ต่อหน้าเช่นไร ลับหลังเช่นเดียวกัน
วันที่ 1 สิงหาคม 2550 เวลา 7:45 น. ความยาว 45.51 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ต่อหน้าเช่นไร ลับหลังเช่นเดียวกัน

         นครนายกที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษา ๓ พรรษานะที่ถ้ำสาริกา ท่านไปจำพรรษาอยู่นั่น ๓ พรรษา มันเป็นป่าธรรมชาติ เวลาท่านเล่าให้ฟัง โฮ้ อัศจรรย์นะ อัศจรรย์ที่ท่านอุตส่าห์พยายามบึกบึน อยู่ต้นไม้ใหญ่ๆ ทั้งนั้น เวลาเราไปเยี่ยมถ้ำสาริกาขึ้นไปกราบท่านแล้วไปดูต้นไม้ที่ว่านี่มันไม่มี ทีนี้เรามาเขียนประวัติท่านเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ๆ นี้มันก็โกหกโลกละซิ พอดีโยมบุญเหลือแกอยู่บ้านกล้วยละท่า ตีนเขา แกเลี้ยงวัวฝูง ตอนเช้าแกเป็นเด็กเอาบาตรไปส่งท่านบนเขา เข้าออกขึ้นลงๆ ตลอด แกก็เล่าให้ฟังว่า ต้นไม้แต่ก่อนไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม้ตะเคียนอย่างเนื้อดีๆ เต็มไปหมด เขาขนไปขายญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือแต่รุ่นลูกๆ หลานๆ เราจึงลงใจ ไม่งั้นเราก็โกหกโลกละซิ ก็ท่านเล่าเองไม่ใช่คนอื่นเล่า ท่านเล่าเองเวลาพูดไปสัมผัสท่านก็เล่าไปๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ เต็มท่านว่างั้น อยู่ต้นไม้ใหญ่ๆ

เวลาเราขึ้นไปต้นอย่างนั้นไม่มี พอดีโยมบุญเหลือแกก็ขึ้นไปด้วย แกเป็นเด็กตอนนั้น อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่าน แกเล่าให้ฟัง โอ๊ย ต้นไม้ใหญ่ๆ แต่ก่อนใหญ่มาก อันนี้ลูกๆ หลานๆ มันหากเกิด ไม้ใหญ่ๆ เขาขนไปขายญี่ปุ่นว่างั้น อ๋อ เอาละเข้าใจ ท่านอยู่นั้นได้ ๓ ปี อยู่บ้านกล้วยข้างๆ ตีนเขาบ้านกล้วย ว่าบ้านกล้วยเราก็จำได้ เดี๋ยวนี้บ้านมันลุกลามไปทุกแห่งทุกหน เราจำได้ไปทีแรกมันมีบ้านกล้วยโดยเฉพาะ ทีนี้นานมาๆ เดี๋ยวนี้มันขยับขยายออกไป เลยบ้านกล้วยจะไม่ปรากฏ บ้านอื่นทับหมดเลย เขาสร้างใหม่ๆ ดาดาษไปตามข้างถนน

ไปทีแรกมันมีบ้านกล้วยเล็กๆ บ้านเดียว อย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา โอ๋ย สมบุกสมบันมากทีเดียว หลวงปู่เสาร์อายุพรรษาแก่กว่าท่าน ๑๐ พรรษา เป็นอาจารย์ของท่านของหลวงปู่มั่นเรา จึงเรียกว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านไม่ค่อยได้สอนใครละ นั่งที่ไหนเป็นเหมือนหัวตอ นิสัยไม่ค่อยชอบพูดกับใคร เทศน์ท่านก็ไม่เทศน์ ท่านนั่งตรงไหนร่มไม้ร่มไหนๆ กี่ชั่วโมงก็อยู่ได้ จึงสมชื่อว่าแต่ก่อนท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ท่านกลับเสีย นิสัยเดิมจึงยังมี ไม่ชอบพูดอะไรๆ กับใคร

หลวงปู่มั่นเราปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ทีนี้เวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรสายโพธิญาณผ่านเข้ามาๆ แล้วก็ถอยเสีย พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรสายโพธิญาณที่ท่านเคยปรารถนาผ่านเข้ามา ท่านก็ถอยเสียๆ คือความเคารพความเสียดายโพธิญาณ ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ทีนี้ความอยากพ้นทุกข์มันก็เร่งเข้า ท่านว่างั้น ความอยากหลุดพ้นจากทุกข์เร่งเข้าๆ ก็มาคำนึงคำนวณถึงเรื่องความเป็นพระพุทธเจ้ากับเป็นสาวก ความสุขเป็นอันเดียวกัน แต่เป็นพระพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ประกาศธรรมสอนโลกได้มากมาย มันพลิกแตกต่างกันตรงนั้น ท่านเทียบนะ

บทเวลาท่านอยากจะพ้นจากทุกข์หนักเข้าๆ เลยเอามาเทียบ ความพ้นจากทุกข์เป็นหลักใหญ่ พระพุทธเจ้าก็พ้นจากทุกข์ สาวกของท่านก็พ้นจากทุกข์ หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ ส่วนการมีอำนาจวาสนากว้างขวางลึกซึ้งในการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกนั้นมันเป็นภายนอก ท่านว่างั้น บทเวลาท่านจะหมุนกลับ ภายในแท้ๆ ขอให้พ้นจากทุกข์ เอาเท่านี้ก็พอแล้ว เลยขอเปลี่ยนคำอธิษฐาน คำอธิษฐานนี้ถ้าหากว่าได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งก็ตาม ทรงทำนายไว้แล้วแก้ไม่ได้นะ แก้ไม่ตก แต่นี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ แก้ตก เมื่อแก้ตกจิตมันก็พุ่งเลยท่านว่า

คือมันจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรสายโพธิญาณผ่านเข้ามาๆ พอความอยากพ้นจากทุกข์มากเข้าก็เลยตั้งสัจจะอธิษฐานขอเปลี่ยนเป็นสาวก ไม่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พอว่างั้นจิตมันก็พุ่งเลยท่านว่า นี่ละท่านเล่าเองน่าฟังนะ ท่านเล่าเองแน่นอนที่สุด ท่านเล่าเองแล้วแน่นอนมาก เรานี่ลงท่านได้เล่าคำไหนแล้วเหมือนว่ามันไม่ตกลงไปสักเม็ดหินเม็ดทราย มันเข้านี้หมดเลย คือฟังด้วยความสนใจจริงๆ คำพูดของท่านไม่มีชินสำหรับเรา จ้อตลอดเวลา ยิ่งมีครูอาจารย์มาหาท่าน จะไม่ไปไหนละ จ้ออยู่นั้น คอยฟังอาจารย์องค์นี้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านแต่ละองค์ๆ มาเยี่ยมท่าน ท่านปฏิสันถารต้อนรับอย่างไรๆ ทั้งภายนอกภายในท่านต้อนรับกันอย่างไร ไม่เหมือนกัน องค์นี้มาต้อนรับอย่างนี้ๆ ภายนอกภายใน องค์นี้มาต้อนรับอย่างนี้ เราดูหมดเลย

ท่านไปได้กำลังใจที่ถ้ำสาริกา ท่านว่า ท่านอยู่นั้น ๓ ปี( ๓ พรรษา) ทางนาหมีนายูงเหมือนกันท่านไปอยู่ ไม่มีใครปรารถนาแหละที่ท่านไปอยู่ สมบุกสมบัน ทุกข์ลำบาก ท่านไม่ห่วงชีวิต ประชาชนเขาก็ห่วง เวลาจะมานี้เขาตัดไม้ ก็ไม้ตาดเรานี่ละ คันตาดปัดกวาดเจียนเป็นไม้เท้า แล้วเขาก็สับหัวไว้ให้มันแตกๆ ไปไหนก็เคาะเป๊กๆ ไปตามทาง หลักใหญ่ก็หมี สำหรับเสือไม่พบมันง่ายๆ ท่านว่า ไม่ได้กลัวมันละเสือ พอเรามานี้มันจะรู้ มันจะหลีกแล้ว แต่หมีมันสะเปะสะปะ ถ้าเจอคนมันจะมาตะปบกัดเสียก่อนมันถึงไป พวกประชาชนเขาจึงเอาไม้เท้าให้ท่าน สับหัวแล้วให้ท่านเคาะนั้นเคาะนี้ขึ้นไปเขา

ท่านไม่ห่วงท่านละ เฉย แต่ประชาชนห่วง แล้วก็เป็นจริงๆ ท่านไปอยู่ที่เตียง นาหมีนายูง เราเห็นอยู่ภูเขาลูกท่านอยู่นะ แต่เราไม่ได้ขึ้น แก่แล้วเราไม่ขึ้น นั่นละที่เสือเข้าไปหาท่าน ไปถึงเตียงเลย ท่านดูรอยมันเข้ามา รอยมันเหยียบนี้ นี่เตียง ท่านอยู่ที่นี่ อันนี้ท่านเล่าเอง พอตอนเช้ามาเห็นรอยเสือ เอ๊ะ เสือมายังไง โอ๊ย รอยเสือ เสือโคร่งใหญ่ ท่านเลยกะตวงดูที่มันเหยียบนี้กับเตียงกับจมูกของมัน ถึงกันพอดีท่านว่างั้น มันคงไปดม มันเหยียบ นี้เตียง แล้วหัวมันอยู่ตรงนี้ เรานอนอยู่ตรงนี้ ตอนนั้นท่านว่าจะเป็นเวลาเรานอนอยู่หรือเรานั่งภาวนาก็ไม่ทราบ แต่แน่ใจว่าท่านหลับ ถ้าท่านนั่งภาวนาท่านจะทราบทันที มันมาหนเดียวเสือ แล้วรอยนั้นท่านไม่ลบ เอาไว้อย่างนั้นแหละ

เพราะเด็กตอนบ่ายๆ เขามาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายตีนถ้ำตีนเขา เขาขึ้นไปหา..เด็ก ไปท่านก็ชี้ให้เขาดู เห็นไหมรู้ไหม รู้ อะไร รอยเสือ กลัวไหม กลัว ว่ากลัวแต่เขาขึ้นไปเรื่อย รอยเสือไม่ลบเอาไว้หลอกเด็ก เพราะเด็กขึ้นไปกวนท่าน ตอนบ่ายๆ เขาไปเลี้ยงควายตีนเขา เขาขึ้นไป ถามเขาว่ากลัวไหม กลัว เขาว่างั้น แต่ก็ขึ้นไปเรื่อย มันกลัวอะไรก็ไม่รู้อย่างนี้ เขาอยู่กับป่าเสือ..เด็ก ท่านเล่าให้ฟัง

นิสัยท่านจึงมีวี่แววเกี่ยวกับเรื่องพุทธภูมิ การพูดการจาอะไร กิริยาท่าทางทุกอย่างเฉลียวฉลาดแหลมคม ว่องไวทุกอย่าง เป็นภูมิของศาสดามีติดมา การเทศนาว่าการ เทศน์แต่ก่อนไม่มีประชาชนเลย มีแต่พระล้วนๆ เวลาเทศน์นี่เสียงกังวาน เราไปพบท่านทีแรกเทศน์ ๔ ชั่วโมง เทศน์แต่ละครั้ง ๔ ชั่วโมงถึงจบ ธรรมะนี้ไหลมีแต่ธรรมะขั้นสูงๆ พุ่งๆ ครั้นต่อมา ๓ ชั่วโมง ต่อมา ๒ ชั่วโมงแล้วหยุดเลย มาถึง ๒ ชั่วโมงหยุดไม่เทศน์อีกเลย

ธรรมะท่านไม่ใช่ธรรมะธรรมดา คนเราธรรมดาฟังยาก เพราะเป็นธรรมะภูมิจิตภูมิธรรม ถ้านักปฏิบัติตามได้ทันทีๆ จ่อจิตได้ดีมาก คนทั่วๆ ไปฟังจะไม่ค่อยเข้าใจ สำหรับกรรมฐานผู้ปฏิบัติธรรม โห ฟังแล้ว เทศน์ ๔ ชั่วโมงท่านหยุดแล้วยังไม่อยากให้ท่านหยุด คือมันลืมปีลืมเดือน เหมือนไม่มีร่างกาย จิตท่านกล่อมลงๆ จิตของเราแน่วทางขั้นสมาธิ ถ้าทางขั้นปัญญาแล้วเทศน์นี่ขยับตามๆ ถ้าเทศน์เกี่ยวกับจิตเรื่องสมาธิ เทศน์นี่เหมือนว่ากล่อมให้จิตแน่ว ถ้าเป็นขั้นปัญญาแล้วท่านเทศน์เหมือนกับก้าวตามท่าน ท่านขยับขยับตามๆ

ยกให้เป็นชั้นเอกในสมัยปัจจุบันนี้ เท่าที่เราผ่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายมา เราไม่ได้ประมาท ที่ว่าเป็นอันดับหนึ่งก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น การเทศนาว่าการหาที่ต้องติไม่ได้เลย เก็บหอมรอมริบหลักธรรมหลักวินัยไม่มีเรี่ยราด เก็บไว้หมดเลย ท่านเคร่งครัดขนาดนั้นละ ที่นี่ท่านก็เรียนเราก็เรียน ท่านพูดเทศน์แง่ไหนท่านทำยังไงมันก็รู้ตามหลักตำราที่เราเรียน มันก็รู้ๆ ท่านเก็บหอมรอมริบไม่มีเรี่ยราด ท่านเคารพมากทีเดียว

สุดท้ายเราก็ได้เป็นที่ระลึกถึงหัวใจเรากับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียกว่าพอใจการปฏิบัติต่อท่าน ขั้นธรรมดาก็ปฏิบัติอย่างหนึ่ง เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยก็ขยับเข้าไปแบบหนึ่งๆ จนกระทั่งถึงกลางคืนเราไม่หนีจากท่านเลย ถ้าเป็นธรรมดาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง คอยสอดส่องดูแลหมู่เพื่อนตลอด ให้ท่านอยู่ผาสุกเย็นใจไม่มีอะไรไปเกะกะสายหูสายตาท่าน เพราะเราไปเอง เมื่อเราไปแล้วอย่าให้ท่านได้รับความรำคาญ เราเป็นคนสอดคนแทรกดูพระดูเณรข้างนอก

เวลาอยู่กับท่านอบอุ่นมาก ท่านก็เมตตามากเสียด้วยกับเรา รู้สึกท่านเมตตามากอยู่ ดูอาการเวลาเราจะลาท่านไปเที่ยวนี้ ดูลักษณะท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเรา ส่วนย่อยก็คือเกี่ยวกับพระกับเณรที่อยู่ในวัดท่าน เวลาเราอยู่นั่นพระเณรเรียบร้อยหมดเลย เวลาเราไปอาจจะระเกะระกะขวางตาขวางใจท่านนั่นละ ทีนี้เวลาเราลาท่านไปเที่ยว ดูอาการท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านไม่แสดงหากรู้ แต่ท่านเป็นห่วงส่วนใหญ่ของเราคือจิตตภาวนา ท่านก็ปล่อยให้ไป

กลับมาทีไรมาดูนี้หนังห่อกระดูกเลย ท่านก็เห็นความตั้งใจของเราละซิ ไม่ได้มาธรรมดาละ มาทีไรหนังห่อกระดูก คือเนื้อไม่มี มันทรมานตนเอาอย่างหนัก ไม่เคยที่จะลงมาร่างกายเป็นธรรมดา ไม่เคยมีเรา เพราะตั้งใจออกไปฝึกทรมานตนเอง ต้องเอาเต็มเหนี่ยวเลยเชียว ก็นิสัยอย่างที่ท่านทั้งหลายเห็นนี่ จริงจังมากนะเรา ลงได้ทำอะไรแล้วขาดสะบั้นๆ ฟัดกับกิเลสก็เหมือนกัน ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ เป็นตายไม่มีน้ำไหลบ่า คือพระไม่มีใครติดตามไปด้วย เราไปองค์เดียว ท่านก็พอใจให้เราไปองค์เดียว เพราะท่านเห็นความตั้งใจเรา

เวลากลับมาหาท่านมีแต่หนังห่อกระดูก คือภาวนาเอาจริงเอาจังมาก ท่านรู้สึกเมตตามากอยู่กับเรา พระเณรท่านก็ได้เบาใจด้วยเพราะเราสอดส่องตลอด ดูพระดูเณร องค์ใดขวางหูขวางตา เรียกมาแนะมาสอนๆ พอดุดุเรา พระเณรจึงกลัวเรามากไม่ใช่ธรรมดา ธรรมดาหลักใหญ่ก็คือท่านกลัวหลวงปู่มั่นละมาก แต่เวลาเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดวันตลอดคืนนี้เป็นเรานะเกี่ยวกับพระกับเณร ตาสอดเข้าไปๆ ใครเห็นไม่ดีไม่งามอะไรเรียกมาเตือนๆ ท่านอยู่นู้นท่านไม่ได้เตือน เราเองอยู่นั้น บางทีดุเอาแหลกเลย

เพราะเราก็อย่างนี้แหละ คือจริงจังทุกอย่าง อะไรมาเราไม่เอา เพราะไปด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ ผ้ามี ๓ ผืนพอ แต่ก่อนมีผ้าอาบน้ำ สบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอาบน้ำพอเท่านั้น สะพายบาตรปุ๊บไปเลย ออกจากนี้ไปที่ไหนๆ จะเป็นการทำความเพียรไปในตัวเสร็จ เดินจงกรมไปในนั้นไม่ให้เผลอ ไปถึงไหนก็ไม่เสียเวลา จากบ้านนี้ไปถึงบ้านนั้น จากเขาลูกนี้ไปเขาลูกนั้น จะเป็นการเดินจงกรมตลอดเลย ไปคนเดียว แล้วจะเสียเวลาที่ไหน ตื่นขึ้นมาจับปั๊บๆ ความเพียร จนกระทั่งตั้งจิตได้ จิตมีความสงบเยือกเย็น ต่อจากนั้นสติปัญญาก็ออก ก้าวออกๆ

ที่นี่ทางพ้นทุกข์ก็เบิกกว้างออกๆ ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นี่ละที่นี่ความเพียรไม่ต้องบอก ถ้าถึงขั้นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมแล้ว ความเพียรได้รั้งเอาไว้ๆ มันจะไม่หลับไม่นอน ความเพียรเป็นขั้นเป็นตอน ความเพียรถูไถบังคับบัญชาก็มี คือยังไม่ได้หลักใจ จิตใจยังไม่สงบการประกอบความเพียรต้องบังคับ พอจิตใจมีหลักมีเกณฑ์แล้วความเพียรขยับๆ พอใจมีความผ่องใสแกล้วกล้าขึ้นมาแล้วความเพียรมันยิ่งพุ่งๆ นี่ละความเพียรได้รั้งเอาไว้ ที่จะว่าขี้เกียจทำความเพียรไม่มี บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง เพราะความเพียรหมุนตลอด มันเป็นขั้นๆ นะประกอบความเพียร ถึงขั้นที่จะไปขั้นที่ละเอียดลออลงไปแล้วนี้เป็นขั้นที่ถอยไม่ได้เลย คอขาดเพื่อนิพพานอย่างเดียว มีเป็นขั้นๆ อย่างนั้น

ดูพระดูเณรองค์ไหนเรียบไปหมด เพราะต่างองค์ต่างมุ่งต่อมรรคผลนิพพานด้วยกัน พูดกันไม่ได้พูดมาก เชื่อ ยอมรับทันทีๆ เพราะธรรมเป็นหลักใหญ่ของใจ พอพูดจะมาทิฐิมานะมาถกมาเถียงกันนี้ไม่มี คอยจ่อฟัง พอพูดอย่างนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นอรรถเป็นธรรมแล้วยอมรับๆ ปฏิบัติตามทันทีๆ สอนง่ายนะพระปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานด้วยกัน สอนกันง่ายมากทีเดียว ไม่ได้พูดอะไรมาก ที่มันดื้อๆ ด้านๆ คือกิเลสครอบหัวมัน พูดมันไม่ลง ดื้อด้านหาญธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมเลยไม่มีมีแต่กิเลสเต็มตัวๆ จากนั้นได้ยศได้ลาภเข้ามา ชั้นนั้นชั้นนี้เข้ามายิ่งพอกพูนกิเลสให้พองตัวหนาขึ้นๆ ใครแตะไม่ได้ นั่น

นั่นละกิเลส เป็นใหญ่เท่าไรใหญ่กิเลส มันไม่ได้ใหญ่อรรถใหญ่ธรรมนี่นะ แล้วพองตัวขึ้นเรื่อยๆ ดังปัจจุบันเห็นไหมล่ะ เอาผ้าเหลืองเข้าไป เอายศเอาสมณศักดิ์เข้าไปครอบเสริมอำนาจ อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ นั้นละ มันดูไม่ได้ซิ ผู้เป็นธรรมดูดูไม่ได้นะ แต่เจ้าของ โอ้โห ผึ่งผายลายตา ว่าได้ยศลาภสูง ผู้เป็นธรรมดูมันดูไม่ได้ เป็นอย่างนั้นละ ทีนี้เลยเอากิเลสมาเป็นศาสนามาเป็นธรรมมาเป็นอำนาจปกครอง ตัวเองไม่อยากพูดมันไม่ปกครองตัวเอง แต่จะไปปกครองคนอื่นใครจะลงล่ะก็ตัวเองไม่มีธรรม ถ้าตัวเองเป็นธรรมปกครองไม่ปกครองเคารพเองบรรดาผู้น้อย ไม่ต้องบอกเคารพเอง เจ้าของไม่เคารพเจ้าของจะให้คนอื่นเคารพ เป็นไปไม่ได้นะ

ใหญ่เท่าไรยิ่งเย็น ผู้ใหญ่ใหญ่เท่าไรยิ่งเย็นยิ่งน่าเคารพเลื่อมใสมากเข้าๆ คือใหญ่ด้วยอรรถด้วยธรรมๆ ใครจะตั้งลาภตั้งยศสรรเสริญเยินยอชั้นใดก็ตามท่านไม่ได้สนใจ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ธรรมอย่างเดียวเท่านั้นเลิศสุด จะตั้งอะไรมาแข่งธรรมให้เป็นยศนั้นยศนี้ ยศเหล่านี้ไม่ได้เหนือธรรม ต้องไปเสริมธรรมทั้งนั้น แล้วท่านจะมาต้องการอะไรของอย่างนี้ ธรรมเต็มหัวใจของท่านพอแล้ว ท่านจะไปยุ่งอะไรกับลาภกับยศสรรเสริญอย่างนั้นอย่างนี้ ธรรมมีอยู่ในใจใครสรรเสริญไม่สรรเสริญก็จ้าอยู่อย่างนี้แล้ว นั่น นั่นละธรรมชาติแท้ไม่มีใครไปตั้งไม่มีใครไปถอน ธรรมนอกมันธรรมประดับ เข้าใจไหม ต้องตั้งต้องส่งเสริมกัน ผู้ได้รับการส่งเสริมเลยเป็นบ้าไปเลย บ้ายศ

พูดให้ชัดๆ ไม่มีใครพูด เรานี้พูดได้ทุกอย่างตามอรรถตามธรรม ไม่เคยสะทกสะท้าน ไม่เคยกล้าไม่เคยกลัวกับสิ่งใดสามโลกธาตุ เราพูดจริงๆ เราไม่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นอะไรขัดหูขัดตาขัดธรรมขัดวินัยขวางปึ๋งทันที เพราะไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว ไม่มีอะไรเหนือธรรม ธรรมเหนือโลกแล้ว ไม่ยอมธรรมจะยอมอะไร นั่น เราพูดนี้พูดเป็นธรรม ใครจะเชื่อไม่เชื่อใครจะโกรธจะแค้นเรื่องของเขา เรื่องกิเลสกับธรรมย่อมเป็นข้าศึกกันตลอดมาเราไปสนใจอะไรกับมัน เราจะแก้มัน ชะลงไปล้างลงไปพอ นั่น เป็นอย่างนั้นละ

เดี๋ยวนี้มีแต่กิเลสมาเป็นศาสนามาเป็นธรรม เต็มอยู่ในพระในเณรเรามีแต่กิเลสไม่ได้มีธรรมนะ ถ้าธรรมมีสมกับผู้ปฏิบัติธรรมสมกับพระ พระแปลว่าผู้ประเสริฐ ธรรมเป็นของประเสริฐประดับกับพระก็ยิ่งเป็นผู้ประเสริฐสงบร่มเย็นดี ไปที่ไหนน่ากราบไหว้บูชาเคารพเลื่อมใสทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมไปที่ไหนก็ไม่เป็นท่าละ เคารพนับถือกันก็พอเพียงเป็นประเพณีหน้าไหว้หลังหลอก เห็นหน้าแล้วไหว้เสีย แต่หลังมาตบหลัง เรื่องโลกเป็นอย่างนั้น ประจบประแจงเลียแข้งเลียขาหน้าไหว้หลังหลอก ถ้าเป็นธรรมใครไม่เคารพเคารพก็ตาม จ้าอยู่ภายในใจ ทีนี้คนอื่นธรรมต่อธรรมมันก็เข้าถึงกัน อยู่ที่ไหนท่านก็เคารพของท่าน

เห็นไหมล่ะพระสารีบุตร พระอัสสชิที่สอนธรรมให้ท่านจนได้สำเร็จพระโสดา ได้ทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใดแดนใด พระสารีบุตรจะยกมือไหว้ไปทางพระอัสสชิตลอด นั่นละท่านได้เห็นบุญเห็นคุณของพระอัสสชิ นั่นละคุณอย่างนั้นคุณซาบซึ้งมาก ไอ้หน้าไหว้หลังหลอกไม่เป็นท่าเรื่องกิเลส เรื่องหน้าไหว้หลังหลอกประจบประแจงเลียแข้งเลียขา นี่เรื่องกิเลส เรื่องธรรมไม่มีต่อหน้าไม่มีลับหลัง ตรงแน่วเลยเคารพ แสดงว่าได้ธรรมมา สมฺมุขา ยาทิสํ จิณฺณํ ปรมฺมุขาปิ ตาทิสํ คือต่อหน้าเช่นไร ลับหลังเช่นเดียวกัน เคารพแบบเดียวกันหมดเป็นธรรม ถ้าเป็นกิเลสแล้ว ต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่งลับหลังเป็นอย่างหนึ่ง นี่กิเลสเป็นอย่างนั้น วันนี้ก็พูดเท่านี้ละ ไม่พูดมากนะ พูดติดกันมา ๓-๔ วันแล้ว ต่อไปเราก็จะไปธุระของเรา ไปทำประโยชน์ให้โลกทุกวัน เราไม่ไปเอาอะไร เราทำประโยชน์ให้โลกทั้งนั้นละ

ท่านป้าง อำเภอศรีมหาโพธิ พวกญาติเขามา แต่ก่อนเขาให้ชื่อว่าสมบูรณ์ แรกจริงๆ มันเป็นเณร มาอยู่ที่นี่เป็นเณรเล็กๆ พอมาอยู่นี้แล้วก็จะมาลาไป เราก็เลยถาม ไปไหน จะลาไปไหน ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อที่ไหน ก็เลยเล่าให้ฟังหลวงพ่อ จะไปหาท่าน ท่านอยู่ที่นั่นๆ ว่างั้น เราดูลักษณะเอง กับจะไปหาหลวงพ่อ เป็นลักษณะจะเหลวไหล ไปหาอะไร หลวงพ่อวิเศษวิโสอะไร เราก็ว่าอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องมาอวดมาอ้าง มันจะมาเหยียบหัวเจ้าของเหรอ ไม่ให้ไป เราห้ามเลย ไม่ให้ไป ก็ไม่ให้ไปจริงๆ แล้วก็ไม่ไป

เลยบวชเป็นพระให้ เดี๋ยวนี้เป็นอุปัชฌาย์ได้แล้ว ตั้งแต่มันเป็นเณรเล็กๆ มันอยากไปหาหลวงพ่อมัน เราดูเณรนี้ไปมันจะเร่ๆ ร่อนๆ เร่ๆ ร่อนๆ จะไม่เป็นท่า ว่าไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อลมๆ แล้งๆ ที่ไหนไม่รู้นะ เราไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเราจึงบอก ไปหาอะไรว่างั้น หลวงพ่อที่ไหน ไม่ให้ไป ห้ามไม่ให้ไป ไม่ให้ไป ก็เลยอยู่มา เขาเรียกเณรสมบูรณ์ บ้านมันอยู่อำเภอศรีมหาโพธิ ปราจีน ทีนี้มันก็ไม่ไปจริงๆ จนกระทั่งอายุถึงเป็นพระ เราก็บวชเป็นพระให้ เดี๋ยวนี้คงเป็นอุปัชฌาย์ได้แล้วละ พรรษามันแก่แล้ว อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๑๕ พรรษา จำอยู่นี้แหละ

ทางบ้านเขารู้ชื่อมันแต่ก่อน มาอยู่ที่นี่มันจะคงเอาชื่อใหม่มาอวด ว่าชื่อสมบูรณ์ ทีนี้ทางบ้านเขามา เขาบอกว่าท่านป้าง ชื่อป้างว่างั้น เราจำนั้นได้แล้วตั้งแต่นั้นมามีแต่ป้างๆ สมบูรณ์หายหมดเลย มีแต่ป้างๆ ยังอยู่นี้ละ เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว ดู ๑๕-๑๖ พรรษาแล้วมัง อยู่นี้ละเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนชื่อว่าสมบูรณ์ เวลาชาวบ้านเขามาเล่า โอ๊ย นี่ชื่อป้าง เณรป้าง เขาเรียกแต่ป้างๆ เราเลยจับได้ปั๊บ ปุ๊บถ้าเป็นของตลกนี้เร็วนะ ป้างๆ

ที่พูดอย่างนี้คือเขาถวายที่ไว้ที่ปราจีน เขาถวายที่ไว้แล้วแต่เรายังรับไม่ได้ เราคอยหาหลักหาเกณฑ์หาตัวตั้งตัวตีสร้าง แล้วก็มาคิดดูท่านป้างของเรานี้ ถ้าหากว่าอัธยาศัยของท่านชอบที่จะไปอยู่เราก็จะให้ไป ถ้าท่านไม่อยากไปเราก็ไม่ขัดอัธยาศัย นี่ยังไม่ได้ถามท่าน ที่เราก็เอาไว้อย่างนั้นละ จะว่ารับก็ยังไม่ว่า ไม่รับก็ยังไม่ว่า ให้รอไว้ก่อนนะว่าเท่านั้น นี่ละถ้าหากว่ารับสถานที่นี่เป็นวัดก็อาจจะเป็นท่านป้างละไปอยู่ที่นั่น เป็นอำเภอศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี เราก็อยากให้มีพระกรรมฐานอยู่นั้นสักองค์สักแห่ง แต่ถ้ามีหลักมีเกณฑ์นะ สุ่มสี่สุ่มห้าเราไม่เอา คิดอยากให้มีที่นั่น เพราะห่างมากนะ ให้มีกรรมฐาน

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก