เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ดัดตัวเอง
เมื่อวานนี้เราไปโคราช พอฉันเสร็จแล้วก็ไป กลับมาถึง ๕ โมงเย็นพอดี เสร็จธุระเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับเลย วิ่งรถมา ๓ ชั่วโมงกว่า จากโคราชมานี้ รถเรามันแน่นหนามั่นคงดี ให้วิ่งเพียง ๑๑๕ ไม่ให้มากกว่านั้น ทางจะตรงจะแน่วดีขนาดไหนไม่ให้ไป ให้ไปอย่างสูง ๑๑๕ ถ้าทางคดทางเคี้ยวมีคนผ่านไปมาก็ต้องลดลงตามส่วน แต่สูงสุดของการวิ่งรถไม่ให้เลย ๑๑๕ นั่นละปลอดภัย เขาขับรถเราต้องขับเขาอีกทีหนึ่ง เวลามองดูทางมองดูเข็มไมล์ เรานั่งข้างหลังเราดู ทางดีทางตรงไม่มีคนไม่มีสัตว์ผ่านไปมาก็วิ่งได้ขนาด ๑๑๕ เขาเข้าใจแล้ว คือเราขับเขาตลอด เขาขับรถเราขับเขา จนกระทั่งเป็นที่แน่ใจแล้วเราจึงจะปล่อยมือ
สติปัญญาเป็นสำคัญมาก อย่าเข้าใจว่าชำนิชำนาญในการขับการขี่อะไร มันขึ้นอยู่กับสติปัญญา สำคัญมากนะ ชำนิชำนาญในการขับ ถ้าสติปัญญาไม่รอบคอบพลาดได้ๆ ที่ว่าดูนี้ก็คือเรื่องสติปัญญาคาดหน้าคาดหลัง อย่างที่รถเราไปเกิดอุบัติเหตุ เขาพึ่งขับรถใหม่ที่เราขับเขายังไม่ได้ถึงไหน เริ่มขับเขา รถถ้าธรรมดาเราเป็นคนขับ รถที่จะลงคลองนี่เพราะอะไร คือคนอยู่ข้างหน้า ถ้าจะแซงไปข้างขวาก็ได้ไม่มีรถคันไหน แต่เขาก็จะไปตามกฎของเขา กฎนี้วางกลางๆ เอาไว้ ถ้าไปตามกฎในเวลาเช่นนั้นเป็นอันตราย แต่เขาไปตามกฎก็ต้องเป็นอันตราย
เราได้เตือน ตั้งแต่นั้นมาไม่ค่อยพลาดแหละถ้าเตือน เราไม่แน่ใจกับเขา มองดูข้างหน้าควรจะไปทางขวาไปเสีย ควรจะไปทางซ้ายไปเสีย กฎแห่งความปลอดภัยอยู่กับสติปัญญา กฎเขาวางไว้กลางๆ ก็เพื่อความปลอดภัย เวลามีเหตุเกิดขึ้นที่จะปฏิบัติยังไงนี้กฎวางกลางๆ สติปัญญาพลิกได้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เรื่องสติปัญญาเป็นสำคัญ เราดูซิผิดพลาดตรงไหนก็คือวิ่งตามกฎ ไม่ได้วิ่งตามสติปัญญา กฎวางไว้กลางๆ ก็เพื่อความปลอดภัย สติปัญญาปฏิบัติต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในเวลานั้นๆ ก็เป็นความปลอดภัย สติปัญญานี้ปลอดภัยกว่า ต้องใช้ในเวลานั้น
ท่านอุทัยดูจะมาวันนี้มาฉันที่นั่น เราบอกเราไม่ฉันให้เราไปงานเขาเฉยๆ แล้วกลับตั้งแต่วาน วันนี้พระท่านจะเข้าไปฉันที่บ้านเขา ท่านอุทัยอยู่แถวนั้นก็ดีอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงรับที่นั่นไว้ กว้างแคบ ๗๐ ไร่ เขาตั้งมาถวายเอาเลยที่ มาโยนตูมให้เลย อ้าว ยังไงกัน ที่ ๗๐ ไร่ ย่านนั้นไม่มีพระกรรมฐานเลย เราก็มาพิจารณาดู ตกลงก็รับ เรียกท่านอุทัยมาปรึกษาดู ท่านอุทัยแต่ก่อนอยู่ภูวัว ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชอบความสงัดมาตั้งแต่ต้นทางเลย
วัดภูวัวมีพระอยู่สองสามองค์เป็นประจำ เป็นที่สงัดดี อยู่มากกว่านั้นไม่ได้ ประชาชนที่เขาไปอาศัยอยู่นั้นมีสองสามครัวเรือน ท่านจะไปเพราะเกรงใจเขา เขาก็ไม่ยอมให้ไป เขาบอกว่าถ้าพวกผมไม่ตายท่านไม่ตาย จะอดอยากขาดแคลนก็ถูไถกันไปอย่างนี้ละ เขาไม่ยอมให้ท่านไป เพราะฉะนั้นท่านถึงอยู่สองสามองค์เป็นประจำ เพราะเขาไม่ยอมให้ท่านไป เราก็ฟังมานานหากไม่มีโอกาสจะไปเยี่ยม
วันนั้นได้โอกาสตั้งหน้าไปดูเลยละ ลงรถปั๊บไปเลย ตระเวนดูหมดบริเวณ เพราะแต่ก่อนแข็งแรง ไม่เหมือนทุกวันนี้ พอลงรถปั๊บไปเลย ไปตระเวนดูทำเลภาวนา พอกลับมาแล้วก็ประกาศเดี๋ยวนั้นเลย บอกท่านอุทัยเลย เอ้า ที่นี่ท่านจะรับพระเท่าไรก็ให้รับได้ สถานที่นี่เหมาะสมมากกับการภาวนาของพระ จำนวนมากน้อยได้ทั้งนั้น ท่านจะรับขนาดไหนรับเลยผมจะเลี้ยงดู บอกอย่างนั้น แต่มีข้อแม้อยู่ พระโกโรโกโสมาให้ไล่ลงภูเขาให้หมด มันเสียเกียรติภูเขาลูกนี้ มีได้สองอย่าง ถ้าพระตั้งใจปฏิบัติดี เอ้ามาเท่าไรมา มาเป็นร้อยก็ร้อยเถอะน่ะ ถ้าลงว่ามาเท่าไรให้มา เราจะรับเลี้ยงทั้งหมดเลย ก็เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ท่านอุทัยเราละให้อยู่นู่น ดึงท่านจากภูวัวไป เห็นว่าที่นั่นว่างเปล่าจากวงกรรมฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราก็เลยรับที่เขาที่เขาถวาย ที่ ๗๐ ไร่ แต่ไม่มีใครเป็นตัวตั้งตัวตีก่อนรับสถานที่เป็นวัดแต่ละแห่ง เราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้านะ เรารับตรงไหนต้องมีหลักมีเกณฑ์เอาไว้ ต้องมีผู้มาเป็นตัวตั้งตัวตีอยู่ที่นั่น พอเขาถวายแล้วก็นิมนต์ท่านอุทัยมาปรึกษาหารือกัน ท่านก็ยินดีรับ คือท่านอยู่ภูวัว รองจากท่านลงไปเป็นยังไง พระที่อยู่ที่นั่นเป็นที่แน่ใจไว้ใจของเพื่อนฝูงได้ไหม ตั้งใจปฏิบัติดีมากน้อยเพียงไร ดี ว่างั้นนะ ถ้าดีแล้วผมขอให้ท่านมาอยู่ที่นี่เสียจะได้ไหม ท่านบอกว่าได้ เพราะฉะนั้นจึงได้เอาท่านอุทัยมาจากทางนู้น
ให้พระรองท่านอุทัยดูว่าท่านเสถียรก็ดีอยู่ ให้ท่านอยู่ที่นั่น ส่วนท่านอุทัยไปโน้น ทางเขาถวายที่ ๗๐ ไร่ เป็นที่ว่างเปล่าวงกรรมฐานที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ค่อยมีนะ ท่านยินดีเราก็เลยให้ท่านไปอยู่ที่นั่นจนกระทั่งทุกวันนี้ วันนี้ท่านจะมาฉันโคราช ท่านจะมาจากโน้นละมั้ง ฉันบ้านที่เราไปเมื่อวานนี้ มาฉันที่นั่น พวกนี้พวกหูสูงเหมือนกัน พระสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็ไม่อยากเอา ก็ไปเอาท่านอุทัยแหละมา ก็ลูกศิษย์เรานี่ละสอนให้มันหูสูงหัวสูงน่ะ พวกนี้มันก็ไม่รับพระสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนกัน เขานิมนต์ท่านอุทัยแหละมาฉันที่นั่นวันนี้ เราไปให้เฉยๆ แล้วก็มา
ท่านอุทัยท่านดีมาตลอด อยู่นั่นสองสามองค์ๆ เรื่อยมา คือท่านจะไปเขาก็ไม่ยอมให้ไป เขามีสองสามหลังคาเรือน เขาบอกถ้าเขาไม่ตายพระไม่ตาย เขาว่างี้ เขาไม่ยอมให้ท่านไป เขาผูกพันกับพระมาก เลยดึงกันไว้อย่างนั้น ท่านอุทัยเลยอยู่ที่นั่น พอท่านจะไปทีไรเขาไม่ยอมให้ไป เกรงใจเขาก็เลยอยู่ที่นั่น เราจึงไปดู ไปดูหมดบริเวณนั้น กลับมาก็มาประกาศเลย บอกว่าเราจะรับเลี้ยง ว่างั้นเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาได้ ๒๐ กว่าปีแล้ว เรารับเลี้ยงทั้งวัด
พระไม่น้อยนะ ดูท่านอุทัยคงจะตั้งจุดศูนย์กลางเป็น ๓๐ องค์ ไปแต่ละครั้งบางที ๔๐ บางที ๒๗-๒๘ อยู่ในย่านนี้ละ ท่านจะตั้งจุดศูนย์กลางเอาไว้ตรงนั้น เราก็เลี้ยงดูตลอดมา พอจวนสิ้นเดือนก็ไป คือสั่งตายตัวสำหรับผู้ไปส่งของ รถ ๔ คัน เดือนหนึ่ง ๔ คัน ของเตรียมพร้อมหมดเลย เป็น ๒๐ กว่าปีแหละที่เรารับเลี้ยงพระวัดนี้ พระจะอยู่ในย่าน ๓๐ สี่สิบก็มี ๓๐ กว่าหรือ ๒๐ กว่ามี ตั้งแต่นั้นมา เพราะเป็นทำเลเหมาะสมมากเราไปดูแล้ว เพราะฉะนั้นเราถึงรับเลี้ยงเลย รับเลี้ยงตั้งแต่โน้นมา เดือนหนึ่งไปหนหนึ่ง ประมาณ ๒๖-๒๗-๒๘ ไป รถ ๔ คันไปเลยแหละ เต็มรถๆ อาหารสั้นอาหารยาวอะไรๆ พร้อมหมด เครื่องกระป๋งกระป๋อง พวกข้าวสาร น้ำตาล เอาให้พอ พอดีกับรถ ๔ คัน หกล้อคันหนึ่ง ๔ ล้อ ๓ คันเรื่อยมาอย่างนี้
เราส่งเสริมพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราเสาะแสวงเหลือเกินสำหรับพระผู้ดี พระดีนี้หายาก สิ่งใดที่ดีๆ หายากไม่ได้ยากเหมือนหาพระนะ หาพระดีนี้หายากมาก เราเป็นพระด้วยกันเราจึงได้รู้ว่าหาพระดียากหรือไม่ยากออกจากเราเองเป็นผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาพระ พระไม่ดีมองดูแสลงตาปั๊บไม่เล่นด้วยเลย แน่ะเป็นอย่างนั้นนะนี่ มองดูประชาชนเด็กเล็กเด็กน้อยพวกสัตว์ดูไปธรรมดาๆ แต่มองดูพระนี้มันมองลึกมองดูพระ เพราะคำว่าพระแปลว่าความประเสริฐผู้ประเสริฐ พระๆ นี่มองดูแสลงหูแสลงตาไม่เล่นด้วย ต้องให้ตรงแน่วกับคำว่าเป็นพระ
หลักธรรมหลักวินัยคือองค์ศาสดาให้ติดแนบอยู่กับตัวตลอด ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากหลักธรรมหลักวินัย นั้นเรียกว่าเป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกๆ อาการ เราต้องการพระประเภทนั้น นี่ก็เลี้ยงดูตั้งแต่นู้นมาได้ ๒๐ กว่าปี ถึงเวลาท่านก็ไปส่งๆ ไม่ให้อดอยาก เราพูดจริงๆ นิสัยเราไม่ใช่เหยาะๆ แหยะๆ ทำอะไรเอาจริงมาก หมดเป็นหมดยังเป็นยัง ไม่มีอะไรที่มาคิดว่ากลัวหมดกลัวยังไม่มีในหัวใจเรา เพราะอำนาจแห่งความเมตตา เจตนาเป็นอรรถเป็นธรรมจริงๆ เราพูดจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาพระก็ ๒๐ กว่าองค์เป็นอย่างน้อย ทุกวันนี้ก็มากอยู่ เราก็ส่งให้
ส่งให้แต่ละครั้งให้ถามพระมีจำนวนเท่าไร แล้วถามย้อนหน้าย้อนหลัง ก่อนมีเท่าไรแล้วระยะไหนๆ มีประมาณเท่าไร พระท่านก็บอกระยะพอๆ กัน คือจุด ๓๐ เป็นจุดตายตัว ๒๐ กว่า ๓๐ กว่าอยู่ในย่านนี้ นี่เราก็เลี้ยงดูตลอด อาหารการกินเรียกว่าเอาไปเต็มเหนี่ยว ๔ คันรถ รถ ๖ ล้อคันหนึ่ง ๔ ล้อ ๔ คัน บองขึ้นนะ เต็มรถทุกคัน เต็มๆ เทลงนี้กองเท่าภูเขาของง่ายเมื่อไร บางคนเขาไม่เคยเห็นเขาก็ตื่นเต้นกัน พอเขาว่าอาจารย์มหาบัว โอ๊ย มันก็ใช่แหละถ้าลงว่าอาจารย์มหาบัวเขาหยุดเลยนะ เขารู้นิสัยเราจริงจังมาก ทำอะไรไม่ทำเหยาะๆ แหยะๆ ว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลย ถ้าลงลงอย่างนั้น ถ้าไม่ลงไม่ลง เป็นอย่างนั้นละ
นิสัยนี้มีผาดโผนอยู่ด้วย เป็นนิสัยที่รุนแรงผาดโผน แม้แต่อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ท่านยังมีรั้งเอาไว้ๆ คือจอมปราชญ์เตือนจอมโง่ เราเป็นจอมโง่ท่านเป็นจอมปราชญ์คอยฟังเสียงท่าน ถ้าที่ไหนมันจะผาดโผนไปท่านก็รั้งเอาไว้ๆ เราก็รอตามนั้น คือมันเป็นไปตามนิสัยใจเจ้าของมันรุนแรง ถ้าว่าอะไรทุ่มเลยๆ ทีนี้จอมปราชญ์กับจอมโง่ จอมโง่ทุ่มไปเลยคุณค่าไม่สมเหตุสมผล จอมปราชญ์เตือนปั๊บมีคุณค่าสมกันคอยฟังท่าน ท่านคอยรั้งเสมอละกับเราพ่อแม่ครูจารย์มั่น คือถ้าลงมันเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ลงหากไม่ลง
พอพูดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้แล้วเราก็เป็นที่พอใจ ท่านรู้สึกว่าเมตตามากจริงๆ กับเรา คือเราอยู่นั้นเราเป็นจอมโง่ท่านเป็นจอมปราชญ์ เราต้องใช้หัวคิดปัญญาเต็มกำลัง อยู่ที่นั่นดูหมู่ดูเพื่อนคอยดูแลเพื่อนฝูงท่านก็เบาใจๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าอะไรไม่ลงกันปรึกษาหารือยังไม่ลงท่านจะถามว่าท่านมหาว่าไง พอมีพระตอบว่าท่านมหาท่านว่าอย่างนั้นๆ ท่านหยุดเลยนะ ท่านไม่เคยค้านเรา ถ้าไม่ลงกันตรงไหนแล้วท่านจะถามว่า แล้วท่านมหาว่าไง ท่านว่าอย่างนั้นๆ ท่านหยุดเลย คือให้เป็นไปตามนั้นเลย ก็เราก็ใช้ปัญญาของเราเต็มกำลัง ไม่ใช่อยู่แบบขอนซุงอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเป็นจอมปราชญ์เราเป็นจอมโง่ต้องฟิตตัวให้เต็มกำลัง
การฟิตสติปัญญาก็คือไปฟิตอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละ ท่านเป็นจอมปราชญ์ทุกอย่าง ข้างนอกข้างในท่านรอบคอบหมด คิดดูซิเราไม่ห่มผ้าห่ม หนาวขนาดไหนเราก็ไม่เอา ไม่ให้ตลอดมาการฝึกทรมานตน เราจะให้จีวร ผ้าสังฆาฏิพับซ้อนกันห่มเท่านั้น นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน ที่จะให้เอาผ้าห่มมาเพิ่มไม่ให้มี ดัดเรา ท่านก็เอาผ้าห่มท่านไปบังสุกุลให้เรา เห็นไหมล่ะ แหลมคมไหมจอมปราชญ์ พระทั้งวัดรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ทราบเรื่องของเรา
คือการปฏิบัติเฉพาะตัวของเราเราไม่เกี่ยวกับพระ เราทำเต็มเหนี่ยวของเรา แต่อันใดเกี่ยวกับพระก็แนะนำสั่งสอนเป็นธรรมดา อันใดที่เป็นเรื่องของเราโดยเฉพาะจะไม่ให้ใครทราบเราทำอยู่คนเดียวๆ บิณฑบาตกลับมาได้เท่านั้นเอาเท่านั้นไม่เอา เขาจะมาส่งมาเสียอะไรก็ตามไม่เอา นี่เราปฏิบัติอยู่เฉพาะตัวของเรา ใครทราบหรือไม่ทราบก็ไม่รู้ แต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นทราบ พอมาปั๊บนี้เรามีอะไรจัดใส่บาตรๆ แล้วซุกเข้าไปฝา ฝาบาตรปิดผ้าอาบน้ำปิดปั๊บออกมาจัดอาหารอะไรให้ท่านอยู่อย่างนี้เป็นประจำ คือเราไม่เอาอะไรของใคร เป็นเรื่องของส่วนตัวเราแล้วเราจะทำอย่างนั้น ใครจะทราบไม่ทราบก็ตาม แต่พ่อแม่ครูจารย์ทราบจนได้ นานๆ ท่านว่า ขอใส่บาตรหน่อยศรัทธามาสายๆ ท่านเห็นแล้วว่าเราไม่เอาอะไร ท่านก็ใส่บาตรเรา
ถ้าท่านได้ใส่แล้วเราต้องยอมรับต้องฉันให้ เพราะจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมกับจอมโง่ มันอาจเลยเถิดเลยแดน ขีดแดนไปก็ได้ ยอมรับถ้าเป็นพ่อแม่ครูจารย์ใส่บาตร ฉันให้ แต่คนอื่นไม่ได้นะ พระเณรกลัวมากอยู่นะกลัวเรา อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เรานี่เป็นรอง ดีไม่ดีกลัวเรามากกว่าท่าน ก็ท่านอยู่กุฏิท่านไม่ค่อยมาสอดแทรก แต่เรานี้สอดแทรกเรื่อย เป็นอย่างนั้น แต่พระท่านไม่ได้กลัวด้วยความรังเกียจนะ กลัวด้วยความเคารพ เพราะเราจริงเราจังทุกอย่าง ท่านถึงได้ไว้ใจ ทุกอย่างท่านไว้ใจ ถ้าอะไรไม่ลงกันแล้วท่านจะถาม ท่านมหาว่าไง พอว่าท่านว่าอย่างงั้นๆ ท่านหยุดทันทีเลย ท่านไม่ค้านท่านไม่แก้ไข เอาตามนั้นเลย อย่างนั้นละ
เราก็ใช้สติปัญญาเต็มกำลังของเราเรื่อยมาอย่างนั้น รู้สึกท่านเมตตามากอยู่สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เมตตาจริงๆ เมตตาเรา เพราะท่านดูซอกแซกซิกแซ็กเห็นเรื่องของเราทุกอย่าง เราทำไม่ให้ใครรู้ เรื่องของเราเองเราไม่ให้ใครรู้ เราทำเฉพาะๆ เช่นบิณฑบาตได้มาเท่าไรเท่านั้นเป็นประจำ ท่านก็ไปใส่บาตรเราจนได้ แล้วผ้าห่มเราไม่เคยห่ม ไม่ห่มเลย ดัด มีจีวรกับสังฆาฏิพับแล้วก็นอน หลับก็หลับไม่หลับก็ไม่หลับ ให้เท่านั้นไม่เคยเอาผ้าห่มไม่เคยใช้ ท่านก็เอาผ้าห่มของท่านห่มอยู่นี้นะ คือถ้าเอาผ้าใหม่กลัวเราไม่รับ เพราะผ้าห่มมันไม่อดนี่ในวัด แต่เราก็ไม่เอา ท่านต้องเอาผ้าของท่านที่ห่มไปบังสุกุลให้เรา เราก็รับห่มให้เวลาเราอยู่ที่นั่น พอออกไปแล้วไปเลย
นี่ละการดัดตัวเองต้องดัดอย่างนั้นฝึกอย่างนั้น อันใดที่เกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อนก็แนะนำตักเตือนสั่งสอน อะไรที่เป็นเรื่องของเจ้าของโดยเฉพาะทำโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับใครเลย ใครไม่มายุ่ง ยุ่งไม่ได้เรา เราฟิตตัวของเรามาอย่างนั้นตลอด อยู่กับครูบาอาจารย์ก็เป็นอย่างนั้น ยิ่งออกไปคนเดียวด้วยแล้วยิ่งเอาใหญ่เลย เข้ามาหาท่านนี้หนังห่อกระดูกๆ มา ไม่ได้มีอ้วนท้วนอะไรละ ก็ดัด การกินนี่มันแย่งอรรถแย่งธรรมในหัวใจไม่ให้อรรถธรรมเต็มหัวใจ อรรถธรรมแห้งผากๆ แต่ท้องพุงกางเลย มันแย่งเอาตอนเช้าตอนบิณฑบาต ฉันบาตรนี่มันจะเอาให้เต็มท้องของมัน ธรรมเป็นยังไงมันไม่สนใจใช่ไหม ธรรมแห้งผากในหัวใจ
เราต้องดัดมันตลอดตอนเช้านี้ไม่ให้มันกินอิ่มละ ทั้งกินทั้งอดเป็นอย่างนั้นฝึกจิต เราจึงท้องเสียนะ เราท้องเสียเพราะอดอาหาร ไม่ค่อยกิน คือการอดอาหารนี้ภาวนาดี ถ้าฉันมากเข้าไปภาวนาอืดอาดสติตั้งผิดๆ พลาดๆ ถ้าอดอาหารผ่อนอาหารหรืออดอาหารหรือผ่อนดี สติติดแนบเลย สติสำคัญ อาหารเป็นเครื่องทับสติได้นะ ถ้าอาหารมีมากเต็มท้องแล้วสติล้มเหลว ถ้าอาหารมีน้อยสติดีขึ้นๆ ก็เรามุ่งอรรถมุ่งธรรมเราไม่ได้มุ่งพุงนี่นะ นั่นมันก็ต้องฟัดกันตรงนี้ละ จนกระทั่งท้องเสีย ๘๐ กว่าปีนี่มันจะไปจริงๆ ท้อง คือมันเป็นมาเรื่อย
ตั้งแต่พรรษา ๑๖ การอดอาหารเราก็ไม่เคยอด ตั้งแต่ต้นไปถึงพรรษา ๑๖ นี้ฟัดกันใหญ่ พอพรรษา ๑๖ ก็ฟัดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วทีนี้ก็จะฉันตามสบาย ฉันตามสบายท้องมันเสียแล้วนี่ มันก็เสียไปเรื่อยๆ ๖-๗ วันถ่ายทีหนึ่ง ถ้าถ่ายแล้วเอาจนหมดเลยไม่มีเหลือ เป็นอย่างนั้นละ ต่อมานี่มันถ่ายเหลือ แต่ก่อนไม่สนใจมันจะอดจะอิ่มอะไรช่างมันขอให้จิตนี้ดีๆ ตลอด เราท้องเสียเอามากจนกระทั่งได้ทำเมรุเผาศพเรา แต่ก็ฟื้นได้
ยานี้ยาหมอเติ้งนะมาให้เราฉัน เราก็บอกว่าฉันยานี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้ายานี้ไม่ถูกอย่าเอามาไม่เอา พอดีฉันปั๊บถูกเลย เพราะฉะนั้นจึงได้ช่วยชาติบ้านเมืองต่อมา ฉันยาหมอเติ้งเราไม่ลืมนะ คือมันถ่ายวันหนึ่งไม่กำหนด ถ่ายเรื่อยๆ เวลามันเอาหนักเข้าๆ ถ่ายวันหนึ่งกี่หนไม่รู้ นี่พอยาหมอเติ้งมาใส่เข้าไปนี้ก็หยุดเลย จากนั้นท้องนี้เลยหายเงียบเลย จนมีอายุมาอยู่ขนาดนี้
การฝึกทรมานตนเอง สำหรับเราแล้วมันนิสัยผาดโผนอย่างว่า มันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่เหลาะๆ แหละๆ นะ ทีนี้เวลาฝึกเจ้าของก็แบบเดียวกัน หนักมาก มันมาได้ผลในการอดอาหาร การภาวนานี่ดีๆ การอดอาหารก็ต้องอดไปตามๆ กัน สุดท้ายท้องก็เสีย เอาละวันนี้ไม่พูดอะไรละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |