะไรนะ เรื่องเณรเพ็งนี้ก็มีภาคทัณฑ์เอาไว้ เพ็งทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะท่านว่า นั่นท่านให้อภัยแล้ว แต่มีลวดลายเอาไว้นั้นอีก เพ็งจะทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ เทวดามาขอก็ไม่ได้นะคราวหลัง คงจะเป็นอย่างนั้นละความหมาย ขบขันดีกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น กับเรานี้เรียกว่าท่านเมตตามากสำหรับเรา มีอะไรๆ เราต้องเอาคอเราไปสอดเข้าไปๆ จนกระทั่งท่านว่า พระเณรผิดท้ายวัดหัววัด หูหนวกตาบอดมาผิดท้ายวัดหัววัดก็มหาผิดๆ มหานี้มันจะโง่อะไรนักหนา ท่านจับได้แล้วว่าเรารับรองหมู่เพื่อนไม่ใช่อะไร ท่านจับได้แล้วนั่น เอาละที่นี่

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก