เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
นิสัยของพระ
เมื่อวานไปเกษตรสมบูรณ์ เลยภูเขียวไปดูเหมือน ๒๒ กิโล ไปส่งอาหาร ที่ไหนอัตคัดขัดสนเราจะซอกแซกเข้าไปตามนั้น ถ้าหากอยู่ใกล้ถนนหนทางเราก็ไม่ค่อยไป ถ้าอยู่ลึกๆ เข้าไปเรามักจะไปเสมอ เมื่อวานไปเกษตรสมบูรณ์ ลึกจากภูเขียวไปดูเหมือน ๒๒ กิโล ภูเขียวมาชุมแพ ๒๐ กิโล ชุมแพมาหนองบัวลำภู ๘๘ กิโล หนองบัวลำภูมาอุดร ๔๕ กิโล รู้หมดเพราะไปอยู่ตลอด ไปทำประโยชน์ให้โลก มองดูอะไรสังเกตๆ ความสังเกตเฉยๆ ไม่มีท่าเท่าไรเพราะความจำไม่ดี แต่ก่อนสังเกตเพื่อจำ จำได้ๆ ไปไหนได้ผ่านแล้วจำได้ตลอด เดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ ผ่านที่ไหน ทางไปไหนแยกไหนๆ กิโลเท่าไรรู้หมดแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ไม่เป็นท่าความจำ สัญญาคือความจำ
เมื่อวานไปเกษตรสมบูรณ์ ถ้าธรรมดาไปอุดรตัดไปหนองบัวลำภูไปเกษตรสมบูรณ์ใกล้ แต่เราต้องการอาหารทางเขาสวนกวาง พวกไก่พวกอะไรที่เขาขายแถวนั้น โค้งไปนู้น ไปชุมแพตั้ง ๘๐ กว่ากิโลจากขอนแก่นไป เราก็ไปทางนั้น เพราะอยากได้ของไปแจกโรงพยาบาล ดูจากขอนแก่นไปชุมแพ ๘๔ กิโล ไปเขาสวนกวางก็ไปทางเลี่ยงเมืองขอนแก่น พุ่งชุมแพ ตัดไปภูเขียวเข้าเกษตรสมบูรณ์ ภูเขียวที่เอามาเขียนไว้หน้าศาลา ท้ายรถเขาเขียนไว้ กูจะฟ้องท่านเปา เขาเขียนไว้ท้ายรถเขา พอกลับมาอันนี้ยังไม่สมบูรณ์เราก็เอามาต่อใหม่ เอาบทต้นเขาว่า กูจะฟ้องท่านเปา เราต่อท้ายว่า มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน อย่างนั้นละ
ไปเมื่อวาน ๗ ชั่วโมง อยู่ซอกแซกลึก เอาอาหารไปเต็มรถนะ ไปแต่ละครั้งรถของเราเต็ม รถเราใหญ่พอสมควรรถตู้ ใส่เต็มเอี๊ยดแหละ ไปที่ไหนๆ เต็มไปเลย ให้ได้ทำเสียในชาตินี้ ทำให้เต็มเหนี่ยวเสีย บอกตรงๆ เลย กิริยาอาการทุกอย่างอยู่ในความตำหนิติชมของโลกได้ทั่วๆ ไปเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นกิริยาของเราจึงยอมรับไว้เลยว่าเป็นสนามตำหนิติเตียนชมเชย โลกธรรม ๘ อยู่ในนี้หมด กิริยาอาการแสดงออกโลกธรรม ๘ จะมาทันที ติฉินนินทา สรรเสริญเยินยอ มาด้วยกัน เราไม่สนใจ ดูจิตก็พอ
เรื่องจิตนี้เรียกว่าสมบูรณ์แบบแล้วไม่มีอะไร เจ้าของเองก็หาที่ตำหนิไม่ได้ หมดทางตำหนิ หมดทางชม อันนั้นเลิศกว่าความติชมทั้งหลายทุกอย่างหมด จิตใจเป็นอย่างนั้นแหละ นี่ละการปฏิบัติธรรม รอดตายนะเรา เพราะนิสัยอย่างนี้ดังที่ท่านทั้งหลายเห็น ผาดโผน เวลา ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นถึงใจแล้วออก ๙ ปี ซัดกันไม่ถอย ไปคนเดียวด้วย ไม่มีความสะดวกสบายแหละวันหนึ่งๆ อยู่ด้วยความฝึกความทรมาน เอากันขนาดนั้นกิเลสมันถึงได้หมอบ หมอบเราก็ฟาดหมอบราบเลย เอาหนัก เป็นเวลา ๙ ปี ฟัดกับกิเลสเป็นเวลา ๙ ปี
ก็ตรงกับความรู้ที่รู้เอาไว้ ที่ว่ามาขายโง่ให้เพื่อนฟัง ภาวนาอยู่นี้ตาปะขาวเดินเข้ามาหา นั่งภาวนาอยู่นะ เป็นภาพตาปะขาวเดินเข้ามายืนมองดูหน้า แล้วนับข้อมือๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า พอเก้าแล้วมองมาหาเรา ก็ทราบกันภายในทันทีว่า ๙ ปีสำเร็จ เราก็เก็บไว้เลย ๙ ปี ๙ ปีนี้จะเป็น ๙ ปีตั้งแต่เราบวชมาหรืออะไร ก็มาเป็นปัญหาตอนถึง ๙ พรรษาแล้วก็ยังไม่สำเร็จละซิ ก็ไปขายโง่ให้พระฟัง ผมจะขายโง่ให้ฟัง ผมเก็บความรู้ในการภาวนามา แต่มันไม่เป็นความจริง คือทีแรก ๙ ปีนั้นกำลังจิตเสื่อมจิตเจริญ ตั้งแต่ออกบวชมาถึงปีที่ ๙ ที่ว่าจะเป็นปีสำเร็จ จิตมีแต่เสื่อมกับเจริญยุ่งไปหมด โหย มันไม่สำเร็จอันนี้
เลยคาดอีก เอ๊ะ หรือจะสำเร็จเมื่อออกปฏิบัติ ๙ ปีนี่ หมุนไปนั้นก่อนนะ ๙ ปีบวชมานี่ไม่สำเร็จ ตอนนี้จิตกำลังวุ่นใหญ่ ๙ ปีนี้น่ะ ก็เลยคาดอีก หรือ ๙ ปีจากการปฏิบัติไป เอาๆ จุดนั้น เก็บไว้อย่างนั้นละ พอถึง ๙ ปีที่ออกปฏิบัติ ออกพรรษาปั๊บยังไม่สำเร็จ แต่ตอนนั้นจิตหมุนแล้วนะ หมุนติ้วๆ แล้วแต่ยังไม่สำเร็จ ก็เลยไปเล่าให้พระฟัง พระก็เป็นพระเพื่อนฝูงที่สนิทกัน หนักแน่นในการปฏิบัติด้วยกัน สมควรแก่การระบายธรรมต่อกันได้ เป็นคติต่อกัน ไปก็ไปเล่าให้ท่านฟัง โอ๋ ผมจะขายโง่ให้ท่านฟัง ผมภาวนาปรากฏในนิมิต ตาปะขาวมาบอกอย่างนั้น ว่า ๙ ปีสำเร็จ แล้วปฏิบัติมา ๙ ปี ตอน ๙ ปีแรกนั้นจิตกำลังเสื่อมยุ่งไปหมด ก็เก็บไว้ก่อน ทีนี้ ๙ ปีนี้เป็น ๙ ปีที่สอง หาที่คาดหมายไม่ได้แล้ว จะด้นเดาไปไหนก็ไม่ได้แล้ว ได้ ๙ ปีออกพรรษาแล้ววันนี้
ทีนี้พระองค์นั้นละองค์ที่ว่าเคยสนิทกันไว้ใจกัน โฮ้ ๙ ปี ท่านแก้ดีเป็นคติดี คำว่า ๙ ปีนี้ไม่ใช่ออกพรรษาแล้ว ๙ ปีนะ ต้องออกพรรษาแล้วปฏิบัติไปจนกระทั่งชนวันเข้าพรรษามันถึงจะหมดกำหนด ๙ ปี เดี๋ยวนี้ยังมีเวลาอยู่ หือ อย่างนั้นหรือ คึกคักขึ้นอีก เราอ่อนใจว่าความรู้นี้หลอกเรา พอ ๙ ปีออกพรรษาปั๊บยังไม่สำเร็จ แต่จิตมันหมุนของมันละหากไม่สำเร็จจะว่าไง ก็ไปไขโง่ให้ท่านฟัง ท่านแก้เป็นคติดีนะ โอ๊ย นี่มันพึ่งออกพรรษา คำว่า ๙ ปีนี้ต้องไปชนพรรษาหน้ามันถึงจะสุดเขต ๙ ปี หือ อย่างนั้นเหรอ ก็ซัดอีก พอดีเดือนพฤษภายังไม่ถึงเข้าพรรษา ฟัดกันลงตรงนั้นละ เออ เข้าท่าดีอยู่นะ
อย่างนั้นละมันรู้อะไรมันจับไว้เลย หากไม่พูดให้ใครฟัง จนกระทั่งหมดท่าไปแล้วก็ไขโง่อย่างว่า ไขโง่ให้พระท่านฟัง นี่ออกพรรษาแล้ว ๙ ปีมันยังไม่สำเร็จ องค์นั้นก็ว่า โอ๊ย ๙ ปีนี้ยังไม่ใช่ ต้องเข้าพรรษานู่นละ ถึงวันเข้าพรรษามันถึงจะหมดเขต ๙ ปี หือ อย่างนั้นเหรอ ก็ดีนะล่ะ พระเตือนพระก็ซัดอีก ก็จริงๆ ถึงเดือนพฤษภาเสร็จ ยังไม่ถึงเข้าพรรษา เอ้อ ใช้ได้ เราก็บอกว่าใช้ได้
อย่างนี้ละพระที่ปฏิบัติด้วยกัน มาศึกษาปรารภกัน ได้คติจากกันดีนะ พระองค์นี้องค์หนึ่งที่เคยศึกษาปรารภกัน เด็ดเหมือนกัน ท่านตายแล้วละ องค์นี้ก็เด็ด พ่อแม่ครูจารย์ท่านยังมีแย็บออกมา อย่างท่านว่าแหละ ตอนเราตาย ท่านพูดเลยนะ จะมีพระหนุ่มอยู่สององค์รู้ธรรมตามเรา ก็สององค์นี่ละ สององค์ที่กำลังฟัดกำลังเหวี่ยงศึกษากันอยู่นี้ เข้าท่าดีอยู่ ท่านตายในระยะนั้น ก่อนหลังอยู่ในช่วงนั้น จะมีพระหนุ่มรู้ตามเราอยู่สององค์ ท่านว่า เราไม่ได้ลืมท่านพูดเอง แต่ท่านไม่ระบุชื่อนะ ระบุออกมาแต่เพียงว่าพระหนุ่มจะรู้ตามเราอยู่สององค์
ท่านได้ในนิมิตเวลาท่านขี่ช้างไป นั่งบนคอช้างไป พระสององค์ขี่ช้างติดตามไปสองข้างองค์ละเชือก พอไปถึงถ้ำแล้วช้างท่านหันหน้าออกมา ช้างพระหนุ่มสององค์นี้เข้าไปเอาหัวชนหน้าถ้ำ ท่านหันหน้าออกมาสั่งสอนว่า วาระนี้เป็นวาระสุดท้ายของผม ให้ท่านทั้งสองไปปฏิบัติให้ได้สุดท้ายๆ จริงๆ บอกว่าผมจะไม่กลับมาเกิดอีก เป็นครั้งสุดท้ายโดยแท้ ท่านทั้งสองนี้ให้ตั้งใจอุตส่าห์พยายามให้ได้ นั่นละที่ท่านว่า พระหนุ่มจะรู้ตามสององค์ ท่านได้นิมิต ท่านพิจารณาดีแล้วท่านออกอย่างนั้น เราไม่ลืมท่านพูดอะไร ถ้าลงท่านพูดไม่ผิด ก็เป็นจริงๆ องค์นั้นก็จริงด้วย ผ่านแล้วเรียบร้อยแต่ไม่ระบุชื่อ เป็นอย่างท่านว่าจริงๆ ก็ผ่านแล้ว ที่ว่าสององค์ถูก องค์นั้นผ่านก่อนเราอีก เด็ด องค์นี้ก็เด็ด ผ่านไปแล้ว
ท่านสิงห์ทองไปเรียบๆ สุกขวิปัสสโก มาเห็นประจักษ์ในองค์นี้สมัยปัจจุบัน สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์มี ๔ ประเภท ความบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารต่างกัน นี่ละที่ว่าอำนาจวาสนาของท่าน วาสนาบุญญาภิสมภารของท่าน วาสนาของท่านแปลกๆ กันอย่างนี้ละ แยกไปเป็น สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ มาถึงจตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี้เยี่ยม อรหันต์ประเภทสุดท้าย แตกฉาน ทุกสิ่งทุกอย่างแตกฉาน มีอยู่ ๓ ประเภท ที่เป็นเครื่องประดับบารมีของท่าน กิ่งก้านดอกใบของความเป็นอรหันต์หรือว่าต้นลำใหญ่ขึ้นแล้วคืออรหันต์ กิ่งก้านสาขาดอกใบจะแปลกต่างกันไป ที่ว่าเตวิชโชก็ดี ฉฬภิญโญก็ดี จตุปฏิสัมภิทัปปัตโตก็ดี เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบต่างกัน
เราเสียดายท่านสิงห์ทอง เราได้เล็งไว้แล้วแน่ใจว่าไม่ผิด เราได้เคยพูดแล้วกับท่านสิงห์ทอง พูดออกปากพูดจริงๆ นะ แต่ไม่ได้บอกอะไรบอกอย่างนี้เฉยๆ หากเป็นความหมายในนั้นเสร็จ บอกว่า สิงห์ทอง ครั้นเวลาผมตายนี้ให้ท่านมาเผาศพผม เวลาท่านตายผมเผาศพท่าน คือหวังว่าท่านจะสืบทอดศาสนาทำประโยชน์ให้โลกได้พอสมควร ไม่มากก็พอสมควรองค์หนึ่ง เราคิดไว้แล้ว ท่านก็มาตายก่อนเราเสีย ตกเครื่องบินตาย ความรู้ท่านดีอยู่ ฉลาด เสียตั้งแต่ท่านนิสัยชอบเล่นชอบตลก มันเลยเถิด
เราไม่ได้ตำหนิว่าเราไม่ชอบเล่นชอบตลก ตัวตลกละนี่ แต่หากมีจังหวะจะโคนมีวรรคมีตอน อันนั้นไม่มีวรรค ไปนี้เรื่อย มานั่งนี่ต้องสอนนะ ต้องสอนต่อหน้าต่อตา บอกว่าสิงห์ทอง ว่างี้เลย ท่านตั้งใจฟังดีนะ ก็เราตั้งใจสอนจริงๆ ท่านให้จำให้ดีนะคำสอนเหล่านี้ การประพฤติปฏิบัติของท่านภายนอกภายในผมไม่ได้ตำหนิติเตียนละ เหมาะสม แต่กิริยาอาการของท่านที่ปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่เพ่งเล็งของโลกได้เป็นอย่างดี ให้ท่านระมัดระวัง การตลกคะนองการพูดชอบหยอกเล่นนี้เป็นนิสัยมาก เขามาหาท่านเขาไม่ได้มาหาเพราะท่านตลกคะนองหยอกเล่นเก่งนะ เขามาหาด้วยคุณธรรมของท่านต่างหาก เราบอกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นให้ท่านเก็บไว้ในเวลาที่ควรเก็บ ออกเวลาที่ควรออก เราพูดอย่างนี้ละ ให้เอาธรรมละออก ถูกต้อง
เขามาหาเราเขาไม่ได้มาหาเพราะเราชอบพูดเล่นพูดตลกนะ เขามาหาเพราะคุณธรรมของท่านต่างหาก บอกเสร็จ เวลาเราจับโซ่ไว้ตีหัวมันก็หมอบลิง เข้าใจไหม พอวางโซ่ ก็ดีเหมือนกันนะ ดีเหมือนกันนะถูกเขกบ้างๆ พอวางโซ่แล้ววอกๆ ลิงนิสัยอย่างนั้น ท่านก็เป็นของท่านอย่างนั้น แต่มีดีอย่างหนึ่งกับลูกกับหลานไม่นะ กับลูกกับหลานใกล้ชิดนี้ไม่มีกิริยาเล่นๆ แต่กับคนอื่นเล่นได้สะดวก ท่านก็มีวรรคมีตอนของท่านเหมือนกัน.กับลูกกับหลานเช่นท่านอุ่นท่านอะไรเหล่านี้ไม่นะ ตรงแน่วเลย กับประชาชนที่เกี่ยวข้องเป็นลูกเป็นหลานไม่เลย แต่กับเพื่อนฝูงเป็นอย่างนั้นละ ต้องได้จับโซ่ตีอยู่เรื่อย นิสัยชอบเล่น ถ้าเป็นเรื่องพูดเล่นท่านจำได้ดีมาก อย่างอื่นจำหรือไม่จำก็ไม่รู้ แต่ถ้าพูดเรื่องเล่นเรื่องตลกนี้ อู๊ย ท่านจำได้ดีมาก เพราะนิสัยอย่างนั้นชอบ
วันที่ ๖ ดูจะมีพระมาเต็ม (ของท่านเจ้าคุณวัดโพธิเจ้าค่ะ) ท่านพาคณะยกมาเป็นทีมใหญ่ด้วยนะ เราไม่อยากยุ่ง แต่ท่านก็เป็นเองของท่านกับลูกศิษย์ลูกหายกคณะมาเลย เราก็ต้องออกมาต้อนรับที่ศาลาใหญ่ ที่นี่ไม่พอต้องไปศาลาใหญ่ ท่านเจ้าคุณวัดโพธินิสัยท่านเรียบนะ ส่วนมากมีแต่ท่านละถูกโจมตีจากเรา ท่านเรียบๆ เราเป็นผู้โจมตีเรื่อย แต่ท่านไม่ค้านนะ ก็โจมตีอย่างถูกต้องนี่จะค้านได้ไง อย่างเมรุที่ขึ้นก็ใคร นั่นเห็นไหมล่ะ เราขึ้น หาเงินให้เมรุวัดโพธิ ก็อย่างนั้นแล้ว พอประชุมกันที่จะทำเมรุแล้วล้มๆ มีอยู่ ๒-๓ คนที่ว่าทำเมรุให้ล้มๆ อยู่เรื่อย เป็นอธิบดีศาลอยู่ในนั้นคนหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ว่าอีกคนหนึ่ง แล้วใครอีก ๓ คนมาทำให้เมรุล้มอยู่เรื่อยๆ
ถ้าว่าประชุมเท่านั้นล้มๆ ๓ คนทำให้ล้ม ไปวันนั้นก็ซัดกันใหญ่เลย พอดีเราเข้าประชุมด้วยซิ อย่างนั้นละ ท่านเจ้าคุณอุดรท่านดุใครไม่เป็นนะ นิสัยท่านเรียบมากทีเดียว ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลย เรียบตลอด เราหาอุบายวิธีแหย่ให้ความโมโหท่านขึ้นบ้างไม่มี เรียบอยู่ตามเดิม นี่ละที่ว่าทำเมรุให้ล้มๆ ไปประชุมวันนั้นก็ซัดกันเลยกับเรา ไปทีไรไปขู่พระ สามกษัตริย์ใหญ่นี่ ในนั้นมีอธิบดีศาลคนหนึ่งด้วย ไม่ใช่น้อยๆ ละ ไม่เคยโดนกัน จังต่อจังใส่กันเข้าใจไหม บทเวลาเราเข้าประชุมขึ้นผางมา ทางนี้ก็ซัดกันเปรี้ยงเลย โอ๋ย ในที่ประชุมนี้เงียบกริบเลยเวลาได้ซัดกัน อย่างนี้ละ
เพราะฉะนั้นท่านเจ้าคุณอุดรท่านจึงว่า ถ้าอยากจะดูฤทธิ์เดชอาจารย์ของเราแล้วให้ดูเวลาขึ้นเวที ก็คืออย่างนั้นละ เวลาขึ้นเวทีมันเอาจริงนะเรา ไม่มีผู้ให้ผู้น้อยละ หลักธรรมอยู่ตรงไหนมันจะไปตรงนั้นผางๆ วันนั้นก็ซัดกันเลย หมอบราบ อย่างนั้นละเวลาจะเอา ตกลงเมรุขึ้น ส่วนท่านเจ้าคุณอุดรนี่ถูกโจมตีเรื่อย เราละตีเอา ใครว่าอะไรก็ล้มๆ ยังไงกัน ซัดกันใหญ่เลย สุดท้ายเราพาขึ้น เมรุถึงขึ้นได้ ทีแรกว่า ๓ แสน ต่อไปเป็น ๕ แสน ที่บ้านแพง ๖ แสนเราทำให้ นี่เราพูดถึงเรื่องนิสัยของพระ ท่านเรียบร้อยอย่างเจ้าคุณอุดรเจ้าคุณวัดโพธินี่เรียบร้อยตลอด เจ้าคุณอุดรดุใครไม่เป็น คนนั้นดุใครไม่เป็น เจ้าคุณอุดรนี้ท่านเรียบธรรมดา
ทั้งสองนี้มีแต่เราละโจมตี ไปทีไรมีแต่เราละตี ท่านก็เรียบนะ เรียบตามเดิม ไอ้เราตีตามเดิม ตีทีไรมีแต่เรายกนี่นะ ไม่ใช่ตีเฉยๆ ตียกไม่ได้ทำลาย ตีเมรุนี้จะไม่ขึ้นๆ ซัดกันละดุเอา สุดท้ายขึ้นได้เพราะเรา แน่ะก็อย่างนั้นละ วัดโพธิมีแต่เราละเข้าไปโจมตี แต่ก็ดีนะบรรดาพระในวัดโพธินั้นเรียกว่าเคารพทั้งนั้นละกับเรา อะไรพูดขึ้นมาถ้ามันขัดตรงไหนเราใส่เปรี้ยงเลย ใส่เปรี้ยงหลายหนอยู่นะที่มีเรื่องขัดข้อง ประชุมกัน ๒-๓ วันไม่ลงกันก็เรา เขียนจดหมายน้อยมาหาเราแค่นี้ให้เณรถือมา แต่ก่อนไม่มีรถ มาอ่าน ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิให้ด้วย เวลานี้ไฟกำลังโหมลุกท่วมวัดโพธิ ย่อๆ เท่านี้
ไปก็จริงๆ ประชุมกันสองวันไม่เสร็จ เราก็ไปฟาดเสีย ๔๕ นาทีเรียบเลย นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละที่ท่านเจ้าคุณอุดรได้ว่า พอ ๔๕ นาทีเสร็จแล้วเราเหนื่อยเราก็แผ่สองสลึง พระมานวดเส้นให้ เจ้าคุณท่านนั่งอยู่ข้างนี้ ใครอยากเห็นฤทธิ์อาจารย์ของเราแล้วให้มาดูตอนขึ้นเวที คือขึ้นเวทีมันเป็นอย่างนี้มันซัดจริงๆ นี่นะ พอลงมานี้ก็แผ่สองสลึง ท่านว่า ถ้าอยากจะเห็นฤทธิ์เดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที มันมาอุ่นอะไรนี่ขู่นะ เราจะทดลองดูเพราะไม่เคยดุใครนะ เราซัดวันนี้ลองดูจะเป็นยังไง มันอะไรเน่าเฟะไปแล้วเอามาอุ่นกินหาอะไร
มันเน่ามันบูดมันเสียท้องพอแล้วมาอุ่นกินหาอะไรเราขู่นะ เราทำท่า เราจะคอยฟัง เรียบตามเดิมๆ โอ๊ย กินวันยังค่ำก็พอกินเวลาท่านตอบนะ กินวันยังค่ำก็พอกิน เพราะมีรสมีชาติตลอดไปท่านว่าเฉยนะ เอา ไปแบบนี้นะ อย่างนั้นละ แหย่เข้าไปนั้น ไม่เคยดุไม่ดุ อย่างเจ้าคุณอุดรโดนดุไม่รู้กี่ครั้งเฉยนะ แบบเก่านั่นละ อุ่นกินวันยังค่ำก็พอกินไม่บูดไม่เสีย ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้เรานี้ว่าไม่ธรรมดานะ ว่าดุจริงๆ คือดุจะดูคนจะเป็นยังไง ท่านก็ไปตามของท่าน สุดท้ายเราก็เลยลง เอาละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|