ความคิดถึงครูบาอาจารย์
วันที่ 28 สิงหาคม 2550 เวลา 8:00 น. ความยาว 35 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ความคิดถึงครูบาอาจารย์

ก่อนจังหัน

พระมาฉันเท่าไรวันนี้ (๓๕ ครับผม) พระในวัดเราทั้งหมดเท่าไร (พระ ๕๗ เณร ๑ รวมเป็น ๕๘ ครับผม) พระมาฉันนี้ ๓๕ โอ๊ เกือบ ๒๐ องค์ไม่มานะ วิธีการฝึกทรมานต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาในการกระทำสิ่งใด เช่นอย่างอดอาหาร ผ่อนอาหาร รู้สึกจะเด่นในวงปฏิบัติเพราะได้ผลดี ผ่อนอาหาร อดอาหาร สติดีๆ เช่นอย่างอดอาหารนี้ สติติดกันตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งหลับ ไม่มีเผลอเลย ทีนี้เวลาฉันไป ไม่ได้ฉันก็จะตายใช่ไหมล่ะ มันก็ต้องได้มาฉัน ฉันนี่รู้สึกว่าสติมันลดๆ เป็นอย่างนั้น ผ่อนอาหารสติก็ดี

โถ ลำบากมากนะการฝึกทรมานจิตใจ จิตใจนี้ตัวดื้อด้านโหดร้ายที่สุด คือกิเลสอยู่ในใจ ตัวเรานี้เป็นตัวกิเลส ตัวพิษตัวภัยต่อธรรม ได้แก่กิเลสมันอยู่ในจิต ติดอยู่นั่นมา นี่ละพาให้เกิดให้ตาย ตายกองกันอยู่นี้คือกิเลสประเภทนี้ ท่านเรียกว่ากิเลสได้แก่ความเศร้าหมองมืดตื้อ และกองทุกข์รวมอยู่ในนั้นหมดท่านว่า เวลาชำระลงไป จิตใจที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้บาปรู้บุญ เวลาขัดเกลาเข้าไปๆ เฉพาะอย่างยิ่งด้วยจิตตภาวนา มันจะค่อยรู้เรื่องรู้ราวค่อยผ่องใสขึ้นมาๆ เมื่อผ่องใสขึ้นมาก็มองเห็น เห็นผิดเห็นถูกเห็นดีเห็นชั่ว ทีนี้ก็ระวังมากเข้าๆ

นี่ละเรื่องภาวนา มีในพุทธศาสนานี้เท่านั้นเรื่องจิตตภาวนา การซักฟอกจิต เจ้าของศาสนาพุทธเราคือพระพุทธเจ้า สอนถูกต้องด้วยจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าก็ภาวนา เจริญอานาปานสติ จากนั้นมาก็กระจายไปล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องภาวนา จะเอาอารมณ์ธรรมบทใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่พ้นสติที่จะเข้าไปเป็นพื้นฐานของการภาวนา จากนั้นก็ดีเรื่อยๆ

สตินี้สำคัญ ใครละไม่ได้นะ ไม่ว่ากิจนอกการใน งานหยาบงานละเอียด สตินี้ต้องติดแนบตลอดเวลา ยิ่งเป็นงานภาวนาด้วยแล้ว ยิ่งติดแนบเลยเชียว งานอื่นใดก็ตามสติต้องมี สัมปชัญญะต้องมี ถ้าเป็นงานภาวนานี้ติดแนบอยู่นี้เลย ยิบออกไปตรงไหน แย็บออกไปตรงไหน สติจะทันด้วยกัน พอสติทันปั๊บดับพร้อมๆ สติติดแนบแน่วเข้าไปไม่คิด กิเลสจะหนาแน่นเท่าภูเขาก็ตาม ขอให้สติบังคับอย่าให้เผลอสติ เกิดไม่ได้กิเลส มันจะเท่าภูเขาเหมือนกับน้ำมหาสมุทรก็ตาม สตินี่เป็นขอบ เป็นขอบของมหาสมุทร น้ำจะล้นฝั่งคือสติไปไม่ได้ ไม่ล้น ล้นไม่ได้ สติจึงสำคัญมากทีเดียว

ผู้ที่ตั้งใจภาวนา จะตักตวงเอามรรคเอาผลเช่นเดียวกับครั้งพระพุทธเจ้าเราตลอดมาตลอดไปนะ แต่ผู้ที่เย่อหยิ่งจองหอง ยกกิเลสคือตัวมูตรตัวคูถขึ้นสูงยิ่งกว่าธรรม ผู้นี้จะจมไปๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรละพวกนี้ พวกที่เห่อกับกิเลสนี่พวกจมไปๆ เห่อเป็นบ้ากับกิเลส สมัยนี้กำลังกิเลสได้รับการส่งเสริมมาก ส่วนธรรมไม่ค่อยจะมีผู้ส่งเสริม นอกจากเหยียบย่ำทำลายโดยจะมีเจตนาไม่มีก็ตาม แต่เหยียบย่ำทำลายไปตามอำนาจของกิเลสที่เป็นตัวทำลายธรรมนั่นแหละ

อะไรที่จะเลิศยิ่งกว่าธรรม นี่ได้หมุนติ้วมาแล้ว ตั้งแต่ออกจิตตภาวนาพรรษา ๗ ละออก เอาแน่ละนี่ แต่เวลาเรียนหนังสือก็ทำ หากทำเงียบๆ ไม่บอกใครไม่มีใครรู้นะว่านั่งภาวนา ไปเรียนหนังสือด้วยกันหมู่เพื่อนก็เหมือนลิงเหมือนค่าง ลิงค่างของพระก็เป็นแบบนั้นละคือไม่มากกว่านั้น ลิงแบบพระ หยอกเล่นกันหรือเพลินแบบพระอยู่ในวงพระ ไม่ได้แบบลิงจริงๆ เขาเป็นเราก็เป็น แต่เรื่องจิตตภาวนาทำประจำนะ หากไม่บอกใครให้ทราบ ไม่บอกเลย อยู่กับพวกกับเพื่อน จะเป็นเหมือนพวกลิงพวกค่างเหมือนกัน กิริยาอาการของเราก็เป็นไปแบบเขา แต่ฝังลึกภายในใจไม่เป็น ฝังอยู่ลึกๆ

เวลาเรียนหนังสืออยู่ ก็ไม่เคยลดละนะ พอออก เพราะมันประมวลการเรียนมามากต่อมากแล้วเวลาเรียนหนังสือ พอออกแล้วก็บึ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย ท่านก็เอาเรดาร์จับปุ๊บเลย ปุ๊บ ใส่กันเปรี้ยงๆ ลงจากเวทีธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นเวทีกิเลส ฟัดกันเลย นั่นละมันถึงได้ค่อยเห็นเรื่องเห็นราวของกิเลส แต่ก่อนใครจะทราบว่ากิเลสเป็นยังไง ก็กิเลสเป็นตัวของเราทั้งคนนี่น่ะ ใครจะไปกล้าแตะต้องตัวเองตำหนิตัวเอง กิเลสก็สนุกซิ สั่งสมตัวเองให้พองตัวขึ้นไปๆ เมื่อมีธรรมเข้าในใจแล้วก็ซักฟอกสิ่งเหล่านี้ ความเย่อหยิ่งจองหองก็อ่อนลงๆ

ความมีอรรถมีธรรมจะเป็นความพอดี รู้จักประมาณสม่ำเสมอ เก็บความรู้สึกได้ดีนี่คือผู้มีธรรม ประพฤติธรรมในใจแล้วจะสม่ำเสมอนะ ถ้ามีกิเลสแล้วออกละ ออกเด้นด้านเพ่นพ่าน หน้าด้าน ไม่มีใครเกินกิเลสละหน้าด้าน พากันจำเอานะ พูดวันละเล็กละน้อย พูดย่อๆ ให้ฟังเป็นคติเครื่องเตือนใจ ไม่มีอะไรชำระทุกข์ได้ในโลกนี้ มีธรรมเท่านั้น แล้วไม่มีอะไรสั่งสมทุกข์ขึ้นมาในโลกนี้ มีกิเลสเท่านั้น สองอย่างนี่สำคัญ ให้พร

หลังจังหัน

(วันนี้นายตำรวจ คนนี้เป็นรองผู้การฯ ลูกน้องท่านประชา สารวัตรจราจรของอุดรฯนี่ละครับ เอากับข้าวมาถวายหลวงตา) ประชาเป็นลูกบุญธรรม มาถวายตัวเป็นลูกบุญธรรม โอ๊ย นานแล้ว ตั้ง ๓๐ ปี ฟ้าหญิงท่านมาเหมือนกัน ฟ้าหญิงนิมนต์เราไปเยี่ยม ไม่นานก็ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ พออันดับที่สองถวายตัวเป็นลูก ฟ้าหญิงเล็กนะ ถวายอยู่ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธละมั้ง(ครับ ใช่ครับ) นิมนต์เราไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ นี่ละอำนาจของธรรม ความคิดถึงครูบาอาจารย์นี้เป็นสำคัญมาก พวกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรักษาท่านเวลาท่านป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ชื่อโรงพยาบาลก็เป็นโรงพยาบาลกรุงเทพ อยู่ในกรุงเทพนั่นแหละ พูดคำไหนออกมาก็คิดถึงท่านพ่อ คืออยู่ในโรงพยาบาล คิดถึงท่านพ่อ อยากไปเยี่ยมท่านพ่ออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพวกรักษาอยู่นี้น้อยใจ เหมือนหนึ่งว่าพวกหมอเหล่านี้ไม่มีความหมายเลย พูดคำไหนออกมาก็ท่านพ่อ

ตอนนั้นเราไปอยู่กรุงเทพฯ อยากไปเยี่ยมท่านพ่อๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งทั้งสำนักราชวังทั้งฝ่ายหมอ จัดคนให้ไปติดต่อปรึกษาหารือกันแล้ว นี่ท่านไม่ได้อยู่กับพวกเรานะ จิตท่านอยู่กับหลวงตา สวนแสงธรรมว่างั้นนะ พูดคำไหนออกมานี้ จนพวกหมอน้อยใจ ไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับหมอกับหยูกกับยาเลย เอะอะก็ ท่านพ่อๆ ว่างั้น อยากไปเยี่ยมท่านพ่อ ตอนอาการท่านเพียบอยู่ตอนนั้นนะ อยู่โรงพยาบาลกรุงเทพ อะไรก็ไปเยี่ยมท่านพ่อ จนกระทั่งถึงหมอจัดการเรียบร้อยปรึกษาหารือกันแล้วไปพูดให้เราฟัง ว่าทูลกระหม่อมบ่นถึงตั้งแต่ท่านอาจารย์ คือตอนนั้นเพียบ ยังไม่สมควรที่จะเสด็จไปเยี่ยมเรา แต่พูดคำไหนออกมาก็มีแต่คิดถึงท่านพ่อ จนพวกหมอพวกอะไรน้อยใจ ไม่มีความหมายเลย ไปมีความหมายอยู่สวนแสงธรรมแห่งเดียว

พอเราทราบอย่างนั้นเราก็เลยมา เข้ามาเยี่ยมที่โรงพยาบาล โอ๊ กระปรี้กระเปร่าขึ้นเลยนะ อำนาจของจิตนี่สำคัญมาก ลุกออกจากที่ท่านประทับอยู่ในห้องกว้างๆ ท่านยังอุตส่าห์ตามเสด็จออกมาส่งเรา บอกไม่ให้มาเท่าไร มาได้สบาย ใจสบายว่างั้น ออกมาตามส่งเรานะ ส่งออกจากห้องของท่านพักน่ะ เสด็จตามออกมาเลย

ท่านรู้สึกจะลงใจในธรรมะฝ่ายกรรมฐานมาก ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงลงใจทางธรรมะภาคปฏิบัติมากทีเดียว เช่นอย่างที่ไปเทศน์นี่เราก็ไม่ได้เทศน์สูงอะไร เพราะแกงหม้อใหญ่ เราจะไปเทศน์ ให้มันเข้าสภาพเดียวกันกับแกงหม้อใหญ่ คนจำนวนมากมายก่ายกอง ผู้ไม่เคยเห็นศาสนารู้ศาสนาก็มีมากมาย ผู้ที่พอเข้าใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีมาก ทีนี้เราจะเทศน์ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปนั้นก็ไม่ได้ แบ่งโน้นแบ่งนี้ เพราะฉะนั้นการเทศน์ที่สนามหลวงจึงไม่ได้เทศน์สูงอะไรนัก เทศน์ไปพื้นๆ ธรรมดา ท่านประทับนั่งอยู่นี้ ท่านยังว่าฟังแล้วเพลิน แน่ะยังงั้นนะ

เราไม่ได้เทศน์สูงอะไรละ เทศน์ธรรมดา แกงหม้อใหญ่สนามหลวงเพื่อประชาชนจำนวนมากมาย ให้ได้เข้าใจกันบ้างพอประมาณ ถึงไม่เทศน์ธรรมะสูง พระก็เต็มอยู่ มาครบชาติก็คือนายกฯกับคณะรัฐมนตรีมาด้วยกัน ศาสนาก็คือพระเต็มเป็นพัน มหากษัตริย์ก็คือฟ้าหญิงประทับอยู่ที่นั่น วันนั้นเทศน์ครบ มาก็มาครบ เราก็ไม่ได้เทศน์สูงอะไรละ เทศน์เรียบๆ ธรรมดาๆ แต่ฟ้าหญิงที่นั่ง คือเวลาท่านมาประทับ ท่านก็ประทับที่เขารับรองไว้ แต่พอเราขึ้นธรรมมาสน์ปั๊บ ท่านก็ปุ๊บมานั่งข้างๆ นี่เลย ท่านว่า…เทศน์ของท่านเหมือนกายไม่มีขณะฟังเทศน์ท่านว่างั้นนะ เป็นยังไงล่ะฟังเทศน์ อู๊ย ฟังเทศน์มันกล่อมใจลง จนปรากฏเหมือนว่าไม่มีร่างกาย จิตแน่วลงเลย นั่น อยู่ข้างๆ เราลงไปรับของท่านถวายอะไร ท่านลงจริงๆ เทศน์ สำหรับเราเทศน์ธรรมะภาคปฏิบัติให้ฟัง ทูลกระหม่อมเล็กนี้ลงใจมากภาคปฏิบัติธรรม

นี่เรียกว่าธรรมะเกิด เราได้ยิน อ่านในตำรับตำราก็อ่านๆ แต่ตัวจริงของตำรับตำราอยู่ที่ใจไม่ได้อยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าสอนโลกทั้งสามก็สอนออกจากพระทัยคือใจที่บริสุทธิ์พุทโธล้วนๆ สอนโลก กระจ่างแจ้งไปหมดเลย เราเพียงตัวเท่าหนูเวลาเทศน์ธรรมะนี่มันจะไม่มีนะภายนอก มันจะมีแต่ภายในใจออกๆ ตลอด ตามแต่คนที่มาเกี่ยวข้องมากน้อย พอมองพับมันรู้แล้วว่าจะควรเทศน์ธรรมะประเภทไหน ไม่ต้องบอกนะ มันเป็นหลักธรรมชาติรับกันเลย มองไปปั๊บมันรู้ธรรมะจะควรออกขนาดไหนๆ มันจะบอกในตัวของมัน ทีนี้จะเทศน์สูงกว่านั้นก็ขัดกัน ที่ๆ ควรจะเทศน์สูง ไปเทศน์ต่ำก็ไม่ได้อีกละขัด พอขึ้นไปพุ่งเลย เทศน์ธรรมะแกงหม้อใหญ่นี้ขึ้นไม่ได้ มันหากเป็นของมันเองพอดีๆ มันก็ไปตามนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการในธรรมะปฏิบัติที่ออกจากใจจริงๆ แล้ว เราจะคาดไม่ได้ เราต้องถือเอาผู้มาเกี่ยวข้องเป็นประมาณ ผู้มาเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงไร เทศน์คนมากๆ จำนวนมากนี้ ธรรมะที่จะออกสู่ประชาชนที่จำนวนมาก ให้ได้ผลประโยชน์พอสมควรเท่าเทียมกัน ก็ต้องเป็นธรรมะพื้นๆ เป็นธรรมดาๆ ไป ถ้าสูงกว่านั้นก็ธรรมะขึ้นๆ ถ้าเป็นภาคปฏิบัติล้วนๆ เช่นเทศน์สอนพระนี้ โอ๋ย ไม่มีแหละ ขึ้นก็บึ่งเลยเทียว พุ่งๆๆ เลย จะเทศน์อย่างอื่นไม่ได้มันขัดกัน แน่ะ เป็นอย่างนั้น ถ้าควรจะอยู่ในขั้นนี้จะฝืนไม่ได้ พอดีๆ ถ้าจะควรเทศน์ในขั้นใดจะไปเหมาะอยู่ในขั้นนั้น จิตมันก็พุ่งออกขั้นนั้นๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นละเทศน์สอนธรรมภายในใจเราพูดจริงๆ

นี่ละธรรมภายในใจ ไม่ใช่ธรรมในตำรา พูดแล้วเราสาธุ เราไม่ได้ประมาทตำรา เราก็เรียนมาจนเป็นมหา แต่เวลามาปฏิบัติจริงๆ มันก็เข้าที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านสอนไว้เวลาไปหาท่านทีแรก ท่านมหาก็นับว่าเรียนมามากพอสมควรจนกระทั่งได้เป็นมหา ว่าอย่างนี้นะ เราไม่ได้ลืมเลย แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมะของพระพุทธเจ้านะ เวลานี้การเรียนมามากน้อยยังไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร ขอให้ยกบูชาธรรมประเภทต่างๆ ซึ่งได้เรียนมานี้ไว้บูชาเสียก่อน คือยกไว้อยู่ที่สูง แล้วให้เน้นหนักทางภาคปฏิบัติเข้าให้ดีท่านว่าอย่างนี้ ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติเมื่อจะวิ่งเข้าถึงกันเกี่ยวกับทางภาคปฏิบัติแล้ว เอาไว้ไม่อยู่ ปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งประสานกันปุ๊บๆๆ เอาไว้ไม่อยู่ท่านว่า

เป็น เป็นจริงๆ มันวิ่งเทียบกันทางปริยัติกับทางภาคปฏิบัติที่รู้ขึ้นภายในใจๆ มันวิ่งประสานกัน เราก็ไม่ลืมท่านสอนอย่างนี้ ท่านผ่านมาแล้ว ทีนี้ออกภาคปฏิบัติจริงๆ ปริยัติเลยเงียบไปนะ มีแต่พุ่งๆๆ ทางภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเวลาไปอยู่กับท่าน ถ้าไม่ทราบว่าเราเป็นมหามาก่อนตั้งแต่เบื้องต้นที่ไปหาท่าน บ้านโคกนามน ไปกลางคืนมืดๆ นั่นน่ะ ไปเซ่อซ่าๆ ท่านเดินจงกรม ท่านยืนอยู่ข้างๆ นี้ กลางคืนไม่เห็น ไปมองโน้นมองนี้เทียบเคียง ก็เป็นสำนักของท่านพึ่งมาอยู่ใหม่ๆ นี่ถ้าว่าเป็นกุฏิก็จะโตไปสักหน่อย ถ้าเป็นศาลารู้สึกจะเล็กสักนิดหนึ่ง กำลังพิจารณา ท่านขึ้นแล้ว ใครมานี่ท่านว่าอย่างนั้นนะ ทางนี้ก็ปุ๊บปั๊บๆ ผม ก็เปรี้ยงเลย พอว่ากระผมเท่านั้นเปรี้ยงเลย

อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอา ค้านซิน่ะ โฮ้ เราลืมเมื่อไร พอว่างั้นเราก็แก้ปุ๊บเลย นี่ละท่านรู้เราเป็นมหานะ แก้ปุ๊บ กระผมชื่อว่าพระมหาบัว เอ้อ ก็อย่างงั้นละซิ อันนี้ผมๆ แม้แต่เด็กมันก็มีผมเอาอีกแหละ นั่นละไปหาท่านครั้งแรก จากนั้นมาท่านก็ประมวลมาว่าปริยัติให้ยกบูชาไว้ก่อนยังไม่เกิดประโยชน์อะไร มันจะมาคละเคล้ากันเตะถีบยันกัน ผลประโยชน์ในการภาวนาจะไม่ได้เท่าที่ควร ให้พักไว้ก่อน ที่เรียนมามากน้อยไม่หายไปไหนละให้พักไว้ก่อน ให้เน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา เวลามันเข้าประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งภาคปริยัติภาคปฏิบัติจะวิ่งประสานกัน

ท่านบอกเอาไว้ไม่อยู่ นั่นฟังซิน่ะ แล้วถึงขั้นนั้นก็เป็นจริงๆ พอภาคปฏิบัติได้เหตุได้ผลได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นมามันก็วิ่งกับปริยัติประสานกันๆ เทียบเคียงกันปุ๊บๆ อย่างท่านว่าไม่ผิด ออกภาคปฏิบัติล้วนๆ ถ้ามีแย็บสงสัยตรงไหน จิตวิ่งออกไปทางปริยัติเข้ามาเทียบเคียงกับปั๊บๆๆ ไปเรื่อย เข้าภาคปฏิบัติจริงๆ แล้วปริยัติไม่มีนะ มันจะพุ่งๆ อยู่ภายใน ยิ่งเป็นขั้นสติปัญญาอัตโนมัติด้วยแล้วนี้ไม่มีนะปริยัติ คือสติปัญญาอัตโนมัติเรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ ความเพียรหมุนตัวตลอดเวลานี้จะไม่มีปริยัติ มีแต่จิตล้วนๆ มันพุ่งๆ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน นี่ละถึงได้เห็นอำนาจของธรรมที่ว่าฆ่ากิเลส

แต่ก่อนมีแต่กิเลสทำลายสัตว์โลก ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดเป็นกิเลสทั้งนั้นๆ เวลากิเลสมีอำนาจมาก ทีนี้เวลาเราปฏิบัติธรรม ธรรมมีกำลังมากแล้วแบบเดียวกัน จึงได้มาเทียบเคียง อ๋อ เป็นอย่างนี้ เวลาธรรมมีกำลังมากแป๊บออกนี้ธรรมจะออกแล้วๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดจะเป็นธรรมออกมาๆ กิเลสออกไม่ได้ ถึงขั้นธรรมมีกำลังเป็นอย่างนั้นละ พุ่งๆ เลย ถ้าลงขั้นนี้แล้วธรรมมีกำลังแล้วพุ่งเลย ทีนี้อยู่ที่ไหนไม่มีคำว่าขาดความเพียร ถึงขั้นมันแล้วสตินี้พอตื่นนอนปั๊บติดกันปึ๊บเลย นี่เรียกว่าเป็นอัตโนมัติ สติปัญญาจะวิ่งกลมกลืนกันไปเลยกับภาคปฏิบัติ แล้วก็เชื่อมเข้าไปมหามหาสติมหาปัญญาอันนั้นคล่องตัว

นั่นละตอนกิเลสจะม้วนเสื่อ มหาสติมหาปัญญาวิ่งเข้าถึงกัน ประสานกันกับสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญาเข้าประสานกัน อันนี้รวดเร็วที่สุดเลย เหมือนเป็นพระอรหันต์น้อยๆ นะ พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา กับสติปัญญาอัตโนมัติเข้ากลมกลืนกันแล้วกิเลสเหมือนไม่มี เหมือนหนึ่งว่าเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมา คืออำนาจของสติปัญญานี้มันครอบหมด แย็บออกมาขาดสะบั้นๆ นี่ละอำนาจของธรรมเมื่อมีกำลังกล้าแล้วกิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ขาดสะบั้น เหมือนเราตั้งสติ สติตั้งขึ้นมาไม่ได้ขาดสะบั้น ไปนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราลืมเมื่อไร ก็เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง

เวลากระแสของกิเลสมันหนาแน่นมาก ตั้งสติไม่อยู่ ตั้งพับล้มผล็อยๆ จนน้ำตาร่วงบนภูเขา นี่ก็มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราไปฟิตกันเต็มเหนี่ยวๆ โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอาไม่หยุดไม่ถอย ซัดจนกระทั่งถึงขั้นมันเกรียงไกร ขึ้นสติปัญญาอัตโนมัติละที่นี่ พอถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้กิเลสเหมือนหมอบหมด ประหนึ่งว่าเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาในท่ามกลางของคนมีกิเลสนั่นแหละ แต่กิเลสมันเบาบางมาก ประหนึ่งว่าแทบไม่มี บางทีได้ว่า หือ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มีนะ แต่มันไม่ได้สำคัญ คือมันหมด ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาฟัดเหวี่ยงกันกับธรรม เวลากิเลสมันหมอบหมอบอย่างนั้น

พอถึงขั้นมันขาดสะบั้นมันก็รู้เอง พอถึงขั้นกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจไม่มีอะไรต่อกันเรียบร้อยแล้วมันก็รู้ ผางขึ้นมาทันที จ้าหมดเลย นั่นละมีกิเลสเท่านั้นปิดบังหุ้มห่อเอาไว้ไม่ให้เห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง มีกิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปนี้มันจ้าหมดเลย ท่านว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก รู้ภายในจิต จ้าขึ้นภายในจิต นั่นละภาคภาวนา ทีนี้เวลาธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วออกจากนี้เลยไม่ต้องออกจากไหน การเทศนาว่าการการโต้การตอบ ใครจะถามเรื่องอะไรๆ ก็ตาม สมควรที่จะตอบหนักเบามากน้อยเพียงไรมันจะออกของมันเองๆ ถ้าไม่สมควรจะตอบดึงก็ไม่ออกนะ มันอยู่กับความเหมาะสมๆ ภายในจิตโดยเฉพาะ

นี่ละที่ว่าธรรมเกิดจากจิต ธรรมอยู่ในจิต จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันเป็นอย่างนั้น มันออกทันทีๆๆ เลย ถ้าหากว่าไม่สมควรจะออกดึงก็ไม่ออก นี่ละที่ว่าความเหมาะสมของธรรมเป็นอย่างนั้น รู้เหมือนไม่รู้เห็นเหมือนไม่เห็น ที่ว่าตัวรู้ตัวฉลาดกว่าผู้หนึ่งผู้ใดไม่เคยเทียบนะ หากเป็นหลักธรรมชาติพอตัวอยู่ในนั้นเสร็จเลย อะไรที่จะมารับกันปั๊บๆ มันจะออกรับๆๆ ถ้าไม่ควรออกดึงก็ไม่ออก แน่ะเป็นอย่างนั้นละ เอาเท่านั้นละวันนี้

...ไปศรีสงคราม ๒ ชั่วโมง ๓๐ นาทีเต็มเป๋งเลยเข้าสู่โรงพยาบาล ไกลอยู่ อย่างนั้นละอุตส่าห์ไป คือใกล้ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่เล็งดูแล้วที่นั่นจำเป็นมากน้อยเพียงไรๆ นั่นละจุดสำคัญ ใกล้ไกลก็ไปเพราะความสงสาร การทำบุญให้ทานนี้เรียกว่าวัดเราเองตัวเราเองเปิดอย่างนี้เลย ไม่มีกำ มีเท่าไรออกหมดๆ เลย เพราะอำนาจความเมตตา ความเมตตานี้จะกวาดออกๆ ที่จะมากำไว้ด้วยความตระหนี่ถี่เหนี่ยวไม่มี มีแต่เปิดโล่งๆๆ อย่างนั้นนะ จิตที่มีกิเลสเท่านั้นตัวกำ ตัวยึดตัวถือ ตัวกวาดตัวกว้าน กิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมีแต่เปิดออก

ธรรมะคือความเมตตาธรรม เปิดโล่งออกหมดเลย มีเท่าไรๆ กวาดออกๆ กวาดออกเลย แต่กิเลสมีเท่าไรกว้านเข้ามาๆ จนเจ้าของจะตายก็ยอมตายด้วยความโลภไม่มีเมืองพอ กิเลสเป็นอย่างนั้น แต่ธรรมะนี้เปิดโล่งหมด เราพูดให้มันชัดเจนเราสอนโลกมานาน ตั้งแต่กิเลสพังลงจากหัวใจบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ดูเหมือน ๕๗ ปีนี้ละมัง ตั้งแต่นั้นมาไม่มีอะไรเข้ามาขวางหัวใจเปิดโล่ง โล่งๆ ด้วยความเมตตา แต่ก่อนก็มีหากมีตามกำลังของคนมีกิเลสมากน้อย แต่นี้เวลามันไม่มีเสียเลยเรื่องกิเลสตัวหึงหวงไม่มี มันก็มีแต่ความเมตตาธรรมแทนที่ไปหมด ทีนี้อะไรออกมันก็ออกไปด้วยความเมตตาๆ คำว่าจะหมดจะยังไม่เคยคิดนะ อำนาจความเมตตากวาดหมดเลย

การพูดอย่างนี้เราไม่ได้ไปหาอะไรมาพูดนะ เราถอดออกจากหัวใจเราเลยออกพูด เพราะฉะนั้นวัดเราจึงมีไม่ได้ มีอะไรไม่ได้เลยวัดเรา เพราะอันนี้มันเป็นใหญ่ คือจิต เปิดออกๆๆ กว้างออก ตรงไหนจำเป็นที่ไหนๆ มันจะซอกแซกหมด เข้าไปๆ ซอกแซกช่วยเหลือ ที่จะมากว้านเข้าไม่มีในจิตนี้ เราพูดให้ชัดเจนเลยว่า เรื่องความตระหนี่ที่มันเป็นเจ้าวัฏจักรหมุนอยู่ภายในหัวใจสัตว์ให้เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผู้อื่นผู้ใดเต็มหัวใจนั้นเปิดโล่งหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ นี่ละธรรมเปิดออกที่นี่ เปิดออกหมด เอาละให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก