เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ภูเขาลูกนี้เราเที่ยวมากที่สุด
เราคิดไปถึงเวลามันจนตรอกของมันมีนะ เราตอนเรียนหนังสืออยู่ก็มี คือตอนเรียนหนังสือ เราไปเรียนที่โคราช แล้วเกี่ยวข้องกับกรุงเทพฯอยู่เสมอ ไปกรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ มาโคราช ไปมาบ่อยด้วยรถไฟ คือตอนก่อนไม่มีรถยนต์ ทางถนนรถยนต์ไม่มี มีแต่รถไฟ รถไฟเขาก็ไปตามเวลาเช่นตอนเช้า ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ซึ่งมีรถเต็มถนน ไม่ว่ารถไฟ รถยนต์เต็มถนน มันไม่มีนะ ถ้าไปไม่ทันเวลาไม่ได้ นี่เราก็ไป คือออกจากโคราชแต่เช้า รถไฟออก คือว่าต้องเสียสละแหละ ตอนเช้าก็ตอนเช้า
นี่อันหนึ่งมันก็แปลกๆ อยู่นะ ไปนั่ง คือวันนี้มาเรียกว่าตั้งใจเสียสละไม่ฉัน อยู่ในรถไฟมันมีเทวดาอยู่นั้นจนได้ เทวบุตรเทวดามี เราก็นั่งอยู่ในนั้นไม่สนใจ เขาก็รู้นี่พระท่านฉันตอนเช้าตอนอะไร ก็เขารู้เรื่องของพระนี่ เราก็นั่งของเราเฉย แล้วอยู่ๆ เขาเอาจานเอาอะไรในรถไฟ ตู้เสบียง เทวบุตรเทวดาอยู่ในนั้น เขาไปสั่งอาหารในตู้เสบียงเอามาถวายเต็มไปหมดเลย คือเราก็เหมือนว่าตัดสินใจไม่ได้ฉันละวันนี้ ตั้งใจไม่ฉันละ ที่ไหนได้เต็มเลย แน่ะ มันแปลกอยู่นะ
ไปหลงป่าอีกแหละ อันนี้ยิ่งแน่ ตาย ถ้าไม่ไปเจอเอา ๒-๓ กระต๊อบเขา หลงป่าเข้าไปกลางภูเขา ตอนนั้นยังไม่ได้แยกจากกัน เข้าในกลางภูเขาแล้ว แล้วต่างองค์ก่อนจะได้แยกไปทางนู้นทางนี้ ไปด้วยกัน ๓ องค์ ออกจากบ้านโคกนามนจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปก็เข้าเขาเลย เพราะภูเขามันติดกันกับบ้านห้วยหีบ เข้าไปนั่นไปภูเขา เข้าไปกลางเขาเลยหลง หลงอยู่กลางเขาเลย ใครจะไปคาดไปฝันที่ไหนว่าจะมีผู้มีคน ถ้าไม่ไปตามทางก็หลงป่าหลงเขาตายอยู่ในนั้นแหละ นี้ไปก็ไปหลงป่าอีกแหละกลางคืนนอนอยู่ในเขานั่นแหละ
พอตื่นเช้ามา เอ้า ใครลองตั้งสัจจะอธิษฐานลองดู จะเอาออกให้รู้ในทางฝันก็ได้ รู้ทางด้านภาวนาก็ได้ว่างั้นนะ ตอนนั้นยังไม่ได้แยกจากกัน ไปด้วยกัน ๓ องค์ ว่าบ้านอยู่ที่ไหน บ้านอยู่ทางไหน พอตื่นเช้าก็ออกมาหากัน อยู่ในป่า กางกลดลงในนั้นนอน ตอนเช้าพอสว่างก็มาหากัน บ้านอยู่ทางไหน ชี้ไปทางทิศใต้นะ อยู่ทางนี้ ถามองค์นี้ว่าอยู่ทางไหน อยู่ทางนี้ แต่เราจะพบผู้หญิงก่อนนะว่างั้น พูดอะไรจึงขัดเหตุขัดผลนักหนาเราว่า ก็คำฝันว่าอย่างนั้น พบตั้งแต่ผู้หญิงไปนี่ ผ่านไปนี่ ๒ ราย ๒ องค์แบบเดียวกัน พบแต่ผู้หญิงเขาหาบสิ่งหาบของไปนี้ ผ่านไปนี้
สำหรับเราก็มีอีกเหมือนกัน แต่รู้สึกจะแน่กว่าเพื่อน แล้วท่านล่ะ อยู่ทางนี้แต่ไม่ใช่บ้านเราว่างั้น เป็นทับอยู่ทางนี้ ทางทิศเดียวกันนี่แหละ เมื่อคืนนี้โยมแม่มากับเด็กผู้ชาย ๒-๓ คน มาถางป่าที่เราอยู่ อ้าว โยมแม่มาจากไหนนี่มาถางป่าถางรก อู๊ย นี่แม่อยู่ทับ นั่นมองไปเห็นไฟอยู่ เรามองไปก็เห็นไฟจริงๆ ไฟในคำฝันนะ ไปก็บอกกันว่า วันนี้เราจะพบผู้หญิงก่อนแหละ ใครก็ว่าพบผู้หญิง ที่สามเราว่า พบทั้งผู้หญิงทั้งเด็ก มีพบทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่วันนี้จะมีคนมาเอาบริขารเรา ตามส่งทางเราละวันนี้ คืนนี้ฝันว่าโยมแม่มาถากถางนั้นนี้ เด็กมาเอาบริขารเรา เอาบาตรเอากาน้ำอะไรไปตามโยมแม่ไปนี่แหละ จะมีคนส่งของเรานะวันนี้ ก็เราหลงป่าเขาไปตามส่ง ถ้าเขาไม่ส่งไปไม่ได้ อยู่ในกลางเขาแล้วนั่น
พอไปก็ไปเจอเอาที่เขาไปทำไร่อยู่ ๓ หลัง ลงไปเลยไปเห็นรอย เอ๊ะ นี่มันรอยคนนะนี่ ตามลงไปมีหุบเขา ไปเจอเอากระต๊อบเขา เขาทำไร่ทำสวนอยู่นั่น เขาก็ว้าดวี้ดขึ้น พบแต่ผู้หญิง ผู้ชายไปไร่ไปสวนแปลงอื่นๆ ที่นั่นเป็นที่พักเขา พบแต่ผู้หญิงเต็มอยู่นั่น อ้าว เราจะพบผู้หญิงก่อน จริงๆ นะเลยได้พบผู้หญิง เขาก็มาจัดอาหารให้ฉัน หลงป่าเข้าไป เสร็จแล้วเขาก็ตามส่งย้อนหลังกลับคืนไปนู้น ไปทางนี้ไม่ได้ ตาย เขาว่างั้น โอ๊ย ถ้าไม่พบพวกผมนี่ตายละ นี่กลางเขาแท้ๆ มันก็เป็นอย่างนั้นนะ มันดลบันดาลให้ไปเจอจนได้ ฉันแล้วเขาก็ตามส่งของ ย้อนหลังไปนู้น จึงย้อนไปทางนู้น ในภูเขาภูพาน
ภูพานนี้เที่ยวแหลกหมด ภูพานระหว่างสกลนครไปถึงกาฬสินธุ์ ภูเขาลูกนี้เราเที่ยวมากที่สุด เพราะพ่อแม่ครูจารย์อยู่ทางพรรณา เราก็เที่ยวแถวนั้น อยู่สกลนคร บ้านโคกนามน เราก็เที่ยวแถวนั้น แล้วท่านมาอยู่ทางพรรณานี่ก็เที่ยว เที่ยวตลอดไปหมดเลย เที่ยวป่าเที่ยวเขา เรียกว่าภูเขาลูกนี้ไปทั้งนั้นละเรา เที่ยวป่าเที่ยวเขา
นี่ละเวลาหาธรรมเป็นอย่างนั้นแหละ มีแต่ความทุกข์ความลำบากทั้งนั้นหาธรรม จะได้สะดวกสบายดูจะไม่ค่อยมีละ อยู่ในป่าในเขาบางทีก็ไปอาศัยเขา ๓-๔ หลังคาเรือน เขาอยู่ในเขา เขาไม่มีไร่มีนาทำเขาก็หาของป่าอะไร เอาไปแลกทางชาวบ้านเขาขึ้นมากิน เราก็ไปพักกับเขา ก็ไปอย่างว่า มันไม่มีอะไรแหละ องค์เดียว สององค์ไป อาศัยกินเขาบ้าง ไม่กินก็ได้นี่ ก็เราเคยมาแล้ว อยู่ในสกลนครนี่ละมากที่สุด เราเที่ยวแหลกเลย ภูเขาลูกนี้ไปหมด ตั้งแต่สกลนครถึงกาฬสินธุ์ ปีนี้เข้าทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนั้น ขึ้นไปตลอดเลย ทีนี้ก็ไปอยู่ห้วยทราย ขึ้นทางโน้นๆ อีก เรียกว่าภูเขาตั้งแต่หนองสูง คำชะอีมาถึงอำเภอสว่าง เราเที่ยวแหลกหมดเลย เที่ยวป่าเที่ยวเขา หาอรรถหาธรรมนั่นแหละจะเป็นอะไร
เรื่องการอยู่การกินนี้ ความอดอยากขาดแคลนเป็นประจำละ แต่เราไม่ได้ห่วงอันนี้มากยิ่งกว่าธรรม จิตใจมันมุ่งต่อธรรม เพราะฉะนั้นถึงว่าจะทุกข์ยากลำบากที่ไหน มันก็พอบืนนะคนเรา เมื่อความมุ่งมั่นอันใหญ่หลวงมีอยู่ คือมุ่งต่อธรรม มุ่งต่อมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ความทุกข์ความลำบากไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร ทุกข์ยากลำบากก็ไม่สนใจ ยิ่งกว่ามุ่งอรรถมุ่งธรรม ไปอย่างนั้นแหละ
นี่ละกว่าจะได้ธรรมมาสอนโลกก็อย่างที่ว่านี่ละ ยิ่งพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยแล้วนี่นับเป็นเบอร์หนึ่งเลย ทุกข์ที่สุดคือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ไอ้เราเดินตามรอยท่านก็ทุกข์ขนาดนี้แหละ ไปในป่าในเขา ธรรมมักจะเกิดในป่าในเขาที่สงบสงัดงบเงียบ นั่นละเกิดที่เช่นนั้น ในที่อัตคัดขัดสนจนใจจำเป็นจริงๆ ในป่าช้างป่าเสือ ธรรมมักเกิดที่นั่นแหละ ที่ที่หรูหราฟู่ฟ่า ไม่เกิดธรรม สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น ถ้าที่ไหนไปได้ฉันมากๆ แล้ววันนั้นตายเลย ตายทั้งเป็น นอนไม่อยากตื่น ขี้เกียจขี้คร้าน นั่น ทีนี้ไปอย่างนั้นจะไปฉันอะไรนักหนา ๒-๓ วันจะฉันเสียทีนึง ท้องนี่มันแฟบแต่ใจมันพองด้วยธรรม มันก็พออดพอทนคนเรา ทนอย่างนั้นแหละ ทนเรื่อยมา
ทนจริงๆ ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นี่เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นตลอดเลย ไปแต่องค์เดียวๆ ไปอย่างนั้นละ เพราะนิสัยเราเป็นอย่างนั้น ไปกับใครไม่ได้ ไม่สะดวก เหมือนน้ำไหลบ่า รับผิดชอบกันละซิ ไม่ได้แสดงอันนั้นก็ตาม มันเป็นอยู่ในใจ ต้องเป็นความรับผิดชอบห่วงใยกัน ถ้าเราจะไม่ฉันนี่ อ้าว หมู่เพื่อนว่าไง แน่ะ ถ้าไปกับหมู่เพื่อน ถ้าเราไม่ฉัน หมู่เพื่อนก็เกรงใจเรา เห็นเราไม่ฉันก็ไม่ฉันเสีย แน่ะ โอ๊ ไม่สะดวก
ถ้าเราไปองค์เดียวป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ อยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันกี่วันก็ตาม เป็นอย่างนั้นตลอด แล้วสะดวกตลอดเลย นี่ละหาธรรมหาอย่างนั้น ไม่ได้เป็นความสะดวกนะ หาอยู่ในป่าในเขาไม่ได้ออกมาตามบ้านตามเรือน แล้วธรรมก็เกิดที่เช่นนั้นแหละ ที่อัตคัดขัดสน อาหารการกินไม่ค่อยมีในท้อง แล้วภาวนาดี เวลานั่งภาวนาไม่มีคำว่าโงกง่วง ถ้าอาหารไม่มีในท้องแล้วการภาวนาไม่มีโงกง่วงแหละ กลางคืนนอนหลับเพียงสองชั่วโมงพอ คืนทั้งคืนหลับเพียงสองชั่วโมงพอแล้ว จากนั้นจิตมันเที่ยงตรงแน่วตลอดเวลา ไม่มีคำว่าโงกว่าง่วง เมื่อได้ผลทางนั้นมันก็ต้องทนคนเรา อดบ้างอิ่มบ้างก็ต้องทนเอา
ถ้าจะเอาปากเอาท้องเข้าเป็นประมาณตายเลยแหละ ไม่ได้เห็นอรรถเห็นธรรม ต้องเอาธรรมเป็นประมาณ ปากท้องกินเมื่อไรมันก็อิ่มเมื่อนั้น มีกำลังทันที แต่ส่วนธรรมนี้มีกำลังลำบาก เกิดยากอยู่ ต้องได้ฝึกทรมานอย่างหนัก ไปอยู่ในป่าในเขาอย่างนั้นมันมีความเพียรตลอดเวลา สติสตังติดกับตัวตลอดเลย มิหนำซ้ำยังมีพวกสัตว์ร้ายอีกด้วยอยู่ในป่าในเขา พวกสัตว์เฉพาะอย่างยิ่งก็คือพวกเสือ มันป่าเสือนี่จะว่าไง พวกเสือละเป็นที่หนึ่ง น่ากลัว
บางทีเราเดินจงกรมมันกระหึ่มๆ ข้างๆ เวลาเสียงมันดังขึ้นก็รู้จุดของมันว่ามันอยู่ที่นั่นที่นี่ เวลามันหยุดเสียงแล้วมันจะมาแบบไหนก็ไม่รู้ เพราะเสือมันก็เหมือนแมว ไปเงียบๆ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าเสือกินคนกัดคน ความกลัวมันหากเป็นสัญชาตญาณอันหนึ่งมันกลัวเหมือนกัน เสือกระหึ่มๆ เราก็เดินจงกรม ทีนี้เวลามันหยุดกระหึ่มมันจะมาแบบไหน แน่ะมันก็คิดไปอีกแหละ ทางนี้ก็ต้องตั้งท่า สติอยู่กับตัว ภาวนาดี ถ้าอย่างนั้นดีภาวนา จนกระทั่งถึงว่าไม่มีอะไรกลัวเลย
เมื่อสติเราดีจริงๆ แล้ว ติดกับใจจริงๆ แล้ว จิตใจกับธรรมหล่อเลี้ยงกัน สติเป็นธรรมอันหนึ่ง สติธรรม รักษาจิตใจไม่ให้มันคิดมันปรุงออกไปภายนอก เช่นสัตว์เช่นเสือเช่นอะไรที่น่ากลัวไม่ให้คิด ให้คิดอยู่กับพุทโธหรือธรรมบทใดที่เจ้าของถนัด พิจารณาอยู่ตามขั้นภูมิของจิตของธรรม มันก็อยู่ที่นั่นเสียไม่ให้ออก มันก็สง่างามอยู่ในนั้นไม่กลัวอะไร ถ้าจิตกับธรรมได้หล่อเลี้ยงกันแล้วไม่กลัว สติอยู่กับใจ ใจไม่คิดออกไปไหน สติควบคุมอยู่ความกลัวก็ไม่มี คิดปรุงแป๊บออกไปมันเป็นความกลัวนะนั่น
เช่นกลัวเสือ มันมักจะคิดแต่เรื่องเสือนะ กลัวผีจะคิดแต่เรื่องผี เป็นอย่างนั้น กลัวอะไรคิดแต่เรื่องนั้น มันกลัวอะไรก็ไม่รู้ ถ้ากลัวอะไรมักชอบคิดแต่สิ่งที่กลัว ธรรมดาสิ่งที่กลัวจะไปคิดหามันทำไม อันนี้กลับไปคิดในสิ่งที่กลัวๆ บังคับไม่ให้มันคิด เมื่อไม่คิดมันก็ไม่หลอกเจ้าของ จิตใจมีสติธรรมบังคับอยู่นั้นสงบแน่ว ทีนี้อยู่ได้อย่างสบาย นั่นละการภาวนา มันมีหลายขั้นของการภาวนา ถ้าจิตยังไม่สงบดี หรือจิตอยู่ในขั้นสมาธิ จิตจะอยู่กับคำบริกรรม อยู่กับสมาธิที่จุดเด่นของจิต จุดแห่งความสงบผ่องใส อยู่ที่นั่นเสีย นี่ขั้นหนึ่ง ก็สงบได้
ขั้นออกวิปัสสนานี้มันแยกธาตุแยกขันธ์ ไม่ว่าสัตว์ว่าเสือ เสือมันมีอะไรแปลกต่างกับเราถึงได้กลัวมัน นี่ถ้าออกทางด้านปัญญา ถ้าว่ากลัวตามันหรือ ตาเราก็มี แน่ะเทียบเข้าไป นี่อุบายวิชาสอนตน กลัวเขี้ยวมันเขี้ยวเราก็มี กลัวตามันตาเราก็มี กลัวอะไรของเราก็มีหมด กลัวขนกลัวหนังของมัน กลัวตาของมัน เราก็มีหมดเราไม่เห็นกลัว แล้วไปกลัวมันอะไร ไล่ไปไล่มาไปถึงหาง เราไม่ลืมนะ ซัดเรื่องปัญญาไล่เบี้ย ไล่เรื่องเสือ กลัวอะไรมัน
ซัดลงไปตั้งแต่เล็บ เล็บเราก็มีกลัวอะไร ถ้าว่าเขี้ยวเขี้ยวเราก็มีกลัวมันอะไร ไล่ไปไล่มาไปถึงหาง ถ้าว่าแข้งขาของมันมี ของเราก็มีกลัวหาอะไร ไปถึงหาง อ้าว กลัวหางมันหรือ ที่นี่เราก็ไม่มีหางจะอวดมัน เออ มันพลิกได้นะพูดถึงเรื่องปัญญา มันพลิกได้ของมัน ไปถึงขั้นหางเราเลยไม่ลืม หือ กลัวหางมันหรือ ถ้าว่าหางมันหางเราก็มี แต่นี้ไม่มีอวดซิเราไม่มีหาง กลัวหางมันหรือ มันมีหางเราไม่มีหาง ตั้งแต่มันยังไม่กลัวหางอยู่กับมัน จะไปกลัวมันทำไม แน่ะมันก็แก้ไปอย่างนั้นนะ กลัวหางมันหรือ เราไม่มีหางจะเอาเทียบมันไม่ได้ใช่ไหม ตั้งแต่ตัวมันยังไม่เห็นกลัวหางมัน เราไปกลัวหาอะไร มันก็แก้ของมันไปได้
นี่ทางด้านปัญญา ทางด้านวิปัสสนา แยกธาตุแยกขันธ์ เสือทั้งตัวไม่มีเลย มีแต่วิปัสสนาปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์ พวกหนังเนื้อเอ็นกระดูกของสัตว์ของเสือเหมือนเรา เทียบกันปั๊บๆ ก็ไม่มีอะไรกลัวกันๆ เพราะฉะนั้นจึงว่าไล่ไปถึงหางมัน กลัวหางมันหรือ หางเรามีก็จะเอาอวดมัน แต่นี้ไม่มีหางซิ ตั้งแต่ตัวมันยังไม่เห็นกลัวเราไปกลัวมันทำไม แน่ะมันก็แก้ไปนั่นเสีย เราอยู่ไกลๆ นี่หางติดอยู่กับมันก็ยังไม่เห็นกลัว เราไปกลัวหาอะไร แน่ะมันแก้ของมันปัญญา ถึงขั้นปัญญาแยกปัญญา พอออกจากนั้นไปแล้วเรื่องสัตว์เรื่องเสือนี่หมดนะ
คือตามขั้นของจิต จิตอยู่ในรูปในนามนี่ก็ต้องพิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ร่างกายของเราอยู่ในขั้นนี้ พอพิจารณานี้หมด มันหมดนะเมื่อหมดแล้ว พอตั้งแพล็บล้มผล็อย เรียกว่าเกิดปั๊บดับพร้อมๆ เหมือนฟ้าแลบ พอว่าเสือปรุงแพล็บมันดับพร้อม ความปรุงคือเสือ แน่ะมันไปนั้น เสือแท้ไม่มีมีแต่ความปรุงของสังขาร มันปรุงแพล็บขึ้นมา มันก็ออกจากสังขารเรา จากนั้นปรุงขึ้นมาไม่ได้เรื่องอะไร ดับพร้อมๆ จะไปแยกธาตุแยกขันธ์ออกได้ยังไง นี่เป็นขั้นนี้ จากนั้นมันก็ว่าง พอปรากฏแป๊บขึ้นมาว่างไปหมด ไม่มีสัตว์มีเสือ มันแยกไม่ทัน เกิดแล้วมันดับ ดับเร็วๆ นี่ตามขั้นของปัญญาพิจารณา
จากนั้นจิตมันก็ว่างไปหมดเลย ปรุงอะไรแพล็บเหมือนฟ้าแลบ ดับปุ๊บๆ หมด อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง หมด ไปถึงขั้นว่างว่างไปหมดเลย นี่ละจิตพิจารณาเป็นขั้นๆ ที่ว่างก็มีนามธรรม ความคิดความปรุง เวทนา ความสุขความทุกข์ต่างๆ ที่สัญจรอยู่ภายในจิตนี้ พิจารณาอันนี้ก็ลงไปถึงจิตๆ ปรุงอะไรออกมาก็ออกมาจากจิต ดีชั่วออกมาจากจิต ตามเข้าไปๆ ก็ไปถึงรังใหญ่คืออวิชชาอยู่ในจิต พอไปถึงนั้นแล้วอวิชชาพังทลายไม่มีอะไรหลอก หมด นั่น อย่างนั้นละการพิจารณาทางด้านปัญญา พอถึงอวิชชาดับแล้วไม่มีอะไรหลอก ดับหมดเลย
ที่พูดเหล่านี้มีใครเอามาพูดวะ เอา ไปหาซิในประเทศไทยใครมาพูดได้อย่างนี้ ไม่ใช่เราคุยนะ นี่เราพิจารณามาแล้วทั้งนั้นที่ว่านี่ ผ่านมาได้ๆ ด้วยการพิจารณา เอาจนกระทั่งโลกธาตุว่างเปล่าไปหมดเลย เอา ว่างเปล่าก็ว่างเปล่า มันมีขั้นๆ ว่างภายนอกแต่ภายในยังไม่ว่าง แน่ะ ว่างภายนอกหลงภายนอก ตื่นเต้นภายนอก จนถึงขั้นอัศจรรย์จิตของเรา โถ ทำไมจิตนี้มันถึงได้สว่างไสวเอานักหนา ว่างหมดเลย อัศจรรย์ ตรงนี้ก็ใสจ้า ทางข้างนอกก็สว่างไสวไปหมด มันก็หลงเป็นขั้นๆ พิจารณาเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงความว่างภายนอกก็ว่าง ภายในก็ว่าง เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วปล่อยวางทั้งภายนอก ปล่อยวางทั้งภายใน ที่ความสว่างจ้านี่จ้าไปหมดเลย ไม่ได้ติดอะไรแหละ นี่ละการพิจารณาภาวนา
การพูดเหล่านี้ผ่านมาหมดแล้ว ที่พูดนี่เราจะพูดซอกแซกซิกแซ็กตามความรู้ความเห็นของจิตที่มันพิจารณาไม่ทั่วถึง เราพูดเรียกว่าเอาทั้งดุ้นมาพูด ถ้าพูดแยกแยะตามเรื่องของสติปัญญาที่มันซอกแซกซิกแซ็ก แก้ไขดัดแปลงกันไปนี้มันละเอียดมาก พูดไม่จบ เราพูดแต่ส่วนใหญ่ๆ ทีนี้มันว่างหมดแล้ว ว่างภายนอกก็ยังว่างภายใน แน่ะ วางภายนอก วางภายใน แล้วมันจะติดอะไรที่นี่ เมื่อมันไม่ติดแล้วมันจะไปข้องไปอะไร มีเขามีเราที่ไหน มันก็หมด จิตดวงนี้ก็ว่างเปล่าไปหมดเลย ครอบแดนโลกธาตุ ว่างหมดเลย ไม่มีอะไร ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ ความว่างมีอำนาจมากกว่า ผ่านไปหมด เหยียบอยู่บนแผ่นดินหนาๆ นี่ ความว่างผ่านไปหมดเลย ความว่างมีอำนาจมากยิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่น จึงเรียกว่าโลกว่าง
ดังที่ท่านสอนว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิซึ่งเป็นเหมือนก้างขวางคอออกเสีย จะหลุดพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้ ท่านสอนอย่างนี้ ทีนี้เรามาพิจารณาตามที่ท่านว่ามันก็ว่างอย่างท่านว่าจริงๆ โลกนี่ว่างเปล่าหมด มันว่างอยู่ที่จิต อะไรมีก็ตามไม่มีก็ตาม ความว่างมีอำนาจมากกว่ามันครอบไปหมดเลย ท่านว่า สุญฺญโต โลกํ โลกสูญเปล่าว่างเปล่า เมื่อจิตไม่ไปหมายมันก็หมดเท่านั้นเอง เอาละวันนี้เท่านั้นละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|