เจอธรรมต้องเข้าป่า
วันที่ 19 สิงหาคม 2550 เวลา 7:50 น. ความยาว 40.48 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

เจอธรรมต้องเข้าป่า

ก่อนจังหัน

พระมาฉันเท่าไร (๓๔ ครับผม) แล้วพระในวัดเรามีเท่าไร (พระ ๕๗ เณร ๑ ครับผม) ท่านไม่ฉันท่านก็ภาวนา องค์ไหนท่านไม่มาฉันท่านก็ภาวนาของท่าน ถ้าภาวนาเอาจริงเอาจังแล้วไม่ค่อยฉันจังหัน คือการอดอาหารดีไปทางสติ สตินี้ดี ยิ่งอดไปหลายวันเท่าไรสติติดตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลยถ้าอดไปหลายวันนะ แต่คนเรามันตายได้นี่ ก็ต้องมีผ่อนผันสั้นยาว แต่ยังไงก็ต้องมีผ่อนมีอดบ้างสับปนกันไปกับความอิ่ม พอดี อย่าให้อิ่มมาก การภาวนาเรื่องอาหารนี้มีผ่อนเสมอดี ถ้าอิ่มไม่ดี สติไม่ดี จากนั้นความขี้เกียจขี้คร้าน นอนมาก.ถ้าฉันอิ่มๆ แล้วนอนมาก สติไม่ดี ขี้เกียจ ฉันน้อยหรืออดสติดี ความเพียรคล่องแคล่ว

ผู้ที่จะทำอะไรต้องให้มีเหตุมีผลคัดเลือกด้วยดีก่อนทำ ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าทำ ไม่ดีไม่ค่อยได้ผล ทำอะไรให้สังเกตเหตุกับผล เช่นอย่างที่ว่านี้ผ่อนอาหารการภาวนาเป็นยังไง ฉันปรกติเราก็ฉันมาแล้ว ทีนี้ผ่อนอาหารการภาวนาเป็นยังไง อดอาหารการภาวนามีสติเป็นสำคัญเป็นยังไง ต้องสังเกต ไม่สังเกตไม่ได้นะ สักแต่ว่าทำๆ ส่วนมากจึงไม่ค่อยได้หลักได้เกณฑ์ภายในจิตใจบรรดานักภาวนาเรา ถ้ามีสติหรือมีปัญญาพินิจพิจารณาทดสอบความเพียรของตัวเอง อิริยาบถใดมีผลมาก เช่น ยืน เดิน นั่ง สามอิริยาบถหนักทางไหน นอน นอนก็ภาวนา แล้วอดอาหารผ่อนอาหารเป็นยังไงกับฉันธรรมดา ต้องได้ทดสอบอยู่เรื่อยๆ เราจะเห็นแก่ปากแก่ท้องไม่ได้ ต้องเห็นแก่ธรรม เอาธรรมเป็นกฎเป็นเกณฑ์ไว้บังคับเจ้าของเสมอ

พอพูดอย่างนี้ดูเหมือนได้เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ลงมาจากภูเขา ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขา ถึงวันแหละ คือมันจะตายจริงๆ ก็ไปเสียทีหนึ่ง ไม่ได้ไปทุกวันนะ พอไม่ไหวแล้วธาตุขันธ์อ่อนมาก ต้องฉันให้มันมีกำลังทางร่างกายหนุนเพียงพอ เป็นไปเท่านั้นพอ สติดีๆ ตลอด ไปไม่ถึงครึ่งทาง กะว่าพอจะถึงบ้านเขาแหละ ไปพอไปถึงครึ่งทางไปนั่งจับเจ่าอยู่นั่น คือไปไม่ถึงบ้านเขา แต่จิตไม่ได้นั่งนะ ร่างกายนี้อ่อนเปียกแหละจนจะก้าวขาไม่ออกแล้วพักกลางทาง ส่วนใจนี่สง่างาม

นี่ท่านเรียกว่าธรรมเกิดนะ อยู่ๆ ก็มีเป็นคำพูดขึ้นมาในใจ นี่ท่านอดอาหารเพื่อฆ่ากิเลสให้ตาย เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม ขึ้นอย่างนี้เลย ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นี่เรียกว่ากิเลสเกิด พอทางนั้นปรากฏขึ้นมาแล้วดับไป ทางนี้ก็ขึ้นรับกันเลย การกินก็กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตาย นั่นธรรมซัดกัน มันก็พุ่งๆ ตามเดิม นี่ละกิเลสกับธรรม กิเลสเกิด ธรรมเกิดอยู่ในหัวใจ

เพราะกิเลสไม่มีที่อยู่ ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่อยู่ อยู่ที่หัวใจสัตว์ ธรรมก็ไม่มีที่สถิต อยู่ที่หัวใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเกิดได้ที่ใจ ต้องสังเกตนักปฏิบัติภาวนา ไม่สังเกตไม่ได้นะ เวลานี้ศาสนาอ่อนมากทีเดียว สักแต่ว่าศาสนาๆ มันอดไม่ได้นะนี่พิจารณาจริงๆ ไม่ได้ยกโทษยกกรณ์ท่านผู้ใด เอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้ามาเทียบกับท่านผู้บำเพ็ญทั้งหลายเป็นยังไง เป็นขั้นๆ ของการบำเพ็ญ เป็นเพศของพระของโยมต่างกันอย่างไรบ้าง เอามาพิจารณาเทียบเคียงดู รู้สึกว่าอ่อนแอมาก

อยู่ในวัดก็เลยไม่คำนึงละว่าเรื่องภาวนาเป็นยังไง แล้วจะมีอรรถมีธรรมปรากฏได้ยังไง พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคผลนิพพานหัวเราะเยาะเย้ยกัน เพราะตัวมันไม่เคยทำมันหัวเราะ มูตรคูถหัวเราะทองคำ เป็นอย่างนั้นละ ท่านผู้ภาวนาผู้ทรงมรรคทรงผล อย่างสมัยปัจจุบันนี้คือครูบาอาจารย์ที่ท่านมาสอนพวกเรานี้ ท่านเอาจริงเอาจังเหมือนครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านเอาจริงเอาจังจนได้มรรคได้ผลขึ้นที่ใจๆ เพราะธรรมเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็น อกาลิโก ให้ผลตลอดเวลา ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาขัดมาขวางได้ ท่านทำของท่านท่านก็ปรากฏ

สติเป็นสำคัญ การฝึกหัดภาวนาขึ้นอยู่กับสติ แม้แต่การงานภายนอกก็สติเป็นสำคัญอยู่ตลอดเวลา เวลาจะมาภาวนานี้สติจึงจับติดเลยเชียว ไม่ให้เผลอ ใครภาวนาไม่เผลอสติ ตั้งสติได้ดี ผู้นั้นจะตั้งรากตั้งฐานได้ เช่นความสงบก็จะมี สมาธิก็จะเกิด ออกจากนั้นก็ก้าวทางด้านปัญญาได้คล่องตัวเพราะสติเป็นสำคัญ นักภาวนาต้องเป็นอย่างนั้น อย่าสักแต่ว่าภาวนา มาอยู่เฉยๆ ต้องใช้ความพินิจพิจารณา ท่านว่า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ทำอะไรๆ ก็ตามให้ใคร่ครวญ ให้พิจารณาด้วยปัญญาเสียก่อนแล้วค่อยทำลงไป จะได้ไม่ผิดไม่พลาด พากันจำเอา

พระเราเราก็ไม่ค่อยได้แนะนำสั่งสอน ก็แก่ลำบากมากแล้ว ภาระการงานก็มีมาก พอมีบ้างอะไรบ้างก็ทุ่มเทไปทางประชาชนทางโลกมากเสียกว่าพระ แต่ก่อนสอนพระนี้เอาจริงเอาจังมากทีเดียว เพราะประชาชนไม่ค่อยมาเกี่ยวข้องมากนักแต่ก่อน มีแต่การสอนพระ สอนก็เอาจริงเอาจัง ธรรมะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนเลย พระผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมต่อมรรคผลนิพพานท่านก็มุ่งเต็มหัวใจ ทีนี้เวลาเทศน์นี้ก็รับกันปึ๋งๆ เลย ได้ผลอย่างนั้น ครั้นต่อมางานการก็มาก ประชาชนก็เข้ามาเกี่ยวข้องมาก ต้องหมุนไปทางประชาชนด้วย ที่นี่พระเลยห่างเหิน เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้สอนพระนะ แต่ก่อนสอนแต่พระล้วนๆ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนา

เรานี้ถึงจะมียุ่งเหยิงวุ่นวายเกี่ยวข้องกับทางโลกทางสงสาร แต่ทางงานของพระผมไม่ไปแตะไปต้องไปรบกวนนะ ให้ภาวนา แม้แต่ประชาชนก็ให้อยู่ในบริเวณศาลานี้เท่านั้นไม่ให้เข้าไปข้างใน ข้างในให้เป็นทำเลที่ภาวนาของพระ เอา จะเอาเด็ดขนาดไหนเอาได้เลยไม่ได้เกี่ยวข้อง ภาวนา เพราะงานไม่มี เราไม่ให้พระในวัดป่าบ้านตาดมีงาน สร้างนั้นสร้างนี้เราไม่ให้มี เราตำหนิมาตลอด ถึงคำสอนพระพุทธเจ้าธรรมท่านก็ตำหนิตลอด ท่านให้หาอยู่ในที่สงบสงัด เช่นในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ผู้บำเพ็ญภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพานให้ไปหาอยู่ในที่เช่นนั้น ท่านบอกอย่างนั้นนะ ท่านไม่ได้ไล่เข้าตลาดตเลอะไร พอจะไปเจอแต่กระดูกหมูกระดูกวัวนะ เจอธรรมต้องเข้าป่า บำเพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาท

ท่านว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ พระโอวาทข้อนี้เป็นปัจจุบันๆ มาตลอด ถ้าใครถือโอวาทข้อนี้เป็นสำคัญภายในใจและการปฏิบัติของตัวเองแล้ว มรรคผลจะอยู่จุดนี้แหละ พากันจำเอา นี่ไม่ทราบมรรคเป็นยังไง ผลเป็นยังไง เร่ๆ ร่อนๆ พระก็เลยกลายเป็นเร่ๆ ร่อนๆ ไปเสีย เฉพาะในพระกรรมฐานเราไม่อยากให้เป็น เราไม่อยากเห็นอย่างนั้น พระที่นอกจากนั้นไปมันโกโรโกโส เอาแน่นอนไม่ได้แหละ ส่วนพระกรรมฐานพอมีกฎมีเกณฑ์บ้าง เราก็อยากส่งเสริมให้มียิ่งขึ้นไปๆ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         พวกนักภาวนาให้พากันตั้งใจภาวนานะ ให้ได้เห็นดูซิว่าผลของการภาวนาเป็นยังไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา พระสาวกทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราภาวนาทั้งนั้น นั่นฟังเอาซิ เราเป็นลูกศิษย์ของท่านมีแต่ภาวนอนไม่ได้เรื่อง ความสงบของจิตไม่เหมือนกันนะ อย่าตื่นอย่าตกใจตามนิสัยของใครของเราอาจขึ้นแปลกๆ กัน บางรายรวมปึ๊บเลยเหมือนตกเหวตกบ่อก็มี พอถึงที่แล้วค่อยคลี่คลายออก อย่างหนึ่งก็ค่อยสงบลงๆ ส่วนมากจะเป็นค่อยสงบลงมาก สำหรับรวมลงแบบตกเหวตกบ่อนี้ ถ้าจะคิดถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ ประเภทเหมือนตกเหวตกบ่อจะมีสัก ๕% หรือ ๑๐% เป็นอย่างมาก นอกนั้นเป็นไปเรียบๆ

รวมลงแบบตกเหวตกบ่อนี้มักจะรู้สิ่งต่างๆ ผาดโผน จิตประเภทนี้ผาดโผน เรานี่พูดไม่ถูกนะ เป็นได้ทั้งสองอย่าง ส่วนมากมันจะลงของมันเรียบๆๆ บางทีก็ผึงเลยทันทีก็มี เพราะฉะนั้นมันเป็นได้สองอย่างสำหรับเราเองภาวนา ชนิดที่มันผึงเลยนี้ผาดโผน ชนิดค่อยสงบลงไปเรียบๆ นะต่างกัน ชนิดที่มันลงแบบผึงเลยนี่มันผาดโผน ลงปึ๋งนี้รู้นั้นรู้นี้ขึ้นละ ถ้าลงเรียบๆ ไม่ค่อยรู้ แม่ชีแก้วที่เคยพูดเสมอ นั่นละผาดโผนมาก เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะจากไปท่านห้ามไม่ให้ภาวนา ตั้งแต่นี้ต่อไปห้ามไม่ให้ภาวนา คือนิสัยอันนี้ผาดโผน ท่านเป็นผู้แก้ตอนท่านอยู่นั้น เวลาท่านจะจากไปท่านห้ามไม่ให้ภาวนา ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายท่านจะบวชเป็นเณรให้ไปด้วย แต่นี้เป็นผู้หญิงลำบากท่านว่า เอา ให้อยู่อย่างนั้นละ แล้วท่านก็ทิ้งท้ายไว้ต่อไปจะมีผู้มาสอนอยู่ มีแปลกๆ อยู่อันนี้นะ ท่านทิ้งท้ายเอาไว้ต่อไปจะมีผู้มาสอนอยู่

อันนี้ผาดโผนมากทีเดียวแม่ชีแก้ว พอรวมปั๊บนี้ต้องรู้สิ่งต่างๆ ถ้าวันไหนไม่ได้ออกรู้วันนั้นเหมือนว่าไม่ได้การได้งานอะไร ถ้ารวมปั๊บมันต้องออกรู้ พวกเปรตพวกผีพวกอะไรๆ แกรู้ไปหมดนั่นละ แกเล่าถึงเรื่องผี ผีก็มีกรงใส่ผีอีก ผีอันธพาลก็มี นี่แกเห็นอย่างนั้น พวกผีทั้งหลายก็เรียกว่าผี ผีอันธพาลอยู่ในกรง เวลาไปเจอเข้า แล้วทำไมถึงขังเอาไว้ คือพวกนี้อันธพาลเที่ยวอาละวาดผีด้วยกัน มันเป็นอย่างนั้น แกรู้แปลกๆ ต่างๆ จนกระทั่งติด แม่ชีแก้วนี้ติด ภาวนาถ้ารวมแล้วไม่ได้ออกรู้นี้เหมือนไม่ได้การได้งาน

พอเล่าขึ้นเราก็รู้แล้ว ทีนี้เราก็ฟังให้ชัดเจนแล้วเราก็ค่อยตีเข้ามาๆ แกก็ติดเสียแล้วมันติดนะ ไม่อยากยอมฟังเสียง มันติด ค่อยตีเข้ามา รวมลงไปแล้วให้ออกก็ได้ไม่ให้ออกก็ได้ เราค่อยว่าเอาเป็นระยะๆๆ เข้ามา แล้วมีแต่ออกทั้งนั้น รวมลงแล้วออกๆ ห้ามเข้ามา จนกระทั่งห้ามไม่ให้ออก นี่บังคับเลย เอา เอาไปปฏิบัติเอาให้เหนียวแน่นมั่นคง จิตรวมลงไปแล้วห้ามไม่ให้ออกเลย ให้อยู่กับที่ จากนั้นเราก็จะสอนต่อไป ไม่อยู่ ออกตลอด สุดท้ายก็เหมือนว่ามาต่อสู้กับเราเถียงเรา ไล่ลงภูเขาร้องไห้ลงไป ร้องไห้ก็ตามน้ำตานี้ไม่เกิดประโยชน์

ได้ ๔ วันกลับคืนมาอีก ถูกขนาบไล่ลงจริงๆ ร้องไห้ลงภูเขา ๔ วันกลับมาอีก พอลงไปแล้วก็ว้าเหว่ เราก็หวังจะพึ่งเป็นพึ่งตายกับอาจารย์องค์นี้ แล้วก็ถูกท่านไล่ลงภูเขา ไม่มีที่พึ่งแล้วจะทำยังไงที่นี่ คิดไปคิดมาก็ว่า ที่ท่านไล่ลงไล่ลงเพราะเหตุไร เอามาพิจารณาบ้างซิ เสียอกเสียใจว้าเหว่เฉยๆ ทำไม ให้หาที่ยึด เป็นยังไงท่านสอนผิดไปแล้วเหรอจึงไม่ฟังคำท่าน เราฟังคำท่านปฏิบัติตามดูซิน่ะ ทีนี้ไม่มีที่ไปแล้วก็กลับมาเกาะธรรมะของเรา ก็สอน พอจับนี้บอกปล่อยให้หมดข้างนอก มันจะรู้อะไรไม่ให้รู้ ให้ลงตรงนี้บอกอย่างนั้น พอมานี้ลงนี้ลงไปมรรคเป็นเครื่องแก้กิเลสเป็นอุปกรณ์ของการแก้กิเลส อันนั้นไม่แก้เพลินไปอย่างนั้นละ

พอถูกไล่ลงภูเขาจนร้องไห้ลงได้ ๔ วันกลับมาอีก คือไปเห็นโทษของตัวเองที่เราสอนยังไงก็ไม่ฟังๆ เราไล่ลงภูเขาจนร้องไห้ เพราะเหตุไรแกก็ถามตัวเอง ที่ท่านไล่ลงภูเขาเพราะเหตุไร ก็ลงที่ว่าเพราะไม่เชื่อฟังท่านท่านไล่ลงภูเขา เอ้อ สมควรแล้ว เอามาพิจารณาตามท่านว่าดูซิน่ะ ทีนี้ก็ปล่อยข้างนอกพิจารณาตามเรา พอพิจารณาลงไปผึงนี้มันก็ลงจ้าละซิที่นี่ ได้ ๔ วันกลับมาอีก เรากำลังปัดกวาดอยู่ ๔ โมงเย็นกับเณรหนึ่งอยู่บนภูเขา บ้านเขาอยู่ทางโน้น ห้วยทรายอยู่ตรงกลาง ภูเขาอยู่ทางนี้ เขาข้ามทุ่งมา พอ ๔ โมงเย็นเขาก็จะมาละ วันพระเขาจะยกขบวนขึ้นมา พอใกล้ ๖ โมงเย็นเขาก็กลับ ทีนี้พอไปถึงขั้นที่จะเอากันแล้วก็เอาละที่นี่ บอกเท่าไรไม่ฟังๆ ก็ไล่ลงภูเขาซิ ไปร้องไห้อยู่นั่น ทีนี้เมื่อไม่มีที่ยึดที่เกาะแล้วทำไง เราหวังจะพึ่งครูบาอาจารย์องค์นี้แล้วก็ถูกท่านไล่ลงภูเขา ทีนี้ว้าเหว่ไม่มีที่ยึดที่เกาะแล้วทำไง

จึงมาทบทวนดูที่ท่านไล่เพราะเหตุไร ก็เพราะไม่ฟังคำของท่าน เอาฟังคำของท่านดูซิน่ะ ทีนี้ก็ยึดเอาคำของเราปล่อยของเจ้าของให้หมดลง มันก็ลงซิ พอลงแล้วก็ พอออกจากที่ภาวนาไหว้ไปทางภูเขา ลงใจละที่นี่ จึงได้ ๔ วันกลับขึ้นมา ขนาบอีก มาอะไรนักปราชญ์ใหญ่ขึ้นเลย ไปลงไป ไล่ เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ อย่างนั้นละ ไม่เอาขนาดนั้นไม่ได้นะ คือเวลามันติดติดจริงๆ ไม่ยอมฟังเสียงใครง่ายๆ  คิดดูอย่างที่กับเรานี้สอนยังไงก็ไม่ฟังๆ สุดท้ายต่อสู้กับเรา ต่อสู้ก็ไล่ลงภูเขาละซิ เพื่อจะให้เป็นข้อคิด

ทีนี้กลับไปก็ไปทำตามเรามันก็เป็นจริงๆ พอเป็นแล้วยอม แล้วกลับมา ถูกไล่อีก ถูกไล่ เดี๋ยวให้พูดเสียก่อนๆ ลง พอจากนั้นมาลงแล้วยอมละที่นี่ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ แกผาดโผนมาก เรื่องความรู้แปลกๆ รู้ เช่นอย่างเราจะไปไหนมาไหนในวัด วัดเราอยู่ทางฟากบ้านไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ วัดเขาอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ เวลาเราจะไปไหนมาไหนก็ตามนิสัยเรา เราไม่ค่อยยุ่งกับใครละ เวลาจะไปไปเลย รู้แล้วนะนั่น รู้แล้วอยู่ทางโน้นรู้ ไปแล้วนะวันนี้นะบอกเพื่อนฝูง วันนี้ไปแล้วนะหายเงียบ ให้คนไปดูไปแล้ว แล้วกลับมาถึง มาถึงแล้ว รู้แล้วนะ แน่ะไม่ผิด

ความรู้การไปการมาของเราแกจับได้แม่นยำมากไม่ผิดเลย มาถึงแล้ว เพราะเราเที่ยวกรรมฐานนี่ อยากไปเมื่อไรเราก็ไปของเราอยากมาเราก็มา มาก็เข้าวัดเลย แกคอยทราบอยู่ข้างหลัง มาถึงแล้ววันนี้ เวลาไปก็ ไปแล้วนะวันนี้ ไปดูซิ หายเงียบเลยไปแล้ว คือเวลาแกพูดมันเย็นหมดเลย แกไขความออกมาว่ามันเย็นหมดเลย ไปแล้ววันนี้ พอมานี้มันอบอุ่นเข้ามาๆ พอถึงที่แล้วอบอุ่นเต็มที่ มาแล้ว นี่ละคนหนึ่งที่ได้เอากันอย่างหนัก ไล่ลงภูเขาจนร้องไห้เหมือนกัน นี่ละความติดสมาธิ ไม่เอาอย่างหนักๆ ไม่ได้นะ ถ้าอนุโลมตามนั้นก็ไปใหญ่เลย เลยไม่มีหลักมีเกณฑ์

ทีนี้หลักมีอยู่ความจริงมีอยู่ความถูกต้องมีอยู่ จะปล่อยให้เพ่นพ่านๆ ได้ยังไงก็ในฐานะเราเป็นครูเป็นอาจารย์ ก็หักเข้ามาๆ ตรงไหนไม่ถูกก็ตีเข้ามาๆ บางทีก็ต่อสู้กันมันไม่ยอมเข้า เอากันจนร้องไห้ นี่แกก็ลง ไม่นานนะ เราไปดูเหมือนปี ๙๓ มาจำพรรษาหนองผือ ๙๔ ไปจำห้วยทราย ๙๕ แกก็ผ่านได้ ผ่านปี ๙๕ เราก็ ๙๓ ถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือว่า ๙๓ ผ่านเรา ผ่าน เราก็มาจำพรรษาที่หนองผือ คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว พอ ๙๓ เดือนพฤษภา เราก็ผ่านได้บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ปีนั้นย้อนมาจำพรรษาที่วัดหนองผือ ๙๔ ก็ไปห้วยทราย ๙๕ แกก็ผ่านได้

เพราะแกตั้งใจอยู่แล้วภาวนาเป็นอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงมันออกรู้สิ่งต่างๆ มันไม่รู้ที่จะยึดอะไรต่ออะไร เลยถือเป็นมรรคเป็นผลไปหมด เวลาชี้แจงให้ฟัง เวลามันติดแล้วมันไม่ยอมฟังนะมันเถียง เอาหนักเข้าๆ ซัดจนไล่ลงภูเขา ไปเห็นโทษแล้วกลับมา พิจารณาแล้วเห็นโทษแล้วก็พิจารณาตามที่เราสอนมันก็เป็น ยอมรับ แน่ะอย่างนั้น คือเรื่องการไปการมาของเรานี้แกแม่นยำมากไม่มีเคลื่อนคลาดเลย อยู่คนละวัดนะ บ้านอยู่ศูนย์กลาง สำนักชีอยู่โน้น วัดเราอยู่นู้น เราก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเขา เวลาเราไปปั๊บออกไปอย่างนี้ ไปแล้วนะวันนี้ ไปดูไปแล้ว

ทีนี้พอแล้วไม่ต้องไปบอกละ มาแล้ววันนี้ หุงข้าวหม้อเล็กๆ แล้วจีบหมากมา เราถาม หุงข้าวกับจีบหมาก หุงทุกวันจีบทุกวันเหรอ มันหลายหนเข้า บอก ไม่ได้หุงทุกวัน จีบเฉพาะวันนี้หุงเฉพาะวันนี้ละ เพราะเหตุไร คุณแม่บอกว่าท่านมาถึงแล้ว แน่ะแม่นยำนะ จัดมานี้ไม่ผิดละ นี่ก็อัฐิของแกก็เป็นพระธาตุแล้ว อัฐิแม่ชีแก้วนี้กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านไปตั้งแต่ปี ๙๕ เราไป ๙๓ จำพรรษาหนองผือ ๙๔ ไปห้วยทราย ๙๕ แกก็ผ่านได้ อยู่ห้วยทราย ๔ ปี

นั่นละการภาวนาถ้าภาวนามันก็รู้ก็เห็นอย่างนั้น เพราะธรรมมีอยู่ตลอดเวลา อกาลิโก นอกจากไม่ได้ทำมันก็ไม่รู้ ถ้าทำต้องรู้ สำคัญการภาวนาสตินะ ไม่ว่าเดินจงกรมสติติดอยู่กับจิตไม่ให้จิตเพ่นพ่าน พอเผลอปั๊บความคิดคิดแล้ว คิดแล้วเป็นกิเลสไปแล้ว ท่านสอนว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาตัวรังใหญ่ของวัฏจักร มันดันออกไปให้คิดให้ปรุง อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นตัวกิเลสตัวนี้ พอตั้งสติปั๊บบังคับไว้ไม่ให้ออก ความคิดก็ไม่ออกกิเลสก็ไม่เกิด บังคับนานเข้าๆ จิตก็สงบได้ พอจิตสงบได้แล้วก็แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

สตินี้สำคัญมากอย่าปล่อยนะใครก็ดี ต่อจากนั้นก็จิตก็เป็นสมาธิได้เลย แน่นปึ๋ง ทีนี้ออกทางด้านปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ ป่าช้าผีดิบผีตาย แยกเขาแยกเราเทียบเคียงกัน นี่เรียกว่าปัญญา จะถอดถอนกิเลสละที่นี่ สมาธิตีกิเลสตะล่อมเข้ามาสู่จุดรวม ทีนี้ปัญญาตีตอนรวมนั้นให้มันแตกกระจายออกไป ผ่านๆ ไปโดยลำดับ แล้วพ้นด้วยปัญญา เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สอนทางด้านจิตตภาวนานะ พระเราก็ไม่ค่อยได้สอนเดี๋ยวนี้ มันวุ่นแต่เรื่องภายนอกเป็นแกงหม้อใหญ่เลอะๆ เทอะๆ ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ไม่ได้สอนพระเรานะ สอนพระเราแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว การภาวนาสมาธิปัญญาซัดกันเรื่อยๆ ทีนี้ไม่ค่อยได้สอน พระเรารู้สึกว่าห่างเหินมากเรื่องอรรถเรื่องธรรม

ตั้งแต่ก่อนไม่มีใครมาเกี่ยวนะมีแต่พระล้วนๆ สอนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนบนศาลา ทีนี้นานเข้าๆ คนก็มากเข้าๆ สุดท้ายธรรมะเลยเอนไปทางแกงหม้อใหญ่.ไม่ได้มาแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว ผลที่ปรากฏภายในจิตก็ไม่ค่อยมี ถ้ารวมเข้ามาที่นี่แล้วจะปรากฏจิตสงบ สติดีเท่าไรจิตจะสงบได้ คือคำว่าสตินี้ไม่อยู่เพียงเวลาภาวนา อยู่ตลอดเวลาสติ เคลื่อนไหวไปมาที่ไหนสติ เช่นอย่างกับคำบริกรรมให้ติดอยู่กับคำบริกรรม ถ้าจิตอยู่ในขั้นบริกรรมให้อยู่กับคำบริกรรม จิตอยู่ในขั้นสงบสติจับติดอยู่กับความสงบจุดแห่งความสงบมีนี่นะ ให้ติดอยู่นั้นๆ จนกระทั่งจิตรวมลงไปไม่คิดไม่ปรุง มีแต่ความรู้ที่ละเอียดลออ ให้สติจับอยู่นั้นอีก นั่นมันเป็นขั้นๆ นะ สติสำคัญมากทีเดียว แล้วจากนั้นก็ก้าวได้

ภาวนาซิเราจะเห็นความแปลกประหลาดชัดเจนของธรรม เห็นจากการภาวนานะ ที่เราอ่านตามตำหรับตำราก็อ่านแต่ชื่อแต่นามของอรรถของธรรม แต่ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมแท้ ถ้าเราได้ภาวนาแล้วได้สัมผัส พอจิตสงบความสงบปรากฏขึ้นแล้วความสงบก็เป็นสมบัติของเรา สงบมากน้อยเพียงไรปรากฏขึ้นมากน้อยเพียงไรเป็นสมบัติของเราๆ ที่เราเรียนตามตำรับตำรามันเป็นความจำไม่ใช่สมบัติ ยังไม่เป็นของเรา ต่อเมื่อจิตของเรามาภาวนาให้มีความสงบ ความสงบนี้เป็นของเราเรื่อยๆๆ จนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ พอปฏิบัติเข้าไปจิตก็เป็นปฏิเวธ รู้ผลของงานโดยลำดับ จนกระทั่งแทงทะลุหมดเป็นปฏิเวธเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ไม่มีใครสอนเรื่องภาวนาจะว่าไม่บอกนะ จะไม่มีนะสอนเรื่องภาวนา ส่วนมากก็สอนกันตามปริยัติ โดยผลไม่ปรากฏในหัวใจ สอนโลกก็ผิดๆ พลาดๆ ไป ถ้าหัวใจมีแต่ธรรมล้วนๆ สมาธิอยู่ที่นี่ ปัญญาอยู่ที่นี่ วิมุตติหลุดพ้นอยู่ที่หัวใจอย่างเดียวสอนไม่อัดไม่อั้น จะเอาขั้นไหนพับมา พอปั๊บมารับกันปุ๊บๆๆ เลย เพราะมันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ถ้าไม่มีใครที่มาเกี่ยวข้องก็เหมือนไม่รู้ไม่เห็นตาบอดหูหนวกไป พอมีสิ่งเข้ามาผ่านที่จะเป็นประโยชน์ผู้มาเกี่ยวข้องมันจะรับกันทันทีๆ เลย

ให้พากันภาวนาบ้างนักภาวนาเรา อย่าวุ่นตั้งแต่ภายนอก จิตที่พาวุ่นมามากมายไม่เห็นมีความวิเศษวิโสอะไร พาวุ่นตลอดเป็นทุกข์ตลอด เอาให้มันสงบได้ บังคับใจให้สงบเย็น จากนั้นจิตก็จะสบายๆ พอจิตสงบแล้วไม่มีอะไรกวนตัวเองมันก็สบาย คำว่าจิตไม่สงบคือจิตออกคิดออกปรุงกวนตัวเอง แล้วนำอารมณ์ภายนอกเข้ามายุ่งตัวเอง มีเท่านั้นละวันนี้ เอาละให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก