การถือทิฐิมานะไม่ใช่ของดี
วันที่ 30 กรกฎาคม. 2550 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

การถือทิฐิมานะไม่ใช่ของดี

         วันนี้เป็นวันอธิษฐานพรรษา เข้าพรรษา ให้พี่น้องทั้งหลายตั้งความสัตย์ความจริงใส่ตัวเองนะ คนเรามันเร่ร่อนๆ ไม่ค่อยมีหลักมีเกณฑ์ ให้มีขอบเขตเหตุผลมีหลักเกณฑ์อรรถธรรม เข้าบังคับกายวาจาใจ ความประพฤติหน้าที่การงานด้วยนะ มันโกโรโกโสเรื่อยมาตั้งแต่วันเกิด วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ให้ตั้งสัจจะอธิษฐาน อย่างน้อยถึงวันออกพรรษา เช่นอย่างการทำบุญใส่บาตรไม่ให้ขาดวันหนึ่งๆ ได้องค์เดียวก็เอาไม่ให้ขาดสัจจะอธิษฐานที่ตั้งไว้เพื่อทานบารมีของเรา ในวันหนึ่งให้ได้ใส่บาตร ไม่มากก็ตามได้องค์เดียวก็เอา เพราะส่วนมากสำหรับวัดนี้จะรับเฉพาะบิณฑบาตได้มา นอกจากนั้นท่านไม่รับ กับธุดงค์ข้อนี้ขัดกัน

ธุดงค์ก็คือ ธุตังคะ เครื่องชำระกิเลสความโลภมาก ได้เท่าไรไม่พอ ตัดอันนี้ออกมาตั้งแต่วันนี้ถึงออกพรรษา ท่านเอาพรรษาเข้ามาตัด ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ อย่างพวกประชาชนญาติโยมก็เหมือนกัน ใครเคยทำอะไร กินเหล้าเมาสุรา ตัดขาดตั้งแต่วันนี้ต่อไปเลย ไม่ให้กิน เวลาเกิดมาพ่อแม่เอาขนมนมเนยมาป้อน พอโตขึ้นมาแล้วซัดตั้งแต่เหล้าๆ ใช้ไม่ได้นะ ต้องเอาศาสนาเข้ามาตีปากเอาไว้ ปิดปากตีปากไว้ อย่ากินเหล้า กินข้าวแทน ถ้ามันจะตายจริงๆ ไปนิมนต์พระวัดป่าบ้านตาด ถ้าพระทั้งหลายไม่ไปหลวงตาจะขึ้นรถสามล้อหลวงตาไป ให้ไสไปเลย

พอไป ไหนผู้ที่ตั้งสัจจะอธิษฐาน มันตายเพราะตั้งสัจจะอธิษฐาน ไม่ได้ไหว้พระหรือไม่ได้ใส่บาตรวันหนึ่ง วันหนึ่งๆ ขาดใส่บาตร ไหว้พระสวดมนต์ก็ขาด ไปสะแตกเหล้าด้วย ไหนมันอยู่ไหนเดี๋ยวนี้ เขาก็จะไสล้อเราไป ไปก็ กุสลา ธมฺมา มึงอย่าสะแตกเหล้านา กินเหล้ามันไม่เป็นหน้าเป็นหลัง คนดีๆ ก็ขาดสติสตังอยู่แล้ว ความประพฤติโกโรโกโส หน้าที่การงานไม่เป็นท่า นี่เรียกว่าคนไม่มีคำสัตย์คำจริง พอมีคำสัตย์คำจริงแล้วเหล้าไม่กิน เกิดมาพ่อแม่ไม่ได้เอาเหล้ามากรอกปาก เอาขนมนมเนยมากรอก วันนี้เราทำไมเหยียบหัวพ่อหัวแม่ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ห้ามไม่ให้กินเหล้า เราไปหาสะแตกทำไม ท่านสอนไว้ไม่ให้กินเหล้า แต่เราดื้อซิไปหาสะแตกเหล้า สะแตกเหล้ากับความดื้อมันเข้ากันได้ เราต้องเอาน้ำหนัก ไม่ได้หยาบนะ เอาน้ำหนักฟัดกัน ไม่งั้นไม่พอ

ให้พากันตั้งสัจจะอธิษฐาน วันหนึ่งๆ ไหว้พระตอนเช้าตอนเย็นอย่าให้ขาด ตั้งสัจจะเอาไว้ แล้วทำบุญให้ทาน ได้ข้าวหรือได้สิ่งของไปใส่บาตรแม้องค์เดียวก็ได้ ไม่ขาดทานของเราวันนั้น ทำทานอย่าให้ขาดวันหนึ่งๆ แล้วไหว้พระสวดมนต์ก็ให้ไหว้ ก่อนจะหลับจะนอน ตื่นนอนให้ไหว้เสียก่อนไป แล้วสัจจะที่จะบังคับเจ้าของเพื่อความเป็นคนดี ให้บังคับเข้าทุกด้านทุกทางในวันเข้าพรรษา เป็นวันที่สำรวมระวังมากทีเดียวกว่าวันอื่นๆ วันอื่นๆ ก็เถลไถลอยู่แล้ว วันเข้าพรรษาห้าม ให้มีคำสัตย์คำจริงบังคับตัวเองคนเรา ไม่มีความสัตย์ความจริงเพื่ออรรถเพื่อธรรมเข้าบังคับแล้วเหลวแหลกกันทั้งนั้นละ

ใครอย่าว่าใครเป็นคนดิบคนดี อายุก็มาก อย่างมีในตำราว่าพราหมณ์แก่คนหนึ่งเขาเป็นชาติอริยกะ พระพุทธเจ้าเป็นสิทธัตถราชกุมาร ก็วงศ์อริยกะ เป็นพราหมณ์วงศ์อริยกะเหมือนกัน แต่พราหมณ์คนนั้นเขาดูถูกว่าพระพุทธเจ้าท่านเกิดเป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน ถึงจะเป็นชาติอริยกะเหมือนกันก็ตาม ไม่ควรที่จะกราบไหว้ ว่าอย่างนั้นนะ เพราะเราเป็นชาติอริยกะ ชาติปู่ของสิทธัตถราชกุมาร สิทธัตถราชกุมารเป็นชาติอริยกะเหมือนกันแต่เป็นรุ่นหลาน ปู่จะมากราบหลานหรือมาฟังโอวาทของหลานไม่สมควร ถือทิฐิมานะว่าเป็นพราหมณ์แก่ ชาติอริยกะอยู่นาน

จนกระทั่งวันพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็เสด็จมาที่เมืองกุสินาราจะมานิพพานที่นั่น ทีนี้วันนั้นพราหมณ์คนนั้นก็มาพินิจพิจารณา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของพระพุทธเจ้าว่าจะเสด็จมาปรินิพพานในคืนวันนี้ ทีแรกก็ถือทิฐิมานะมานานว่าเป็นพราหมณ์อริยกะ เป็นคนแก่ ไม่สมควรที่จะฟังลูกฟังหลานเช่นสิทธัตถราชกุมารซึ่งเป็นเพียงหลานๆ แต่วันนี้พระสิทธัตถราชกุมารคือพระพุทธเจ้าของเรานี้ จะปรินิพพานเสียแล้วในคืนวันนี้ เวลาพระพุทธเจ้ารับสั่งคำใดไม่เคยเคลื่อนเคยคลาดเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แล้ววันนี้ท่านจะมานิพพานนี้ต้องเป็นคำสัตย์คำจริงแน่นอน ถ้าเราจะมัวถือทิฐิมานะอยู่นี้เราจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย ทิฐิมานะก็ถือมานานจนกระทั่งป่านนี้ไม่เกิดประโยชน์

พระพุทธเจ้าท่านเป็นสิทธัตถราชกุมาร แต่ท่านเป็นถึงศาสดาๆ เราจะเอาทิฐิมานะความเป็นพราหมณ์แก่กว่าท่าน เป็นชาติอริยกะด้วยกันนี้ไม่สมควร วันนี้จะต้องไปฟังโอวาทของท่านให้จงได้ นั่น ทิฐิมานะของพราหมณ์แก่คนนั้นก็ลดลงทันทีๆ ถือสิทธัตถราชกุมารเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นทันที แล้วตัดสินใจมาจะมาฟังเทศน์ เพราะหากว่าผ่านวันนี้ไปแล้วเราจะหมดหวังตลอดตาย ไม่เกิดประโยชน์อะไร พระสิทธัตถราชกุมารคือพระพุทธเจ้านี้ท่านรับสั่งอะไรไม่เคยเคลื่อนคลาด นี่ท่านก็จะมานิพพานในเมืองนี้ เราต้องไปวันนี้ ถ้าหลังจากนี้แล้วจะไม่มีหวัง เลยตัดสินใจมา

พอมาก็ถูกพระอานนท์ห้ามไม่ให้เข้า จะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็บอกว่า เวลานี้พระองค์กำลังเพียบมากแล้วอย่าเข้าเฝ้าเลย พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งทันที ให้พระอานนท์เปิดทางให้เข้ามาเดี๋ยวนี้ เรามาเมืองนี้เราก็มาหวังพราหมณ์คนนี้คนหนึ่ง เห็นไหมล่ะ ทางนั้นถือทิฐิมานะ ทางนี้ไม่ถือ เรามาเพื่อพราหมณ์แก่คนนี้ละคนหนึ่ง เพราะจะได้เป็นปัจฉิมสาวก เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย เปิดทางให้เข้ามา

พอเข้ามาแล้วก็มาถามถึงเรื่องศาสนามีมากมายเต็มบ้านเต็มเมือง ศาสนาไหนกว่าของตัวดีๆ เออ เป็นธรรมดา แน่ะพระพุทธเจ้าตรัส ใครเป็นลูกเต้าเหล่ากอของพ่อคนไหนแม่คนไหน ถึงจะทุกข์จะจนลูกก็ต้องถือว่าเป็นพ่อเป็นแม่เป็นธรรมดา นี่เป็นความนับถือตามโลกตามสงสาร ทางด้านธรรมะเขาก็ถือเป็นเหมือนพ่อเหมือนแม่ของเขา ผิดถูกประการใดเขาก็ต้องถือว่าเป็นศาสนาของเขาอยู่นั่นแล เพื่อตัดความกังวลทั้งหลายนี้ ให้ออกในจุดศูนย์กลาง ท่านเลยยกขึ้นว่า ศาสนาใดก็ตาม นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้าท่านทำความกระทบกระเทือนแก่ใครที่ไหน ว่าศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ ศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล

สมณะที่หนึ่งคือพระโสดา สมณะที่สองคือพระสกิทาคา สมณะที่สามคือพระอนาคา สมณะที่สี่คือพระอรหันต์ สมณะทั้งสี่นี้จะมีในศาสนานี้ ศาสนาที่มีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ เป็นศาสนาที่ยกคนและสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับจนกระทั่งถึงพระนิพพานได้โดยไม่ต้องสงสัย เวลาเรามีน้อยอย่าถามเรามาก เราจะบอกให้แต่ว่า ศาสนาใดๆ ก็ตามให้ถือว่าศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ ให้ปฏิบัติตามศาสนานั้น แล้วก็ให้พระอานนท์บวชให้

การบวชนี้ให้พระอานนท์บวชให้แล้ว อย่ามากังวลกับความเป็นความตายของเรา ความเป็นความตายคืออริยสัจ เราก็มีอริยสัจเราจะต้องตายในคืนวันนี้ แล้วเธอเองก็เป็นอริยสัจ เธอก็จะตายเหมือนกันนั่นแหละ ก่อนตายนี้ให้บวช จากนี้แล้วให้ไปภาวนาอยู่ข้างที่เราจะนิพพานที่เราจะตาย ให้ไปเดินจงกรมภาวนาอยู่ข้างที่พระพุทธเจ้าจะนิพพานนั่นแหละ อย่าไปกังวลกับใครเลย ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้ได้เป็นปัจฉิมสาวก คืออรหันต์องค์สุดท้ายของเราก่อนจะตาย ให้ไปภาวนา

พราหมณ์แก่คนนั้นก็หายกังวลในศาสนาใดๆ ยึดเอาอริยสัจ ๔ ความเกิดแก่เจ็บตาย พิจารณาอยู่ในวงนี้ เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในนี้ สรุปความลงว่า ได้บรรลุธรรมในระยะเดียวกันกับพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็นอันว่าพราหมณ์แก่คนนี้ได้เป็นปัจฉิมสาวกอรหัตอรหันต์องค์หนึ่ง ในระยะเดียวกันกับพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จึงเรียกว่าปัจฉิมสาวกองค์สุดท้าย คือพราหมณ์แก่คนนี้ สุภัททปริพาชกเลยได้เป็นพระอรหันต์ขึ้น เป็นปัจฉิมสาวกในคืนวันนั้น

นี่ละการถือทิฐิมานะไม่ใช่ของดี ว่าเราเป็นคนแก่ เราเป็นผู้ใหญ่ เราไม่เชื่อคำสัตย์คำจริงของเด็กซึ่งใหญ่กว่าคนแก่เป็นไหนๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ คนเล็กคนแก่คนไหนก็ตามให้ถือเอาคำสัตย์คำจริง คำใดที่ถูกต้องแม่นยำให้ถือเอาคำนั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นใหญ่ ยอมรับคำนั้น และปฏิบัติตามคำที่ถูกต้องดีงามนั้น เช่นสามีภรรยา ใครไปทำผิดที่ไหนมา ให้ยอมรับตัวเองว่าผิด สมมุติว่าผัวไปสะแตกเหล้ามา แล้วมารบกวนทางบ้านทางเรือนนี้ เมียขนาบเอาบ้างว่าสะแตกเหล้ามาจากไหน กินแล้วมาอาละวาด แล้วมาเรียนวิชาหมากัดกันขึ้นมาอีกในวงบ้านนี้ เรือนนี้ไม่ใช่เรือนหมานะ ว่าให้ผัว ผัวต้องหมอบเพราะเมียไม่ได้กินเหล้า ผัวสะแตกเหล้า ต้องยอมรับกันอย่างนี้

ใครผิดให้ยอมรับว่าผิด ใครถูกยกขึ้นเป็นครู เพราะคำว่าถูกนี้เป็นธรรมสูงสุดแล้ว ให้พากันถืออันนี้ ใครอย่าไปถือสิทธิ์ว่าเราเป็นเมียคนนั้นเป็นผัวไม่ได้นะ ใครจะเป็นผัวเป็นเมียกันขนาดไหนก็ตามต้องถือหลักความจริง ยอมรับความจริงความถูกต้องของกันและกัน แล้วอยู่กันได้จนกระทั่งวันตายคนเรา ถ้าถือทิฐิมานะแตกกระจัดกระจายใช้ไม่ได้นะ พากันจำเอา

วันนี้เป็นวันอธิษฐานพรรษาแล้ว ขอให้ทุกๆ ท่านได้ตั้งสัจจะความจริงไว้บังคับตัวเอง เช่นไหว้พระสวดมนต์ หรือกินเหล้าเมาสุรา เคยกินมาจนหัวราน้ำก็ตาม บังคับเลย ห้ามตั้งแต่บัดนี้ต่อไปอย่างน้อยต้องถึงวันออกพรรษา ไม่กินเหล้า เอา จะตายก็ให้ตาย ดัดกันอย่างนี้หนักๆ แล้วเหล้าก็หายไปๆ เราก็เป็นคนดีตลอดไปเลย ให้จำเอา การให้ทานวันหนึ่งอย่าให้ขาด สวดมนต์ไหว้พระวันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด ความประพฤติหน้าที่การงานอะไรที่เป็นมลทิน หรือเป็นความเสียหายแก่ตนและส่วนรวมแล้วให้งดๆ เช่นว่าอย่างน้อยงดในพรรษา นี่อย่างน้อยที่สุดนะ มากกว่านั้นให้งดไปโดยลำดับลำดา จะเป็นความถูกต้องดีงาม

สำหรับชาวพุทธเราให้มีขอบเขต เอาธรรมละมาบังคับไม่เสียหาย ถ้าเอากิเลสมาบังคับจมได้ทั้งนั้น ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำว่าอะไรแหละ จมได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเอาธรรมเข้าไปบังคับ เด็กก็เป็นเด็กดีน่ารัก ผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ดีน่าเคารพบูชา ให้ถืออย่างนั้นนะ อย่าถืออายุมืดแจ้งเฉยๆ ว่าเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้ถือธรรมเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา เด็กมีอรรถมีธรรมก็ให้มีความเคารพรักเด็ก ไม่ควรฝ่าฝืนคำพูดของเด็กที่พูดถูกต้องแล้ว ยอมรับกันๆ เรียกว่าคำสัตย์คำจริงคือธรรม จะเป็นคนดีด้วยกัน

เข้าพรรษาอย่างนี้ขอให้มีคำสัตย์คำจริงบังคับตัวเองทุกคนนะ ไม่ได้มากได้น้อยใครจะได้เท่าไรก็เอา เช่นอย่างศีล ๕ ให้ได้ทุกคน ข้อสุรานี่บังคับให้ขาดเลยเทียวไม่ให้มันกิน เอ้า มันจะตายจริงๆ ให้มันเห็นสักที ให้ว่าอย่างนั้นว่าตัวเองแล้วจะเป็นคนดีเรื่อยๆ สุราก็แตกกระจัดกระจายไปเลย เข้ามาใกล้เขตบ้านคนๆ นั้นไม่ได้ นี่คือความดีขับไล่ความชั่วให้ขับไล่แบบนี้ อย่าอยู่เฉยๆ ใช้ไม่ได้นะ

นี่พระท่านก็สมาทานธุดงค์ของท่าน บิณฑบาตรับของมาถึงเขตวัด พอเข้าเขตวัดแล้วท่านหยุดท่านไม่รับ ได้มากน้อยเพียงไรท่านเอาเพียงเท่านั้น เรียกว่าสมาทานธุดงค์ข้อบิณฑบาตเป็นวัตร ห้ามรับของนอกบาตร นอกจากเข้าเขตวัดแล้วเท่านั้นไม่รับเลย นี่ก็เป็นข้อวัตร ต่อจากนั้นท่านเร่งความพากความเพียรในวง ๓ เดือนนี้อีกเป็นกรณีพิเศษโดยลำดับลำดา นี่คือการชำระกิเลส กิเลสนี้เป็นภัยต่อโลกสงสารมากมายมานมนานนะ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นภัยต่อเราหรือ เห็นแต่เป็นบุญเป็นคุณ อะไรเป็นความชั่วช้าลามกเป็นคุณทั้งนั้นเหรอ อันใดที่เป็นของดิบของดีเป็นมูตรเป็นคูถไปหมดแล้วหรือเวลานี้ชาวพุทธเรา

ให้ถือซิพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก สอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ ส่งคนให้ไปสู่สวรรค์ มรรคผลนิพพานจำนวนมากเท่าไร แต่ความชั่วช้าลามกมันส่งใครให้ไปสวรรค์นิพพาน มีแต่ไสลงนรกๆ เรายังจะพอใจลงนรกจากกิเลสหลอกลวงไสลงไปนรกนั้นอยู่เหรอ ให้ถามตัวเองนะให้บังคับตัวเอง อยู่เฉยๆ ไม่บังคับไม่ได้นะ

เช่นอย่างพระที่ท่านบวชมาเพื่อศีลเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ ใครจะเข้มงวดกวดขันกว่าพระ พระนี้สวยงามที่สุด สง่างาม ให้ความชุ่มเย็นแก่โลกก็คือพระทรงศีลทรงธรรม พระมีศาสดาติดตัว ศาสดาติดตัวคืออะไร พระวินัย พระธรรม เป็นศาสดาองค์เอกแทนตถาคต ให้เป็นสมบัติของพระทั้งหลายกราบไหว้บูชา ดังที่พระอานนท์ไปทูลอาราธนาท่านจวนจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ไปขอทูลอาราธนาว่าขอให้พระองค์ทรงชีวิตอยู่เป็นเวลานาน อย่าพึ่งด่วนนิพพานง่ายเลย ให้ประชาชนทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาต่อไปเป็นเวลานานๆ

อ้าว อานนท์จะมาหวังอะไรกับเราอีก นั่นเวลาท่านสำทับกลับมา ดุเอาบ้างนั่นละ ภาษาของเราเรียกว่าดุ อรรถธรรมทุกอย่างเราสอนหมดไส้หมดพุงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งพระธรรมทั้งพระวินัยสอนหมดพุง เวลานี้ยังเหลือแต่ร่างกระดูกในตัวของเรากับลมหายใจที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบกันอยู่นี้เท่านั้น นอกจากนั้นเราสอนไว้หมดแล้ว พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี นี้คือศาสดา ส่วนร่างกระดูกของเรานี้ไม่ใช่ศาสดา เป็นกองกระดูกเหมือนกองกระดูกของสัตว์ทั้งหลายทั่วๆ ไป อย่ามายึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้ยึดเอาหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นองค์ศาสดานี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ คือข้อวัตรปฏิบัติ กำจัดความเลวร้ายด้วยอำนาจแห่งธรรมเหล่านี้ ให้ยึดอย่างนี้

สรุปความลงว่า พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี ที่เราตถาคตได้สั่งสอนไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้ว นั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว ให้เธอทั้งหลายยึดหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นองค์ศาสดาติดอยู่ในหัวใจ ท่านทั้งหลายจะเป็นประหนึ่งว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา นี่เห็นไหมพระพุทธเจ้าสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและสัตว์โลกทั่วๆ ไป ให้ยึดหลักพุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดหัวใจ ก็เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา เป็นสิริมงคล ไม่ได้เป็นความเลวร้ายเหมือนกิเลสตัณหาความโลภ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ความโกรธได้ดุได้ด่าให้เขาเท่าไร ได้ชิงดีชิงเด่น ชิงชั่วชิงความลามกเท่าไรยิ่งเป็นของดีๆ อย่านำมาใช้อันนี้ ไม่ใช่วงของผู้ปฏิบัติอรรถปฏิบัติธรรม

อยู่ด้วยกันให้มีความเห็นใจซึ่งกันและกัน ให้เก็บความรู้สึกไว้ให้ดี อย่าเปาะแปะๆ ปากเปราะปากบอนใช้ไม่ได้ ลมปากของเราไม่เหมือนลมที่พัดอยู่ตามธรรมดา ลมนั้นเขาไม่เป็นพิษ นอกจากลมร้ายลมแรงจริงๆ เขาเรียกว่าพายุ นั่นเป็นกรณีพิเศษ สำหรับลมธรรมดาเรานี้ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ลมปากของเราก็เหมือนกัน ขอให้รักษาลมปากของเรา จะพูดจะจาอะไรให้ดูใจเขาใจเราเสียก่อนแล้วค่อยพูด ถ้าสมควรพูดแล้วค่อยพูด ไม่สมควรพูดจะเป็นความเสียหายแก่ตนและผู้อื่นแล้วให้งด อยากพูดขนาดไหนก็ไม่พูด จึงเรียกว่าผู้มารักษาธรรม

อย่ามาหายุแหย่คนนั้น ก่อกวนคนนี้ เป็นคนปากเปราะ ไปที่ไหนชิงเลวชิงเด่น ไม่ใช่ชิงดีชิงเด่น อยากอวดก้ามของตัวเองไปให้เขาเคารพนับถือ ให้เขาได้มองหน้าเราแย็บหนึ่งเพราะคำพูดเลวร้ายของเรานั้นก็เอา คนประเภทนี้ไปไหนขวางโลก มาอยู่ในวัดก็ขวางวัด อยู่ในเพื่อนฝูงด้วยกันก็ขวางเพื่อนฝูงด้วยกัน สุดท้ายวัดนั้นเป็นไฟเผากันตลอดเวลา หาธรรมที่จะเป็นน้ำดับไฟไม่ได้เลย ให้พากันจำเอานะข้อนี้

เห็นหน้ากันให้พูดเรื่องศีลเรื่องธรรม พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกย้อนไปถึงวงกรรมฐาน ท่านมาหากัน ท่านไปเที่ยวในป่าในเขาในที่ต่างๆ เวลามากราบครูบาอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่ม่นเป็นต้น พอกราบเสร็จแล้วท่าน ก่อนกราบหนึ่ง ก่อนฟังเทศน์ท่านหนึ่ง หรือหลังฟังเทศน์ท่านแล้วหนึ่ง มาสนทนาปราศัยเรื่องอรรถเรื่องธรรม ท่านไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงภาวนา ฟังซิ ท่านไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไง ท่านพูดถึงเรื่องภาวนาไม่ได้พูดถึงเรื่องสกปรกโสมม เรื่องนินทากาเลชิงดีชิงเด่นกัน เหมือนอย่างลูกศิษย์ของหลวงตาบัวอยู่ในวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ ส่วนมากในครัวไฟ มันเก่งมากนะพวกนี้

ทางวัดสำหรับพระท่านมีกิเลสเหมือนกัน ท่านไม่เคยแสดงให้มารกรุงรังหูของเราให้ได้ชะได้ล้าง ท่านมีแต่ความสะอาดกายวาจาใจของท่าน เวลาระบายต่อกันมีแต่อรรถแต่ธรรม ผู้ฟังซึ่งเป็นหัวหน้ารับผิดชอบก็เย็นใจสบายใจหายกังวล แต่ในครัวนี้มีอยู่เรื่อยๆ มันเป็นยังไง ได้ยินหรือยังในครัวลูกศิษย์หลวงตาบัวเหมือนกัน มันมีแต่ขวากแต่หนาม มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันนั้นเหรอ ชิงดีชิงเด่น มานั่งปั๊บคุย คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ คุยเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้เป็นที่รื่นเริงบันเทิงของกันและกันไม่ได้เหรอ มาหาธรรม ธรรมไม่มีเหรอวัดป่าบ้านตาด มีแต่สิ่งเหล่านั้นเหรอ สิ่งเหล่านั้นที่ไหนเขาก็มีกัน

มาหาอรรถหาธรรมให้พูดแต่อรรถแต่ธรรม มองกันอย่ามองในแง่ร้าย ให้มองในแง่ดีแง่ให้อภัย เมตตาธรรม สงเคราะห์สงหาซึ่งกันและกัน ใครก็มีผิดมีพลาดด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เมื่อต่างคนต่างมุ่งธรรมด้วยกันแล้วแนะนำตักเตือนสั่งสอนกันได้คนเรา ถ้ามีทิฐิมานะเอาไฟเผากัน โดยที่ว่าเตือนกันไม่ได้ จะเพิ่มเชื้อไฟให้เผากัน เปลวไฟจรดเมฆ เปลวไฟความโกรธ ราคะตัณหา จรดเมฆใช้ไม่ได้นะ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

หลวงตาพูดจริงๆ อายุจะ ๙๔ วันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้แล้ว จะตายเมื่อไรก็ได้ หรือจะไม่ถึง ๙๔ หรือ ๙๔ กว่าไปก็ได้ อยู่ที่ลมหายใจเป็นผู้ตัดสิน เป็นผู้พิพากษาใหญ่ ก่อนตายยังมีชีวิตอยู่นี้ก็ได้แนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายมาได้ ๕๐ กว่าปีแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ วันนั้นเป็นวันข้าศึกอันใหญ่หลวง ข้าศึกแห่งวัฏวน คือกิเลสมันอาละวาด มันบีบบังคับที่หัวใจเรา ตายมากี่กัปกี่กัลป์ ส่งไปในภพน้อยภพใหญ่ ภพเปรตภพผีภพนรกอเวจีไปหมด กิเลสตัวนี้มันส่งไปหมด

แต่วันนั้นได้ขึ้นเวทีฟัดกันเสียอย่างเต็มเหนี่ยว เป็นวาระสุดท้ายแห่งมหาภัยคือกิเลสวัฏวน ที่หมุนอยู่ในหัวใจเรา ได้ขาดสะบั้นลงในคืนวันนั้น ด้วยอำนาจแห่งความอุตส่าห์พยายาม ความพากความเพียรที่หมุนกันอย่างเต็มที่ กิเลสไม่ตายเราตาย มีสองอย่าง ที่จะให้อยู่ด้วยกันเป็นคู่แข่งกันต่อไปอีกไม่ได้แล้ว นี่ละซัดกัน หลังจากฟังธรรมของหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านชี้มรรคผลนิพพานแบมือเลย ว่านี่น่ะๆ มรรคผลนิพพาน ท่านจะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน ต้นไม้เป็นต้นไม้ ภูเขาเป็นภูเขา ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ สิ่งจักรวาลทั่วโลกเป็นสิ่งนั้นๆ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ นี่ละท่านเปิดทางให้ไปถึงท่านวันแรก

เอา ค้นลงที่นี่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เห็นทั้งกิเลสเห็นทั้งธรรม ฆ่ากิเลสด้วยอรรถด้วยธรรม ฆ่าด้วยจิตตภาวนา พระสาวกทั้งหลายก็ฆ่ากิเลสที่จิตตภาวนา กิเลสอยู่ที่นี่อยู่ในหัวใจ ธรรมก็อยู่ในหัวใจ ปราบกันได้ในหัวใจของเราทุกคนๆ ที่มีความพากเพียร เอา ใส่ลงไปที่นี่ด้วยจิตตภาวนา นี่คำสอนของหลวงปู่มั่นสอนเราเราไม่เคยลืม พอลงจากท่านแล้วเดินไปยังไม่ถึงที่พักเลย ว่ายังไง ถามเจ้าของ มาฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นสมเจตนาที่มาอย่างสุดหัวใจ ตั้งหน้าตั้งตาจะมาให้ท่านเปิดมรรคผลนิพพานว่ามีหรือไม่มี มันสงสัยมรรคผลนิพพาน

ทีนี้ท่านเปิดหมดแล้วมรรคผลนิพพาน หายโล่งไปหมดในหัวใจ ทั้งๆ ที่มีกิเลสแต่มรรคผลนิพพานหายโล่งหายสงสัย นั่นละฟัดกันตั้งแต่บัดนั้นมา ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกปฏิบัติ เพราะหยุดเรียนหนังสือพรรษา ๗ จนกระทั่งพรรษา ๑๖ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่นละฟัดกันตั้งแต่บัดนั้นมา สำหรับเราเราอยากจะพูดว่าไม่มีการให้น้ำถ้าเป็นนักมวย นักมวยทั้งหลายจะเป็นแชมเปี้ยนก็ตามเขามีกรรมการแยกมวยๆ แล้วให้น้ำ แต่สำหรับเรานี้ไม่ให้มี ให้สมใจเจ้าของที่ได้ไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นอย่างสมใจว่างั้นเถอะ เพราะกิเลสตัณหามันปิดมรรคผลนิพพานไว้ อ่านคัมภีร์ไหนตำราเล่มใดๆ ท่านก็บอกมรรคผลนิพพานมีๆ กิเลสมันหนามันไม่ยอมฟังเต็มเม็ดเต็มหน่วย มันแบ่งเอาอยู่นั้นละ

เชื่อมรรคผลนิพพานก็เชื่อ เชื่อกิเลสว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีนาอย่างนี้มันก็เชื่อ จนกระทั่งไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านจึงเปิดเรื่องมรรคผลนิพพาน ท่านจะไปหาที่ไหนมรรคผลนิพพาน ต้นไม้เป็นต้นไม้ ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ ไล่ไปหมดทั่วประเทศเขตแดนทั่วสามแดนโลกธาตุ ไม่มีธรรมไม่มีกิเลสอยู่ในสถานที่หรือสิ่งนั้นๆ กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ นั่นไล่เข้ามา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ใจ สาวกทั้งหลายตรัสรู้ที่ใจ ธรรมเกิดที่ใจ กิเลสมุดมอดไปที่ใจ เอาลงตรงนี้นะ เราฟังเต็มเหนี่ยวแล้วก็ซัดกันเต็มเหนี่ยวเลย

หลวงตานี้พูดจริงๆ ไม่ได้โอ้ได้อวดพูดตามหลักความจริงว่านิสัยเป็นคนจริงจังมากด้วย ตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ก็เหมือนกัน ถ้าลงได้ลั่นคำไหนแล้วเป็นทำตามคำนั้นคำพูดนั้น ยิ่งมาบวชมาอ่านในอรรถในธรรมของท่านมีแต่เรื่องความสัตย์ความจริง โอ้โห เราก็เคยมีความสัตย์ความจริงมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ทีนี้เอาละที่จะฟัดกับกิเลส หลังจากนั้นแล้วทีนี้ไม่มีกรรมการ มวยระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันบนหัวใจ การฝึกการทรมานนี้เรียกว่ารอดตายมา เอ้า กิเลสไม่ตายเราตายเท่านั้น มุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียวกัน ซัดกันไปซัดกันมาตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี นี่ละตกนรกทั้งเป็น

ถ้าเป็นนักมวยก็ไม่มีกรรมการแยก เอ้า ใครดีให้อยู่บนเวที ใครไม่ดีให้ตกเวทีไปเลย ไม่ต้องตามกุสลากัน นักมวยก็เก่งต่อเก่ง เอ้า ใครเก่ง ถ้ากิเลสเก่งก็ให้มันกุสลาเรา ถ้าเราเก่งก็ให้กุสลากิเลส ฟัดกันเสีย ๙ ปี สุดท้ายก็กุสลากิเลสแหลกไปเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยมี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดีที่มีแบบโลกๆ เราบอกโดยเปิดเผยอย่างเต็มที่เลย นี่เทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายเป็นวันเข้าพรรษา เปิดอรรถเปิดธรรมซึ่งเป็นผลแห่งการปฏิบัติของตัวให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมโกหก เราปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติโกหกตัวจนจะสลบไสลก็มี แต่ไม่เคยสลบก็บอกว่าไม่เคยสลบ เฉียดๆ ตลอดเวลา

เราปฏิบัติเราเอาจริงเอาจังเราไม่โกหกตัวเอง ทีนี้มาสอนพี่น้องทั้งหลายเอาสิ่งที่จริงจังทั้งเหตุทั้งผลมาสอนพี่น้องทั้งหลาย จะเป็นความหลอกลวงโลกไปแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นศาสนาหมด พระพุทธเจ้ากลายเป็นพระพุทธเจ้าหลอกลวง สาวก สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราเป็นสรณะที่หลอกลวง หลวงตาบัวที่เดินตามสรณะทั้งสาม คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ก็เหลวไหลเหลวแหลก สอนท่านทั้งหลายก็เป็นการหลอกลวงท่านทั้งหลายใช้ไม่ได้นะ แต่นี้เราจริงจังในความสัตย์ความจริงของเราทั้งเหตุ เราออกมาจนรอดตายๆ มีแต่เรา ผลที่ได้ก็ได้มาเป็นลำดับๆ จนถึงขึ้นอัศจรรย์เป็นขั้นๆๆ ขึ้นไป ถึงพระวิมุตติหลุดพ้นผางขึ้นในคืนวันนั้น วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มพอดี ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้น ร่างกายของเรานี้ดีดผึงเลย

นี่ละอำนาจของกิเลสที่มันติดอยู่หัวใจมานานแสนนาน กี่กัปกี่กัลป์ทำให้เราตายกองกัน ทั้งเขาทั้งเราตายกองกัน ให้กิเลสเผาอยู่ๆ ตลอดเวลานี้มายุติกัน ได้เผากิเลสในคืนวันนั้น เวลา ๕ ทุ่มพอดี นั่นละตั้งแต่วันนั้นแล้วเรียกว่าร่างกายนี้อยู่ธรรมดานะ ฤทธิ์อำนาจของกิเลสกับธรรมที่ขาดสะบั้นจากกันในคืนวันนั้น ร่างกายนี้ดีดผึงเลย นี่ละที่เราว่าเหมือนฟ้าถล่ม มันเป็นจริงๆ จะว่ายังไง ฟ้าดินถล่ม ฟ้าเขาก็อยู่ของเขาเขาไม่ถล่ม มันฟ้าดินอยู่ในธาตุในขันธ์ของเรากับกิเลสและธรรมฟัดกันนี้ละ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจนี้ร่างกายดีดผึงเลย นั่นละจึงว่าเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นไปเลยตั้งแต่บัดนั้นมา

ยังมีข้อหนึ่งอีกเราก็เห็นในตำรับตำรา พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาเป็นศาสดาเอกสอนโลกมา เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขยแสนมหากัป จึงได้สำเร็จสมบูรณ์ในความเป็นศาสดา พอตรัสรู้แล้วทรงท้อพระทัย โอ้โห ธรรมประเภทนี้จะไปสอนใครได้ ท้อพระทัยจะไม่ยอมสอนโลกแล้ว มีความปรารถนาน้อยจะอยู่เพียงพระองค์เดียวๆ ฟังซิน่ะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ธรรมประเภทนั้นประหนึ่งว่าไม่มีใครจะรู้ได้เห็นได้ตามพระพุทธเจ้าในเวลานั้น สอนก็คงจะไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาก็จะหาว่าท่านเป็นบ้าไปหมดเสีย เลยทำความขวนขวายน้อย ท้อพระทัย

ทีนี้ท้าวมหาพรหมมาทูลอาราธนา นี้เป็นพยานอันหนึ่ง ตอนที่ท้าวมหาพรหมมาทูลอาราธนาให้ทรงอยู่โปรดสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยปัจจัย มลทินเบาบางมากอยู่แล้วก็ยังมี นี่ก็เป็นแง่หนึ่ง แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าโง่จนท้าวมหาพรหมมาสอนนะ พระองค์ฉลาดยิ่งกว่านั้น แต่จังหวะท้าวมหาพรหมเข้ามาแทรกก็พูดถึงเรื่องมหาพรหมมาแทรก ส่วนพระองค์นี้ครอบไปหมดแล้ว โลกวิทู รู้แจ้งโลกไปหมด นี้เห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น

ไอ้เราตัวเท่าหนูนี้ เอา พูดให้มันชัดเสียนะวันนี้เป็นวันพูด เราไม่เคยคาดเคยคิดนะว่าจิตดวงนี้จะเป็นขนาดนั้น เพราะไม่เคยคาดเคยคิดจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาบวชมาสมมุติว่าบรรลุมรรคผลนิพพานก็จะบรรลุผึงไปเลย ไม่ได้มีอะไรที่จะทำความแปลกประหลาดให้สะดุดใจอย่างแรงกล้าเหมือนคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มนั้นเลย อันนั้นดีดผึงจริงๆ ร่างกายนี้พุ่งเลยทีเดียว มันดีดขึ้นได้ยังไง ใจก็อยู่ดีๆ บทเวลามันจะตัดสินกัน ประหารชีวิตกิเลสละซิ ธรรมมหาสติมหาปัญญานี้มันนอนได้เมื่อไร ต้องบังคับให้หลับให้นอน ไม่อย่างนั้นมันไม่นอน หมุนกันจะฆ่ากิเลสตลอดเวลาจนจะเป็นจะตาย ได้ยับยั้งไว้ด้วยพุทโธ ยับยั้งไว้ด้วยคำบริกรรม ซัดกันไปซัดกันมากิเลสจึงได้ขาดสะบั้นลงจากหัวใจในคืนวันนั้น เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี ร่างกายนี้ดีดผึงเลย

เราไม่เคยคาดเคยคิด ร่างกายนี้กระเด็นขึ้นเลยเชียว ทำไมมันถึงแรงขนาดนั้น อำนาจของธรรมกับกิเลสฟัดกันในหัวใจนั้นแหละ ไม่เคยคาดเคยคิด แล้วดีดผึงเลยเชียว นั่นละท่านจึงเรียกว่าฟ้าดินถล่ม เราก็ยอมรับ เพราะมันรุนแรงมากโดยไม่คาดได้คิดนะ ร่างกายเท่าอึ่งนี้ทำไมมันดีดได้วะ นี่ละอำนาจของธรรมกับกิเลสฟาดกันขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้จ้าเลยนะ โหย โลกธาตุนี้ครอบไปหมดเลย เราไม่เคยคาดเคยคิดนะว่าจิตจะเป็นอย่างนี้ พอทำไปๆ ถ้าหากว่านิพพาน ยอมรับว่าอยากไปนิพพานไปให้ถึงนิพพาน แต่ไม่เคยปรากฏ หรือไม่เคยคิดว่าฤทธานุภาพแห่งความบริสุทธิ์นี้จะเป็นอย่างอัศจรรย์ให้เห็นอีกในแง่หนึ่ง ที่ให้เราได้สะดุดใจจนกระทั่งทุกวันนี้ เราไม่เคยคิด เป็นขึ้นมาเสียแล้วในคืนวันนั้น

ทีนี้พอเห็นความอัศจรรย์อันนี้มันเลยโลกเลยสงสาร เอ้ย ทำยังไง ธรรมประเภทนี้ไปสอนใครใครจะรู้ได้เห็นได้ ไปสอนที่ไหนเขาจะว่าบ้าว่าบอไปหมด แล้วทำยังไง ธรรมนี้เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสารที่จะรู้ได้เห็นได้ นั่นละทีนี้ท้อใจ เกือบจะถึงขั้นลงใจว่าจะไม่สอนใคร อยู่ไปกินไปวันหนึ่งตามป่าตามเขา พอถึงวันเวลาแล้วก็ดีดผึงไปเสียเท่านั้น ไม่สอนละ เราสอนเราขนาดนี้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเอาเป็นเอาตายเข้าว่า มันถึงรู้ได้อย่างนี้ แล้วใครจะกล้าเสียสละอย่างนี้มันถึงจะรู้ได้อย่างนี้ล่ะ แน่ะมันเป็นอย่างนั้นนะจิต เวลามันพลิกของมันก็พลิกอย่างนั้น พลิกไปพลิกมา ใครจะรู้ได้ละคิดท้อใจ

สักเดี๋ยวธรรมขึ้นละ ขึ้นที่หัวใจ อันนี้ก็ขึ้นเหมือนฟ้าดินถล่มอีกเหมือนกัน พระธรรมท่านกระตุกเราอย่างแรงมากทีเดียว ก็เมื่อโลกอันนี้เป็นโลกมนุษย์ พุทธศาสนาก็อยู่กับวงมนุษย์แท้ๆ ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาก็มีมากมายก่ายกอง แล้วทำไมว่าท่านเหล่านี้จะรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้จะมีความสามารถ เราเป็นเทวดามาจากไหน เป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน เหนือมนุษย์ทั้งหลายไปมากขนาดไหนถึงจะดูถูกมนุษย์ทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกันว่าเขาจะรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ เราเป็นเทวดาตนวิเศษมาจากไหนถึงรู้ได้เห็นได้ นี่ละธรรมเตือนขึ้นอย่างแรงทีเดียว รู้ได้เพราะเหตุไร มาลงกันยุติตรงนี้นะ รู้ได้เพราะเหตุใด

พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ดูความบริสุทธิ์ของเราจ้าถึงขั้นตอนตั้งแต่เราอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญความพากความเพียรดีงาม การให้ทานรักษาศีลภาวนา มีตั้งแต่สร้างบารมีสร้างสายทางมาเพื่อนิพพานที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ละ มองดู อ๋อ เห็นไหมล่ะ สัตว์โลกทั้งหลายมีบารมีเหมือนกัน จะไปประมาทกันได้ยังไง เช่นอย่างว่ามาวัดมาวาก็มาสร้างบุญสร้างกรรม คือสร้างบารมีนั่นเอง พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ก็เราเอาตัวเราเป็นพยาน ย้อนหลังไปหาการประพฤติปฏิบัติของเรา อ๋อ ยอมรับนะ อ๋อ รู้ได้ ถึงไม่มากก็รู้ได้ ยอมรับเลยว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ก็เพราะเหตุมีสายทางมีบารมีมามากน้อย ใกล้เข้ามาๆ จนถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานก็รู้ได้อย่างนี้แล นั่น

แต่ก่อนเรารู้ได้ยังไง ทำไมมันรู้ได้ ก็เดินตามสายทางคือบุญกุศลผลความดีงามของเราละมาเรื่อยๆ ไม่หยุดไม่หย่อนไม่ท้อไม่ถอยก็ถึงได้อย่างนี้ละ นั่น อ๋อ ยอมรับนะ อ๋อ รู้ได้ๆ นี่ละเป็นเหตุที่จะลงใจ ทีแรกจะไม่สอนใครเลย เราพูดอย่างนี้ทางนี้ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามพี่น้องชาวพุทธหรือผู้ใดๆ ก็ตาม เราพูดตามหลักความจริงที่ไม่เคยคาดคิด แต่มันกระเด็นขึ้นในใจในเวลาที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วธรรมนี้จ้าขึ้นมา ธรรมอันนี้เหมือนว่าไม่มีใครจะรู้ได้เลย มีแต่เราคนเดียวลักษณะเป็นอย่างนั้น โดยเหยียบย่ำทำลายเพื่อนมนุษย์ชาวพุทธด้วยกัน ผู้สร้างบารมีมากน้อยจวนจะถึงอยู่แล้วก็มี มันก็เหยียบลงหมด ว่าวิเศษแต่ตัวคนเดียว

เพราะฉะนั้นพระธรรมท่านจึงเตือน กระตุกเอาอย่างแรง ก็มนุษย์ทั้งโลก ทั้งชาวพุทธชาวไหนก็ดีเต็มบ้านเต็มเมืองในโลกว่าไม่มีความสามารถ เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนจึงมีความสามารถเลยมนุษย์ทั้งหลายไปล่ะ เรารู้ได้รู้ได้เพราะเหตุไร นี่ละมันจึงย้อนไปหาความรู้ ที่ว่าเพราะเหตุไร คือมีบารมีมาด้วยกัน มีมากมีน้อยมี ประมาทกันไม่ได้สัตว์อยู่ตามป่าตามในน้ำบนบกมีทั้งนั้น ถึงกาลเวลาที่เขาจะเสวยบุญกรรมของเขาตามขั้นตามตอนเขาก็เสวยไปอย่างนั้น ไปดูถูกเขาไม่ได้นะ พอพลิกนั้นปั๊บเขาก็ปุ๊บเลย ไปสวรรค์นิพพานเร็วกว่าเราก็ได้

เวลานี้ตกอยู่ในระยะนี้ เอา มันลงหลุมก็ลงหลุมเสียก่อน นิพพานบางคนเห็นอยู่นี้แต่มันกำลังตกหลุม มันขึ้นหลุมนี้แล้วมันก็จะถึง เข้าใจไหม พวกนั้นไม่ตกหลุมแต่เอะอะๆ สะแตกแต่เหล้าเมาแต่สุรายาเมาจมอยู่ในนรกไม่มีวันขึ้น นั่นร้ายไหมเลวไหม ผู้นี้เขาตกหลุมแต่เขาขึ้นได้เขาไม่กินเหล้า เข้าใจไหม ขึ้นนิพพานได้เลย พากันจำเอานะ วันนี้เปิดหัวอกให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย การสอนโลกมาเป็นเวลา ๕๖-๕๗ ปี ตั้งแต่ ๒๔๙๓ วันนั้นละวันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ เป็น อกุปปธรรม ประจักษ์ในหัวใจ ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไร ที่มาสอนโลกสอนยังไง จ้าขึ้นมานี้เป็นอันเดียวกันหมด

เหมือนน้ำในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรกว้างแคบขนาดไหน นั้นคือน้ำมหาวิมุตติมหานิพพาน พระพุทธเจ้าองค์ใดตรัสรู้ปั๊บนี้เข้าเป็นน้ำมหาวิมุตติมหานิพพาน เช่นเดียวกับฝนที่ตกลงมาบนฟ้า ไม่ได้เลือกว่าฝนตกนี้มาจากเมฆก้อนไหนๆ ไม่ต้องไปถาม พอตกลงมาถึงแม่น้ำมหาสมุทรเป็นแม่น้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด นี้จิตใจของพวกเราทั้งหลายที่บำเพ็ญมามากน้อยก็ตาม เวลาถึงขั้นถึงตอนถึงมหาวิมุตติหลุดพ้นจากกิเลส เป็นน้ำมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด เข้าใจไหม ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน การเทศนาว่าการ วันนี้ไม่ทราบว่าเทศน์ไปไหนๆ หลงหน้าหลงหลังหลวงตาก็ดี หลงทุกวันๆ ให้ท่านทั้งหลายฟังเอานะ

วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ให้ตั้งความสัตย์ความจริงบังคับตัวเอง ที่มันจะจมลงในนรกลากขึ้นสวรรค์ถึงนิพพานทั้งเป็นเห็นไหมล่ะ แต่ก่อนมันจมมันก็จมอย่างนั้น แต่เวลามันดีดก็ดีด ดังเอาปัจจุบันนี้พูดถึงตัวเราเอง ตัวใครก็ตามเมื่อถึงธรรมขั้นนี้จะเป็นเหมือนกันหมด เวลาล้มลุกคลุกคลาน ความพากความเพียรไม่อยากเอาไหน ถ้าเป็นเรื่องเป็นหลุมเป็นบ่อเป็นฟืนเป็นไฟนรกหมกไหม้ เอา ชอบกันทั้งนั้นๆ นอนหลับอยู่ให้มาปลุกนะ ถ้าจะไปนรกหมกไหม้ เอา นอนหลับก็มาปลุก ปลุกทั้งเราด้วยปลุกทั้งแม่อีหนูด้วย ปลุกทั้งเด็กทั้งเล็กปลุกไปด้วยกันหมด ถ้าจะไปหาฟืนหาไฟตกนรกได้ทั้งเป็น

ถ้าว่าจะชวนไปนิพพานไปวัดไปวา อย่ามายุ่ง พึ่งเริ่มมานอนเดี๋ยวนี้จะนอนให้สบายหูสบายตาสักหน่อย สุดท้ายหมอนดีกว่านิพาน เวลามันเป็นเป็นอย่างนั้น แต่เวลาหมอนนี้เหมือนมูตรเมือนคูถดีดผึงออกมา มรรคผลนิพพานเหมือนทองคำทั้งแท่งนี้ดีดเลย ถึงกาลเวลาไม่นอนนะ นี่เป็นในหัวใจ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติความเพียรอัตโนมัติ ภาวนามยปัญญาไม่ถอยนะ จนบังคับให้นอน ไม่นอนไม่ได้ บังคับเฉยๆ ไม่ได้ สติปัญญาออกทำงานนี้พุ่งๆๆ ท่านหลายฟังเสียนะธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง ผู้ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้ามีไหม ทุกวันนี้มีไหม และผู้ทรงมรรคผลนิพพานตามพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ศาสดายังมีอยู่ไหมทุกวันนี้น่ะ

ทำไมจะให้กิเลสกล่อมเอาๆ ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้าตายแล้วเท่านั้นปีเท่านี้เดือน มรรคผลนิพานไม่มี แล้วกิเลสมันอยู่ที่ไหน มันเกิดในหัวใจเรามากี่กัปกี่กัลป์ เมื่อใดมันจะบรรลัยไป แล้วมรรคผลนิพพานทำไมจะคอยแต่บรรลัยทุกเวล่ำเวลา ทั้งๆ ที่เราปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ มันเป็นยังไง ให้กิเลสหลอกอะไรนักหนามนุษย์เรา กิเลสมีฉันใดมรรคผลนิพพานมีฉันนั้น น้ำเป็นน้ำดับไฟ ไฟมันจะลุกขนาดไหนน้ำฟาดเข้าไปขาดสะบั้น นั่น พากันเข้าใจ ให้พากันพิจารณา ความชั่วมันต้องเป็นข้าศึกต่อความดี ความดีก็เป็นข้าศึกของความชั่ว ฟาดกันลงไป สุดท้ายความชั่วขาดสะบั้นทรงความบริสุทธิ์ไว้เต็มหัวใจของเรา

นั่นละพระพุทธเจ้าองค์เอกปัจจุบัน ไม่มีอดีตอนาคตศาสดาองค์เอก สอนธรรมไว้สด ๆ ร้อนๆ ตามที่มรรคผลนิพพานมีอยู่ดั้งเดิม ไม่มีกาลนั้นสมัยนี้มรรคผลนิพพานจะสิ้นสูญไป นรกสิ้นสูญไป สวรรค์นิพพานสิ้นสูญไป กาลนี้มรรคผลนิพพานจะมีนรกมี ไม่มี ธรรมดาอะไรมีอยู่อย่างนั้น นรกมีอยู่นั้นบาปบุญมีอยู่นั้น สวรรค์มีอยู่นั้น นิพพานมีอยู่นั้น เห็นไหมล่ะ เอ้า ถ้าปฏิบัติทางไหนไปได้ทางนั้น เป็น อกาลิโก ไม่มีขั้นมีตอนไม่มียุคมีสมัย ให้พากันทำเอา แต่ระวังหมอนมันจะมาโดดใส่คอแล้วมัดติดคอเอาไว้ แล้วหลังก็เอาเสื่อมามัดติดหลังไว้ เพื่อความสะดวก เวลาเดินจงกรมก็ล้มตรงไหนก็เป็นเสื่อเป็นหมอน กิเลสมันจะหลอกตรงนั้น

พักผ่อนเสียก่อนนะ พักผ่อนเสียก่อนดีกว่าแล้วค่อยเดินจงกรม ฟาดนี้ดังครอกๆ ป่านนี้มันตื่นหรือยังก็ไม่รู้ ยังเพลินในเสื่อในหมอน มันเป็นอย่างไงพวกบ้าลูกศิษย์หลวงตาบัว โมโหหลวงตาบัวพามันเป็นบ้า จะไปตำหนิลูกศิษย์ก็ไม่ได้ ก็เราก็เป็นบ้ามาก่อนลูกศิษย์แล้วนี่นะ ให้ระวังนะ เราเป็นมาก่อนแล้วก็เตือนละเข้าใจไหม ให้รู้ว่าภัยไม่ใช่ของดิบของดีเอานักหนา หมอนเวลาดีก็ดี เสื่อเวลาดีก็ดี เวลาเป็นภัยมันก็เป็นนะเข้าใจไหม เวลาเราจะเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาหาความดีงามใส่ตน นี่ละกิเลสมันเป็นภัย เสื่อหมอนเป็นภัยตอนนี้ แล้วเสื่อหมอนจะเป็นคุณต่อเรา ความดีงามจะเป็นภัยไปหมด ระวังนะกิเลสมันหลอกตอนนี้นะ

พูดไปพูดมาเลยเหนื่อย วันนี้เลยพูดอะไรไม่ได้มาก มากหรือไม่มากก็ไม่รู้ละ มันหมดพุงแล้ว เคาะทางนี้ก็ไม่มี เคาะทางนี้ก็หมดแล้ว เป็นอันว่าแสดงธรรมให้ท่านทั้งหลายฟังวันนี้หมดพุงนะเข้าใจไหม ฟังให้ฟังให้สุดใจนะวันนี้ เอาละพอ พูดถึงเรื่องข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลายที่จะปฏิบัติในกาลพรรษานี้ ให้พากันมีข้อวัตรปฏิบัติบังคับตนเองนะ พระท่านปฏิบัติของท่านอยู่แล้ว เราก็ให้มีข้อบังคับดัดตัวเอง ไม่ดัดไม่ได้นะกิเลสเอาไปกินหมดๆ เอาละที่นี่ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก