เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ความรู้อะไรจะพิสดารยิ่งกว่าจิตตภาวนา
(ลูกได้ไปเดินจงกรมที่ริมห้วงน้ำใหญ่ในสวนของลูกเอง ใช้คำภาวนาพุทโธ วันแรกขณะเดินจงกรมภาวนาพุทโธ เสียงพุทโธดังก้องอยู่บนศีรษะ ลูกกำหนดลงที่จิตก็ไม่ลง จึงเปลี่ยนมากำหนดที่เท้าขณะก้าวขาเดินจงกรม จิตก็ไม่ลงอีก จึงกำหนดพุทโธถี่ๆ ขึ้น เสียงพุทโธก็ดังก้องกระพือไปทั้งตัว ลูกก็ยังฝืนเดินต่อไปได้อีก ๒ ชั่วโมง เสียงนั้นก็ยังดังเหมือนเดิม ลูกก็เลยเลิกเดิน พอช่วงบ่ายลูกไปเดินอีก ปรากฏว่าไม่มีอะไร จิตใจนิ่งโปร่งสบายดี
วันรุ่งขึ้นลูกไปเดินแต่เช้าถึงเย็นก็รู้สึกจิตใจนิ่งสบายเหมือนเดิม พอตกค่ำลูกภาวนาแล้วมีอาการปวดเนื้อปวดตัวมากนั่งไม่ได้ ลุกไปเดินจงกรมก็เดินไม่ไหว รู้สึกปวดเหมือนถูกบีบให้ตัวลูกหดแน่นเข้าเหมือนใจจะขาด ลูกจึงน้อมจิตระลึกถึงหลวงตาว่า หลวงตาช่วยลูกด้วยลูกจะตายแล้ว พอลูกอธิษฐานถึงหลวงตาจบลง ลูกก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดว่า เราปฏิบัติสู้ตายมาแล้วอย่างสุดๆ ปฏิบัติเหยาะๆ แหยะๆ ได้เหรอ พอเสียงหลวงตาเงียบไปลูกก็ได้สติและมีกำลังใจว่าหลวงตามาโปรดลูกแล้ว ลูกเลยภาวนาต่อบริกรรมว่าตายให้มันตาย
ประมาณ ๒ ชั่วโมงปรากฏว่าเห็นร่างเป็นโครงกระดูก แล้วกระดูกก็หลุดออกทีละข้อลงไปกองกับพื้น ลูกพิจารณาว่าอันนี้ขาอันนี้แขน พิจารณามาถึงกะโหลกศีรษะ ปรากฏภาพตัวเองยืนอยู่ มีสัตว์ลักษณะคล้ายงู คือหัวเหมือนงู ตัวเป็นสีเหลือบๆ สีส้ม สีแดง หลังเป็นครีบๆ ตัวใหญ่ยาวมีหาง มีขา ๔ ขา เอา ๒ ขาหน้าเกาะที่บ่าซ้ายด้านหน้าของลูก ๒ ขาหลังยืนที่พื้น ลูกคิดว่าคงเป็นสัตว์นี้แน่ที่ทำให้ลูกปวดตัว ลูกอุทิศบุญกุศลจากการภาวนาให้เขาทันที แล้วสัตว์นั้นก็เล็กลงๆ แล้วจิตลูกก็ถอนออกมา ลูกมีความรู้สึกว่าสัตว์นั้นยังเกาะอยู่และยังมีอาการปวดบ่าปวดหัวไหล่ ลูกขอความเมตตาจากหลวงตาช่วยชี้ทางให้ลูกด้วยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป)
มันมีลักษณะต่างๆ เป็นเรื่องธรรมทั้งนั้นที่ท่านแสดงออกจากใจ ไม่มีสิ่งใดจะเป็นภาชนะที่เหมาะสมอย่างยิ่งได้ยิ่งกว่าใจ ภาชนะรับธรรม เพราะฉะนั้นการแสดงออกทุกอย่างจึงออกจากใจ ใจเป็นภาชนะที่เหมาะสมมากกับธรรมทั้งหลาย มีใจเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรเป็นภาชนะรับ พอภาวนาเท่านั้นเรียกว่าเปิดปากแล้ว เริ่มภาวนาก็เริ่มเปิดปาก ธรรมทั้งหลายก็จะแสดงการไหลเข้าไหลออกอยู่ภายในมีแปลกๆ ต่างๆ กัน ให้พากันจำเอาไว้
การภาวนานี่พิสดารมากทีเดียว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมก็เพราะภาวนา เรื่องภาวนาเป็นสำคัญมาก แสดงออกต่างๆ นานาล้วนแล้วตั้งแต่เป็นอาการของธรรมที่ออกจากใจ ใจเป็นภาชนะของธรรม พอเริ่มภาวนาก็เริ่มเปิดปาก ทีนี้ธรรมจะแสดง แล้วอะไรเราก็ลืมๆ ให้ทำอะไรอีก (เขาเห็นเป็นสัตว์ ๔ ขามาเกาะที่บ่าที่ไหล่ แล้วรู้สึกปวดบ่าปวดไหล่ยังไม่หาย จึงขอความเมตตาว่าเป็นเพราะอะไร) อ๋อ คนกองอยู่โรงพยาบาลเขาไม่เห็นภาวนา ไปกองอยู่นั้น มีโรคความทุกข์ชนิดต่างๆ กองเต็มอยู่โรงพยาบาล นี่เราภาวนาเป็นเพียงเท่านี้จะเป็นไรไป ไม่ต้องกลัว จะเป็นอะไรก็เป็น
เราภาวนาก็คือตั้งต้นเหตุนั่นเอง เหตุจะแสดงขึ้นทางด้านอรรถธรรม ถ้าไม่ภาวนาก็ไม่มี เพราะใจกับธรรมเท่านั้นที่เข้ากันได้สนิท นอกนั้นไม่มีอะไรเข้ากันได้ ลองดูซิน่ะ ภาวนาเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่เคยพูดแล้ว เราเคยคิดเคยอ่านเมื่อไร คำที่เคยพูดมาแล้วว่า โอ้โห ลงถึงขนาดนี้แล้วเราจะสอนโลกได้ยังไง ใครจะไปรู้ได้เห็นได้อย่างนี้ พูดออกไปอย่างน้อยเขาก็จะว่าเราบ้า มากกว่านั้นก็แล้วแต่จะเป็นไป มีแต่ความเสียหายแก่ผู้พูดทั้งนั้นๆ ที่จะเป็นประโยชน์นี้แทบไม่มี นั่น แล้วพูดไปหาอะไร ความรู้อันนี้มันเหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่โลกจะรู้ได้เห็นได้ มันคิดในขณะนั้นนะ ทั้งๆ ที่มนุษย์มนาเรานี่รู้ได้ พระพุทธเจ้าก็มนุษย์ท่านก็รู้ได้ ท่านเป็นมาก่อนพวกเราแล้ว เรามาเป็นทีหลังท่าน เรายังว่ามนุษย์มนาทั้งหลายไม่มีใครจะรู้ได้ คือเหมือนว่ามันเลยเสียทุกอย่าง
ครั้นเวลาย้อนเข้ามา เราว่าโลกทั้งหลายจะรู้ไม่ได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหน นั่นธรรมะนะ ธรรมะย้อน คือเป็นในใจ เราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมเรารู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นั่น เหตุใดก็สายทางคือการบำเพ็ญมาโดยลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนามาเรื่อยๆ ภาวนาเป็นทำนบใหญ่ที่จะรวมกุศลมหากุศลทั้งหลายเข้าสู่ทำนบใหญ่ จากนั้นก็รวมตัวแล้วพุ่งถึงนิพพาน
นี่ละภาวนาเวลามันเป็นขึ้นมาแล้วจะว่าประมาทโลกหรือ มันก็ไม่มีเจตนานะ คือเหมือนว่ามันเหนือเสียทุกอย่างเลย ใครจะไปรู้ได้ลงถึงขนาดนี้แล้ว ไปพูดปั๊บๆ เขาก็จะหาว่าบ้า ไปอย่างนั้นนะ เจ้าของเป็นบ้าไม่ว่า เขาก็มนุษย์เหมือนกันไปดูถูกเขาทำไม นั่นละบทเวลาพระธรรมท่านย้อนเข้ามา ว่าใครจะรู้เห็นไม่ได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหน เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันทำไมรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด อ๋อ นั่นยอมรับ เพราะสายทางมี การบำเพ็ญมี บำเพ็ญโดยลำดับลำดา เข้ามาถึงด้านภาวนามารู้อย่างนี้ และพ้นไปได้จากจิตตภาวนา เพราะกุศลทั้งหลายรวมตัวเข้าไป พุ่งให้พ้นจากทุกข์ได้ อ๋อ รู้ได้ นั่นลงใจ
ทีแรกเหมือนว่าจะพูดอะไรไม่ได้เลย เหมือนว่าใครก็สุดวิสัยในโลกนี้ ประหนึ่งว่ารู้ได้แต่เราคนเดียว มันหากเป็นของมันเองไม่มีเจตนา เหมือนว่าอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเลย มันเหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จะไปพูดให้ใครฟังเขาจะรู้ได้ยังไง นั่นมันเป็น ที่ว่าท้อใจๆ นี่มันวิ่งถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงท้อพระทัย จนท้าวมหาพรหมมาทูลอาราธนา ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าโง่นะ นี่พูดตามเหตุการณ์เฉยๆ ว่าทรงท้อพระทัย พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนสัตว์โลก ที่เราคาดคิดไว้ว่า ทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็นึกว่าจะไปธรรมดาๆ เวลาเป็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์แล้วมันเข้ากันไม่ได้เลย ประหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้กับโลก ทรงท้อพระทัย แล้วทรงทำความขวนขวายน้อย ถึงขนาดท้าวมหาพรหมมาอาราธนา
พระองค์เลิศเลอยิ่งกว่าท้าวมหาพรหมจะว่าไง ทำไมพระองค์จะไม่ทราบ แต่พูดตามเหตุการณ์ในระยะนั้นต่างหาก นั่นละเวลามันรู้ขึ้นมา ทีนี้เวลามันเป็นก็เหมือนกัน มันไม่ต้องคิดต้องอ่านละ คืออันนี้มันประกาศเองเทียว จ้าขึ้นมานี้ โถ ขนาดนี้แล้วใครจะไปรู้ได้เห็นได้ ไปพูดให้ใครฟังเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด โอ๊ย อยู่ไปกินไปพอถึงวันก็ไปเสียเท่านั้นแหละ แน่ะ มันทอดอาลัยแล้วนะนั่น คือธรรมชาตินี้เหมือนว่าไม่มีใครจะรู้ได้เห็นได้เลย แต่เวลาพระธรรมท่านกระตุกเอาแรงๆ พอว่าใครจะรู้ได้เห็นได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมรู้ได้ นั่น มันก็ย้อนไปถึงสายทางมา รู้ได้ด้วยกัน
จิตไม่มีเพศ จิตเป็นธรรมชาติสามารถที่จะรับได้ทั้งบุญทั้งบาปเหมือนกันหมด เมื่อถึงขั้นที่จะควรรับได้ อรหัตอรหันต์ไม่มีหญิงมีชาย เข้าถึงได้ด้วยกันเมื่อถึงขั้นแล้ว มันเป็นได้นะเวลามันเป็น เหมือนว่าไม่มีใครจะรู้ได้เลย สอนไปทำไม พูดที่ไหนเขาจะว่าบ้า ไปอย่างนั้นนะ เขาไม่รู้เหมือนอย่างนี้ คือสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้ นั่น แต่สายทางที่จะมารู้ได้มันมี เวลากระตุกเจ้าของปั๊บนี้ รู้ได้เพราะเหตุใด ก็มีสายทางมา วาสนาบารมีที่สร้างมาทุกคนๆ การทำบุญให้ทานมีแต่เครื่องพยุงกันทั้งนั้น ส่งเสริมๆ แล้วก็ลงทำนบใหญ่ ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา ลงจริงๆ ลงจิตตภาวนา บุญทั้งหลายลงนั้นหมดเลย พุ่งทีเดียวก็ถึงนิพพาน นั่น อำนาจแห่งบุญทั้งหลายรวมตัวๆ มาเข้าทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา
เวลามันเป็นเข้าจริงๆ แล้วก็อย่างพระยสกุลบุตรนั่นแหละ อยู่ที่ไหนวุ่นวายอยู่ที่ไหนขัดข้องไปหมดเลย วิ่งเข้าหาพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเดินจงกรมอยู่ มานี่ยสมานี่ ที่นี่ไม่วุ่นวายที่นี่ไม่ขัดข้อง เอา มาที่นี่สอนธรรมให้เลย จนเป็นพระอรหันต์ นั่น เวลาถึงกาลมันแล้วเหมือนผลไม้ จะตัดลงมาบ่มไม่บ่มก็ตามมันจะหลุดจากขั้วตูมลงเลยเมื่อมันถึงเต็มที่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน อย่างพระยสกุลบุตร สมบัติเงินทองข้าวของจนท่วมหัว พ่อกับแม่เอาสมบัติเงินทองมาอวดไม่มีความหมาย นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมเลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไหนๆ ความหมายว่างั้น ที่นี่ขัดข้องทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ขัดข้องทั้งหมดเป็นเครื่องขัดข้องทั้งหมด ที่จะออกเสียอย่างเดียวไม่ขัดข้อง นั่น ออกก็ออกไปหาพระพุทธเจ้า เมื่อถึงกาลแล้วเป็นอย่างนั้น บ่มไม่บ่มก็ตามมันจะหลุดจากขั้วลงตูมเลย เวลาสร้างเข้าไปบารมีถึงขั้นเต็มแล้วมันเต็มได้อย่างนั้นละ ถึงขั้นเต็มแล้วอยู่ไม่ได้ๆ เลย ออกก็ได้สำเร็จพระอรหันต์
ทีนี้นักภาวนาเราก็เหมือนกัน เฉพาะรายบุคคลที่ถูไถไปมาจนน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ก็เคยเล่าให้ฟัง นี่เวลาอำนาจกระแสของกิเลสมันรุนแรง ตั้งสติไม่อยู่ล้มผล็อยๆ จนน้ำตาร่วงบนภูเขา ถึงได้ผูกโกรธผูกแค้นกันดังที่เล่าให้ฟังนั่นละ การผูกโกรธผูกแค้นกับผู้ใดสัตว์ตัวใดเป็นบาปทั้งนั้นๆ แต่การผูกโกรธผูกแค้นกับกิเลสที่เป็นภัยแก่ตัวเองนี้เป็นธรรม ผูกโกรธผูกแค้นนี้ก็ซัดกันเลย ถึงขนาดน้ำตาร่วง โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวหรือ มันเป็นอยู่ภายในจิตนะไม่ได้พูดออกมา โถ มึงเอากูถึงขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วงกิเลสฟัดเอา เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง นั่น โกรธละนะแค้นแล้วนั่น จะให้กูถอยกูไม่ถอย ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง นั่น ผูกโกรธผูกแค้น มุมานะละที่นี่ เอาอันนี้โกรธแค้นให้กิเลสในใจเจ้าของเป็นธรรม จากนั้นมาก็ซัดใหญ่ๆ สุดท้ายก็ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปเลย นั่นเห็นไหมล่ะ
นี่ละความผูกโกรธผูกแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นภัยแก่ตัวเองนี้เป็นธรรม เป็นเครื่องมุมานะให้ถอยไม่ได้ เวลาเราภาวนาไปถึงขั้นมันเป็นมันถอยไม่ได้เหมือนกันนะ เวลาล้มลุกคลุกคลานถึงน้ำตาร่วงบนภูเขาก็เป็นแล้ว เรียกว่าไม่เป็นท่าสู้กิเลสไม่ได้เลย พอเวลาบำเพ็ญเข้าๆ ธรรมะแก่กล้าสามารถเข้าไปนี้พุ่งๆๆ ถอยไม่ได้ นั่นเอาละนะที่นี่ คำว่าถอยไม่มีเลย คอขาดไปเลยเพื่อนิพพานอย่างเดียวๆ นั่นมันพุ่งๆ นี่ละความเพียรไม่มีวันไม่มีคืน ถึงขั้นมันเป็นเป็น
ดังที่พระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราอ่านในตำราก็ธรรมดา จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ธรรมดา แต่เวลามาเป็นในเรายอมรับเลย ลงได้ลงทางจงกรมแล้วนี้จนก้าวขาไม่ออกถึงจะออกจากทางจงกรม มันลืมเนื้อลืมตัวหมดนะ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไรไม่สนใจทั้งนั้น ภายในนี้มันหมุนกันอยู่นี้ กิเลสกับธรรมฟัดกันนี่ นี่ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังกับกิเลสแล้วยังไงมันก็ไม่ถอยละ พุ่งๆๆ นอนอยู่มันก็ไม่นอน เรานอนจะให้หลับอย่างนี้ทางนี้มันเอาอยู่นี้ ขึ้นมานั่งก็นั่งฟัด เดินก็เดินฟัด สุดท้ายแจ้งๆ นี่เวลากำลังของธรรมมีมากเป็นอย่างนั้น ให้ถอยไม่มีมีแต่พุ่งๆ เลย
นี่ละที่ว่าท่านเดินจงกรม เพราะเวลาไหนก็เดิน กลางค่ำกลางคืนกลางวี่กลางวันก็เดินได้ทั้งนั้นนี่นะ เอาจนกระทั่งก้าวขาไม่ออกถึงจะออกจากทางจงกรม วันนี้ก็เดินวันหน้าก็เดินทำไมจะไม่ฝ่าเท้าแตกล่ะ มันก็ต้องแตกละซิ นี่เชื่อทันทีเรา แต่ก่อนก็อ่านในตำรามี ว่าพระโสณะท่านประกอบความเพียร ความเพียรกล้าจนฝ่าเท้าแตก เราก็อ่านไป เชื่อหรือไม่เชื่อก็ธรรมดาๆ พอถึงขั้นนี้แล้วเชื่อ ลงได้ลงทางจงกรมแล้วจนก้าวขาไม่ออกมันถึงจะออกจากทางจงกรม คือทางข้างในมันไม่ถอย ไม่มีอะไรสนใจยิ่งกว่าฟัดกิเลสอยู่ภายในใจๆ นี้ วันนี้ก็เดินวันไหนก็เดินแล้วมันจะไม่แตกได้ยังไงฝ่าเท้า บางครั้งเราก็เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เวลามันจะตายก้าวขาไม่ออกแล้วมานั่งนี้ ฝ่าเท้านี้เหมือนไฟลนนะ ออกร้อนหมดเลยฝ่าเท้า
เอ๊ะ ทำไมฝ่าเท้าเรามันแตกเหรอ เอามาดู เอ๊ะ มันก็ไม่เห็นแตก ดูฝ่าเท้าก็ไม่เห็นแตก พอเอามือไปลูบอย่างนี้มันเสียว เสียวเจ็บ คือมันบางเข้าไปมันจะถึงเนื้อ พอถึงเนื้อแล้วนั้นน่ะเรียกว่าฝ่าเท้าแตก มันไม่ได้แตกอย่างนี้นะ มันกัดเข้าไปๆ เข้าไปจนถึงเนื้อ เรียกว่าฝ่าเท้าแตก อันนี้เราก็ได้ดู ดูจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น มันออกร้อนเหมือนไฟลนเทียว โถ ทำไมเป็นอย่างนั้น หรือฝ่าเท้าแตก มาดูมันก็ไม่แตก เอามือไปลูบนี้ โอ๋ เสียว ทั้งเสียวทั้งเจ็บ ถ้าจากนี้แล้วจะทะลุถึงเนื้อ พอทะลุถึงเนื้อแล้วเรียกว่าฝ่าเท้าแตก มันไม่ได้แตกอย่างนี้นะ อันนี้มันทะลุเข้าไปถึงเนื้อเท่านั้นเอง
นี้เราก็จวนจะถึงขั้นนั้น จนได้มาลูบคลำดูฝ่าเท้าเจ้าของ มันไม่แตก มาลูบอย่างนี้ มันเสียว ทั้งเสียวทั้งเจ็บ กำลังจะถึงเนื้อแล้วนั่น แต่พอดีกิเลส พูดให้มันตรงศัพท์เลยว่ากิเลสแตกเสียก่อน ถ้ากิเลสไม่แตกฝ่าเท้าจะแตกแน่นอน คือมันไม่ถอยนี่ มันไม่ถอยกันนะ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วรบกับอะไรล่ะ แน่ะ มันก็หยุดเอง เป็นอย่างนั้นนะ ฝ่าเท้าก็ไม่แตก กิเลสแตกเสียก่อน นั่นถึงขั้นมันไม่ถอยเป็นอย่างนั้นละ อำนาจของธรรมเมื่อมีกำลังแล้วถอยไม่ได้เลย พุ่งๆๆ ตลอด เวลาอำนาจของกิเลสมีนี้ก็มีแต่หมอนแตก ฝ่าเท้าแตกอย่าไปฝันเลย มีแต่หมอนแตกเสื่อขาด มองไปที่ไหนเห็นแต่ก้มอยู่ ก้มอะไร เย็บเสื่อเย็บหมอน หมอนแตกหมอนขาดเสื่อขาดนอนทับตลอดเวลา เห็นแต่อย่างนั้นนะ ที่ว่าฝ่าเท้าแตกไม่เห็นมี
ถึงขั้นกิเลสมีกำลังมากก็มีอยู่ด้วยกันทุกคน มันขี้เกียจขี้คร้านการประกอบความพากเพียร ไม่อยากเล่นไม่อยากเอาไหน แต่พอถึงขั้นที่มีกำลังวังชาแล้วทีนี้ความขี้เกียจขี้คร้านไม่มี ได้รั้งเอาไว้ๆ ไม่งั้นมันจะตายจริงๆ ลงเดินจงกรมแล้วก็เอาจนก้าวขาไม่ออก นั่งกี่ชั่วโมงไม่สนใจมันฟัดกันอยู่ภายใน นี่ละการประกอบความเพียร ความรู้ความเห็นนี้เอามาพูดไม่ได้นะ ความรู้ความเห็นในใจนี่พิสดารมากทีเดียว เอามาพูดนี้พรรณนาไม่จบ มันหากรู้นั้นรู้นี้ ไม่มีอะไรที่จะกว้างขวางยิ่งกว่าความรู้ ความรู้จากจิตตภาวนา
ความรู้ธรรมดาเราคิดไปไหนมันก็รู้ไปหมดนั่นละ แต่มันรู้ไม่ละเอียดลออรู้แบบแปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนใจรู้จากจิตตภาวนา อันนี้รู้แปลกประหลาดมาก ดังที่ท่านว่าไปเห็นเปรตเห็นผีเห็นยักษ์เห็นมาร ไม่รู้ไม่เห็นยังไงมันวิสัยที่จะรู้มันต้องรู้ วิสัยที่ต้องเห็นเห็นปิดไม่อยู่ นี่ละที่ท่านเอามาเล่าให้ฟัง บรรดาพระสาวกทั้งหลายมาเล่าทูลถวายพระพุทธเจ้า ว่าไปอยู่ที่นั่นเห็นพวกเปรตพวกผีพวกอะไรต่ออะไร ท่านเห็นอย่างนั้นเอง แต่พระองค์ทรงทราบไว้หมด ทรงรู้ทรงเห็นหมดแล้ว พอพูดนี่ เอ้อ นี่เราเห็นตั้งแต่สมัยนั้นๆ เป็นระยะๆ มา อย่างนั้นละการภาวนา ความรู้อะไรจะพิสดารยิ่งกว่าจิตตภาวนาวะ
แต่คำว่าภาวนาก็ภาวนาเพื่อธรรมบำเพ็ญเป็นธรรม ธรรมไม่ผาดโผนโจนทะยาน รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันไม่พูดเฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แต่เป็นพวกเดียวกันใส่กันปั๊วะนี้ ๒-๓ ชั่วโมงไม่ลุก มันเพลินธรรมะด้วยกัน ทางนั้นก็รู้แบบนั้นๆ ทางนี้ก็รู้แบบนี้ๆ เพราะบำเพ็ญด้วยกัน ต่างคนต่างได้รายได้มายังไงก็มาเล่าสู่กันฟัง เหมือนเราไปหาผลประโยชน์นั่นแหละ เล่าผลประโยชน์สู่กันฟังก็เพลินเหมือนกัน อันนี้ทางด้านจิตตภาวนา เล่าผลของจิตตภาวนาให้ฟังนี้น่าฟัง องค์นั้นเป็นอย่างนั้นๆ รู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้นๆๆ มันเพลิน มันรู้ทั้งภายนอกภายใน รู้ทั้งกิเลส ที่จะฆ่ากิเลสก็รู้ รู้ภายนอกพวกเปรตพวกผีอะไรทุกอย่างอยู่รอบจิต จิตเป็นวิสัยที่จะรู้มันรู้ไปหมดนั่นละ ท่านไม่พูดถ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้าเป็นพวกเดียวกันรู้เห็นด้วยกันท่านก็คุยกันสนุกเป็นบางกาลนะ
จิตตภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กว้างขวางมากทีเดียว ความรู้จากจิตตภาวนาเป็นความรู้ที่กว้างขวางพิสดารละเอียดลออมากที่สุด ความรู้อันนี้ละเหมือนกันอยู่ในหัวใจของเราทุกคน ที่ว่าความรู้ๆ นี้ แต่มันมีกิเลสปิดอยู่ในภายในไม่รู้ แต่เวลาธรรมออกเปิดออกๆ ค่อยกว้างขวางออกๆ กระจ่างออกๆ ก็จ้าไปหมด นั่น กิเลสออกแล้วจ้าเลยธรรม เอาละพูดเท่านั้นละวันนี้
(กราบเรียน วันนี้เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง คณะทหารบกในเขตจังหวัดอุดรธานี จำนวนประมาณ ๘๐๐ นาย จะมากราบหลวงตา เพื่อขอพรเป็นสิริมงคล เขาจะไปเปลี่ยนกำลังที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ครับ บ่าย ๒ โมงวันนี้ครับ)
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |