เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
พ่อตายพ่อยัง
ก่อนจังหัน
พระให้ตั้งใจภาวนานะ ถ้าพูดตามความจริงที่เราเคยดำเนินมานี้ เราดูพระดูแบบหูหนวกตาบอดดูนะ เราทนเอา ความพากความเพียรนี่หรือจะฆ่ากิเลสเท่านั้นพอ มองดูแพล็บๆ จับได้ทันทีๆ เพราะคนหนึ่งไปแบบเซ่อๆ ซ่าๆ อ้าปากหลับตาไป คนหนึ่งดูตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ พูดตรงๆ พอแพล็บนี้มันจะรู้ของมันปั๊บๆๆ ไปเลย ผิดถูกชั่วดีมันจะรู้ทันทีๆ เมื่อเข้าถึงหลักธรรมชาติเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนก็ไม่เป็น แต่ความคิดความอ่านตามนิสัยเป็น ที่ว่าเดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นหลักธรรมชาติ มองดูอะไรปั๊บนี่ มันจะวิ่งปั๊บๆๆ เลย
พระพุทธเจ้าลงถึงศาสดาเอกของโลก ทำไมจะไม่เป็นโลกวิทูวะ เราตัวเท่าหนูนี้มันก็เป็นตามภูมิของมัน มันหากเป็นของมันเอง เราไม่ได้วัดรอย เป็นก็บอกว่าเป็น ตามหนูก็บอกว่าหนู ช้างก็บอกช้าง ราชสีห์ก็บอกราชสีห์ หนูก็บอกว่าหนู แต่มันทนไม่ได้มันรู้นะ นอกจากหูหนวกตาบอด เพราะฉะนั้นดูพระดูเณรจึงต้องได้เตือน แต่ความพร้อมเพรียงสามัคคียกให้ตลอดมา ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดนี้ ความพร้อมเพรียงสามัคคีของพระในวัดนี้เรียกว่าไม่มีบกพร่อง ไม่ได้มีการได้ตำหนิติเตียนอะไรเลย แต่ไหนแต่ไรมา แต่ความเพียรภายในนี้ มันมองไม่ชัด มองไม่เห็น
ให้พากันฝึกฝนอบรมตนให้ดี สติเป็นสำคัญนะความเพียร เรื่องความเพียรนี้ตั้งได้เลย ขอให้มีสติเถอะ ตั้งแต่พื้นๆ ยังไม่สงบร่มเย็น ความเพียรเอาสติจับเข้าปั๊บนี่ ไม่ให้มันคิดออกนอกลู่นอกทาง ให้มันคิดอยู่เฉพาะ เช่นอย่างผู้ฝึกหัดใหม่ คำบริกรรมติดกับคำบริกรรม คำบริกรรมติดกับจิต สติครอบทั้งสองอย่าง ตั้งได้ไม่สงสัย แน่ใจเลย สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มียกเว้นที่สติจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
ผมอยู่กับหมู่กับเพื่อน ผมพูดจริงๆ ผมไม่ได้ชินกับอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ เปิดออกให้ฟังโลกธาตุนี่ ตั้งแต่ก่อนเหมือนเราๆ ท่านๆ บึกบึนไป เอาหัวชนไป ขาชนไป เตะไป เหยียบไป แต่พอเวลาถึงขั้นของมันแล้วมันเป็นเองนะ มันรอบตัวอยู่ตลอดเวลา วันนี้พูดเสียบ้าง ไปนี้เหมือนหูหนวกตาบอด ไปเห็นหมาหยอกหมา เห็นเด็กหยอกเด็ก ชอบหยอกเด็กกับหมา ถ้าเห็นหมาคึกคักนะ เห็นเด็กก็เอาแหละ ถ้าเป็นกับผู้ใหญ่...นี่ ว่างั้นเลย
ความเพียรสติเป็นสำคัญ ท่านทั้งหลายอย่าหวังอะไรในโลกอันนี้ ให้ดูตั้งแต่กิเลสกับจิตที่มันพัวพันกันอยู่นั้น นั้นละข้าศึกจริงๆ ในโลกอันนี้ไม่มีอะไร มีกิเลสกับจิตพันกันอยู่ตลอดเวลา และไม่มีอะไรที่จะเป็นน้ำดับไฟได้ยิ่งกว่าธรรม ธรรมนั่นละเป็นน้ำดับไฟ ดับได้หมด จนถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธดังศาสดาเอกของเรา ไม่พ้นสตินะ เอาให้ดี เวลานี้ศาสนาจะไม่มีเหลือละ เอารูปเอาร่างเอาสบงจีวรครอบหัวมัน เป็นบ้ายศบ้าลาภ บ้าสรรเสริญเยินยอ อยากเป็นนั้นเป็นนี้ ไม่เกินพระนะเดี๋ยวนี้ พระเป็นบ้านะ
เป็นใหญ่เท่าไรยิ่งสั่งสมมูตรคูถ คือความโลภ ความโกรธ ความตะกละตะกลามเต็มไปหมดในพระ ใหญ่เท่าไรมันเป็นโลกไปหมด มันใหญ่แบบนั้นละ มันเป็นกิเลสไม่ใช่ธรรม เรามาปฏิบัติธรรมเรียนธรรมให้ดูหัวใจเจ้าของ มันดีดดิ้นไปหาอะไร อะไรจะเกินธรรมล่ะ ธรรมเลิศใส่ในหัวใจแล้วไปไหนไปได้เลย ใครจะตั้งอะไรๆ ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าสติธรรม ปัญญาธรรม รวมแล้วเรียกว่า ธรรมภายในใจ ให้อยู่ในตัวของเรางามทั้งนั้นแหละ นอกนั้นเอามาประดับประดาตกแต่ง ก็เหมือนเอามูตรเอาคูถมาโปะหัวพระนั่นแหละ พากันจำนะ
ไม่มีใครพูดนะพูดอย่างนี้ ท่านเกรงเรา เราเกรงท่าน ต่างคนต่างเกรงอกเกรงใจ นี่ไม่เกรงใคร เกรงแต่ธรรม เรื่องธรรมหมอบทันที เรื่องกิเลสฟัดขาดสะบั้นเลย เราไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวกับใคร เพราะฉะนั้นเราถึงพูดคัดค้านต้านทานได้ตามอรรถตามธรรม ใครจะมาเป็นใหญ่เป็นโตเอาชื่อเอาเสียงมาหลอกธรรม อย่ามาหลอกนะ ธรรมเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แย็บออกมาผิดรู้ทันที ถูกทันที พอค้านค้านทันที นั่น ธรรมเป็นอย่างนั้น มันจะไม่มีเหลือ เอาแต่กิเลสโปะหัว ดีด้วยยศด้วยลาภ ด้วยสรรเสริญเยินยอ สุดท้ายพระเราบ้า หัวโล้นได้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ ขึ้นถึงขั้นสมเด็จแล้วลืมตัวเลย เป็นบ้าไปเลย คือสมเด็จสมัยปัจจุบัน
มันสมเด็จใดไปหาดูเอา คือดูเจ้าของสมเด็จใดเวลานี้ มันตะกละตะกลาม มันรีดมันไถทุกแบบละ สมเด็จอะไรปัจจุบันนี้ มันมีไหมในวงพุทธศาสนาในเมืองไทยเรานี้ สมเด็จแบบตะกละตะกลาม ลุกลี้ลุกลน อยากเป็นนั้นอยากเป็นนี้ เป็นบ้า มันสมเด็จอะไร ให้ไปหาดูซิน่ะ ให้เจ้าของดูเจ้าของ เรามันเป็นสมเด็จอะไรถึงดูไม่ได้เลย ประชาชนเขาเอือมระอา ตั้งขึ้นมาแล้วใครอยากจะกราบจะไหว้ล่ะ สมเด็จหมูหมาอย่างนั้น
สมเด็จต้องเป็นอรรถเป็นธรรม ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นอรรถเป็นธรรม ให้ความสงบร่มเย็น น่ากราบน่าไหว้น่าบูชา นั้นแหละสมเด็จสมควร ไม่เป็นสมเด็จก็ควร แล้วตั้งขึ้นมาเป็นสมเด็จ ไม่มีคุณธรรมเลย มีแต่ความโลภโลเลยิ่งกว่าสัตว์ไปแล้ว หมามันก็ไม่กราบ อยากเป็นสมเด็จสังฆราชฆะแรด หมามันก็ไม่กราบ ตั้งขึ้นมาแล้วใครไม่เคารพเลื่อมใส เพราะคุณธรรมไม่มี จะเป็นสมเด็จไหนก็ได้ สังฆราช ๕ องค์ ก็ไม่มีใครกราบ ถ้าไม่ดี ถ้าดีไม่สังฆราชก็ตามเถอะ เราอยู่ในตัวของเราเอง เย็นตลอดเวลา
อะไรจะวิเศษยิ่งกว่าพระ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่นี้หมด อันนี้ไปที่ไหนสบายเลย ให้เอาพระอันนี้เข้าสู่หัวใจเรา อย่าไปยุ่งกับข้างนอกนะ ไม่มีอะไรเกินคำว่าพระละ ให้ดูพระในหัวใจเจ้าของ ปฏิบัติตัวด้วยศีลด้วยธรรมให้ดี นี่ละพระอยู่ตรงนี้ อย่าไปเป็นบ้าดีดดิ้นกับยศกับลาภสรรเสริญลมๆ แล้งๆ บวชเข้ามาหามูตรหาคูถแทนที่จะอรรถหาธรรมใช้ไม่ได้นะ พระเราสมัยปัจจุบันนี้ เป็นได้ทั้งเขาทั้งเรา
เราก็เป็น เขาตั้งให้เป็นเจ้าคุณบัวอยู่บนศาลานั่น เดี๋ยวนี้เป็นถึงสองเจ้าคุณแล้ว ฟาดเวลาตั้งไม่ตั้งธรรมดา ตั้งทีแรกปัดออก พระครูไม่เอา ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าพระ ฟาดที่สองขึ้นเจ้าคุณธรรมดาไม่เอา ตั้งชั้นราชเลย ทีนี้เทพไม่เอา ฟาดชั้นธรรมเลย เป็นกับสองพระองค์ท่านเราก็เลยเงียบ เข้าใจไหม มีแต่ขู่ฟ่อๆ ตอนสุดท้าย ตั้งธรรมแล้วเดี๋ยวมันจะไม่อยู่รองสมเด็จนะ มันจะขึ้นสมเด็จนะที่นี่ อย่านะ เราพูดกับทางสำนักพระราชวัง เอาจริงเรา เรื่องยุ่งเรื่องเหยิงวุ่นวาย ใครจะเป็นบ้าให้เป็น เราหากเป็นขอให้เป็นกับธรรม เป็นบ้าธรรมไม่เป็นไร เราว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะว่าบ้าธรรม พระสงฆ์สาวกจะเป็นบ้าธรรม หรือไม่ใช่บ้าธรรมดูเอา โลกทั้งหลายกราบและยอมรับอยู่ทุกวันนี้ ไอ้บ้าเรามันบ้าแบบไหน ใครกราบล่ะ นั่นซี เอาละ
หลังจังหัน
นั่นพระดูเอา การแต่งเนื้อแต่งตัวของฆราวาสก็อย่าให้หรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ จนลืมเนื้อลืมตัว ทางศาสนาท่านไม่ลืม ผู้ไม่ลืมดูเอานั่น ผ้าจีวรท่าน ศาสดาองค์เอกสอนมา พาบำเพ็ญมาบำเพ็ญอย่างนั้น คำว่าศาสดาองค์เอกมีที่ไหนสามแดนโลกธาตุ แล้วการดำเนินของท่านไม่ให้ลืมเนื้อลืมตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การดีดการดิ้นหาความสุขไม่ได้ อันนั้นหามาปรนปรืออันนี้หามาปรนปรือด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ตายทิ้งเปล่าๆ นะ ท่านอยู่ยังไงท่านอยู่อย่างนั้น ดูพระเอาซิ
(โรงเรียนอุดรพัฒนาการนำตะเกียงมาถวายจำนวน ๔๐ ดวง) ใครไม่มีเอาไปใช้ทางจงกรมข้างใน เราให้ แต่พระส่วนมากในวัดนี้ท่านไม่จุดไฟเดินจงกรม มันก็คงจะเป็นมาตั้งแต่รอยเดิมนั้นแหละ เพราะเราเคยเทศน์เสมอ อยู่ในวัดนี้เราก็ไม่เคยจุดไฟเดินจงกรม เราเคยพูดให้พระฟังธรรมดา ไม่ใช่เป็นคำสอนจริงๆ เป็นคำบอกเล่าธรรมดาในปฏิปทา ตามนิสัยของเราเราทำอย่างนั้น ไม่เคยจุดไฟเดินจงกรม
กลางคืนดึกๆ เราก็ไป เงียบๆ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มเราไปอยู่นะ เราก็ไม่มีไฟ แต่มีไฟฉายติดตัว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ฉาย เดินไปจ๊ะเอ๋กับพระท่านเดินจงกรมไม่มีไฟ พวกสัตว์พวกวัวมันก็ไม่มีไฟ ต่างองค์ต่างไปเจอกันไม่มีไฟ เราชื่นใจนะ ต้องอย่างนี้ซิ เราเดินกลางคืนเงียบๆ ไม่มีไฟ พระท่านเดินจงกรมกลางคืนท่านก็ไม่มีไฟ ไปจ๊ะเอ๋กัน ท่านทราบเราก็ทราบ เราก็ผ่าน ไม่มีอะไรพูดกันแหละ แต่ได้รับความรู้สึกจากท่านเดินจงกรม
มันเป็นอะไรไม่ทราบ นิสัยเราถ้าภาษาภาคอีสานเรานี้จะเรียกว่าคนหลักความ คือทำอะไรถ้าให้ใครเห็นมันไม่ขลัง ถ้าทำไม่มีใครเห็นเลย เรียกว่าถ้าขโมยก็เอาของมาเก็บให้เรียบร้อยแล้วกินข้าว เพราะเจ้าของมันนอนหลับครอกๆ เหมือนตาย ขโมยหาของมาเสร็จเรียบร้อยแล้วกินข้าวอิ่มแล้วค่อยไป อันนี้ก็ลักษณะเดียวกัน เป็นแบบนั้น เราเดินจงกรมไม่มีใครเห็นเรา เพราะเป็นนิสัยอย่างนั้นมา
ถ้าพูดถึงเข้าไปอยู่ในป่าในเขา ก็ใครจะสะพายเทียนไปล่ะ อย่างมากสองห่อเท่านั้นติดไปจุดเวลาจำเป็น นอกนั้นไม่จุด ทีนี้ไปเดินจงกรมกลางคืนไม่มีไฟ อยู่หนองผือก็ไม่มี คือเป็นตามนิสัย เหตุผลมาก็ตั้งแต่ต้น พวกฟืนไฟจะแบกจะหามไปไหน หาบหามตั้งแต่ห่อเทียนไขก็พอแล้ว ไม่จำเป็น เอาไปสักห่อหนึ่งเท่านั้น เอาแต่ตัวของเรา บริขารของเราก็พอแล้ว หนักพอ มีบาตรแล้วก็มีมุ้งด้วย จีวร เทียนไขติดย่ามไปสักห่อหนึ่งใช้เวลาจำเป็น ไม่จำเป็นไม่ใช้ เป็นอย่างนั้นละ
พูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงท่านอาจารย์หลุยได้ เราอยู่หนองผือ ท่านเมตตาเรามากนะท่านอาจารย์หลุย ท่านไม่ถือเนื้อถือตัวเลย ทีนี้มืดแล้วเราเดินจงกรมอยู่ในป่าไม่ได้ออกมาข้างนอก ท่านไปหาเรา ไปหาที่กุฏิเราไม่เจอ ท่านมหาไปไหนถามพระ ท่านคงเข้าอยู่ในป่า ไหนไปบอกหน่อยท่านว่างั้น ให้พระเดินไปบอก นี่ช่องทางให้เดินตามนี้เข้าไปจะพบท่านอยู่ทางจงกรม เพราะเราไม่จุดไฟ ประมาณทุ่มหนึ่งเข้าไป เราเดินจงกรมอยู่ ท่านไปท่านจับต้นทางไว้แล้วที่พระไปบอก เพราะเป็นทางเข้าไป เสียงรองเท้ากุบกับๆ เข้าไปมืดๆ ก็ชนนั้นชนนี้ไปละ ก็ไปมืดๆ กลางคืนทุ่มหนึ่ง เราไปเดินจงกรมก็ไม่มีไฟ แต่ทางของเรามันโล่งอยู่แล้วนี่ ทางช่องเข้าไปหาเราไม่โล่งซิ ฟังเสียงกุบกับๆ เข้าไป
พอได้ยินเสียงนั้นเราไม่ระลึกถึงอะไร ก่อนอื่นระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์นะ เสียงกุบกับๆ เข้าไป เอ๊ พระมาหาเราจะมีอะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ครูจารย์ คือส่วนมากอาจจำเป็นท่านจะให้พระไปตามเรา ธรรมดาเป็นอย่างนั้น ทีนี้พอท่านอาจารย์หลุยเดินงมมืดไปกุบกับๆ เราก็นึกถึงพ่อแม่ครูจารย์ เอ๊ พ่อแม่ครูจารย์ท่านเป็นอะไรนา เราก็จดจ้องรอ สักเดี๋ยวกุบกับๆ เข้ามา เรายืนอยู่ไม่เห็นกันนะกลางคืน ใครมานี่เราว่างั้นนะ ผมเอง ท่านจำทิศทางได้แล้วท่านเดินเข้าไปหาคว้าเอาแขนเราจูงเลย โอ๊ว จะไปไหน ท่านจูงไปเลยนะ อย่างนั้นละความสนิทกัน
ระหว่างพระ ความสนิทจะว่าท่านหยอกกันเล่นก็ไม่ใช่ เป็นความสนิทของท่านที่เคยปฏิบัติต่อกันมา ท่านคว้าแขนของเราจับจูงเลย โอ๊ว จะเอาไปไหน ไปฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์ละซิ เมื่อคืนนี้ผมก็ไปทำไมท่านอาจารย์ไม่ไป ก็นั่นนะซีผมไม่ได้ไปเมื่อคืนผมถึงเอาท่านมหาไป แล้วไปแต่ท่านอาจารย์ไม่ได้เหรอ โห ถูกเขก เทศน์ก็ไม่ได้ฟังถูกเขกด้วย ไล่ลงด้วย ท่านจูงมือเราออกมาจนกระทั่งถึงที่โล่งค่อยปล่อย ฉุดกันไป นี่ความสนิท ระหว่างท่านอาจารย์หลุยกับเราเป็นอย่างนั้นละ สนิทกันมาก เราก็ไปให้ ก็ทราบท่านอยากฟังเทศน์
แต่สำหรับเราไม่ได้อวดตนโพนตัวอะไร จะคงเป็นตามนิสัยเข้าแก๊ปกันได้ เราขึ้นไปหาท่านเวลาไหน ไม่เคยมีที่พ่อแม่ครูจารย์จะดุเราถึงเรื่องขึ้นเรื่องลงเรื่องอะไรไม่มี การฟังเทศน์ฟังธรรมจะได้ฟังเทศน์หยาบละเอียดขนาดไหนก็เราเป็นต้นเหตุ ตั้งปัญหาข้อนั้นขึ้น ตั้งปัญหาข้อนี้ สอดตรงนั้นแทรกตรงนี้ ผิดถูกประการใดก็ตามเราจะเปิดถังน้ำใหญ่ เข้าใจไหม ธรรมท่านเต็มอยู่หัวใจ ถ้าให้ท่านเทศน์ธรรมดาถึงนิพพานก็เหมือนว่าขาดอะไรอยู่นะ อย่างน้อยขาดน้ำปลา ไม่สมบูรณ์ ถ้าท่านเอะขึ้นมาแล้วนั่นละเต็มเหนี่ยว
พอขึ้นไปแล้วจะได้ฟัง นี่ท่านเอาเราไปเพื่อท่านจะฟังเทศน์ ท่านกับเราเหมือนพ่อกับลูกนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านดูทุกอย่างดูเรา เรียกว่าหมดตับหมดปอดเราท่านดูหมดเลย พอเราขึ้นไปหาท่านแล้ว เราขึ้นไปท่านไม่มีอะไรนี่ ถ้าลงครูจารย์หลุยขึ้นไปจะเขก ไป ขึ้นมาหาอะไร อันนั้นเป็นความเมตตาต่างหาก ไม่ใช่ว่าตำหนิคนนั้นไม่พอใจคนนี้ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ท่านเมตตาคนละอย่างๆ ต่างหาก เป็นลูกศิษย์เหมือนกัน องค์นี้ควรจะเมตตาแบบไหนๆ ท่านทำอย่างนั้นต่างหาก จะเรียกว่าเมตตาแบบหนึ่งก็ได้ เข้าหาท่านเข้าออกได้สนิททุกอย่างกับเรา กับองค์อื่นท่านก็ระวังอยู่แล้ว พระนะท่านก็ระวังอยู่แล้ว ไม่ควรเข้าท่านไม่ให้เข้า ไม่ควรขึ้นท่านไม่ให้ขึ้น แต่เรามันขึ้นได้ทุกเวลา
พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์หลุย ความสนิทกันเป็นอย่างนั้นละ ใครมานี่ ผมเอง ท่านจำทิศทางได้แล้วเข้าไปจับแขนดึงจูงเลย จะไปไหนนี่ ไปฟังเทศน์ จูงมาจากในป่าเลย อย่างนั้นละ ออกมาถึงที่โล่งแล้วถึงปล่อยมือแล้วคุยกันไป พอขึ้นไปเราก็ทราบท่านอยากจะฟังเทศน์ หาอุบายต่างๆ นานา โหย ท่านก็เทศน์เต็มเหนี่ยวเหมือนกัน ก็ท่านไม่เคยกับเรา คือท่านจะดุคำนั้นคำนี้ต่อเรา เราพูดจริงๆ ไม่เคยมี ไม่ว่าจะขึ้นเวลาไหนๆ ก็ตาม ท่านอาจารย์หลุยท่านก็เห็นว่าเราสนิทกับท่านมากความหมายว่างั้น ไปเมื่อไรก็ได้
แต่องค์อื่นไปเลือกกาลเวล่ำเวลานะ แต่สำหรับกับเราไม่มี เพราะตัดคอรองท่านได้ทุกอย่างแล้วพูดง่ายๆ ว่างั้น จะโง่จะฉลาดก็เรียกว่าเราตัดคอเรามอบถวายท่านหมดแล้ว ท่านจะว่าอะไรๆ เราไม่สนใจ ความจำเป็นของเรามียังไงกับท่านเราจะขึ้นทันทีเข้าทันทีเลย ท่านก็ไม่มีอะไรกับเรา นั่นละความสนิทของท่านอาจารย์หลุยกับเรา ขึ้นไปก็ทักหาอุบายท่านก็เทศน์ให้ฟังเต็มเหนี่ยว เทศน์มาเต็มเหนี่ยวละ ลงมาก็ลงมาพร้อมกัน พอได้เวลาพอสมควรแล้วก็กราบลาท่านลงมา พระก็คอยจะนวดเส้นให้ท่านบ้างก็สององค์
ทีนี้เราก็ลงมา พอลงมาบันได เห็นไหมล่ะท่านมหา ขู่เรานะ ท่านมหามาด้วยเห็นไหมล่ะฟังเทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยวันนี้ เพราะฉะนั้นถึงไปเอาท่านมหาละซิ ท่านขู่เรา คุยกันไป แต่ก็เย็นใจอยู่นะเรา มันก็คงจะเป็นนิสัยวาสนาอันหนึ่งเหมือนกัน ทางด้านปริยัติฝ่ายปกครองก็เหมือนกัน ทางด้านปริยัติไปอยู่กับเจ้าฟ้าเจ้าคุณที่เราสนิทๆ เจ้าอาวาสเจ้าฟ้าเจ้าคุณ มันหากเป็นในนี่เข้า ไม่เคยห่างไกลจากผู้ใหญ่ อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์นี้ คิดดูซิถวายเพลิงพ่อแม่ครูจารย์มั่น พรรษา ๑๖ ท่านจะเอาเรากลับคืนไปวัดพระศรีมหาธาตุ โอ๋ย เราอกจะแตก คือขโมยหนีจากท่าน ตอนท่านไปต่างจังหวัดเราอยู่วัดบรมนิวาส มาจากเชียงใหม่แล้วก็เข้ามาวัดบรมนิวาสแล้วจะออกเที่ยว คือท่านไม่ให้ไป
ก็อยู่กุฏิเดียวกับท่านนี่นะ กุฏิเดียว ชั้นสอง ท่านก็อยู่ห้องหนึ่ง ท่านให้เราอยู่ห้องหนึ่ง อย่างนั้นนะ จะไปอยู่ไหนเราก็ไม่สนิทใจ ก็ท่านให้มาอยู่อย่างนั้น ก็ต้องบังคับใจเจ้าของอยู่ นั่นละคือเมตตา ท่านไว้ใจมากกับเรา อะไรๆ เรียบไปหมดถ้าเป็นเรื่องของเราเข้าไปเกี่ยวข้อง ท่านตายใจพูดง่ายๆ พระเณรอยู่ในคณะท่านมีเท่าไรเราเป็นคนดูแลหมด ท่านไม่มีอะไร ท่านก็สบายใจ นี่ละเวลาท่านไม่อยู่เราขโมยหนี เราจะออกเที่ยว จดหมายตามๆ ตามมาก็ไม่ตอบ เฉยๆ ไม่ตอบ นั่นละไปทันกันตอนเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น ทางนี้จะเอาคืนทันทีนะ มัดเลยเชียว
ก็เดชะนะ มีแต่จะเอากลับคืนทีเดียว พรรษา ๑๖ แล้ว จิตนี้พูดตรงๆ เวลานี้จิตมันธรรมจักรแล้ว อยู่กับใครไม่ได้แล้วจิตเป็นธรรมจักรหมุนตลอดเวลา นี่ละเวลาจิตที่มันจะก้าวมันไม่ถอยนะ กลางคืนบางคืนนอนไม่หลับเลย ฟังซิมันหมุนกัน ไปที่ไหนจึงไปแต่คนเดียวๆ มาถวายเพลิงพ่อแม่ครูจารย์มั่น มาอยู่ได้ ๔ วัน ฟังซิ เข้าไปก็ไปกราบศพท่าน บางองค์ก็มีตำหนิเราบ้าง แต่ก็รู้ความรู้สึกของคนละคนๆ ไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกของเรานี้ขอบูชาท่านด้วยข้อปฏิบัติ เป็นอย่างนั้นนะ มากราบไหว้รูปร่างของท่านนี้มาเป็นกาลเป็นเวลา ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน โหติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคต
เราขอบูชาพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยการปฏิบัติของเรา ซึ่งเวลานั้นไม่ได้หลับได้นอน หมุนติ้วๆ เลย เข้ามาก็เข้าไปกราบศพท่าน ไม่ค้างนะ ไปกราบศพ นู่นอยู่ภูเขาทางภูพานไปกาฬสินธุ์นี่เราอยู่ภูเขา ฉันจังหันเสร็จแล้วก็มา กลับถึงวัดก็ค่ำเพราะไม่มีรถมีรา เดินก็เดินจงกรมไป นี่ละจิตพูดให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย ถอดออกมาจากหัวใจ กิริยาทุกอย่างที่ออกมาในเวลาจิตมันเข้าแนวรบจริงๆ แล้วมันไม่มีถอยอะไรละ พักอยู่ภูเขาพอฉันเสร็จแล้วก็เดินทางมาเลย มาก็ภาวนามาตลอด ไม่มีเวลาว่างละ สติปัญญากับกิเลสฟัดกันมาตามทาง เดินไปตามทาง รถไม่มี ทางรถก็พอเป็นรางๆ นิดหน่อย ไปถึงแค่บ้านนาคำก็หมดทางแล้ว จากนั้นก็เป็นป่า
เราก็ออกมาจากป่า เดินไป จนกระทั่งไปเจอเอาสามีภรรยาเขานั่งซ้อนท้ายจักรยานกันมา เราไปจากนี่ละ พอฉันเสร็จแล้วเราก็ไปกราบพ่อแม่ครูจารย์ที่ศพ เสร็จแล้วออกเลย จนครูบาอาจารย์บางองค์ยังว่าได้ เออ ท่านมหาบัวไม่ทราบเป็นยังไงว่างั้นนะ นี่เราก็เห็นความรู้สึกของจิต แต่ก่อนเวลาท่านมีชีวิตอยู่นี้เหมือนเงาตามตัว ท่านมหากับท่านอาจารย์เรา แต่เวลาท่านมรณภาพแล้วหายหน้าเลยว่างั้นนะ อย่างนี้ก็พูด เราก็รู้ความรู้สึกต่างกัน ก็จะถือเอาการเคารพครูบาอาจารย์มีการเข้าการออกอย่างนั้นๆ แต่เรานี้เคารพด้วยการปฏิบัติ ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน เข้าใจไหมล่ะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคต
เราจะบูชาพ่อแม่ครูจารย์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ของเรา โดยความเพียรไม่มีวรรคมีตอน กลางคืนนอนไม่หลับ ฟังซิน่ะเป็นยังไง คือกิเลสกับธรรมมันฟัดกันมันหากเป็นเอง ถึงขั้นนี้แล้วธรรมะจะไม่มีถอยถ้ากิเลสไม่พัง กิเลสมันก็ฟัดเต็มเหนี่ยวของมัน ทางนี้ก็ฟัดเต็มเหนี่ยวของทางนี้ บางคืนนอนไม่หลับเลย กลางวันมันยังจะไม่หลับอีก โอ๋ มันจะตายแล้วนี่ ต้องเอาพุทโธ นี่เคยพูดแล้วไม่ใช่หรือ เอาพุทโธมาเป็นทอดสมอ เอาสติจับกับพุทโธ พุทโธเป็นคำบริกรรมกับจิตไม่ปล่อย ถ้าปล่อยนี้มันจะพุ่งๆ ทางด้านปัญญา ต้องจับอันนี้ไว้เพื่อพักสงบจิตหนึ่ง จะพักนอนก็พักอันนี้หนึ่ง ถ้าจะปล่อยให้นอนเลยไม่หลับ คืองานของจิตระหว่างกิเลสกับธรรมมันฟัดกันถึงขนาดนั้น ท่านทั้งหลายจำเอานะ นี่ถอดออกมาจากหัวใจ
ถึงกาลเวลาที่มันหมุนแล้วยังไงมันก็ไม่มีถอย คอขาดขาดเลย นู่นน่ะดูซิอำนาจแห่งมรรคผลนิพพานมีความเลิศเลอประเสริฐแค่ไหนมันถึงได้บึกบึนไป เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม หวุดหวิดๆ ไอ้ข้าศึกติดตามนี้ก็ติดตามกิเลสตัณหา ตามก็ตามทางนี้มันไม่ถอยแล้ว ยังไงจะพ้นกิเลส นี่ได้ถอดออกมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เวลาทำความเพียรเราไปแต่คนเดียวเรา ไม่ได้มีใครมายั้วเยี้ยๆ อย่างนี้ พระก็ติดตามเราไม่ได้ พ่อแม่ครูจารย์ก็ส่งเสริม ท่านว่าไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน
ลงท่านพูดอย่างนั้นแล้วใครจะไปยุ่ง แล้วท่านก็คือร่มโพธิ์ร่มไทรให้พระทั้งหลายอยู่นี้ เราก็ไปอย่างสบายๆ เราคิดในใจของเราว่า ไม่มีใครจะมาสนใจกับเราละ ต่อเมื่อพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพนี้เกาะพรึบเลย นั่นถึงรู้นะ พระทั้งหลายจดจ้องเราอยู่ตั้งสักเท่าไร เราไม่สนใจกับใคร ท่านก็เสริมให้ไปคนเดียวๆ ตลอด เราจึงไปภาวนาคนเดียว ป่าช้าอยู่กับเรา มันเด็ดอย่างนั้นนะ ท่านทั้งหลายจำเอา ความพากความเพียรมันตามนิสัยก็ไม่ทราบ นิสัยของเรามันผาดโผนโจนทะยานจริงๆ ถ้าไปทางธรรมะนี้ก็ขาดสะบั้นไปอย่างนี้ ถ้าเป็นโจรก็ต้องตายอยู่ตามป่าตามเขา ที่เขาจะจับมาใส่คุกใส่เรือนตะรางเป็นไม่มีทางกับเรานะ ต้องฟัดกันตายกับเจ้าหน้าที่เขา เขาจะตามฆ่าทางนี้ก็ฟัดกันตายตามทางนั้น ที่จะให้ได้จับเราไปเข้าตะรางนี้ โอ๋ย ไม่มี นี่ละจิตมันเป็นอย่างนั้น
อันนี้ฟัดกับกิเลสก็แบบเดียวกัน ไปคนเดียวๆๆ หลบนะ มหาปิดหมดเลยไม่ให้ใครทราบ ทราบไม่ได้นะมหา เป็นหลวงตาองค์เดียวไป หลบนั้นหลบนี้เรื่อย นั่นละหลังพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแล้วยิ่งหมุนใหญ่ อยู่กับใครไม่ได้เลย ญาติโยมเข้ามาหาไม่ได้ ไปบิณฑบาตได้อะไรเขามาให้ฉัน ฉันแล้วไล่หนีหมดไม่ให้มาเกี่ยว การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลามาเห็นพระเห็นเณรต้องใช้หูหนวกตาบอดเอา ท่านเหล่านั้นก็ตั้งใจเต็มกำลังของท่าน แต่กำลังของเราเป็นยังไงไม่ทราบ แต่มันหากเป็นเหมือนดังว่าใช้หูหนวกตาบอดเอาดูพระดูเณร เป็นอย่างนั้น มันต่างกันอย่างไรบ้าง
ท่านก็มาด้วยเจตนาเพื่ออรรถเพื่อธรรมหวังพึ่งเรา มาคิดอันนี้แล้ว เอา หนักก็หาบก็แบกก็หามกันไปอย่างนี้แหละ ถึงได้ทนอยู่กับหมู่เพื่อนนะ ถึงร่างกายจะเฒ่าแก่ก็ตามจิตไม่ได้แก่นะ จิตมันจ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วมันคุ้นกับอะไรในโลกอันนี้พูดให้มันชัดเจน มันไม่ได้คุ้นกับอะไรนะ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้มันเป็นสนามโลกธรรม ๘ ควรติเขาก็ติ ควรชมเขาก็ชม กิริยาของเราจะใช้แบบไหนเราก็ใช้ เช่น เล่นกับหมานี้ใครเล่น แต่เราเล่นสบายๆ แม้ที่สุดห้ามเข้ามันก็เอารูปหมาไปติดนะนั่น เขาแกะรอยเรา เขารู้นิสัยเราเล่นกับหมา นี่ห้ามเข้าเขาเอารูปหมาไว้ห้าม อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นละนิสัยเรา
ตอนพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ โอ๊ย หนักมากนะพระเณรติดตามเราไป อยู่กลางคืนเราขโมยหนีกลางคืน ติดตามไปนี้ทำอะไรก็ให้ไปอยู่ด้วยกัน พอไปอยู่ด้วยกันแล้วก็ดูพระดูเณร องค์นี้เดินจงกรมอยู่บ้าง ควรไปกลางวันก็ไป ควรขโมยกลางคืนก็ไป พอเดินเสร็จเตรียมของแล้วนะ เรียบร้อยแล้วก็เดินไป องค์นี้เดินจงกรมอยู่ องค์นี้นั่งสมาธิภาวนาอยู่ ดูลักษณะท่านไม่สนใจกับเรา นั่นแหละที่นี่ พอมาเตรียมของเสร็จออกทางไม่มีพระ ออกทางอื่นไม่ออก ไปเลย พอตื่นเช้ามาวุ่นกันพระเณร ถ้าว่าจะตกนรกเราก็ตกหลุมลึกที่สุดนะขโมยหนีจากพระจากเณร เป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ นะ
คือมันไม่สนิท กับมันฟัดกันตลอดเวลาแล้วก็แบกภาระอันเป็นน้ำไหลบ่าอย่างนี้ มันเข้ากันไม่ได้ว่างั้น ถ้าอยู่คนเดียวนี้มันฟัดกันตลอดเวลาไม่มีเวลาว่าง ถ้าอยู่กับพระกับเณรไหลบ่าแยกทางโน้นแยกทางนี้ไม่มีกำลังนั่นซิ ถ้าออกไปคนเดียวเท่านั้นละที่นี่ เราเป็นความเพียรคนเดียวแต่ไหนแต่ไรมา จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพเสร็จแล้วเราก็ผ่านเวทีพูดง่ายๆ นั่นละที่จะพอรับพระเณรได้บ้าง แต่ก่อนไม่ได้นะ ที่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์เราก็ไปกับท่านเพ็ง สององค์ไปด้วยกันที่นั่น ท่านเพ็งนี้ติดตามเราตลอดเวลา เพราะท่านลงใจกับเรามากเคารพมาก สำหรับเรากับท่านเพ็งนี้ท่านเคารพจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา
ท่านเพ็งก็ได้ไปกับเรา หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ พอลงมาแล้วก็ว่าจะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิ ก็มีโยมชื่อทิดผานเขาเคยเข้าออกวัดหนองผือ เขาอยู่บ้านหนองกุง ทางไปวาริชภูมิ เขาก็มาเล่าให้ฟังธรรมดาละ โอ๊ย ไปดูวัดป่าหนองผือแล้วเหมือนบ้านร้างเหมือนวัดร้างเขาว่างี้นะ เขามาเล่าให้ฟังเฉยๆ เขาไม่ได้คิดว่าเราจะคิดยังไง มีหลวงตา ๒-๓ องค์ ก็เป็นหลวงตาวัดนั้นแหละบ้านนั้นแหละ บวชแล้วอยู่ที่นั่น ประชาชนนี้หงอยเหงาเศร้าโศกมากเหมือนวัดร้าง มาคิดย้อนไปหาพ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่พระนี้เหลืองอร่าม ประชาชน ๗๐ หลังคาเรือน เขาเลี้ยงดูพระได้หมด
เราชมเชยตลอดบ้านหนองผือนาในเรานี้ เราเห็นบุญเห็นคุณไม่เคยจืดจางนะ บ้าน ๗๐ หลังคาเรือนไม่มีตลาดลาดเลจะไปหามาจับจ่ายอะไร เขาหาด้วยน้ำพักน้ำแรงเขาเอง พระน้อยเมื่อไรพระก็ดี ๓๐-๔๐ องค์อยู่นั้นเป็นประจำตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์ไปอยู่ที่นั่น เขาขวนขวายหามาเลี้ยงดูไม่มีตลาดตเล เขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง นี่คุณของพี่น้องทางหนองผือเรา เราไม่ได้ลืมตลอดทุกวันนี้ พูดทีไรเราต้องยกหนองผือขึ้นทุกทีเลย เพราะคุณลึกมาก พระเณรมีเท่าไรเขาเลี้ยงดูได้หมด นั่น นี่พูดถึงเรื่องอะไรมาถึงที่นี้เราลืมแล้ว (ที่ทิดผานพูดบอกว่า วัดตอนที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่)
อ๋อ พอลงจากเขาวัดดอยธรรมเจดีย์กับท่านเพ็ง ลงมาพักวัดสุทธาวาสสองคืนจะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิ ถ้ำเราจับที่ไว้เรียบร้อยแล้ว เราจะไปจำพรรษาที่นั่น พอดีเฒ่าทิดผานนี้ไปเล่าสภาพความเป็นไปของวัดหนองผือของบ้านหนองผือให้เราฟัง โอ๋ย สะดุดใจกึ๊กเลยเชียว พูดอะไรไม่ได้เลยไม่พูดเลย แกก็เล่าตามประสาของแก สภาพของบ้านหนองผือกับวัด เราสะเทือนใจหนัก เพราะท่านเหล่านี้มีคุณต่อเรามากมาย มีคุณต่อพระต่อเณรทั้งหลายมากมาย ครั้นเวลาครูอาจารย์ล่วงไปแล้วกลายเป็นบ้านร้าง เคยกราบเคยไหว้พระทำบุญให้ทานเต็มกำลังความสามารถหายหมด วัดก็เป็นวัดร้าง เอ๊ะ ยังไงกันนี่ ไม่พูดสักคำนะ
พอแกเล่าให้ฟังแกกลับลงไปเราไม่พูด พอตื่นเช้ามาฉันจังหันเสร็จแล้ว เอ้า เพ็งเตรียมของ คือวันไปถึงหนองผือนั้นเป็นวันขึ้น ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำก็จะเริ่มเข้าพรรษา ไปถึงนั้นวันขึ้น ๘ ค่ำ พอฉันเสร็จแล้วก็เตรียม ไปเพ็งเตรียมของ เตรียมของไปไหน จะไปหนองผือเราว่า ได้ยินไหมที่ทิดผานเขามาเล่าให้ฟังเมื่อวานนี้ ผมสะเทือนใจสุดพูดอะไรไม่ได้ ไม่พูดอะไรกับเขาเลย เขาเล่าให้ฟังเราก็ฟังๆ เสร็จแล้วเขาก็ลงไป นี่ละเป็นปัญหาใหญ่ บ้านหนองผือเป็นบ้านที่มีบุญมีคุณต่อวัดเรามากมาย ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์ลงมาหาเราพูดง่ายๆ เวลานี้เป็นอย่างนี้มันดูได้เหรอ เราต้องกลับไปจำพรรษาหนองผือ อีก นั่นละความหมายว่างั้น เตรียมของจากนั้นก็ไปหนองผือ
ไปถึงหนองผือขึ้น ๘ ค่ำจะเข้าพรรษา พอเราไปถึงแล้วกระเทือนไปถึงพรรณานิคมที่ไหนๆ พระไหลเข้ามา พระจำพรรษาที่นั่นตั้ง ๒๖ องค์นะปีนั้นน่ะ ปีเราเข้าไปจำพรรษาที่มีหลวงตาอยู่ ๓ องค์นั่นแหละ พอเราเข้าไปถึงนั้นปั๊บขึ้น ๘ ค่ำ ไปถึงวัน ๑๕ ค่ำ ๗-๘ วันพระมาเต็มหมดแล้ว จำพรรษาปีนั้น ๒๖ องค์ โน่นดูซิ เขาก็อบอุ่นพออกพอใจ ต่อจากนี้แล้วก็เอาอีกละ พ่อออกพุฒ เป็นหลานชายของโยมกั้ง โยมกั้งนี้แกรู้จิตของใครหมดนะ ไม่ใช่เล่น พอดีเราไปถึงปั๊บ โยมกั้งก็เรียกหลานชายเข้ามา ชื่อพุฒ เราไม่ได้ลืมนะ
คือโยมพุฒมาเล่าให้เราฟัง ความลับ ฟังซิน่ะ พุฒๆ กูจะเล่าให้มึงฟังนะ พ่อตายพ่อยังนะพุฒมึงรู้ไหม ญาท่านท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านมหาบัวมาแทนคุณธรรมทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย ให้มึงปฏิบัติรักษาท่านให้ดีเช่นเดียวกับหลวงปู่มั่นนะ แกว่างั้น มึงรู้ไหนบุญวาสนาของบ้านหนองผือเรายังพอมี นี่พ่อตายแล้วพ่อยังนะ โยมกั้งแกบอก กูกระซิบให้มึงมึงอย่าบอกมึงอย่าเล่าให้ใครฟังนะ นี่ละพ่อตายพ่อยัง มานี้อบอุ่นตามเดิม คุณธรรมเหมือนกันหมดว่างั้น ทีนี้ตาพุธก็ไปกระซิบกับเรา พ่อตายพ่อยัง โอ๊ย เราขบขันจะตายไป นี่ละที่บ้านหนองผือเราเคยไปจำพรรษาพระ ๒๖ องค์ อบอุ่น นั่นเรื่องราว
กลับไปจำพรรษาหนองผือนี้พวกประชาชนหนองผือ อู๊ย ยิ้มแย้มแจ่มใสทีเดียว พอดีโยมกั้งยายแก่นี้ก็ไปกระซิบหลานชายอีกด้วย เขาก็รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง การปฏิบัติต่อเราในวัดป่าหนองผือจึงเช่นเดียวกันกับปฏิบัติต่อพ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ ประชาชนและโยมไม่บกบางเหมือนเก่าเลย พระก็ ๒๖ องค์ เป็นแถวเลย อบอุ่น
แกรู้นะจิตของใครเป็นยังไงโยมกั้ง พวกเทพพวกอินทร์พรหมมารู้หมด พวกเทวบุตรเทวดามาเข้ามาเฝ้าท่าน โยมกั้งแกอยู่ในบ้านแกดู พอได้โอกาสแกก็ออกมา บ้านแกอยู่ริมทุ่งนา กับหนองผือไม่ได้ห่างไกล แกมาพักห้าหนถือไม้เท้ามา สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ เวลาเราไปที่นั่นแกก็มาแบบเดียวกัน ตามที่แกสั่งหลานชายแกไว้ว่าพ่อตายพ่อยังนะไอ้พุฒ ให้มึงรู้เสียนะพ่อตายพ่อยัง มันเข้ากันได้ แกมาหาเราอยู่ตลอด แกก็เสียแล้ว อัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุนะ เห็นไหมล่ะ นี่ละการเดินจงกรมเดินอยู่บนบ้านแก จนกระดานเป็นรอยๆ เป็นเหวเป็นกระดานเดินจงกรมบนแผ่น เป็นรอยเป็นทางจงกรมนะ เรียกว่าเป็นเหวไป
ความเพียรของแกเก่ง จิตใจของใครแกรู้หมด พอเราไปถึงที่นั่นก็รีบกระซิบหลานชาย พุฒมึงให้รู้นะ ให้มึงปฏิบัติต่อท่านมหาบัวเหมือนกับญาท่านนะ อันเดียวกันหมดทุกอย่าง พ่อตายพ่อยังนะพุฒ คุณธรรมทุกอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกันหมดเลย บอกกระซิบหลานชาย หลานชายก็มากระซิบเรา ขบขัน นี่อัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุ สมควร เพราะจิตแกหมุนตั้งแต่โน้นแล้ว เอาละที่นี่จะให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |