เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
บูชามหาคุณ
หลวงปู่มั่นท่านพูดเรื่องสมัยท่านเป็นเณร ท่านเล่าท่านเล่าเฉยนะ แต่เรานี่มันจะตาย อกจะแตก หัวเราะมันจะดันออกมา เข้าใจไหม คือท่านพูดท่านเฉยนะ ไอ้เราผู้ฟังมันจะตาย มันกดมันดันออกมา มันอยากหัวเราะ ท่านพูดถึงพวกเณร แต่ก่อนท่านเป็นเณร นั่งเป็นแถว ทีนี้พวกเณรไหนๆ ที่ไม่ได้ ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ แล้วเราต้องเสกข้าวเป่าข้าวแล้วยื่นให้กันไปเรื่อย ท่านว่าอย่างนี้ ท่านพูดท่านเฉยนี่ คือเอาความจริงมาพูด สมัยท่านเป็นเณร เณรที่เป็นหัวหน้าเณรก็เสกปฏิสังขา เป่าแล้วก็ยื่นให้องค์นี้ไปเรื่อยๆ พวกไม่ได้ปฏิสังขา ก็ได้รับอันนี้ไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะฉัน
คือปฏิสังขานี้ดับไฟนรก ถ้าใครไม่ได้ ปฏิสังขา ตายไปตกนรกท่านว่างั้น เขาทำเป็นตุเป็นตะจริงๆ นะ ท่านเล่าก็เล่าน่าฟัง ท่านเล่าเฉยเลย แต่เรามันจะตาย พอปฏิสังขาแล้วก็เป่าฟู่ๆ แล้วก็ยื่นคำข้าวให้องค์นั้นๆ ไปเรื่อยๆ พวกเณรไม่ได้ ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ แล้วก็เสกเป่าให้ ยื่นคำข้าวให้กันก่อนจะลงมือฉัน เพื่อดับไฟนรก ปฏิสังขานี้ดับไฟนรก ใครไม่ได้ปฏิสังขา แต่ฉันลงไปนี้ ตกนรกท่านว่างั้น ท่านเล่าท่านเล่าเฉยนะ แต่เรามันจะตายละซิ ผู้ฟัง เรามันนิสัยชอบหัวเราะด้วย พูดอะไรนี้ท่านพูดเฉย ไอ้เรามันจะตาย กดดันอยู่ภายใน
มันขบขันที่ว่าเดินบิณฑบาตบ้านหนองผือ นิสัยเรามันก็เป็นนิสัยลิง ท่านพูดเป็นแบบราชสีห์ เฉยพูด นิสัยท่านเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ใช่วัดรอยนะ มันมีนิสัยคล้ายคลึงกัน เวลาเดินบิณฑบาตไปเห็นอะไรนี่ มันจะมีเป็นธรรมออกมารับๆ เราถึงได้รู้เรื่องของท่าน โอ๊ ที่ท่านพูดไม่หยุดนี้ พูดเรื่องสัตว์ตัวนี้เรื่องสัตว์ตัวนั้นไปเรื่อยๆ ต่อกันไปเรื่อยนี้เป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอยู่ในจิตนะ เราบิณฑบาตก็เหมือนกัน มันเป็นในจิต พอมองเห็นปั๊บนี้ ธรรมมันจะรับกันเลย คำพูดที่จะเป็นธรรมต่อสัตว์อันนี้น่ะ นำออกมาพูดนี่มีเป็นลำดับ
ทีนี้ก็ไปบ้านหนองผือนาใน ไปบิณฑบาต เขาขุดร่องมาถมถนนให้เดินไปสะดวกๆ ท่านไป คือไปเจออะไรท่านจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาละ เราจึงได้เตือนหมู่เพื่อน ถ้าใครตามท่านให้ระวังให้มาก เราไปตามรู้เรื่องของท่านหมดแล้วนี่ เรื่องของท่านเป็นยังไง ท่านเป็นธรรมท่านพูด พอไปเจอสัตว์พวกหมาก็ดี พวกหมูก็ดี พวกเป็ด พวกไก่ พวกวัว พวกควายอะไรนี้ ท่านจะพูดเรื่องนี้ต่อไป ไปเจออันนั้นพูดเรื่องนั้นต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นธรรมของท่านเอง
ทีนี้พอไปถึงนั้น ท่านพูด ท่านพูดเฉยๆ นี่เห็นไหมท่านว่างั้น ท่านก็พูดไปของท่านอย่างนั้นดังที่เคยพูด นี่เห็นไหม หมูเขาไม่มีจอบมีเสียม เขามีจมูก เขาเอาจมูกดันหญ้าแห้วหมูนั่นออกมากิน นั่นเห็นไหม เขาจนหรือปัญญา ดีไม่ดีเราสู้เขาไม่ได้ มิหนำซ้ำยังว่า เราเอาบาตรไปหาขอทาน หมูเขาไม่เห็นไปหาขอทาน ..ท่านตีพระอยู่ในนั้น ท่านไม่หัวเราะนะ ท่านพูดเฉย แต่เรามันจะตาย
พอดีไปเห็นหมู ๓ ตัวอยู่ด้วยกัน อยู่ข้างๆ นี่ละ ท่านเดินไปนี้ เขาก็ไม่กลัว เขาขุดหญ้าแห้วหมู เขาเอาจมูกเขาขุดๆ นี่เห็นไหมท่านว่า หมูเขาฉลาด เขาไม่มีจอบมีเสียม เขาเอาจมูกขุดกินเห็นไหม มิหนำซ้ำยังย้อนเข้ามาหาพวกเราอีก สอนพวกเราในตัว พวกเราไม่มีอะไร เอาบาตรไปหาขอทานกิน หมูเขาไม่ได้ไปหาขอทาน จะขอทานยังไง เจ้าของเขาเลี้ยงจนจะตาย เข้าใจไหม มันนึกในใจนะ นึกในใจ เจ้าของเลี้ยงจนจะตายแล้ว มันมาหากินเศษกินเดนเฉยๆ ละพวกนี้ ว่าเขาฉลาด เขาหากินของเขาเอง พอไปถึงนี้มันจะฉลาดแค่ไหน หมู ๓ ตัวนี้ ไอ้เรามันนิสัยอย่างนี้ละ ท่านเดินไป ท่านก็เดินไปเฉยพูดไปเฉย
พอไปมันกำลังขุดดิน ตีนเราก็แหย่ไปนี้.กี้ก.โดดตกคลองกลิ้งทั้ง ๓ ตัว หงายท้องขึ้นมา คือเราเอาเท้าเราแหย่ไปหามัน ก็มันไม่กลัว มันอยู่ข้างๆ ท่านเดินไปเฉย มันก็ไม่กลัวซิ เรามันไม่เฉยละซี พอไปก็เอาเท้าแหย่ไปนี้ มันก็ตื่นเท้าเรา กี้ก ก็ตกไป ๓ ตัว กลิ้ง ใครไปทำหมู เขาหากินของเขาอยู่ ไปยุ่งเขาทำไม ท่านพูดท่านไม่หัวเราะนะ เขาหากินอยู่ดีๆ ไปยุ่งเขาทำไมจนกระทั่งเขาตกคลอง หงายท้องขึ้นฟ้า ท่านก็พูดเฉยๆ ท่านพูดอย่างนั้น เราอดหัวเราะไม่ได้
เรามันดื้ออย่างหนึ่งอยู่นะ ท่านพูดไปอย่างหนึ่ง มันหากมีอะไรแทรกอยู่ในนี้ละ พอไปถึงไปให้พร คือสำหรับสุดท้ายนู้นเขามารวมกันมากๆ ให้พรจุดนั้นจุดหนึ่งๆ จุดต้นจุดปลาย สองจุด พอให้พร ท่านยถาถึงสัพพี เราสัพพีไม่ได้ซิ มันอดหัวเราะไม่ได้ ไอ้หมู ๓ ตัว ตกกลิ้งร้องกี้ก หงายท้องขึ้นมา เราแหละไปทำเขา ท่านเฉย พอยถาไปถึงสัพพี เราสัพพีไม่ได้ซิ ท่านก็เลยสัพพี หมู่เพื่อนก็รับสัพพี เราเลยให้สัพพีไม่ได้ ท่านก็นิ่งเฉย
คือธรรมดายถาถึงสัพพี เราต้องเป็นผู้สัพพี อยู่ติดกับท่าน ทีนี้เรานำสัพพีไม่ได้ มันจะตายอดหัวเราะไม่ได้ ท่านก็เลยสัพพี หมู่เพื่อนก็เลยสัพพี เราเลยอดหัวเราะ อันนั้นก็พักนึง ยังไม่แล้วอีกแหละ มาสุดท้ายนี่วันเดียวกันนั่นแหละ นี่ก็หมูอีกแหละ ท่านพูดท่านไม่หัวเราะนะ ไอ้เรามันจะตายละซิ เป็นนิสัยลิงนี่ พอไปถึงนั่น พอท่านมานั่งปั๊บ แล้วหมู ๒ ตัวอีกแหละ กอไผ่อยู่นั่น มันไปหากินกับคนข้างๆ มันไปดันกัน กัดกันซิ กัดกันดันตัวนี้ ดันตัวนั้น ดันตัวนั้นเข้ากอไผ่ เข้ากอไผ่ร้องกี้กๆ ทางนี้ยังดันเข้าไป ทางนั้นร้องกี้กๆ ทางนี้ยังดันอยู่ตลอด เอ้อ ไอ้นี่ก็ไม่รู้จักแพ้จักชนะ ท่านพูดเฉยๆ ไม่รู้จักแพ้จักชนะ เขายอมเขาร้องกี้กๆ ยังดันเข้ากอไผ่อีก มันยังไงกันไอ้นี่น่ะ ไม่รู้จักแพ้จักชนะ ท่านก็พูดเฉยๆ
ไอ้เรามันจะตายซิ มองเห็นหมูตัวนี้ดันตัวนั้นเข้ากอไผ่ มันติดกอไผ่ตัวนี้ก็ยิ่งดันใหญ่ ตัวนั้นร้องกี้กๆ เขายอมแล้วเขาร้องกี้กๆ ตัวนี้ยังไม่ยอม ยังดันอยู่นั่น มันยังไงไอ้นี่น่ะท่านว่างั้น ท่านก็ไปนั่งให้พร เราก็รับไม่ได้อีกแหละ ๒ หน พอออกมา แล้วก็หมู่เพื่อนไป มันยังไงท่านมหาวันนี้น่ะ ให้พรสองหนสามหน ไม่เห็นรับสัพพีบ้างเลย อู๊ย ไอ้หมูสองตัวนั้นมันเป็นเหตุ หมูสองตัวนี้มันเป็นเหตุ ประสาหมูท่านว่า ท่านก็พูดเรื่อยไป เรามันจะตายซิ ให้พรไม่ได้ อย่างนั้นละนิสัยเรา นิสัยท่านเฉยนะ ไอ้เรามันหากมีเรื่องอยู่นั้นละอยู่ในตัว ยถาสัพพีเลยไม่ได้ วันนั้นไม่ได้ทั้งสองแห่งเลย ขบขันดี ท่านพูดเฉยๆ เราจะตาย
วันนี้พูดเรื่องปฏิสังขา เสกคาถาปฏิสังขาแล้วก็ยื่นคำข้าวให้กัน ให้เณรเป็นแถว หัวหน้าเณรเสกคาถาเป่าฟู่ๆ แล้วก็ยื่นให้นี่ ยื่นให้นั่น ท่านพูดตั้งแต่สมัยท่านเป็นเณร เวลาปฏิสังขาไม่เป็น หัวหน้าเณรก็เสกปฏิสังขาให้แล้วก็ยื่นคำข้าวส่งไปๆ แล้วค่อยลงมือฉันกัน ดับไฟนรกท่านว่า คาถานี้คาถาดับไฟนรก ถ้าใครฉันจังหันไม่มีปฏิสังขา พวกนี้ตกนรก ไอ้เรามันขบขัน เลยอดหัวเราะไม่ได้ ท่านพูดเฉยนะ แต่ท่านเป็นเณรท่านก็ได้รับปฏิสังขา เขายื่นคำข้าวมาให้ ยื่นมาให้เรื่อยๆ พวกเณรข้างหน้า ยื่นคำข้าวเสกเป่าแล้วก็ยื่นมาๆ ท่านพูดเฉย ไอ้เรามันจะตายละซิ
เวลาท่านพูดขบขันก็ขบขันจริงๆ แต่ท่านนั้นเฉย คือท่านพูดตามเรื่องราวที่เคยเป็นมายังไงท่านก็เอาเรื่องราวมาพูดเวลาว่างๆ คุยกันเฉพาะเวลาว่างๆ คุยธรรมดาๆ มันไปสัมผัสอะไรท่านก็พูดออกมา ท่านพูดนี้เฉยท่านไม่มีอะไร แต่เรามันจะสลบไสลซิ มันอดหัวเราะไม่ได้ อู๋ย มัดไว้จะตายละอกจะแตก มันอดหัวเราะไม่ได้ ท่านพูดอะไรท่านพูดเฉยด้วย เรื่องน่าหัวเราะท่านก็ไม่หัวเราะ ไอ้เรามันจะตาย ท่านพูดสบายๆ ไม่มีละเรื่องที่จะหัวเราะ แต่เรามันจะตายซิ ที่หัวเราะก็หัวเราะไม่ได้ เหยี่ยวอยู่ข้างบนด้วย นกมันจะมาจี้กแจ้กอยู่ได้ยังไงใช่ไหม นี่ละมันขบขัน
พ่อแม่ครูจารย์มั่นนิสัยท่านเป็นอาชาไนย ท่านไม่พูดอะไรอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าหัวเราะลั่นดังทั้งหลายไม่มี ถ้าเรานี้เป็นบ้าไปเลยละ ก็อย่างนี้แหละพูดอย่างนี้มันก็หัวเราะอยู่จะให้ว่าไง แต่ท่านเฉยทั้งนั้น พูดน่าขบขันน่าหัวเราะนี่ท่านก็เฉย มันน่าขบขันน่าหัวเราะมันก็ต้องหัวเราะไม่ใช่คนตายใช่ไหม ท่านเฉยนะ แต่เราจะหัวเราะก็ไม่ได้ บังคับเอาไว้เหยี่ยวอยู่ข้างบนนั่นต้องระวัง แต่เราพูดตามความจริงนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ท่านรู้สึกว่าเมตตามากสำหรับกับเรานะ เอะอะท่านมหาไปไหน ยิ่งป่วยด้วยแล้วพอลืมตาปั๊บท่านมหาไปไหน แน่ะถาม
บางทีอยู่ในวัดเงียบๆ มีพระขึ้นไปคุยกับท่านอะไรๆ บางทีท่านก็ยังถาม ท่านมหาไปไหน ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันท่านก็ยังถาม เพราะการงานทุกอย่างเราจะทำให้เต็มภูมิความสามารถของเรา พระเณรอยู่ในวัดทั้งหมดเป็นเราดูแล ท่านอยู่เป็นความสงบร่มเย็นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เรามาหาท่านมาเองท่านไม่ได้ขันตีนิมนต์มา มาจะมาทำระเกะระกะให้ท่านขวางหูขวางตาขวางใจไม่เหมาะ ทีนี้เมื่อเรามาอยู่ที่นั่นแล้วต้องคอยสอดส่องดูพระดูเณร เราไม่ได้มีความสุขนะอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพื่อรักษาส่วนใหญ่ให้ท่านอยู่สะดวกสบายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
เราจะคอยตบคอยตีแนะนำสั่งสอนพระเณรอยู่ตลอด ไปไหนซอกแซกซิกแซ็กเรื่อยอย่างนั้นละ พระเณรนี้กลัว กลัวเรานี้กลัวจริงๆ กลัวมากอยู่ แต่กลัวหาที่ตำหนิไม่ได้ กลัวด้วยความเคารพ เพราะเราจริงจังทุกอย่างแต่ไหนแต่ไรมา อยู่กับครูบาอาจารย์ก็เป็นอย่างนั้น สมมุติว่าเราลาท่านไปเที่ยว ก่อนจะไปเที่ยวก็กราบเรียนเสียก่อน ว่าทางวัดทางวานี้มีธุระอะไรๆ บ้าง ถ้าท่านว่าไม่มีธุระ ไม่มีอะไร ถ้าไม่มีก็อยากจะนมัสการกราบลาพ่อแม่ครูจารย์ไปเที่ยวภาวนาสักระยะหนึ่ง เราบอกสักระยะหนึ่ง
อาการของท่านดูไม่อยากให้ไป คือส่วนใหญ่เราปกครองไปหมดท่านสงบร่มเย็น ดูพระเณรก็คงจะเรียบร้อยท่า เวลาเราไปแล้วอาจจะระเกะระกะขวางหูขวางตาท่านหากรู้ รู้ในนิสัยกิริยาอาการของท่านที่แสดงออก เวลาเราจะลาท่านไปเที่ยวดูอาการท่านท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราท่านก็จำต้องอนุญาตให้ไป เวลาไปเราก็บอกว่าจะไปสักชั่วระยะหนึ่ง ดูอาการของท่านไม่อยากให้ไป ก็เพราะดูแลพระเณร
เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เราจะต้องติดแนบตลอดเวลาเลย ยิ่งท่านป่วยหนักเท่าไรเราอยู่กับท่านเป็นประจำเลย กลางคืนก็ตามกลางวันก็ตาม กลางวันบางทีมันกำเริบโรค แล้ววัณโรคด้วย ถ้าเวลาหนาวๆ นี้ไอ บางคืนไม่ได้นอนทั้งคืน เราก็ไม่ได้นอนทั้งคืน สำลีใส่กะละมังมาวางไว้นี้ เราเอาสำลีมาห่อกว้านเสมหะมันเหนียว เราเป็นผู้ทำทั้งหมด เอากะละมังสำลีมาวางไว้นี้ แล้วก็เอานี้มากว้านๆ เอาออกใส่กระโถนๆ เราทำอย่างนี้ เขาว่าอะไรวัณโรคมันติดง่าย แต่ก่อนแก้ไม่ตกวัณโรค
เราไม่เคยสนใจกับวัณโรควัณแรกอะไร สนใจแต่พ่อแม่ครูจารย์ ตัดทุกอย่างถวายท่านหมดแล้ว มันจะเป็นวัณโรคนะแรกไหนก็ให้มาว่างั้นเลย เราขอบูชาครูอาจารย์ด้วยชีวิตจิตใจของเรา เราไม่ได้กลัววัณโรคนะแรกยิ่งกว่าความรักความเทิดทูนครูบาอาจารย์ เอาอย่างนั้น แต่ก็เดชะนะจนกระทั่งท่านล่วงไป แทนที่จะเป็นวัณโรคไม่เป็น คลอเคลียกับท่านอยู่ตลอด กะละมังสำลีอยู่นี้ จับนี้ปั๊บเอาไปกว้านออกๆๆ ปากเรากับปากท่านอยู่ด้วยกัน ไม่เคยเป็นนะ เดชะอยู่ไม่ติด วัณโรคเขาบอกว่าติดง่ายที่สุด แต่เราไม่มีอะไร คือเราไม่สนใจกับโรคอันนี้เลย ยิ่งกว่าความรักความเทิดทูนครูบาอาจารย์ของเรา หัวใจเราอยู่นั้นหมดเราไม่ได้มาอยู่กับวัณโรค เป็นตายอะไรเราไม่สนใจ
แต่ครั้นแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่ติด ธรรมดาติด ถ้าลงขนาดนี้แล้วร้อยทั้งร้อยติด แต่เราไม่ติด ไม่มีอะไร ผ่านมาได้สะดวกสบาย ตอนนั้นวัณโรคยังแก้ไม่ตก เหมือนอย่างมะเร็งสมัยปัจจุบันแก้ไม่ตกอย่างเดียวกันนี้ เราได้ปฏิบัติท่านเต็มกำลังความสามารถของเรา เรียกว่าทุ่มหมดเลย ชีวิตจิตใจทุกอย่างในตัวเราไม่ให้มีตัวเราเลย ให้อยู่กับท่านทั้งหมด การประพฤติปฏิบัติไม่ว่าอาการใดๆ เราจะต้องรับผิดชอบดูแลเหมือนอวัยวะท่านกับเราเป็นอวัยวะเดียวกัน เคลื่อนไหวอะไรเราจะต้องเคลื่อนทันทีๆ
ปวดหนักปวดเบาอะไรนี้เรารักษาท่านนี้รักษาด้วยความเทิดทูน รักด้วยสงวนด้วยจึงไม่ให้ใครเข้าไปเห็นอวัยวะท่าน ไม่ให้มีไม่ให้เห็น เราคนเดียวซึ่งเท่ากับอวัยวะของท่าน ของท่านกับของเราเป็นอันเดียวกัน จะเป็นอะไรก็ตาม ปวดหนักปวดเบาปวดอะไรๆ เราจัดการทำหมดไม่ให้ใครไปเห็นเลย เรารักเราสงวน มันหากเป็นในตัวของตัวเองนะ ไม่ได้ไปรับการเสี้ยมสอนมาจากใครละ มันหากเป็นของมันเองด้วยความรักความเทิดทูน เราทำเรียบวุธหมด
การถ่ายหนักก็ดีถ่ายเบาก็ดีเราจะจัดการของเรา ทำคนเดียวๆ ไม่ให้ใครเห็นอวัยวะท่าน เรารักษาหมดเลยอวัยวะท่านไม่ให้ใครเห็น พอเรายื่นออกมาทางนู้นก็จับออกๆๆ เราเป็นผู้จัดอยู่ภายใน อันนี้เราก็พอใจ เรียกว่าไม่มีอะไรเหลือเลย เรายกเป็นการบูชาทั้งหมดในร่างกายของเรานี้บูชามหาคุณของท่าน เพราะท่านแนะนำสั่งสอนเราเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ เวลาติดสมาธิท่านก็ขนาบออก มันติดจริงๆ นะติดสมาธิ นั่งทั้งวันไม่ให้คิดให้ปรุงอะไรเลย แน่วนี้ยิ่งดีๆ มันติด ท่านมาไล่ออก ทีนี้เวลาออกทางสมาธิออกทางด้านปัญญามันก็หมุนติ้วเลย ออกทางด้านปัญญาไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนเหมือนกัน
เวลาอยู่สมาธิก็เหมือนหมูขึ้นเขียงติดติดสมาธิ ท่านถามทีไร ท่านถามเพื่อจะหาข้อบกพร่องสมบูรณ์ของเรานั่นละ ไปยังไงท่านมหาภาวนาจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่ท่านก็ฟังไปๆ บทเวลาท่านจะเอา เป็นยังไงท่านมหาจิตสงบดีอยู่หรือ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตาย ขึ้นเลยทันทีนะ โอ๋ย ผางๆ เลย ท่านรู้ไหมสมาธินี้เหมือนหมูขึ้นเขียงท่านรู้ไหมๆ ซัดเข้าไปเลย แก้กิเลสไม่ได้แก้ด้วยสมาธินะ สมาธิเป็นที่พักจิตต่างหาก แก้กิเลสแก้ด้วยปัญญานะ ท่านจะนอนตายอยู่ในนั้นเหรอ
เวลาท่านเอาท่านไม่ได้ธรรมดานะ เหมือนจะกัดจะฉีกกิริยาอาการของท่านด้วยความเมตตา ที่ออกมานั้นเป็นความเมตตาทั้งหมดนะ ผางๆๆ พอท่านไล่ออกจากสมาธิแล้วมันไม่อยากออกนะ อยู่ที่ไหนเป็นหัวตอไม่มีอะไรกวนใจ แน่วทั้งวันทั้งคืน นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิเต็มภูมิ แล้วก็ติดสมาธิอีกด้วยท่านก็เขกออกซิ เวลาออกทางด้านปัญญานี้ ออกก็ออกจริงที่นี่เพราะสมาธิมันพอตัวแล้ว จิตอิ่มอารมณ์แล้ว ท่านไล่ออกทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญาก็ออกเอาจริงๆ ไม่นอนทั้งวันทั้งคืนอีกละนี่ก็ดี เวลาออกทางด้านปัญญา
เพราะสมาธิมันหนุนปัญญาได้ดีแล้ว พอออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งๆ เลย นี่ท่านก็เอาอีกท่านก็ขนาบอีก เราว่ามันพิจารณาทั้งวันทั้งคืน ท่านบอกมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านว่าธรรมดากลัวเราจะไม่รู้สึกตัว ท่านจึงว่ามันหลงสังขาร ซัดเลย นี่ท่านรั้งเอาไว้ให้พัก ทางด้านปัญญาเวลามันหมุนจริงๆ นี้ปัญญาไม่มีทางพักนะ ฟาดมันเตลิดเปิดเปิง บางคืนนอนไม่หลับกลางวันนอนไม่หลับ ต้องเข้าพักด้วยพุทโธ เอาพุทโธมาบริกรรมๆ ลงแน่ว จิตออกทางด้านปัญญาหยุดหมด เข้าสู่จุดพุทโธคำเดียว
สำหรับเราชอบพุทโธ อยู่กับพุทโธๆๆ ไม่ให้ออกทางด้านปัญญา ลงแน่วเลย พอจิตลงสมาธิแล้วสงบแน่วเย็นสบาย ทีนี้ควรแก่เวลาแล้วค่อยปล่อย พอปล่อยแล้วก็ผางเลยออกทางด้านปัญญา อย่างนี้ท่านสอนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ท่านสอนเราทั้งหมด ไปกราบท่านนี้เหมือนว่ามันซึ้งเหลือประมาณ กราบท่านที่ศาลา กราบด้วยความซาบซึ้งในบุญในคุณของท่านล้นเกล้าล้นกระหม่อมของเราตลอดเวลา ไปกราบท่านที่ศาลาใหญ่
พ่อแม่ครูจารย์เป็นผู้เป่ากระหม่อมให้เราหมดเลย ตั้งแต่ขั้นสมาธิถึงขั้นปัญญา ปัญญาทุกขั้นท่านสอนถูกต้องๆ หมด เราก็ก้าวตามนั้นๆ จึงได้เทิดทูนสุดหัวใจ เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยก็เรียกว่าเราก็พอใจในเรา คือพอใจในการอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่าน ท่านเป็นยังไงก็ตามไม่สนใจว่าเจ้าของจะเป็นยังไง ถ้าท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเราก็ไม่นอน ท่านเป็นอะไรเราก็เป็นอย่างนั้นด้วย แล้วก็พอดีเวลาลืมตา บางทีท่านเคลิ้มหลับไปบ้างพอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน แน่ะเอาละนะปั๊บท่านมหาไปไหน พระทั้งวัดท่านไม่ถามหา เป็นไงเป็นยังงั้นฟังซิน่ะ พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน
ก่อนที่เราจะไปเราเดินจงกรมอยู่ตรงนั้นบอกแล้วบอกพระแล้ว ให้พระดูแลท่านแทนเรา เวลาเห็นท่านหลับแล้วก็ออกไปไปเดินจงกรม บอก พอท่านลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน พระปุ๊บออกไปไปบอก เราก็ปุ๊บเข้าเลยเข้ามุ้ง อยู่มุ้งท่านกับเราเท่านั้น พระทั้งวัด แล้วพระทั้งหลายท่านก็ไม่อาจเอื้อม ท่านก็พอใจที่จะปฏิบัติ แต่ท่านเห็นเราทำกับท่านอยู่เป็นยังไงท่านก็ดูแล้วนี่ ใครจะไปทะลึ่งเข้าไป เป็นอย่างนั้นเราปฏิบัติต่อพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียกว่าสุดกำลัง
เราก็ภูมิใจในการอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ จนขนาดที่ว่าลืมตาขึ้นเมื่อไร ท่านมหาไปไหนๆ อยู่งั้นนะ ไม่ถามหาใครละถามหาเรา เพราะเราเอาจริงเอาจังทุกอย่างกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ด้วยความรักความเทิดทูนสุดหัวใจเรา เวลาท่านล่วงไปแล้ว แหมน้ำตาพังเลยนะ พังอยู่ข้างศพท่าน ท่านนอนมรณภาพ เราไปนั่งตั้งแต่ตี ๔ นั่งรำพึงรำพันเจ้าของ โอ้ หมดที่พึ่งๆ ตอนนั้นสติปัญญาของเรากำลังหมุนเป็นธรรมจักร เป็นมาแต่ก่อนนู้นแล้ว ท่านก็ทราบแล้วว่าจิตของเราเป็นธรรมจักร มันหมุนตัวเป็นอัตโนมัติแล้ว ท่านก็รู้ตั้งแต่ท่านยังไม่ป่วย จิตเริ่มเป็นมาแต่นู้นแล้ว
เวลาท่านป่วยนี้เราก็หนักเรื่องจิตใจ ท่านก็หนักทางธาตุทางขันธ์ ขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา รบกันตลอด เราก็หนักทางด้านจิตใจหมุนติ้วๆ ท่านก็หนักทางธาตุทางขันธ์ ก็ต้องดูแล้วท่านดูแลเราอยู่อย่างนั้นตลอด กับพ่อแม่ครูจารย์นี้เราทำเต็มภูมิของเราเลย สดๆ ร้อนๆ นะกับพ่อแม่ครูจารย์ ทุกวันนี้ไม่ได้มีจืดมีจางแม้เม็ดหินเม็ดทราย คือความเคารพความรักความซึ้งในพระคุณของท่านเต็มอยู่ในหัวใจนี้หมดเลย จึงไม่มีคำว่าจืดจางกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอาละที่นี่ให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |