เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ทางเดินราบรื่นถึงนิพพาน
ธาตุขันธ์นี้หดย่นเข้ามานะ ความจำเหมือนกัน สัญญาคือความจำได้หมายรู้ จำนั้นจำนี้ เดี๋ยวนี้หดเข้ามาๆ เช่นอย่างเมื่อวานนี้ไปไหน วันนี้ระลึกถึงเมื่อวานนี้จำไม่ได้แล้ว คือย่นเข้ามา มิหนำซ้ำวันนี้ตอนเช้าทำอะไรๆ หดเข้ามาจะจำไม่ได้แล้ว นี่เรียกว่าอาการของจิต สัญญาคือความจำ สังขารคือความคิดความปรุง คิดนั้นคิดนี้ สังขารนี่เป็นเครื่องมือ พื้นฐานของมันก็เป็นเครื่องมือของกิเลส กิเลสนำเอาอันนี้ละออกใช้ ขันธ์นี้เป็นขันธ์ของกิเลส เครื่องมือของกิเลส
ทีนี้เวลาผู้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติเข้าไปๆ ธรรมปรากฏขึ้นมาๆ ทีนี้เลยธรรมเป็นเจ้าของของความคิดปรุง ธรรมเป็นเจ้าของ ไม่มีกิเลส ใช้เครื่องมือได้เป็นประโยชน์ แต่กิเลสเป็นเจ้าของเอาเหล่านี้เป็นเครื่องมือใช้ ส่วนมากใช้ทำความเสียหาย รูปนี่ก็เครื่องมือ เวทนาความสุขความทุกข์ ได้รับผลจากการกระทำขึ้นมา สังขารความคิดความปรุง คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เรียกว่าสังขาร สัญญาความจำได้หมายรู้ วิญญาณความรับทราบทางตา ทางหู อะไรสัมผัสสัมพันธ์ทางตาก็รู้ ทางหูก็รู้ เรียกว่าวิญญาณ รวมแล้วนี้เรียกว่าขันธ์ห้า คำว่าขันธะๆ แปลว่ากองหรือแปลว่าหมวด ถ้าเป็นหนังแส่หนังสืออะไรก็เรียกว่าหมวด ถ้าเป็นวัตถุต่างๆ ก็เรียกว่า ขันธะแปลว่ากองๆ กองขันธ์ ขันธะ
อายุ ๙๕ นี้ รู้สึกชัดเจนมากธาตุขันธ์นี้อ่อนลงๆ ธาตุขันธุ์ที่เราใช้นี้กำลังอ่อนลง ไปไหนมาไหนก็ลำบาก ไม่อยากไป คือเดินนั้นเดินนี้ ไปแล้วกลับมา เช่น ออกไปข้างนอกกำแพงนี้ กลับมาก็จะไม่ถึงวัดเดี๋ยวนี้นะ มันอ่อนลงๆ ธาตุขันธ์อายุย่างเข้า ๙๕ รู้สึกว่าลดลงมากเห็นประจักษ์ จะไปจะมาที่ไหนนี้รู้ชัดเจน กำลังที่จะเดินไปเดินมานี้ไม่มี นี่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แต่เรื่องจิตใจ ใจไม่มีวัย ถ้าไม่ได้ฝึกแล้วใจนี้หนุ่มตลอดเวลา คึกคะนองตลอดเวลา ใจที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมด้วยธรรม เป็นใจที่คึกคะนอง ไม่ว่าหญิงว่าชาย ดีดดิ้นตลอดเวลาอยู่ภายในของมันเอง ถ้าใจได้ฝึกฝนอบรมแล้วไม่ดีดไม่ดิ้น เป็นธรรม ไม่กวนเจ้าของ
ที่เกิดมาในชาตินี้เราก็พอใจในความเป็นอยู่ของเรา นับแต่เพศออกมา ทีแรกก็เป็นฆราวาสเหมือนโลกทั่วๆ ไป จากนั้นก็ได้มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระก็ทำหน้าที่ของพระ เพศของพระ ชีวิตความเคลื่อนไหวของพระทั้งหมดเป็นพระทั้งนั้น คือมีขอบเขตๆ บังคับๆ เช่นอย่างมาบวชอย่างนี้ ขอบเขตของการบวชของพระผู้บวชนั้นปฏิบัติยังไง ให้อยู่ในขอบเขตๆ ส่วนหยาบเป็นอย่างนั้นมีแต่ขอบเขต ส่วนละเอียดคือธรรมภายในใจ อันนี้ละเอียดมาก ต้องฝึกฝนอบรมตนทางด้านจิตใจโดยเฉพาะ เช่น จิตตภาวนา การฝึกฝนกิริยามารยาทเหล่านี้เป็นเรื่องหยาบๆ แต่การฝึกฝนจิตใจ ไม่ให้มันคึกคะนองดีดดิ้นอยู่ภายใน ต้องฝึกฝนทางด้านจิตใจคือจิตตภาวนา
นี่ก็ได้ฝึกมาเต็มกำลังแล้วหายสงสัยในการฝึก การฝึกความประพฤติ ความเคลื่อนไหวของร่างกายออกทางไหนๆ ฝึกให้อยู่ในกรอบๆ ของศีลของธรรม จากนั้นจิตใจก็ฝึกให้อยู่ในกรอบของธรรมล้วนๆ ที่นี่นะ การฝึกจิตใจนี่สำคัญมาก ให้อยู่ในกรอบของธรรมล้วนๆ เลย บังคับเข้าไปๆ เช่น นักภาวนานี่คือนักบังคับจิตใจ อันนี้แหละจะเอาเข้าด้วยเข้าเข็มจริงๆ คือจิตตภาวนา ฝึกใจๆ ให้ย่นเข้ามาๆ คือจิตใจมันไม่มีขอบเขต มหาสมุทรทะเลหลวงเขามีขอบเขต แต่ความคิดของใจไม่มี ครอบโลกธาตุเลย นี่ละฝึกจิตใจที่มันไม่มีขอบเขตนี้ เอาธรรมเข้าฝึก
ขอบเขตของจิตใจคือธรรม ตีตะล่อมเข้ามาให้แคบเข้ามา พิจารณาอะไรๆ เข้าไปด้วยจิตตภาวนา นี่ละสำคัญมาก มันจะปล่อยเข้ามาๆ หดย่นเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงสังขารร่างกายนี้ ก็ยังถือว่าเป็นตนเป็นตัว เป็นเราเป็นเขา พิจารณาเข้าไปแยกเข้าไป ดูเข้าไป หดย่นเข้ามา กายก็เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ แน่ะ ไม่ใช่ใจ ฝึกเข้ามาจนกระทั่งถึงใจ ถึงใจแล้วมันยังมีกิเลสตัวสำคัญๆ อยู่ภายใน ซักฟอกนี้ด้วยจิตตภาวนาเหมือนกัน แต่ในขั้นนี้เป็นจิตตภาวนาอัตโนมัตินะ ที่จะผ่านพ้นไปได้ ต้องเข้าในจิตตภาวนาโดยอัตโนมัติ ความเพียรเป็นเองๆ
กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ไม่มีใครคิด นี่มาคิดตอนตัวเองฝึกตัวเอง แต่ก่อนไม่เคยคิด เป็นยังไงๆ เป็นอัตโนมัติของมันความคิด กิเลสลากไป ความคิดความปรุงเป็นกิเลสทั้งนั้นๆ ทีนี้เมื่อธรรมเข้ากลั่นกรองสกัดลัดกั้นเข้าไปๆ ความคิดนี้มันเป็นโลกก็ตีเข้ามาให้เป็นธรรมๆ หมุนเข้ามาหาใจ รวงรังแห่งความคิดความปรุง ที่เป็นกิเลสก็คืออวิชชา ตีเข้ามาถึงขั้นอวิชชา พออวิชชาแตกกระจายเท่านั้น กิเลสหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่จิตล้วนๆ เป็นจิตที่บริสุทธิ์
นั่นละ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารก็เป็นสมุทัย สังขาร วิญญาณังอะไรเป็นสมุทัย เป็นกิเลสไปหมด เวลาตีอวิชชาแตกลงไปแล้ว เหล่านี้ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ความคิดความปรุง ได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไร ก็ไม่เป็นกิเลส เป็นธรรมไปหมด เกิดจากใจที่กลั่นกรองให้เรียบร้อยแล้ว
นี่ก็ได้ทำเต็มความสามารถที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ เราหายสงสัยแล้วในโลกทั้งสามนี้ เรียกว่าจิตใจปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือที่เป็นสมมุติ แม้เม็ดหินเม็ดทรายภายในใจเลย เรียกว่าสลัดออกหมดขนาดนั้น จึงจะเรียกว่าจิตบริสุทธิ์ได้ จิตที่บริสุทธิ์แท้แล้ว สามโลกธาตุนี่ไม่มีอะไรเหมือนเลยละ เลิศก็อยู่ตรงนั้นละทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นละจิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ท่าน ถึงขั้นนี่แล้วเลิศเลอ อยู่กับโลก สำหรับร่างกายกิริยาอาการนี้มันอยู่ในสนามแห่งโลกธรรม โลกธรรมมีการติการชมในกิริยาการแสดงออก แต่ภายในจิตใจที่บริสุทธิ์แล้วเหนือโลกธรรมไปหมด อันนั้นอะไรเข้าไม่ถึงจิตผู้บริสุทธิ์
นี่ละถ้าฝึกแล้ว กิริยาอาการนิสัยเป็นมาดั้งเดิม ไม่มีใครแก้ได้แหละ เป็นกิริยานิสัยอย่างนั้น แต่จิตบริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว คือบางองค์ก็คนเรานั่นเองไปบวช บวชเป็นพระแล้ว กิริยานิสัยอะไรที่ไม่ขัดข้องต่อธรรมวินัย ท่านก็แสดงออกตามนิสัยของท่าน ถ้าอะไรขัดข้องธรรมวินัยเรียกว่าเป็นโทษเป็นอาบัติ งดๆ ไม่ให้แสดงๆ ให้แสดงตั้งแต่กิริยาธรรมดาที่เป็นนิสัยมาดั้งเดิม ซึ่งไม่เป็นโทษเป็นกรรมอะไร
ยกตัวอย่างเช่นพระสารีบุตร ท่านเป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นอัครสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าด้วย เวลาไปมา นิสัยท่านก็เป็นตามนิสัยของท่าน ไปพอไปเห็นคลองนี้โดดข้ามนู้นโดดข้ามนี้ โดดกลับไปกลับมา เล่นสนุกสนาน พระทั้งหลายที่ไปตาม ยกโทษ เอ๊ ทำไมเป็นทั้งพระอรหันต์ด้วย ทั้งอัครสาวกของพระพุทธเจ้าด้วย แล้วทำไมกิริยามาแสดงเหมือนลิงว่างั้นนะ เข้าไปทูล แต่นี้มีพระพุทธเจ้าตัดสินละซิ พระพุทธเจ้าตัดสินอะไรขาดสะบั้นไม่มีเงื่อนต่อ หายสงสัยกัน
นี่ก็เอาเรื่องไปทูลพระพุทธเจ้า ว่าพระสารีบุตรนั้น ทำไมเวลาไปมาอะไรเหมือนเด็ก เล่นเหมือนเด็ก ข้ามคลองกระโดดข้ามไปข้ามมา พระพุทธเจ้าตัดสิน โอ๊ เธอเคยเป็นลิงมา แน่ะก็อย่างนั้นแล้ว นิสัยอันนี้จึงมีในโอกาสที่เธอจะแสดงก็แสดงได้อย่างนี้ นี่แหละนิสัยมันก็เป็นได้อย่างนั้นละ ทีนี้บางองค์ก็เรียบทั้งๆ ที่มีกิเลสอยู่ ดูการเคลื่อนไหวไปมาเหมือนเป็นพระอรหันต์ ประหนึ่งว่าพระอรหันต์นี้ต้องเป็นเหมือนผ้าพับไว้เหมือนกันหมด แต่นี่มันเป็นกิริยาภายนอกต่างหาก ส่วนภายในที่ว่าความบริสุทธิ์นั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนั้นเป็นอย่างหนึ่ง แต่กิริยาที่เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น
เช่นอย่างพระสันตกาย พระสันตกายนี่ท่านสงบเรียบ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ด้วยกันเพื่อนฝูงด้วยกันมองเห็นแล้ว มีแต่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ๆ เพราะท่านเรียบร้อยมาก กิริยาความเคลื่อนไหวไปมาเหมือนผ้าพับไว้ๆ ตลอดเวลา ไม่มีแสลงหูแสลงตาในบรรดากิริยาของท่านที่แสดงออกเรียบร้อยไปหมด พระสงฆ์ก็สำคัญว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าพระสันตกายนี้ทำไมกิริยาท่านเรียบร้อยสวยงามมากทีเดียว ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเหรอ
พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ท่านเป็นสามัญชนธรรมดาเรา แต่นิสัยของท่านนี้เคยเป็นราชสีห์มา นั่นเห็นไหม นิสัยเป็นราชสีห์มาตั้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นมาเรื่อยๆ นิสัยราชสีห์นิสัยเสือเป็นนิสัยที่มีสติสตัง ไปที่ไหนสงบเสงี่ยมระมัดระวังเรียบเหมือนแมวเหมือนเสือ ท่านเคยเป็นราชสีห์ ราชสีห์ก็แบบเสือระมัดระวังตัวมากทีเดียว พระสันตกายนี้ท่านเคยเป็นราชสีห์มา ไปที่ไหนเรียบๆ เหมือนเป็นพระอรหันต์ พระทั้งหลายจึงนำเรื่องของท่านไปกราบทูลพระพุทธเจ้า บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเหรอ ทำไมกิริยามารยาทท่านจึงสวยงามเหมือนผ้าพับไว้ทุกอาการที่เคลื่อนไหว ท่านบอกว่ายัง ท่านยังเป็นคนมีกิเลสเหมือนเรานี้แหละ
แต่กิริยาทำไมจึงสวยงามอย่างนี้ เพราะท่านเคยเป็นราชสีห์มา ท่านฝึกหัดดัดแปลงนิสัยอันนี้มานมนาน เวลามาบวชเป็นพระนิสัยนี้จึงสวยงามเหมือนเสือ เหมือนแมว เหมือนราชสีห์ กิริยานิสัยมีความเรียบร้อยระมัดระวังตัว นั่นละพระสันตกาย ก็เลยยกพระสันตกายนี้ขึ้นเป็นภาษิตสอนที่ประชุมพระ ประชุมพระโดยอาศัยพระสันตกายเป็นต้นเหตุ ว่าท่านมีความสงบกายวาจาทุกสิ่งทุกอย่าง ความเคลื่อนไหวไม่มีอะไรที่แสลงหูแสลงตา สวยงามไปหมด พระจึงนำเรื่องนี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเหรอ บอกว่ายัง เธอเคยเป็นราชสีห์มาอย่างนั้นๆ กิริยามารยาทจึงเหมือนผู้สิ้นกิเลสแล้ว เหมือนมีสติทุกเวลา
แสดงธรรม ท่านก็ยกขึ้นมาว่า สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน สุสมาหิโต วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ อุปสนฺโตติ วุจฺจติ ผู้มีกายสงบมีวาจาอันสงบ มีจิตใจอันสงบบริสุทธิ์ คายโลกามิสเสียได้โดยสิ้นเชิง นั้นแลเป็นผู้บริสุทธิ์แท้ นี่เทศน์ยกพระสันตกายขึ้น บรรดาพระสงฆ์ที่ฟังเทศน์วันนั้นสำเร็จมรรคผลนิพพานตั้งมากมายนะ โดยอาศัยพระสันตกายที่เรียบร้อยนั่น กิริยาอาการของท่านเรียบร้อยหมด เลยยกอันนี้ขึ้นในที่ประชุมเทศน์ ท่านเป็นราชสีห์มาแต่ก่อน กิริยาท่านจึงเรียบร้อยตลอดมา
พระองค์ยกขึ้นเทศน์ในท่ามกลางสงฆ์ ขึ้น สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน สุสมาหิโต วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ อุปสนฺโตติ วุจฺจติ ผู้สงบกายจากบาปจากกรรม สงบวาจา สงบใจสิ้นกิเลสคายโลกามิสเสียหมดแล้ว นั้นแลเรียกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้ เวลาท่านเทศน์พระสงฆ์ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานกันเยอะเหมือนกัน นี่ก็อาศัยพระสันตกายที่สงบเงียบเรียบร้อยทุกอย่างนั่นละมาเป็นธรรมเทศนา มันเป็นไปตามนิสัยอย่างนั้นละ
นี่เราก็ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ ในชาตินี้เป็นชาติที่เราหาที่ตำหนิตัวเองไม่ได้แล้วภายในจิตใจ ส่วนกิริยาอาการภายนอกมันเป็นสนามโลกธรรม กิริยาอาการ เช่นเฉพาะอย่างยิ่งกับหมาเข้าใจไหม นั่นเขาเอาไปติดไว้ ประตูเข้ากุฏิเรา เขาเขียนว่าห้ามเข้า แล้วมีหมาถือค้อนไว้ ประตูนั้นก็มีประตูนี้ก็มี หมา เพราะเหตุไรจึงมีหมา เขาเห็นเราชอบหมา เครื่องหมายเขาจึงแสดงเอาไว้นั่น ห้ามเข้าประตูเราก็มีหมาติดเอาไว้เงื้อดไว้งี้ เห็นเราชอบหมา มันก็เป็นนิสัยอย่างนั้นละมา เรากับหมาเล่นกันดี นี่เป็นนิสัย เขาเลยเอานิสัยนี้ไปติดไว้หน้าประตูวัดอีก มีหมาอีกเหมือนกัน เห็นเราชอบหมา ห้ามก็เอาหมาไปห้ามนะ ไม่เอาคนห้ามละเอาหมามาห้าม เห็นทุกคนไม่ใช่เหรออยู่หน้าประตูนั่น นี่ละมันเป็นเครื่องหมายมาจากเราชอบหมาเล่นกับหมา เวลาเขาแสดงอาการอะไรเกี่ยวกับเราเขาก็มีหมาติดๆๆ ไว้หมดเลย
พูดถึงเรื่องการปฏิบัติ เรียกว่าเราหายสงสัยโดยประการทั้งปวงจากผลแห่งการปฏิบัติมา ตั้งแต่วันออกบวชปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ บวชเรียนก็เรียนจริงๆ เพื่อมรรคผลนิพพาน จากนั้นก็พุ่งใส่มรรคผลนิพพาน โดยอาศัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นโรงงานใหญ่ เพราะจิตใจเรามุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพาน แต่ยังมีความสงสัยอยู่ว่ามรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่ต้อนรับสำหรับความมุ่งมั่นของเราหรือไม่ จึงได้เข้ามาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็เปิดโล่งออกเลยเชียว
วันนั้นท่านเทศน์เด็ดมากทีเดียว เพราะท่านรู้จิตใจของเราว่ามุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจ แต่ความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานนี้สุดกำลังเหมือนกัน พอท่านเปิดทางนี้มันก็พุ่งเลย นั่นละความเพียรจึงผาดโผนโจนทะยานมากความเพียรเรา แม้อยู่กับครูบาอาจารย์ท่านสอนเพื่อจะผลักไสขึ้นสู่มรรคผลนิพพาน ท่านยังต้องรั้งเอาไว้เพราะความเพียรมันผาดโผน เช่นอย่างนั่งก็นั่งตลอดรุ่ง ฟาดเสียจนก้นแตก ท่านก็เอาม้ามาเป็นเครื่องอบรมเรา
สารถีฝึกม้า ม้าตัวไหนที่มันคึกมันคะนองมากๆ ไม่ยอมฟังเสียงเจ้าของผู้ฝึกทรมานมันแล้ว สารถีฝึกม้าก็ต้องทรมานอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนกระทั่งม้านั้นค่อยลดพยศลงๆ จนกระทั่งม้ายอมรับการฝึกทรมานของเจ้าของแล้ว การฝึกเช่นนั้นเขาก็ระงับไป ปฏิบัติต่อม้าเป็นธรรมดา นี่ท่านเห็นเราผาดโผน เว้นคืนหนึ่งเว้นสองคืนนั่งตลอดรุ่งๆ ขึ้นไปเล่าธรรมะถวายท่าน
ครั้งแรกท่านก็เป็นอาการของโลกเรา รู้สึกท่านตื่นเต้นอนุโมทนาสาธุการกับเรา พออกพอใจอย่างเห็นได้ชัด คืนแรกๆ นี่น่ะ เพราะนั่งตลอดรุ่ง เวลาจะเป็นจะตายแล้วสติปัญญามาเองนะ เราอย่าเข้าใจว่าจะโง่ไปตลอด คนเราเมื่อจะเป็นจะตายมันหาทางออกด้วยสติปัญญา นี่ทุกขเวทนาบีบบังคับ ไอ้สัจจะความจริงใจของเราก็บีบบังคับไม่ให้ลุก ต้องจากนี้ถึงสว่างเป็นวันใหม่ถึงจะยอมลุก ถ้าไม่ถึงวันใหม่ไม่ลุก ตายก็ตายไปเลย นั่นละมันมัดเข้าความสัตย์ความจริงไม่ให้ลุก ทีนี้ทุกขเวทนามันก็โหมตัวเผาเรา เรานี้เป็นเหมือนหัวตอ ทุกขเวทนาเผาเรานี้เหมือนไฟเผาหัวตอ
ไม่ยอมลุก สติปัญญามันก็หมุนของมัน นั่นละได้คำว่าสิ่งอัศจรรย์ คนเราเมื่อจะเป็นจะตายจริงๆ สติปัญญามีทางออก เปิดออกได้ถึงแดนอัศจรรย์ได้ๆ ทุกคืนในบรรดาคืนที่เรานั่งตลอดรุ่ง เวลาไปเล่าให้ท่านฟังรู้สึกท่านตื่นเต้น ท่านเสริมทีแรก ครั้นต่อมาไปเล่า ท่านก็ค่อยอ่อนลงๆ ต่อมาเงียบๆ นั่นละท่านเลยยกม้ามา คือเรามันผาดโผนเกินไป ท่านจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมท่านรู้จักความพอเหมาะพอดี เรามันจอมโง่ว่าอะไรเอาอย่างนั้น มันจะเป็นจะตายก็ไม่ว่า นั่งจนก้นแตกมันยังไม่ถอย
ท่านจึงยกที่สารถีฝึกม้ามา พอเราทราบอย่างนั้นแล้วเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่งอีก ท่านไม่ได้บอกตรงๆ อย่างนี้ ท่านบอกว่าม้าตัวมันผาดโผนต้องฝึกทรมานอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกไม่ถอย เอาจนกระทั่งม้าลดพยศลงๆ ยอมรับการฝึกของเจ้าของแล้ว การฝึกม้าประเภทนั้นเขาก็ระงับไป ท่านพูดเท่านี้เราก็รู้ตัว นี่แสดงว่าเรามันผาดโผนมาก จากนั้นมาเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง นี่ละอุบายของจอมปราชญ์สอนจอมโง่ จอมปราชญ์คือหลวงปู่มั่น ท่านสอนให้ลดลงอยู่ในความพอเหมาะพอดี จอมโง่คือเรา มีแต่จะเอาท่าเดียว แต่ก็ยอมรับอยู่นะ จอมโง่ก็ยอมรับ จากนั้นมาเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่งอย่างนั้น
นี่ละครูบาอาจารย์สอนคนท่านสอนอย่างนี้ ท่านยกม้ามาเลย ถ้าให้มันสมใจจริงๆ นะ เราเคยพูดเสมอ ท่านพูดถึงเรื่องสารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้นๆ ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงอยากให้ท่านย้อนเข้ามาหาเรานี่นะ มันฝึกยังไง ท่านไม่ย้อนท่านไม่ว่า แต่เราก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอีก นั่นมันก็ได้คติจากท่าน นี่ละการฝึกเราทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะนิสัยผาดโผน ครูอาจารย์แม้ท่านจะเพื่อไสเราให้ขึ้น แต่เวลามันผาดโผนไปท่านก็รั้งเอาไว้ๆ เพราะนิสัยของเรามันผาดโผนตลอดมา ถ้าลงใจเป็นจริงๆ ถ้าไม่ลงใจไม่ลง คาราคาซังอย่างนี้ไม่ลงนะ การประพฤติปฏิบัติไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าได้ลงแล้วตูมเลยขาดสะบั้น
ท่านสอนเราเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน พ่อแม่ครูจารย์มั่นสอนถึงใจแล้วนั่น นั่นละที่นี่มันก็ตูมเลย เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย การฝึกทรมานตนฟาดอยู่ ๙ ปี เหมือนตกนรกทั้งเป็น ตั้งแต่ออกปฏิบัติพรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นี้เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นเลย การภาวนาไปคนเดียวๆๆ นี่เป็นนิสัยผาดโผนเอาจริงเอาจังทุกอย่าง แต่ก็เห็นผล นิสัยอันนี้ก็พอเหมาะพอดีกับเราเป็นคนหยาบ ต้องเอาอย่างหนักอย่างผาดโผน ก็พอดีกับคนหยาบ มันก็ได้ผลเป็นที่พอใจโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเป็นที่พอใจสุดยอดเลย ก็เพราะการฝึกทรมานอย่างนี้แหละ
นี่เราก็ได้ฝึกเต็มเม็ดเต็มหน่วย หายสงสัยแล้ว ในโลกธาตุนี้เราหายสงสัยทุกอย่าง จิตใจบริสุทธิ์สุดส่วนจ้าครอบโลกธาตุ เอา เปิดให้ฟังเสีย ผลจากการปฏิบัติฝึกทรมานจิตใจตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมา ไปนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราก็เล่าให้ฟัง น้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ บนภูเขาเราก็เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ฟาดน้ำตาร่วงอยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นี่ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน แต่ร่วงคราวนี้ร่วงด้วยความอัศจรรย์ธรรมทั้งหลาย ร่วงด้วยความสลดสังเวชในโลกทั้งหลาย ในการเกิดตายของเรา ร่วงคราวนี้เป็นความสลดสังเวช เป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามากอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ น้ำตาที่อยู่หลังเขาอื่นๆ ที่เราสู้กิเลสไม่ได้ เป็นน้ำตาที่ไม่เกิดประโยชน์ น้ำตาขาดทุนสูญดอก
น้ำตาอยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์เป็นน้ำตาที่เป็นไปด้วยความสลดสังเวช ความอัศจรรย์ในธรรมทั้งหลายที่ได้รู้ได้เห็นในคืนวันนั้น นี่ละน้ำตาร่วงเป็นสองอย่าง เราก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว น้ำตาร่วงไม่เป็นท่าเพราะกิเลสเหยียบหัวเอา บนภูเขาเหมือนกัน นี่ก็มาเล่าให้ฟัง น้ำตาร่วงเพราะฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปเกิดความสลดสังเวช เกิดความอัศจรรย์บนภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ก็ได้เล่าให้หมู่เพื่อนฟัง จากนั้นมาหายสงสัยละ เรียกว่าหายเลย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นวาระสุดท้ายในการตัดสินใจระหว่างกิเลสกับธรรมได้ขาดสะบั้นกันลงไปที่วัดดอยธรรมเจดีย์
ตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่ปรากฏว่ามีกิเลสตัวใดเข้ามาแฝงให้ได้ต่อสู้กับมันอีกเลย นั่นจึงว่าหมดสิ้นจริงๆ ค้นหาที่ไหนก็ไม่มี ถึงเขาจะลากคอไปฆ่าต่อหน้าต่อตาคนทั้งหลาย ความโกรธความเคียดแค้นเขาก็ไม่มี มันหมด นั่นจึงเรียกว่าหมด ตายก็ตายทิ้งเปล่าๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่มีโกรธมีแค้นต่อผู้ใดเลย นี่เรียกว่าบริสุทธิ์แท้ กิเลสสิ้นสิ้นอย่างนี้แหละ เข้าใจไหมล่ะ เขาจะลากคอไปฆ่าต่อหน้าต่อตาประชาชน ตัวเองจะเกิดความเคียดแค้นให้เขาที่ถูกเขาฆ่าไม่มี หมด นั่นเรียกว่ากิเลสหมดแท้ ความโกรธก็ไม่มี ความรักความชังแบบโลกทั้งหลายไม่มี บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง นี่ก็ได้ทรงไว้แล้วเต็มหัวใจ ทุกอย่างได้เต็มแล้วในหัวใจ
ชาตินี้เป็นชาติที่ตัดสินแล้วในภพชาติทั้งหลาย จึงได้กล้าประกาศออกมาว่า เราจะเกิดนี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ต่อไปนี้เราจะไม่เกิดอีกแล้ว ธรรมะเครื่องตัดสิน สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดประกาศป้างออกมาแล้ว เป็นคนละฝั่ง ฝั่งนี้เป็นฝั่งวัฏวน ฝั่งนี้เป็นฝั่งวิวัฏฏจักรคือพระนิพพาน ขาดสะบั้นไปอยู่คนละฝั่งแล้วจะเอามาต่อกันได้ยังไง นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศขึ้นตรงนั้นละ ท่านกลางแห่งฝั่งทั้งสอง ฝั่งวัฏวน ฝั่งวิวัฏฏจักรคือพระนิพพานประกาศป้างขึ้นมา จึงได้หายสงสัย อันนั้นก็เป็น ๒๔๙๓ นะ ที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จำได้จนกระทั่งวัน วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี
ไม่ลืมนะอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ นี่เป็นวาระสุดท้ายของเราที่ได้ฟัดกับกิเลสว่างั้นเถอะ จากนั้นมาก็หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ แต่กิริยาอาการของธาตุของขันธ์นี้อยู่ในท่ามกลางของโลกธรรม เรียกว่าอยู่ในสนามโลกธรรม ต้องถูกติถูกชมเป็นธรรมดาอย่างพระสารีบุตร ท่านโดดข้ามคลองไปมาตามนิสัยเดิมของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านเป็นผู้สิ้นสุดวิมุตติพระนิพพานแล้วก็ยังถูกพระปุถุชนยกโทษ นี่เป็นพระอรหันต์ด้วยเป็นอัครสาวกข้างขวาด้วยแล้วทำไมมาโดดกลับไปกลับมาเหมือนลิง แน่ะ ถูกพระปุถุชนยกโทษท่าน แต่ท่านก็ไม่มีอะไร สักแต่ว่ากิริยาตามนิสัยเฉยๆ เป็นตามนิสัยเดิม ท่านเป็นพระบริสุทธิ์
พระพุทธเจ้าตัดสินผางออกมาเลย โอ๋ เธอเคยเป็นลิงมาหลายภพหลายชาติ นิสัยของเธอก็มีการแสดงออกบ้างตามนิสัยเดิม ไม่ได้ไปลบล้างธรรมทั้งหลายให้กิเลสมาครองเป็นอรหันต์แทน ไม่มี ก็อรหันต์ตามเดิม นี่เราก็แก่ลงทุกวันแล้ว ๙๕ นี่รู้ชัดนะ อ่อนลงๆ จะเดินไปไหนมาไหนเหนื่อย เหนื่อยลงทุกวันๆ ธาตุขันธ์ ๙๕ ย่าง ย่าง ๙๕ สิงหา กันยา นี่ละ ๙๕ กำลังย่างเข้ามา ก็หายสงสัยแล้วมันจะย่างไปไหนก็ย่างไปเถอะประสามืดกับแจ้งประสาธาตุขันธ์ ไปสุดขีดแล้วมันก็ลงของมันเองเหมือนโลกทั่วๆ ไป เกิดแล้วต้องตายเหมือนกัน
เราไม่ได้วิตกวิจารณ์ สิ่งที่เราจะตักตวงเอาเพื่อสารประโยชน์ของเราอันสำคัญอันอัศจรรย์นั้นเราตักตวงเอาหมดแล้ว ถ้าพญามัจจุราชได้ไปก็ได้แต่บ้านร้างเมืองร้าง สมบัติเขาขนออกหนีหมดแล้วได้แต่บ้านร้าง นี่สมบัติคือคุณธรรมขนออกจากธาตุขันธ์นี้หมดแล้ว มันจะตายเมื่อไรก็ตายเราไม่เห็นตื่นตกใจอะไรกับความเกิดความตายนะ เสมอกันหมด ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ การสอนก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยสอนพี่น้องทั้งหลาย สอนอย่างไม่ปิดบัง สอนอย่างตรงไปตรงมา การปฏิบัติก็ตรงไปตรงมาต่อความสัตย์ความจริง ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาตามความสัตย์ความจริงเหมือนกัน รู้ก็บอกว่ารู้หลงก็บอกว่าหลงอย่างนี้ละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
ธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วให้พากันก้าวเดิน ก้าวเดินไปตามธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วจะใกล้ชิดติดพันกับมรรคผลนิพพานเข้าโดยลำดับ สุดท้ายพ้นทุกข์ได้ จำคำว่าสวากขาตธรรมให้ดี ตรัสไว้ชอบแล้วคือทางเดินราบรื่นถึงนิพพาน ที่ว่าตรัสไว้ชอบแล้วคือทางเดินเรียบถึงนิพพานอย่าปลีกอย่าแวะ เอาละเอาเท่านั้นละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |