เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะเดียวกัน
เมื่อวานเราไปถ้ำผาปู่ เอาของไปให้ คือวัดไหนขัดข้องขาดเขินเราก็ตามไปๆ ไปให้ๆ เป็นกรรมฐานไปให้แล้วก็สอนด้วย อย่าอ่อนแอนะ ชี้นิ้วด้วย ดูลักษณะอ่อนแอ ครูบาอาจารย์ท่านพาดำเนินมาเป็นยังไง ไม่ดูหน้าครูบาอาจารย์บ้างเหรอ เอาจริงๆ เรา คือครูอาจารย์ผู้ที่เป็นหลักของวัดนี้ท่านล่วงไปแล้ว ผู้ที่จะสืบทอดจะสืบทอดด้วยวิธีใด สืบทอดด้วยวิธีถูกต้องตามอรรถตามธรรม ขยันขันแข็ง ระมัดระวัง เรื่องศีลธรรมสมบูรณ์แบบครูบาอาจารย์ เราเป็นแบบไหน นั่น ไล่เบี้ยเข้าไป ถ้าไม่ควรเข้าไปเยี่ยม เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ไปจริงๆ นะเรา ไม่เหมือนใคร ไปดูลักษณะอ่อนแอๆ ถอยเลย ไม่เสริม ไปวัดไหนเตือนเสมอ
คำว่าเตือนหมายถึงวัดครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ พอท่านล่วงไปแล้วผู้สืบทอดท่านเป็นยังไง เป็นยังไงเรื่อย ควรเตือนเตือน ถ้าไม่เตือนแสดงว่าไม่ไป ถ้ายังเตือนอยู่ก็คอยสังเกตดู ถ้าปฏิบัติตามนั้นแล้วเราเข้าไปเกี่ยวข้องตลอด เตือนตลอด ถ้ายังขืนหน้าด้านไม่ไป วัดต่างๆ ครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือท่านล่วงไปๆ ตามเข้าไปๆ วัดถ้ำผาปู่ก็ท่านอาจารย์คำดีที่เป็นพระสำคัญ เมื่อวานไปวัดถ้ำผาปู่ ไปแต่ละทีๆ นี้ของเต็มรถนะเรา หากเป็นอย่างนั้น ที่จะไปเปล่าๆ ไม่ได้ละมันหากเป็นในจิต ด้วยความเมตตาๆ ไปก็เทเลยๆ แล้วอะไรในวัดที่ควรจะสงเคราะห์ก็สงเคราะห์ๆ ไป วัดถ้ำผาปู่ แม่ชีแม่ขาวเราให้คนละหนึ่งพันๆ นอกจากนั้นก็เข้าส่วนกลางเอาไว้เป็นประจำถ้าเราไปทีไร ให้เงินประจำสำหรับทำครัวถวายพระห้าหมื่นๆ ทุกครั้งที่เราไป
ในหัวใจของเราเราพูดจริงๆ แต่ก่อนไม่เคยเป็นก็เป็นธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่มาปัจจุบันนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันเปิดกว้างไปด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้นอะไรจึงมีไม่ได้ ในตัวของเรามีไม่ได้ กวาดออกๆ ด้วยความเมตตาละกวาดๆ ออก จะกำอย่างนี้ไม่มี ไปที่ไหนเมตตาๆ แม้แต่มองดูสัตว์เขาก็เมตตา วัดเราก็มีสัตว์ เราก็หยอกเล่นกับหมาเรา พอออกไปตามถนนหนทางเห็นหมาก็รักหมา พูดกับมันอยู่ในรถ หมามันไม่รู้เรื่องแหละว่าเราพูดกับมัน เราพูดอยู่ในรถ พูดด้วยความรักเมตตานะนั่น คนที่เขาฟังเขาจะว่าเหมือนเราเป็นบ้า แต่ใครเป็นบ้าก็ไม่ทราบ
อำนาจความเมตตาไม่เหลือละ มีอะไรไม่เหลือเลยอำนาจความเมตตากวาดออกๆ กวาดหมดเลย อย่างเรานี้เราไม่มีอะไรนะ มีแต่จะเพื่อโลกๆ ไปหมด คือถ้าภายในมันพอเสียอย่างเดียวเท่านั้นเปิดออกหมดเลย ภายในพอ ไม่เอาอะไรเข้ามาๆ กำไม่มี มีแต่แบๆ พอในหัวใจ นี่ละธรรมท่านพอ ไม่เหมือนกิเลส กิเลสได้เท่าไรยิ่งกวาดยิ่งกว้านยิ่งเป็นบ้า ผู้มั่งมีศรีสุขมากน้อยเท่าไร เราอย่าเข้าใจว่าพวกนี้มีความสุขนะ ไม่ได้เหมือนผู้มีธรรมในใจ ผิดกันมากทีเดียว กิเลสมีภายในใจเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด สมบัติเงินทองข้าวของมีเท่าไร ยศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไร เป็นเรื่องของกิเลสเสริมไฟๆ ทั้งนั้น
ไปๆ ดูตึกรามบ้านช่องเขา สร้างอันนี้ไม่พอ สร้างอันนั้นไม่พอ สร้างอันนี้ไม่พอ คือกิเลสมันพาทำ ถ้าธรรมท่านมีความพอดีสงบร่มเย็นสบาย ต่างกันมากนะกับธรรม ถ้ากิเลสแล้วไม่พอ ไปที่ไหนอยู่ที่ไหน สร้างนี่แล้วขึ้นอันนั้นอีกๆ เราดูจริงๆ ไปไหนไม่ธรรมดานะ ตาสัมผัสพับจิตมันจะวิ่งรอบไปเลยๆ เป็นธรรมชาติ ดูกิเลสดูธรรม ส่วนมากไม่ค่อยมีธรรมนะ มีแต่กิเลส จนอ่อนใจนะที่จะสอนโลก จะสอนไปยังไง ก็มีแต่กิเลสเครื่องเสริมไฟ ไสเข้าไป ได้เท่าไรไม่พอๆ ตายทิ้งด้วยความไม่พอ ไม่ได้ตายทิ้งด้วยความพอนะ ผิดกันกับธรรมมาก
จิตเริ่มตั้งแต่เป็นความสงบสุขก็เย็นๆ ความดีดความดิ้นเกี่ยวกับโลกสงบเข้ามาๆ ธรรมมากเข้าเท่าไรอันนั้นยิ่งหดเข้ามา ปล่อยเข้ามาๆ จิตเต็มที่แล้วเปิดหมดเลย ไม่เอา ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม เป็นอย่างนั้นละธรรม ถ้ามีพอในใจแล้วไม่หาอะไร มีแต่ความเมตตาจ่ายออกที่นี่ จ่ายออกด้วยความเมตตา นั่นละธรรมต่างกันกับกิเลส
ยิ่งจวนตายเท่าไรมันหากเป็นนะในจิตนี้ เพราะจิตนี้ไม่มีวัย จิตนี้มันเป็นยังไงมันก็เป็นอย่างนั้นของมัน มันหมุนหมุนด้วยความเป็นธรรมนะ ไม่ได้หมุนแบบโลก มองดูแพล็บอะไรนี้ จิตมันจะวิ่งปั๊บๆ รอบตัวๆ ไปโดยหลักธรรมชาติของมัน แต่ไม่มีใครรู้นะ วันนี้เปิดเสียบ้าง ไม่มีใครรู้ ไปนี้เหมือนหัวตอ จิตนี่ไม่ได้เป็นหัวตอ มันหมุนของมันตลอดๆ นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น ภายในใจนี้ก็พอ คือพอทุกอย่างแล้วในหัวใจ ใจที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วเรียกว่าพอเต็มที่ นิพพานเที่ยงอยู่ตรงนั้น ธรรมธาตุอยู่ตรงนั้น ไม่เดือดร้อน เป็นบรมสุขในหัวใจ ไปที่ไหนเย็นไปหมด
ที่จะไปโกรธไปเคียดไปแค้นให้ผู้ใดซึ่งเขามาฆ่า ตายก็ตายทิ้งเปล่าๆ ที่จะโกรธจะเคียดจะแค้นให้เขาเรียกว่าไม่มี คือมันหมด กิเลสตัวโกรธตัวเคียดแค้นตัวก่อกรรมก่อเวรเป็นกิเลสทั้งนั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้ว ตายก็ตายทิ้งเปล่าๆ เขาเอาไปฆ่าก็ตายทิ้งเปล่าๆ ด้วยความเป็นธรรมเต็มตัวๆ
เราอยากให้ผู้ใหญ่เราในเมืองไทย พาผู้น้อยชักจูงผู้น้อยไปในทางที่ถูกที่ดีบ้าง เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่ไม่ค่อยเป็นท่านะ เมืองไทยของเรานี้ไม่ค่อยเป็นท่าเป็นทาง เป็นพระแทนที่จะเป็นท่าเป็นทาง เป็นพระยิ่งเลวนะ มันเป็นแบบเดียวกัน เป็นพระกลายเป็นโลกซิ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปหมด แน่ะ พระทำไมเป็นอย่างนั้น พระแปลว่าประเสริฐ คำว่าประเสริฐแล้วหาอะไรมาเพิ่มล่ะ ความเป็นพระเต็มตัวแล้วอยู่ที่ไหนสบายหมด หามาทำไมไอ้ยศไอ้ลาภสรรเสริญเยินยอ อะไรจะเกินพระ คำว่าพระเป็นธรรมประเสริฐแล้วเต็มหัวใจ ถ้าอยู่กับอันนี้แล้วจะไม่เดือดร้อนเลยพระเรา มันไม่อยู่กับพระธรรมอันเลิศอยู่ในหัวใจพระ มันไม่ได้สนใจกับธรรมอันเลิศในหัวใจ มันไปสนใจกับมูตรกับคูถ มันก็ดิ้นไปตามโลกเขา ดีไม่ดีสู้โลกเขาไม่ได้ เลวกว่าเขาไปมีเยอะนะพระเราเป็นอย่างนั้นละ เอาธรรมจับซิ จะไปดูถูกคนนั้นยกยอคนนี้หาเหตุหาผลไม่ได้ไม่เป็นธรรม ธรรมว่ายังไงต้องเป็นอย่างนั้น
พวกเราก็เป็นลูกชาวพุทธควรจะดัดแปลงแก้ไขกิริยามารยาท ความประพฤติหน้าที่การงานออกไปจากใจ ควรจะดัดแปลงจิตใจให้ดี อย่าให้เลวเหลวไหลโลเล ไม่น่าดูเลย ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ไม่ว่าทางไหน แทนที่จะเป็นผู้นำหน้าผู้น้อยไม่ค่อยเป็น หดหัวอยู่ในกระดอง แต่อยากผึ่งผายนะ อยากเบ่งอยากดัง ใหญ่ขี้หมูขี้หมาอะไรก็ไม่ทราบ ใหญ่ให้ใหญ่เป็นศีลเป็นธรรม ใหญ่เท่าไรยิ่งเย็นๆ นั่นถึงถูก ใหญ่เท่าไรยิ่งก่อความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นใช้ไม่ได้นะ อันยศอันลาภนี่หามาอะไรเผาหัวมันอะไร
อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าพระ คำว่าพระประเสริฐ ธรรมอยู่ที่เลิศแล้วเลิศเลอไปหมด หาอะไรมาเพิ่มเติมอีก จะให้เลยกว่าพระไปไม่มี ยศนั้นยศนี้เข้ามามันเป็นบ้าไปตามโลกเขาหมดนะ นี่ฟังเสียซิเสียงธรรม เราไม่เคยสะทกสะท้านที่พูดออกไปแล้วว่าใครจะตำหนิติเตียนอะไรเราไม่เคยมี พูดโดยความเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลยเทียว เจ้าของผิดบอกว่าผิด ที่จะให้เจ้าของใหญ่กว่าธรรมไม่มี เราไม่มี เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังที่มันเด่นนะ เป็นเสียงแผดเผาออกมาจะเผาพระทั้งวัด เณรก็เหมือนกันเผาหมดเลย
ปัดกวาดที่ว่าเราดูนาฬิกาผิด เคยเล่าให้ฟังแล้ว ออกมานี่แผดออกมาละ ตามธรรมดาการปัดกวาด ข้อวัตรปฏิบัติใครจะทันเราง่ายๆ วะ ไม่ทัน นำหน้าตลอดข้อวัตรปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างเราดูแลหมด ก็มีทุกวันนี้เป็นไปไม่ได้ อยู่ลำพังนี้มันก็จะตายแล้ว แต่ก่อนไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้นพระเณรจึงนอนใจไม่ได้หัวหน้าหมุนติ้วๆ พระเณรจะมานอนใจขี้เกียจขี้คร้านได้เหรอ ชี้หน้าทีเดียวไล่หนีด้วย นั่นเป็นอย่างนั้น เราจึงพูดว่าเรากราบธรรม
ออกมาเราไม่รู้ว่าเราผิดละซิ ดูนาฬิกาผิด นึกว่านาฬิกา โฮ้ นี่มันเลยเวลาปัดกวาดแล้ว คว้าไม้ตาดแล้วก็ซัดจากข้างในออกมาข้างนอก ตามธรรมดาปัดกวาดออกมาข้างนอกนี่พระเณรจะเต็มแล้วในบริเวณนี้ คือท่านองค์นั้นกวาดออกมาจากกุฏิของตนๆ ออกมาๆ แล้วมาถึงนี้ก็มารวมกัน เราก็กวาดของเราออกมา มาถึงนี่ก็รวมกัน พระเณรเต็มละแถวนี้ เพราะต่างองค์ต่างกวาดออกมาจากกุฏิของตัวๆ มาถึงนี้ก็มารวมกัน วันนั้นกวาดออกมาเงียบเลย เราเป็นบ้าคนเดียว ดูนาฬิกา เอ้า ตาย นั่น
นี่ละเรื่องข้อวัตรปฏิบัติเรานำตลอดโดยหลักธรรมชาตินะ มันหากเป็นของมันเอง มาดูนาฬิกา โธ้ ตาย แล้วก็คว้าไม้ตาดนึกว่าเลยเวลาไปแล้ว กวาดออกมาๆ ออกมาศาลานึกว่าจะเห็นพระเต็มวัดๆ เหมือนทุกวันที่ท่านกวาดมารวมกัน มาวันนั้นไม่เห็นใคร เณรมันคงจะรำคาญตา มันอยู่รักษาศาลานี้ มันก็เลยด้อมๆ ออกไปถือไม้กวาดออกไป ขึ้นเลย เณรๆ นั่นน่ะมันจะเอานะ ถ้าหากว่าเจ้าของถูกต้องแล้ว ตอนกลางคืนยังจะประชุมอีกนะ ดีไม่ดีไล่ออกจากวัด นี่ละเด็ดเดี่ยวอย่างนั้นละการปกครองพระเณร
เราก็เด็ดของเราปฏิบัติตัวมาเป็นอย่างนั้นไม่ได้เหลาะแหละ ทีนี้มาปกครองพระเณรจะมาเหลาะแหละให้เห็นไม่ได้ พอออกมาจากนั้นเณรมันคงรำคาญตา มันก็เลยเอาไม้กวาดไปกวาดหน้าวัด เณรขึ้นเลย พระวัดนี้มันตายกันหมดแล้วเหรอ ใครจะไปกุสลาใครเมื่อพระตายทั้งวัดแล้ว ถึงเวลายังไม่รู้หรือ มันเป็นยังไงเป็นอย่างงั้น เรียกว่าหยาบมากที่สุดละวันนั้น เข้าใจเจ้าของว่าถูกแล้ว พวกพระนี้หยาบมากเลวมาก กลางคืนจะต้องประชุมกัน ดีไม่ดีไล่ออกจากวัดหมดนู่นน่ะ
เป็นยังไงพระเณรหายหน้าไปหมดวันนี้ ใครจะกุสลาใครมันตายหมดวัดแล้ว เสียงนี้ไม่ใช่ธรรมดานะ ฟ้าดินถล่ม เอาจริงเอาจังมากทีเดียว ถ้าหากเป็นความถูกต้องของเราพระเป็นฝ่ายผิดแล้วกลางคืนจะประชุมกันละ ต่อจากนั้นจะไล่พระออกจากวัด เพราะจริงจังมากเราการปกครอง ใครจะมาเหลาะแหละให้เห็นไม่ได้ วันนั้นเราผิด เราผิดเป็นบ้าทั้งตัวเลย พอมาก็ เณร ไม่รู้เวล่ำเวลาเหรอ เป็นยังไงวันนี้น่ะ นาฬิกาได้เท่าไร
คือปัดกวาดนั้นกำหนดกันว่า ๔ โมงเย็นปัดกวาด ต่างคนต่างมีนาฬิกา พอ ๔ โมงเย็นเป๋งแล้วก็ลงกวาดมารวมกันที่ศาลา เราก็มีนาฬิกา นาฬิกามันถูกแต่เรามันผิด มาดู โธ่ ตาย ซัดออกมา ออกมาไม่เห็นพระเณรสักองค์เดียวเลย มันเป็นยังไง เณร พระเณรทั้งวัดมันตายกันหมดแล้วเหรอ ใครจะกุสลาใครเมื่อมันตายทั้งวัดกันแล้ว ใครกุสลาใคร ไม้รู้เหรอเวล่ำเวลาเป็นยังไง เอาอย่างหนักนะ แล้วนาฬิกาได้เท่าไร มันเป็นยังไง นาฬิกาพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที คือบ่าย ๔ โมงปัดกวาด แต่เราดูนาฬิกาผิดนึกว่าเป็น ๔ โมง ๒๐ นาทีไปแล้ว มาก็ขนาบใหญ่เลย
นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที หือ เอาอีกนะ นาฬิกาเท่าไร นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที หยุดๆ ขึ้นทันทีนะ เห็นไหมนั่นเป็นไฟออกมานะ หยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ห้ามไม่ให้พระมากวาดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เดินกลับหลังปุ๊บๆ เลย นั่นเห็นไหม นั่นละเอาธรรมเป็นหลัก ที่มันแผดเผานั้นเข้าใจว่าถูก เมื่อตัวผิดแล้วธรรมท่านถูกต้องอยู่แล้ว เวลาถูกต้อง เราผิดต่างหาก จึงบอกว่าหยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัดอย่ามาปัดกวาด พระเณรจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา กลับปุ๊บไป เณรมันคงจะหัวเราะ เหมือนจะกัดจะฉีกครั้นแล้วเป็นอย่างนี้
นี่ละคือเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่ได้มีกิเลสเข้าแฝง เป็นธรรมล้วนๆ เลย บอกว่าหยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัดอย่ามาปัดกวาด เราจะไปแก้บ้าเรา จะไปแก้บ้าเจ้าของ ไม่ทราบว่าแก้ตกหรือไม่ตกก็ไม่รู้ไปเลย อย่างนั้นละ ต้องยอมรับอย่างนั้นซิธรรม จะถือว่าตัวนี้เป็นอำนาจบาตรหลวงเป็นสมภารเจ้าวัด ใหญ่กว่าธรรมไม่ได้นะ ธรรมเหนือกราบตลอด เราผิดต้องยอมรับ เราก็ไม่ลืมนะ คือมันเอาจริงจังนี่ ยังไม่แล้วนะกลางคืนจะประชุมกันแล้วนะนั่นไม่ใช่เล่นนะ
ถ้าผิดอย่างที่เราเข้าใจนะ พระเณรดีไม่ดีแตกออกจากวัด ขับไล่ออกจากวัด เราจะอยู่คนเดียวเรานู่นน่ะ จะไม่มีอะไรมายุ่งกวนให้กดถ่วงเรื่องความผิดความพลาด เราจะอยู่คนเดียวเรา แต่นี้เราผิดเราก็ต้องไปแก้บ้าเรา เณรคงจะหัวเราะในใจ เสียงเหมือนฟ้าลั่น พอว่านาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที หือ ขึ้นอีก บอกว่านาฬิกาได้เท่านั้น หยุดๆ ทันทีเลยเดินกลับ แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ เอาธรรมเป็นเกณฑ์ไม่ได้เอากิเลสมาเป็นเกณฑ์ บอกว่าหยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ปุ๊บๆ กลับไปแก้บ้า ไม่ทราบว่าแก้ได้เท่าไรแก้บ้า เป็นอย่างนั้นละเอาจริงเอาจัง นี่ละการปกครองพระเณร ปกครองเราเป็นอันดับหนึ่ง เคลื่อนไม่ได้กับเราเอง
ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นอย่างงั้นนะครูบาอาจารย์รัก สำหรับไปอยู่ที่ไหนเราไม่ยอนะ ไปอยู่ที่ไหนครูบาอาจารย์รักทั้งนั้น ไปฝ่ายปริยัติครูบาอาจารย์ก็รัก เช่น สมเด็จมหาวีรวงศ์ พรรษา ๑๖ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็มาเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น เผาศพแล้วจะลากเรากลับไปกรุงเทพ จะเอาคืนไปกรุงเทพ ไปอยู่วัดพระศรีมหาธาตุ เพราะท่านรักท่านเมตตาไว้ใจทุกอย่างๆ ความหมายว่างั้น ก็มีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ น้องชายท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านช่วยไว้ได้ ไม่อย่างงั้นก็จะทำใจลำบาก จะให้เรากลับนี้กลับไม่ได้แล้ว ท่านช่วยก็เลยหยุด เรื่องราวก็เลยระงับไป
ถึงขนาดนั้นเจอหน้าเราเมื่อไรตาถลึงใส่เลย ท่านโมโหว่าไม่ได้ไป ขโมยหนี หนีจากกรุงเทพ ท่านไปต่างจังหวัดท่านไม่อยู่ตอนนั้น ขโมยหนีเข้าป่าเลย ท่านมาท่านก็ตาม จดหมายตามให้กลับๆ มา ไม่กลับเฉยตลอด จนกระทั่งพรรษา ๑๖ มาเจอกัน ทีนี้ท่านจะเอาเลยมัดเลยเทียว ให้ไปกรุงเทพพร้อมกันนี่ว่าไง โธ้ ตอนนั้นจิตเราเป็นหมุนธรรมจักรแล้วนี่ อยู่คนเดียว อยู่กับใครไม่ได้แล้วจิตหมุนเป็นธรรมจักร หมุนติ้วๆ พุ่งๆ แล้วจะลากไปหาส้วมหาถานได้ยังไง
ก็พอดีเจ้าคุณศรีวรคุณท่านช่วยเอาไว้ก็เลยเป็นอันว่าไม่ได้ไป เรื่องราวเป็นอย่างนั้น คือไปอยู่ครูบาอาจารย์ที่ไหนๆ พูดจริงๆ ไม่ได้ยอตัวนะท่านเมตตาสงสารทุกครูทุกอาจารย์ ทางฝ่ายปฏิบัติก็พ่อแม่ครูจารย์มั่น แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหลายแต่ก่อนท่านก็รักเหมือนกันเมตตา เราไปอยู่ที่ไหน เพราะเราไม่ใช่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับครูบาอาจารย์เอาให้รอบๆ ตลอด เช่นไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นในวาระสุดท้าย ได้ปฏิบัติกันอย่างเต็มเหนี่ยวเลย วาระสุดท้ายเวลาท่านป่วยหนัก
แต่ก่อนท่านก็ไว้ใจอยู่แล้วๆ แต่เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นละ ท่านได้เห็นใจเรามีความเคารพรักเทิดทูนท่านขนาดไหน ท่านจะรู้ในเวลานั้น เรากับท่านติดกันตลอดเวลา พระเณรอยู่นอกมุ้งๆ ไม่ให้เข้าไปยุ่ง พระเณรท่านก็ไม่ทะลึ่ง ท่านดูเราทำกับท่านก็ดูพอแล้ว พอท่านเคลิ้มหลับไปนิดหนึ่งกลางคืน พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน แน่ะ พระทั้งวัดไม่ถามหานะ ท่านมหาไปไหน เราก็เดินจงกรมข้างๆ บอกพระแล้ว พอท่านตื่นนอนท่านถามถึง ผมอยู่ที่นั่นให้ไปบอก
พอว่าท่านมหาไปไหน พระปุ๊บไปบอกปั๊บเข้าเลย เข้ามุ้ง อยู่กับท่านในมุ้งสองต่อสองเท่านั้นละ มีอะไรจัดการเรียบร้อยๆ แล้วส่งออกๆ เราเทิดทูนที่สุดอวัยวะของพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะไม่ยอมให้ใครไปแตะต้องเลย คือความเคารพรักความสงวนท่านไม่ให้ใครเห็นอวัยวะภายนอกภายในของท่าน จะให้เห็นแต่เราองค์เดียวซึ่งเป็นเหมือนกับอวัยวะท่านเอง ไม่ว่าถ่ายหนักถ่ายเบาอะไรทุกอย่าง เราเป็นอวัยวะของท่านทีเดียวเลยไม่ให้ใครรู้ เราทำเสร็จแล้วส่งออกๆ ไม่ให้มีใครเห็นอวัยวะภายในของท่าน มีแต่ท่านกับเราซึ่งประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะเดียวกัน อย่างนั้นตลอดถึงท่านนิพพาน
เวลาท่านป่วยหนัก คือวัณโรคนี้เวลาหนาวมันไอนะ ท่านเป็นวัณโรคไอ ถ้าท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเราก็ไม่นอนทั้งคืน วัณโรคเขาบอกว่าติดง่าย แต่เรากับท่านปากเรากับปากท่านมันพัวพันกัน คือเอาสำลีกวาดเสลดออกๆ เอากะละมังสำลีวางไว้ เอานี้กวาดออก ทิ้งสำลี เอานี้กวาดๆ อยู่อย่างนั้นตลอด เขาว่าวัณโรคติดกันได้เราไม่เคยสนใจ วัณโรควัณแรกอะไร ก็ไม่ติดนะ แปลก คงเป็นบุญกุศลนั่นละ ที่ทำด้วยความรักความเทิดทูนสุดหัวใจเรากับท่าน เราไม่มีอะไรติดตัวของเราเลย อยู่กับท่านหมด มอบหมด
นี่ละวาระสุดท้าย พอลืมตาขึ้นมาท่านจะถามละ ท่านมหาไปไหน แน่ะ พระทั้งวัดท่านไม่ได้ถามนะ ท่านมหาไปไหน คือเราปฏิบัติกับท่านสุดความสามารถของเรา ท่านเป็นจอมปราชญ์เราเป็นจอมโง่ เราก็ฟิตตัวของเราให้ทันกับเหตุการณ์ องค์ใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านมันก็ไม่สนิทใจ ผิดถูกชั่วดีอะไรให้ท่านสับเขกเรา มอบเลย
เพราะฉะนั้นพระเณรจึงไม่ค่อยได้เข้า มีแต่เราอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งท่านสิ้นไปกับมือ พอใจในการอุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อแม่ครูจารย์มั่นสุดหัวใจเรา เราเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย ไม่ว่าถ่ายหนักถ่ายเบาเราทำคนเดียว เรานี่เป็นเหมือนอวัยวะของท่านเลย เราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่างไม่ให้พระเณรเข้าไปเกี่ยวข้อง เรารักเราสงวนเราเทิดทูนท่านสุดหัวใจ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องปฏิบัติท่านประหนึ่งว่าอวัยวะของท่านกับของเราเป็นอันเดียวกัน พระเณรท่านก็ไม่ทะลึ่ง ท่านก็อยู่ข้างนอก เวลาจำเป็นจริงๆ มีแต่เราละ
เรียกว่าเราพอใจอบอุ่น ในการปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์นี้บกพร่องที่ตรงไหน เรียกว่าเต็มความสามารถของเรา ส่วนความโง่ความฉลาดจะมีแค่ไหนเราก็ทราบไม่ได้ ทราบได้แต่ว่าเต็มความสามารถของเราด้วยความเทิดทูนท่าน เป็นอย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านไม่พูดนะ ติหรือชมท่านไม่พูดอะไร สมชื่อว่าเป็นจอมปราชญ์ เราเป็นผู้หมุนติ้วๆ อยู่ ท่านไม่พูดอะไร ไม่ว่าปวดหนักปวดเบา เราทำหน้าที่หมดเลย เรารักสงวนท่านไม่ให้ใครเข้าไปเห็นอวัยวะของท่านละ เรากับท่านเหมือนว่าอวัยวะอันเดียวกันปฏิบัติต่อกัน
ที่ว่าไปอยู่ที่ไหนกับครูบาอาจารย์ มันก็คงจะเป็นนิสัยอย่างนี้เรา อยู่ครูบาอาจารย์ฝ่ายปริยัติฝ่ายไหนอย่างนี้ ท่านรักท่านเมตตามาก ท่านไม่อยากให้ไปไหน อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์ พรรษา ๑๖ ยังจะลากเรากลับไปอีก อย่างนั้นละท่านรัก ท่านไว้ใจมากทุกอย่างเลย ถ้าเราได้จัดอะไรๆ แล้วเป็นอันว่าแล้วเลย ไปถามมหาบัวว่าไงอย่างนี้ สมเด็จมหาวีรวงศ์ก็เหมือนกัน ท่านว่าอย่างนั้นๆ ท่านหยุดเลยนะ ท่านไม่เคยค้าน
พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เหมือนกัน เวลาขัดข้องเรื่องอะไรต่ออะไร สรุปแล้วนะ ท่านมหาว่าไง ท่านว่างั้น ท่านก็นิ่งเหมือนกันนะ เราก็ใช้สุดกำลังความสามารถของเราในความฉลาดและโง่ เอาเต็มภูมิ เวลาท่านถาม ท่านมหาว่าไง สรุปความอันนี้ลง ท่านมหาท่านว่าไง ท่านว่าอย่างนั้นๆ ท่านหยุดเลยนะ ท่านไม่เคยค้านเราพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอาละที่นี่นะให้พร
เออ ใครที่อยู่กุฏิสองหลังนั่นน่ะ ตำหนักน่ะ ใครมาอยู่นั้นสองคนหรือสามคนอยู่นั้นน่ะ อยู่เป็นเวลาจำเป็นในงานทั้งหลายเสร็จแล้วให้ออก อย่าให้ได้ไล่นะ ครั้นเข้าไปแล้วไล่ไม่ออกพวกนี้ อยู่ตำหนักสองคนนั่นน่ะให้ออก เสร็จงานแล้วนี่งานพิธีที่ผ่านมา ตอนนั้นมันหาที่อยู่ไม่ได้อัดแน่นไปหมด เราก็ต้องให้ไปอยู่ตามความจำเป็นๆ ทีนี้เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องออก หมดความจำเป็นแล้วออก ใครอย่ามาดื้อไม่ได้นะกับเรา
(หมออ้วนเขาไปตรวจสอบแล้วได้มาใหม่เครื่องมือตาของหลวงตา รายชื่อโรงพยาบาลที่ได้รับเมตตาจากองค์หลวงตา นับเฉพาะเครื่องมือตา ๑.โรงพยาบาลอุดรธานี ๓๘ ล้าน ๕ แสนบาท ๒.ศูนย์ปิ่นปัวและรักษาสุขภาพตานครเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว ๓๐ ล้านบาท ๓. โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ๖ ล้านบาท ๔. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๘ ล้าน ๑ แสนบาท ๕. โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ๖ ล้าน ๘ แสนบาท ๖. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ๙ ล้าน ๕ หมื่นบาท ๗. โรงพยาบาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ๔ ล้าน ๓ แสนบาท ๘. โรงพยาบาลจังหวัดเลย ๙ ล้าน ๖ หมื่นบาท ๙. โรงพยาบาลจังหวัดหนองบัวลำภู ๒ ล้าน ๕ แสนบาท ๑๐. โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จังหวัดสกลนคร ๕ ล้าน ๕ แสน ๒ หมื่นบาท ๑๑. โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ๓ ล้าน ๙ แสน ๒ หมื่นบาท ๑๒. โรงพยาบาลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๙ ล้านบาท ๑๓. โรงพยาบาลจังหวัดเพชรบูรณ์ ๖ ล้านบาท ๑๔. โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี ๒ ล้าน ๒ แสนบาท ๑๕. โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ๑ ล้าน ๘ แสนบาท ๑๖. โรงพยาบาลจังหวัดนครปฐม ๒ ล้าน ๕ แสนบาท ๑๗. โรงพยาบาลสัตว์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ๒ ล้าน ๗ แสน ๕ หมื่นบาท
รวมทั้งหมด ๑๗ โรงพยาบาล คิดเป็นเงินมูลค่าทั้งหมด ๑๔๘ ล้านบาทถ้วนครับ) ๑๔๘ ล้าน เฉพาะตาเท่านั้น ตาอย่างเดียวนะ ๑๔๘ ล้านบาท เฉพาะตา อันอื่นไม่นับ ก็เงินเราไม่มี ออกหมดเลย เราไม่เก็บ ช่วยโลกทั้งหมดไม่เก็บ มีเท่าไรออกหมดเลยอย่างที่ว่า ออกทางนั้นออกทางนี้ทั่วประเทศไทย ที่เข้าก็มีแต่ทองคำ ทองคำนี่เข้าคลังหลวงทั้งหมด เวลานี้คลังหลวงทองคำได้เท่าไร (๑๑ ตัน เท่ากับ ๑๑,๕๗๒ กิโลครับ)
นี่ทองคำ อันนี้เข้าคลังหลวงทั้งนั้น ๑๑,๕๗๒ กิโล ทองคำที่เข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๕๗๒ กิโลเข้าคลังหลวง (รวมทั้งเข้าและไม่เข้าครับ) ไม่เข้าก็จะเข้า คือมันรอจะเข้า พอได้จังหวะปั๊บจะเข้า ให้ออกไปอื่นไปไม่ได้ คอเราขาดเลย ลงได้ลั่นคำลงตรงไหนจะเคลื่อนไปไม่ได้ ทองคำทุกบาททุกสตางค์จะเข้าทั้งหมดไม่รั่วไหลไปไหนเลย ส่วนดอลลาร์ก็อย่างว่า คือแยกออกช่วยเงินไทย สำหรับทองคำร้อยทั้งร้อยตลอด นี้ก็ได้เท่าไร ๑๑,๕๗๒ กิโล น้ำหนักของทองคำที่เข้าคลังหลวงนะ ที่ยังไม่เข้ารออยู่ก็เรียกว่าเข้าว่างั้นเลย เพราะไม่ไปไหนจะเข้าทั้งนั้นรอจังหวะ คือหลอมหล่ออะไรเรียบร้อยเป็นแท่งๆ แล้วเข้า ถ้ายังไม่พอที่จะหลอมก็ต้องรอเสียก่อน พอหลอมเสร็จแล้วเป็นแท่งๆ แล้วเข้าๆ เป็นจังหวะ เรียกว่าเข้าหมด เมื่อวานนี้ก็ให้คุณชายเอาไป เยอะนะทองคำ อย่างที่ในงานวันที่ ๑๒ ก็ได้ทองคำตั้ง ๑๒ กิโล ที่ได้ก่อนหน้านี้มารวมไปเมื่อวานนี้เยอะ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|