ฟังเทศน์ท่านอาจารย์แล้วมันซึ้ง
วันที่ 18 สิงหาคม 2550 เวลา 7:50 น. ความยาว 57 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ฟังเทศน์ท่านอาจารย์แล้วมันซึ้ง

         ท่านปัญญาเราเคยชมท่าน ที่เคยพูดเสมอว่า ถ้าเป็นนักมวยแล้วเราต่อยท่านไม่ถูก ท่านอาจจะต่อยเราถูกหลายหมัด คือท่านเรียบร้อยมากไม่มีที่ต้องติ ไม่มีที่จะควรแนะนำสั่งสอนอะไร เหมือนกับว่าต่อยไม่ถูก คือท่านเรียบร้อยอยู่แล้วท่านปัญญา ในขณะเดียวกันท่านอาจจะต่อยเราถูกไม่รู้กี่หมัด ท่านปัญญาท่านเรียบร้อยมาก ท่านก็คงจะพูดด้วยใจจริงของท่านเหมือนกันว่า ฟังเทศน์ท่านอาจารย์แล้วไม่อยากจะฟังเทศน์ใคร ไม่เหมือนเลย เทศน์ที่ไหนฟังไม่เหมือนเลย ได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์แล้วมันซึ้ง คือเทศน์จิตตภาวนา

ท่านภาวนาดีนะ คือการภาวนาจิตใจดีเท่าไร การเทศน์ยิ่งรับกันดูดดื่มๆ เราก็เทศน์ตามขั้นของธรรมตั้งแต่พื้นๆ ฟาดถึงนิพพานเลย พูดให้มันตรงอย่างนี้แหละ ท่านฟังเทศน์ท่านบอกว่า ได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์แล้วไม่อยากฟังใครเลยมันไม่ถึงใจท่านว่า แน่ะท่านก็พูดตรงดีนะ พูดอย่างตรงไปตรงมา ฟังเทศน์ท่านอาจารย์มันซึ้ง

เวลามาแล้วท่านลาไปเที่ยว มาอยู่นี่ได้สักสองสามปีหรือไงท่านก็ลาไปเที่ยว ลาไปไหนเราก็ให้ไป ลาไปเที่ยวทางโน้นทางนี้ ฟาดถึงลพบุรีถึงไหนเราก็ให้ท่านไป จากนั้นมาแล้วเลยไม่ไปที่ไหนอีกเลย เราก็เลยถาม อ้าว แต่ก่อนเป็นหน้าแล้งสะดวกสบายนี้เห็นไปภาวนาเรื่อย ลาไปเรื่อย จากนั้นมาแล้วไม่เห็นไปไหน อู๊ย ไปที่ไหนก็ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาด ถ้าว่าอาจารย์ก็ไม่เหมือนอาจารย์ของเรา แปลกอยู่นะเวลาท่านพูด ไปที่ไหนๆ ไปหมดไม่เหมือนท่านว่า วัดพระเณรก็ไม่เหมือน เอาอีกแหละ ครูบาอาจารย์ก็ไม่เหมือน ธรรมก็ไม่เหมือนเขาอีก เลยไม่เหมือนๆ เรื่อย จากนั้นมาเลยไม่อยากไปไหน ไม่ไปเลยนะจนกระทั่งท่านมรณภาพ

มาทีแรกไป ไปเที่ยวลาไปไหนเราก็ให้ไป ไปสองครั้งสามครั้งไปเที่ยวทางนู้นทางนี้ ท่านไปตามวัดตามวา วัดวามันก็มีพระมีเณรมีอรรถมีธรรมมากน้อย ตามแต่กำลังของครูบาอาจารย์ ท่านลาไปสองปีสามปี ไปปีละครั้งๆ เรื่อย จวนเข้าพรรษาก็มา จากนั้นแล้วไม่ไปไหนอีกเลย เราก็เลยถาม ท่านบอก โอ๊ย ไปที่ไหนก็ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาด ตลอดถึงพระถึงเณรไม่เหมือน แน่ะไปอย่างนั้นนะ เลยไม่ไปอีกเลยจนกระทั่งท่านมรณภาพ ท่านเป็นพระที่เรียบร้อย จิตใจสูง จิตใจท่านละเอียดลออมากอยู่ทางด้านจิตตภาวนา

(แม่บังอรชลบุรีถวายน้ำตาลมา ๑๐๐ กระสอบ กระสอบละ ๕๐ กิโลครับ) เต็มอยู่โกดัง ท่านพฤกษ์ส่งอะไรมาเรื่อย แม้แต่หมาก็ส่งมาใส่เครื่องบินมา ท่านพฤกษ์ลูกชายคุณแม่บังอร พวกสกุลเศรษฐี ที่เขาโจมตีว่าท่านพฤกษ์นี้เอาเงินของสงฆ์จากเขาเขียวไปสร้างรีสอร์ตรีแสดที่ไหน เขาว่ามาอย่างนั้น พอได้อ่านนี้เราก็แก้เดี๋ยวนั้นเลย ฐานะของท่านพฤกษฐานะคุณแม่บังอรไม่ใช่คนประเภทนั้น อยู่ในเมืองชลเราจะเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่ง เราบอก ฐานะการเงินการทองทุกอย่างไม่อดไม่อยาก ไหนจะไปเอาเงินในวัดเขาเขียวมันมีกุฏิสองสามหลัง เราไปดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร เครื่องก่อสร้างก็ไม่มี มีตั้งแต่สัตว์แต่เนื้ออะไรเต็มอยู่ในนั้น รอบๆ อยู่นั้น

อย่างนี้ก็พูดกันได้คนเรานี่น่ะ เราแก้ข่าวให้ทันทีออกทั่วประเทศไทย เราไปเห็นด้วยตาเราเอง เราพูด มีความสัตย์ความจริงเต็มตัวเราบอก เชื่อถือได้ เราว่าอย่างนี้เลย แก้ข่าวให้เดี๋ยวนั้นเลย ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ละคนมันโจมตีกันอย่างนี้ละ เราไปเห็นหมดแล้วที่เขาโจมตีไม่มีที่ต้องติแล้ว แล้วไปต้องติหาอะไรถ้าไม่ใช่คนตาบอดหูหนวก ชนดะไปอย่างนั้น มันก็เข้าเนื้อตัวเองคนประเภทนั้นนะ เราก็บอกคุณแม่บังอร ท่านพฤกษ์นี้สกุลนี้เป็นสกุลเศรษฐีในเมืองชล บอกตรงๆ เลยเรา ฐานะเป็นเศรษฐีนู่นแหละในเมืองชล

นี่ก็ได้ทราบข่าวว่าเราสนใจอะไรแล้วจะส่งมาทันทีๆ แม้ที่สุดหมาก็ยังส่งมา เรียกไอ้เหาะๆ นี่ก็มาจากนู้นแหละ ไอ้เหาะๆ นี่มาจากนู้นละส่งเครื่องบินมา อีกไอ้หนึ่งไอ้ตัวอ้วนๆ น่ารักมาก เห็นเราเล่นกับมันอยู่นู้นอยู่สวนแสงธรรม เอามาให้เรา เรามาอยู่สวนแสงธรรมท่านก็ส่งหมามาสองตัวสามตัว ถ้าท่านจะเอาไปหมดก็ได้ เอาไปกี่ตัวก็ได้ ไม่เอาไปก็จะเอากลับคืน ก่อนจะกลับเราก็สั่งไม่เอาไปหมาน่ะให้เอาคืน เราก็บอกให้เอาคืนไป เดี๋ยวส่งมาอีกตัวหนึ่งขึ้นเครื่องบินมา นี่ไอ้เหิน ไอ้หนึ่งไอ้เหาะส่งมา ตัวนี้ไอ้เหิน มาจากท่านพฤกษ์นั่นแหละ ส่งอะไรต่ออะไรมานี่น้อยเมื่อไร

สกุลนี้ไม่ใช่สกุลต่ำต้อย เราไปเห็นแล้ว จะว่าเศรษฐีเป็นอันดับหนึ่งในเมืองชลก็ได้ ไปดูแล้วตึกรามบ้านช่องอะไรๆ การค้าการขายทุกอย่างกว้างขวางมากมาย ขั้นเศรษฐีในเมืองชลไม่ผิด เขาหาโจมตีว่าเอาเงินในวัดเขาเขียวมาสร้างรีสอร์ตรีแสด วัดเขาเขียวเราก็ขึ้นไปอีกเราไปดูมีกุฏิสามสี่หลัง กุฏิกรรมฐานเห็นแล้วเราปลื้มใจนะ เป็นป่าจริงๆ ไม่ก่อไม่สร้างอะไรเลย มีแต่ทางจงกรมมีอะไรเรียบร้อย เห็นรอยสัตว์เต็มอยู่ข้างๆ เราเลยถามว่าสัตว์มีอะไรบ้าง มีพวกหมูพวกกวางพวกอะไรมาเยอะ มาแถวๆ กุฏิ มาเป็นเพื่อนนั่นแหละกับพระ เสือก็มี อยู่ในนั้นละอยู่ด้วยกัน

เราไปเห็นหมดแล้ว ทีนี้พูดออกมาตรงไหนมันก็ขัดกับความจริงละซิ เราไปเห็นเราก็เอาอันนั้นละออกประกาศแก้ข่าวให้ท่านพฤกษ์ ให้คุณแม่บังอร แก้ข่าวสกปรกล้างมันออก พวกนี้พวกสกปรก ปากสกปรก ปากอมขี้มันมาพูด นี้ปากอมธรรมซัดไม่อย่างนั้นไม่สะอาด เราปากอมธรรมพูดเอาความจริงพูด เราว่าอย่างนั้นเลย อย่างนั้นละคนเราอยู่ดีๆ ก็หาเรื่องใส่กัน มันอะไร คือจิตมันสกปรก ดูอะไรสกปรกไปหมดนะ

ถ้าจิตสกปรกเสียอย่างเดียวตาหูจมูกลิ้นเหล่านี้สกปรกไปตามๆ กัน มันออกจากใจ ตัวเองสกปรกก็ไปวาดภาพหรือไปว่าคนอื่นในทางไม่ดีไม่งาม คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี คือใจเจ้าของสกปรก ถ้าใจสะอาดแล้วไม่ติฉินนินทาใคร ผิดบอกว่าผิดไปเลย จากนั้นหายเงียบ ไม่มีคำว่าจะติฉินนินทา คนนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก ตรงไปเลยอย่างนั้นละ

(กราบขอขมาหลวงตา เคยล่วงเกิน) ขอขมาอะไร เป็นอะไร มันดื้ออะไรถึงไปตีพระ มาตีหลวงตาด้วยแล้วให้หลวงตาให้อภัยว่าอย่างไร เดี๋ยวเราจะยุหมาในวัดไล่กัดเอาหลงทิศไปนะ หมามันยังรักเจ้าของอันนี้ไม่รักครูอาจารย์อย่างไรกัน เข้าใจไหม ตั้งแต่หมาเราเลี้ยงมันมันรักเจ้าของจะตายไป เราเป็นคนทำไมมาตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์สู้หมาไม่ได้ อ้าวอย่างนั้นซิ การรับขมาโทษกันต้องรับอย่างนั้น ต้องสั่งสอนอย่างนั้นใช่ไหม ต่อไปอย่าเป็นอย่าทำ ความหมายว่าอย่างนั้น

(ให้หลวงตายกโทษให้ด้วยนะคะ เคยบ่นว่าท่าน) ตำหนิอะไร เราพูดกันสนุกๆ (เพียงแต่บอกหลวงตาทำไมหลวงตาพูดคำหยาบ แต่ตอนนี้โยมรู้สึกตัวแล้วว่าท่านพูดอะไรตรงๆ เข้าใจธรรมะของหลวงตาแล้ว) แล้วมันไปโดนกับอะไรเข้าล่ะ ธรรมะของอาจารย์มันเป็นน้ำดับไฟ หรือเป็นน้ำชำระสกปรกแล้วมันอาจจะไปโดนสกปรกเข้าไป ความสกปรกมันไม่ถูกใจมันก็ซัดกันบ้างกับอาจารย์ ให้อภัยทุกอย่างแล้วแหละ ไม่มีอะไร (สาธุ) กับโลกนี้จริงๆ นะเราไม่มีอะไรจริงๆ กับโลก

หลวงตาต้องขออภัยจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายไว้เลยนะ คือเราไม่มีอะไรกับใคร พูดอะไรๆ มีความสัตย์ความจริงก็พูดไปตามความสัตย์ความจริง หรือหากจะตลกบ้างก็มีคติธรรมอยู่ในนั้นๆ ที่จะให้ตลกขบขันไปแบบโลกๆ จริงๆ เราไม่มีอย่างนั้น ถึงตลกๆ ก็มีธรรมแทรกๆ อยู่ในนั้น เพราะจิตไม่เป็นโลก เป็นธรรมล้วนๆ แล้ว ถึงจะใช้กิริยาเหมือนโลกก็ตาม ธรรมมีอยู่ในนั้นๆ เสร็จ เรายอมรับเรื่องร่างกายนี้มันเป็นสนามโลกธรรม ๘ คือร่างกายกิริยาแสดงออกต่างๆ นี้เป็นสนามโลกธรรม ๘ ที่จะเข้าประสานกันได้

โลกธรรม ๘ ได้ลาภ ได้ยศ นินทา สรรเสริญ สุขทุกข์ โลกธรรม ๘ เรื่องกิริยานี้มันเป็นได้ เราไม่ว่าละ คือกิริยาที่แสดงออกต่อโลกสมมุติมันก็มีสูงๆ ต่ำๆ เป็นธรรมดา แต่จิตใจที่เต็มไปด้วยเมตตานี้เรียกว่าครอบโลกธาตุเลย เราไม่มีอะไรกับใคร แม้เขาจะเอา..พูดง่ายๆ ให้มันเต็มยศ เขาจะลากคอหลวงตาบัวนี้ไปฆ่าหลวงตาบัวจะไม่มีอะไรเท่าเม็ดหินเม็ดทรายเป็นการโต้ตอบในส่วนอกุศลกับเขา จะไม่มีเลย ตายด้วยความบริสุทธิ์ของเราล้วนๆ และเต็มไปด้วยเมตตา จะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ จะให้คิดโกรธคิดแค้นใดๆ กับเขาเม็ดหินเม็ดทรายไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลส กิเลสสิ้นจากใจแล้วจึงไม่มี ตายก็ตายเต็มตัว เราต้องเป็นเราเต็มตัว ยังก็เราเต็มตัวเท่านั้นละ แต่กิริยาแสดงออกนี้มันเป็นสนามโลกธรรม ถ้าเขาพอใจเขาก็ชมเชย ไม่พอใจเขาก็ตำหนิเป็นธรรมดาเราก็ยอมรับ เพราะสนามนี้เป็นสนามโลกธรรม ยอมรับทั้งหมดโลกธรรม ชนิดไหนมารับๆ ไว้

ที่เราช่วยชาติคราวนี้ทองคำเราได้เข้าคลังหลวงไม่น้อยนะ ๑๑,๕๗๒ กิโล นี่ละทองคำที่เข้าคลังหลวงในการช่วยชาติคราวนี้ เข้ามากถึงขนาดนั้น ทองคำตั้งหมื่นกว่านี่เป็นของน้อยเมื่อไรทองคำเข้าคลังหลวง เป็นประวัติศาสตร์ได้เลย ในเมืองไทยเรานี้มีสมัยใดบ้างที่ได้ทองคำเข้ามาสู่คลังหลวงเรา ก็สมัยช่วยชาติเรานี้ ได้ทองคำ ๑๑,๕๗๒ กิโล เข้าคลังหลวงของเรา ทองคำจึงไปแข็งอยู่ เป็นความสง่างาม เป็นแก่นของชาติไทยเราอยู่ในนั้น

ใครจะเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องอะไรๆ ไม่สะทกสะท้าน ทองคำเครื่องยืนยันแห่งความมั่นคงของชาติเราออกประกาศอยู่ในคลังหลวงประจำอยู่แล้ว เป็นอย่างนั้นนะ ส่วนดอลลาร์ไม่ได้มาก ดูเหมือน ๑๐ ล้าน ๒ แสนเท่านั้นละดอลลาร์ สำหรับทองคำนี้เรียกว่าร้อยทั้งร้อยจะรั่วไหลไปไหนไม่ได้ นี่ละการนำชาติโดยความเป็นธรรม เจ้าของเองก็ไม่มี แม้เม็ดหินเม็ดทรายจะหงุดหงิดภายในใจว่าได้เอาของท่านทั้งหลายมาด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นลักษณะขโมยอย่างนี้เราไม่มี แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี เข้าหมดเลยๆ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้เป็นชิ้นเป็นอันไม่มีรั่วไหลแตกซึมไปไหนเลย เข้าเต็มเหนี่ยวๆ เลย

ท่านฉลาดท่านปัญญา เราแพ้ท่านอย่างหลุดลุ่ยนะไม่ใช่แพ้ธรรมดา มาขออยู่กับเราถึง ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ไม่รับมาตลอด ครั้งที่ ๕ ท่านมาขอพักชั่วคราวท่านว่างั้น นี่เห็นไหม แสดงว่าท่านฉลาดกว่าเรา พอครั้งที่ ๕ ท่านไม่ให้อยู่ก็ไม่ว่าละจะมาขอพักชั่วคราว ทีนี้มาท่านก็เป็นพระดิบพระดี เราหาพระดีอยู่แล้วจะปฏิเสธไปไหนล่ะใช่ไหม มันก็เข้ากันได้สนิทเลย ตั้งแต่วันท่านมาอยู่ดูมันเท่าไรปีถึงท่านมรณภาพจากไป ตั้ง ๔๐ ปีหรือไร นั่นละมาพักชั่วคราว ๔๐ ปี นี่เราแพ้ท่านนะ

มาขอ ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๕ ท่านว่ามาอยู่ไม่ได้ก็ขอมาพักชั่วคราว ท่านก็เลยมาพักชั่วคราว มาท่านก็ดีตลอดๆ เราก็หาพระดีอยู่แล้วจะปฏิเสธกันได้ยังไง นั่น ดีกับดีมันก็เข้ากันได้สนิท ท่านก็มาพักที่นี่ตั้ง ๔๐ ปี จากนั้นก็ท่านเชอร์รี่ตามมา ท่านดิ๊ก ท่านอะไรหลายองค์ ท่านปัญญาก็มาเสียชีวิตอยู่ที่นี่

เอ้อ ลูกหลานที่มาฟังการอบรมศึกษาให้พากันตั้งเนื้อตั้งตัวไปตั้งแต่บัดนี้นะ ความรู้วิชาเป็นเครื่องประดับตนเป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพ ทางเดินที่กว้างขวางมาก แต่ตัวของเราต้องเป็นคนดีรับรองเอาไว้ ถ้าความประพฤติตัวดีแล้ว ความรู้วิชาก็เป็นเครื่องประดับกัน ถ้าความรู้วิชาดีแต่การประพฤติตัวไม่ดีใช้ไม่ได้นะ พากันไปปฏิบัติ ไม่ว่าฆราวาสหรือญาติโยมก็เหมือนกัน การปฏิบัติตัวเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด หาอะไรดีๆ สู้หาคนดีไม่ได้ หาพระดีเป็นของหายากนะ

หาคนดีให้หาที่ตัวของเราอย่าไปหาที่อื่นที่ใด หาตัวของเราดี ถ้าไปหาก็ไปหาครูบาอาจารย์ที่เป็นคติตัวอย่าง เพื่อนฝูงที่เป็นคติตัวอย่าง คือเป็นคนดีๆ มาเป็นคติเครื่องสอนเรา ดำเนินตามนั้นเราก็กลายเป็นคนดีไป นี่ละที่ว่าไปหาครูหาอาจารย์เป็นอย่างนั้น นี่พยายามฝึกตัวตั้งแต่มาบวชเป็นพระจนกระทั่งป่านนี้ ฝึกตัวเองมา ในชีวิตของพระกับชีวิตของฆราวาส ชีวิตของพระท่วมไปเลยนะ ชีวิตของฆราวาสเลยหายเงียบ มีแต่ชีวิตของพระ ตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งป่านนี้กิริยาอาการเคลื่อนไหวทุกอย่างให้เป็นเรื่องของพระๆ เรื่องของฆราวาสญาติโยมอะไรเหล่านี้ลบไปๆ อะไรที่เป็นข้าศึกต่อความเป็นพระลบออกๆ อะไรที่เข้ากันได้กับความเป็นพระก็เข้ากันไปเรื่อยๆ อย่างนั้นปฏิบัติมา

นี่ได้บวชดูได้ ๗๓ ปีมั้ง บวชมาได้ ๗๓ ปี พฤษภา มิถุนา กรกฎา สิงหา บวชมาได้ ๗๓ ปีกับ ๓ เดือน ตั้งแต่บวชมา พ.ศ. ๒๔๗๗ บวช วันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ มาจนกระทั่งถึงป่านนี้ พฤษภา มิถุนา กรกฎา สิงหา มันก็ ๗๓ ปีกับ ๓ เดือน ตั้งแต่บวชมาแล้วชีวิตทุกอย่างความเคลื่อนไหวไปมา เป็นเรื่องของพระล้วนๆ เลยจนปัจจุบัน ชีวิตความเคลื่อนไหวของฆราวาส อะไรที่ไม่ขัดต่อความเป็นพระก็กลมกลืนกันไปเลย ถ้าอะไรขัดกันก็ปัดออกๆๆ เรื่อยมา

เบื้องต้นก็เรียนหนังสือ เบื้องต้นจริงๆ เรียนได้ประถม ๓ เพราะฉะนั้นเราจึงได้มาพูด นี่หลวงตา ป. ๓ นะ ประถม ๓ คือแต่ก่อนไม่มีประถม ๔ เริ่มเรียนทีแรกมาเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบ้านตาด เราเป็นรุ่นที่ ๒ หรือที่ ๓ ละเรียน นั่นละเรื่อยมาสอบได้ประถม ๓ แล้วออกเลย ครูก็ครูประถม ๓ ใครเรียนไปจบประถม ๓ ออก อายุพอไม่พอก็ให้ออก นี่เราก็จบประถม ๓ แล้วก็ออกเลย จึงเรียกว่าหลวงตา ป. ๓ ประถม ๓ แต่ก่อนไม่มีประถม ๔ พอหลังจากนั้นเขาก็ตั้งประถมไหนไม่รู้ละจนกระทั่งทุกวันนี้ เราจำได้แต่เราเรียนจบชั้นภูมิประถม ๓ แล้วหยุด จากนั้นก็ต่อละที่นี่ เลยไม่แน่นอนนะ

จากประถม ๓ มาแล้วไม่ทราบว่าเรียนอะไรต่ออะไรจนกระทั่งป่านนี้ จับได้จริงๆ ก็ ๓ ทั้งนั้นละ ประถม ๓ นักธรรมตรี โท เอก ก็ ๓ เปรียญก็ ๓ เลยเป็น ๓ มาด้วยกันเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ เราเป็นหลวงตา ป.๓ ไม่ผิด ๓-๓-๓ หมดเลย พอจบเปรียญ ๓ ประโยคที่เราตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ บอกว่าพอได้ ๓ ประโยคแล้วเป็นปากเป็นทางของการดำเนินปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีไม่ขัดข้องแล้ว ออกเลย เราว่างั้น เพราะฉะนั้นพอจบ ป. ๓ ใครจะให้อยู่อะไรไม่อยู่ ออก ให้สอนนักธรรมก็ดีบาลีก็ดีไม่เอา จะสอนตัวเอง ออกมาปั๊บเข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย เข้าหาท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ ทีนี้ก็ออกจากนั้นก็ขึ้นเวทีฟัดกันเลย

แต่นิสัยอันนี้ก็ดีอย่างหนึ่งนะ คือมันเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด เวลาลงใจกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วนั่นละเอาตายว่านะ ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ทีแรกสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน เรียนไปอย่างนั้นละ ท่านก็บอกมรรคผลนิพพานๆ ทั้งนั้นแหละ แต่จิตหนึ่งกิเลสมันไปแบ่ง แบ่งไปกิน เอ๊ มีหรือไม่มีน้า อยู่อย่างนั้นนะ จึงหาที่ปลงอันนี้ละ ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านฟาดนี้ขาดสะบั้นลงไป มรรคผลนิพพานประหนึ่งว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆ ลงใจแล้วทีนี้ก็ซัดเลยละ

ก็ดีอย่างหนึ่งนิสัยอันนี้ดีนะ เป็นนิสัยที่ผาดโผน ถ้าหากเป็นทางโลกแล้วเป็นมหาโจรไม่ได้ตายอยู่กับในเรือนจำไม่ได้ตายอยู่กับที่ไหน ตายอยู่ในป่าในเขา ฟัดกับเจ้าหน้าที่เขาละซิ เป็นขั้นมหาโจรมันจะถอยใครใช่ไหม ตายที่ไหนตายได้ทั้งนั้นสู้ตลอดเลย นี่ถ้าหากว่าเป็นฝ่ายทางชั่วนี้เราต้องเป็นมหาโจร ฟัดกันกับเจ้าหน้าที่นี้ตายไหนตายได้เลย ที่จะให้ได้จับมาเป็นนักโทษเข้าเรือนจำนี้เป็นอันว่าไม่ได้จับ อย่างไรก็ตายต่อสนามรบกับเจ้าหน้าที่เขาละ ให้ถอยไม่ถอย จะให้เขาจับไปยอมตัวไปเข้าคุกนี้คงไม่มีละ ซัดเขาไม่ตายเราตายเท่านั้น นิสัยมันเป็นอย่างนั้น

เวลามาทางธรรม พอลงใจแล้วก็เป็นแบบเดียวกัน มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นแล้วลงใจนะ ลงใจสุดขีด พอเดินมายังไม่ถึงที่พักกุฏิเลย เหอ ว่าไงที่นี่ มาฟังธรรมของพ่อแม่ครูจารย์ถึงใจแล้วที่นี่ หาที่ต้องติไม่ได้ เราว่าไงที่นี่ถามตัวเราเอง ต้องตายเข้าสู้ว่างั้นนะ ตายเท่านั้น คือจะให้ได้มรรคผลนิพพาน เหมือนท่านแบมรรคผลนิพพานให้เห็นอย่างนี้ๆ ที่เราสงสัยนะ สงสัยมรรคผลนิพพาน นี่น่าๆ อยู่อย่างนี้ มันเข้าถึงใจ เลยสุดท้ายนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เอาละเอาตายเข้าว่า ซัดกัน

ไปกรรมฐานก็ไปคนเดียวอีกนะ นิสัยอันนี้เป็นอย่างนั้นละ คือไม่เอาใครไปด้วยมันเป็นน้ำไหลบ่ามันไม่แรง รับผิดชอบกันละซิ ๑ องค์ ๒ องค์ ๓ องค์ รับผิดชอบนี้เป็นน้ำไหลบ่ามันไม่รุนแรง ไปคนเดียวเท่านั้น พอไปองค์เดียวมันออกช่องเดียวพุ่งๆ เลย แล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เสริมเสียด้วย ท่านว่าไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย เอ้า ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่น เพราะท่านรู้นิสัยเรา อยู่กับท่านมาสักเท่าไรๆ ท่านดูนิสัยดูความจริงจัง..เป็นยังไงท่านดูหมดแล้ว แล้วเราก็เป็นมหาด้วย ไปหาท่านเป็นมหาแล้ว การศึกษาเล่าเรียนก็ไม่สงสัยแล้ว ก็มีแต่ทางด้านปฏิบัติ ไปหาท่านไม่ได้เคยมี เรื่องปริยัติไม่มีนะ ถ้าหากว่าท่านไม่ทราบว่าเราเป็นมหาตั้งแต่ท่านขู่เราขณะแรก ใครมานี้ กระผม

ท่านเดินจงกรมมืดๆ เราไปกลางคืนมืดๆ ไปดูกุฏิดูศาลา เอ๊ะ ก็ไปวินิจฉัยกุฏิวินิจฉัยศาลา เอ๊ นี่ถ้าหากว่าเป็นศาลากรรมฐานก็รู้สึกจะเล็กไปสักหน่อยคิดนะ ถ้าเป็นกุฏิก็จะใหญ่ไปสักหน่อย พอว่า ใครมาอยู่นี่ ท่านเดินจงกรมกลางคืน ทางนี้ก็บอกกระผม ท่านก็ใส่เลย อันผมๆ นี่ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอ้า ค้านซิน่ะ โธ่ เปลี่ยนปุ๊บทันที ผมชื่อมหาบัว เอ้อ ก็ว่าอย่างงั้นซิ อันนี้ผมๆ ท่านยิ่งแหย่เอาซิ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผมเข้าอีกแหละ เรายิ่งถึงใจนะ ขึ้นไปท่านก็ซัดเลยละซิ เทศน์มรรคผลนิพพาน ท่านไปหามรรคผลนิพานที่ไหน หาอรรถหาธรรมที่ไหน หามรรคผลนิพพานที่ไหน

ไล่ไปตามต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศทั่วจักรวาลไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ เอา ฟัดลงไปนี้ เปิดนี้ด้วยภาวนา ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ สมเจตนาที่เรามุ่งหาอรรถหาธรรม พูดให้ตรงๆ เลยเพื่อพระนิพพานเท่านั้น มันเป็นอยู่ในจิตจะให้หลุดพ้นในชาตินี้ ท่านก็ใส่เปรี้ยง จากนั้นมาก็เอาละ ไปภาวนาคนเดียวๆ ตลอด ท่านเสริมด้วยไปภาวนาคนเดียว เพราะท่านเห็นความเป็นอยู่ของเราที่อยู่กับท่านเป็นยังไง มีความตั้งอกตั้งใจขนาดไหน อยู่ด้วยกันท่านดูตลอดเวลา ดูพระดูเณรที่ไปอยู่กับท่าน เราท่านจะไม่ดูยังไง เวลาลาท่านไปเที่ยว ว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย เอา ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน

ท่านเห็นใจของเราว่าเด็ด ว่าเอาจริงเอาจังตลอด เที่ยวภาวนาอยู่ ๙ ปีฟัดกับกิเลส ไปองค์เดียวตลอดเลย ท่านไม่มีค้านเลย ให้ไป พอใจๆ ถึง ๙ ปีเต็มฟัดกับกิเลส ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นั่นละลงเวทีฟัดกับกิเลส ไปตัดสินใจกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ดังที่เคยพูดแล้ว วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นั่นละฟ้าดินถล่ม ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นลงจากใจกระเทือนมากนะ ร่างกายนี้พุ่งเลย มันเป็นอะไรไม่รู้มันรุนแรงมาก กิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันร่างกายนี้พุ่งออกมาเลย กระเด็นขึ้นเลยมันไหวแรง

ร่างกายเราอยู่ธรรมดานี้ เมื่อร่างกายมันไหวพุ่งออกมาเลย มันจึงเหมือนกับฟ้าดินถล่ม นั่นละเราเอาอันนี้เป็นเครื่องหมายมันรุนแรง จิตนี้มันรุนแรงขนาดนั้น นั่นละที่นี่มันก็จ้าขึ้นมาเราไม่เคยคาดเคยคิด โอ้โห เป็นขนาดนี้เชียวเหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ อ๋อ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไงมันเป็นแล้วนั่น

ใครคิดใครคาดไว้ เมื่อมันเป็นขึ้นอย่างจังๆ เห็นอย่างจังๆ จะปฏิเสธได้ที่ไหน มันก็ต้องยอมรับว่าเป็นอันเดียวกันเท่านั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ลงเป็นอันเดียวกันเป็นธรรมทั้งแท่ง นั่นมันขึ้นในหัวใจค้านไม่ได้ละหมดปัญหา จากนั้นมาก็อยู่ในป่าในเขาไม่ได้คิดว่าจะสอนใคร แต่พระติดตามตลอดนะ พระนั่นละติดตามเรา ไปที่ไหนอยู่ไม่ได้กี่วันละเดี๋ยวพระตามแล้วๆ เราชอบอยู่ในป่าในเขาคนเดียวๆ ตลอดมา พระก็ติดตาม ขาดครูขาดอาจารย์ด้วย พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว พระว้าเหว่มากทีเดียว ก็ติดตามไปติดตามกันมาก็อยู่กันไป

สุดท้ายก็มาเอาโยมแม่บวชเรื่องมันถึงได้ใหญ่โตขึ้นมา เลยเป็นสนามมูตรสนามคูถอะไรบ้างเดี๋ยวนี้ ทั้งพระทั้งประชาชนในครอบในครัวในวัด เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมด มันมากต่อมากมันก็เลอะเทอะละซิ จะแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวใครทัน ไม่ทันนะ กิริยาอาการของเราของเขามันก็เลอะเทอะไปแบบเดียวกันหมด หาราค่าหาราคาไม่ได้ในกิริยาอาการทุกอย่างที่เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนมากต่อมาก มันกลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดนั่นแหละ เราก็รู้ แต่ไม่ต้องบอกละจิตน่ะ เพราะมันมาเกี่ยวข้องกันก็เลอะเทอะไปตามๆ กัน พากันจำเอานะ นี่จะ ๙ โมงแล้ว

พากันจำเอานะพวกฟังเทศน์ฟังธรรม อย่ามาฟังอยู่เฉยๆ นะ ธรรมๆ เป็นธรรมแท้นะ กิเลสเป็นกิเลสแท้ทำคนให้เดือดร้อนให้เสียหายได้แท้ ธรรมทำคนให้ดีให้ดีเลิศได้แท้คือธรรม ให้จำเอาไปปฏิบัติ ทีนี้จะให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก