เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อเช้าวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ท้อใจที่จะสั่งสอนโลก
(วันนี้รอบๆ ศาลาถวายพระหลวงตา ๒๖,๐๐๐ เจ้าค่ะ) สองหมื่นสามหมื่นก็ออกทั่วโลก เราแบ เราไม่เอา นี่ไม่เหมือนใคร ว่าไม่เอาไม่เอาจริงๆ เด็ดขาดทุกอย่าง ไม่มีคำว่าเหลาะแหละ พลิกแพลงไม่มี ใครจะเหลาะแหละกับเราไม่ได้นะ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ ไม่คบ เป็นอย่างนั้นนิสัย พูดตรงๆ เลย ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น ตรงแน่วๆ การปฏิบัติตัวของเราก็อย่างเดียวกัน ไม่มีเหลาะแหละ เอาจริงเอาจัง
ที่ว่าไปน้ำตาร่วงบนภูเขาสู้มันไม่ได้ เอาแล้วนะโกรธให้กิเลสอยู่ในใจ ถ้าโกรธแค้นให้คนอื่นเป็นบาปเป็นกรรม แต่โกรธให้กิเลสที่เป็นภัยต่อหัวใจเรานี้โกรธเท่าไรยิ่งดี ซัดกัน โถ เราไม่ลืมนะ ที่เคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังบ่อยๆ คือว่ามันถึงใจ สู้มันไม่ได้ ล้มทั้งหงายๆ อยู่บนภูเขา ตั้งหน้าจะไปสู้มันสู้มันไม่ได้เลย สติตั้งไม่อยู่ น้ำตาร่วง ทีนี้มันก็ขึ้นอุทานภายใน อุทานนี้เป็นอุทานด้วยความเคียดแค้นให้กิเลสตัวเอง ถ้าเป็นเคียดแค้นให้คนอื่นนี้เรียกว่าฆ่าได้เลย นิสัยอันนี้เป็นได้เชื่อไหม นิสัยอันนี้ถ้าลงว่าฆ่าแล้วฆ่าได้จริงๆ
นี่กับกิเลสก็เคียดแค้นอย่างเดียวกัน เอาให้ได้ โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละ นั่นลงกันนะ มึงต้องพังวันหนึ่งให้กูถอยกูไม่ถอย ตั้งแต่นั้นมากิเลสพัง เห็นไหมล่ะ เคียดแค้นอันนี้ดี ถ้าเคียดแค้นให้คนฆ่าได้ มันถึงใจแล้วฆ่าได้ทั้งนั้น อันนี้มันถึงใจ กิเลสมันซัดเราหงายๆ ตั้งสติไม่อยู่ น้ำตาร่วง โอ้โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละ นั่นตัดสินกันแล้วนะ มึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ซัดกัน กิเลสพังจริงๆ นั่นเห็นไหมล่ะ เอาสมความเคียดแค้น มุมานะไม่มีถอย เอาจนกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ พูดให้มันชัดเจน
เวลาสู้กิเลสไม่ได้น้ำตาร่วงบนภูเขาก็เล่าให้ฟัง คือความไม่เป็นท่าของเรา สติ สตังตั้งไม่ได้เลย มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ แต่ไม่ได้พูดออกปากนะ พูดในใจ ก็อยู่คนเดียวจะไปพูดกับใคร เขาจะว่าบ้าอีก พูดอยู่ในใจ เคียดแค้นในใจ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละ นั่นจะตัดสินกันละ มึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น พอสู้มันไม่ได้กลับมา อบรมเต็มที่ใหม่ กลับมาเอาอีกล้มอีก กลับมาอีก กลับไปอีก ซัดอีกทีนี้มันก็ล้มให้เห็น จากนั้นมันก็ล้มเรื่อยๆ ซัดเรื่อย ฟาดเสียจนขาดสะบั้นจากหัวใจ นั่นเห็นไหม
นี่ละความเคียดแค้นให้กิเลสภายในใจเราเป็นธรรม ถ้าเป็นเคียดแค้นให้ผู้อื่นผู้ใดแล้วเป็นกรรมมากนะ ยิ่งฆ่าเขาแล้วยิ่งเป็นกรรมหนัก อันนี้เคียดแค้นให้กิเลสตัวเองเป็นธรรม เคียดแค้นเท่าไรความมุมานะความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปพร้อมกัน ก็ไม่ลืม เคียดให้กิเลสเคียดขนาดนั้น โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วง ตั้งสติพับล้ม ตั้งพับล้ม มันไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ ตั้งเพื่อล้ม เวลากระแสของกิเลสมันรุนแรง ตั้งพับล้มผล็อยๆๆ น้ำตาร่วง สู้เสือด้วยกำปั้น เสืออาวุธของมันรอบตัว เรามีแต่กำปั้นสู้มันได้อย่างไร ไปฝึกให้เป็นลูกเสือละซิที่นี่ ฝึกให้เป็นเสือมาซัดกับเสือ ต่อไปมันก็กลายเป็นราชสีห์ฟัดกับเสือละซิ เสือพังเลยเห็นไหม
นี่ละความมุมานะ ไม่ถอยเอาได้ ได้จริงๆ เราประจักษ์กับหัวใจของเรา เวลาน้ำตาร่วงบนภูเขาไม่เป็นท่าเลย ตั้งไม่อยู่ สติตั้งพับล้มๆ ไปฝึกใหม่ โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปกลับมาล้มอีกๆ แต่กลับไปไม่ถอย มาสู้ไม่ถอย สุดท้ายมันก็ล้มให้เห็น มันล้มให้เห็น เหอ มึงก็มีท้องเหมือนกูหรือ กูล้มทั้งหงายมึงเห็น ทีนี้มึงมีท้องเหมือนกูเหรอ ทีนี้มีแก่ใจแล้วนะ วิธีใดที่ทำกิเลสให้ล้มมันจะจับปุ๊บๆๆ ส่งเสริมบำรุงกำลังก็ซัดเลย กิเลสก็ล้มเรื่อยๆ สุดท้ายล้ม ล้มแล้วฟาดขาดสะบั้นไปเลย
เราพูดเราพูดตามความจริงใจ ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีปิดบังลี้ลับตรงไหน พูดตรงไปตรงมา ผิดก็บอกว่าผิดไปเลย ถูกบอกว่าถูกไปเลย ที่ว่าน้ำตาร่วงบนภูเขาเจ้าของเป็นแล้ว เคียดแค้นให้กิเลส เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เป็นอยู่ในใจไม่ได้ออกมา พูดอยู่ในใจ เคียดแค้นอยู่ในใจ สุดท้ายก็อันนี้ละเป็นผล ความเคียดแค้นความมุมานะที่จะฟัดกับกิเลสตัวเป็นภัยต่อหัวใจเราสุดท้ายก็พังได้ สู้เราไม่ได้ โธ่ การรบกับกิเลสเป็นของเล่นเมื่อไร
สามแดนโลกธาตุไม่มีงานใดที่จะหนักยิ่งกว่างานรบกับกิเลส เอาให้กิเลสขาดสะบั้น ไม่ใช่รบเฉยๆ รบแล้วมันตีเอาทั้งหงายๆ นอนหลับครอกๆ อันนั้นใครก็รบ ใครก็หงายอย่างนั้นละ ไอ้รบฟาดเอากิเลสหงายๆ เอากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปมีน้อยมาก พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์นี้มีแต่ประเภทกิเลสหงายเลย ไม่มีท่าต่อสู้ได้อีกแล้ว เรามันก็เป็นแล้ว
เออ..วันไหนที่พูดแล้วเราลืมข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย พอตรัสรู้ผางขึ้นมา ทีแรกตั้งหน้าตั้งตาตั้งความปรารถนาจะเป็นศาสดาสอนโลก ก็นึกว่าเป็นธรรมดาๆ คิดธรรมดาเรา เป็นศาสดาแล้วสอนโลกเป็นอย่างไรก็คิดธรรมดาๆ ทีนี้เวลาความจริงขึ้นมามันไม่เป็นธรรมดา อันนี้ละที่มันผิดกันเท่ากับฟ้ากับแผ่นดิน พอตรัสรู้ผางขึ้นมา โธ่ ธรรมชาติอันนี้กับดูสัตว์โลก เหอ มันจะสอนได้อย่างไรเป็นขนาดนี้แล้ว นั่นละที่ว่าท้อพระทัย จะไม่สั่งสอนโลก จนกระทั่งท้าวมหาพรหมมาอาราธนา
เรายกตัวอย่างมาเพียงสองอย่าง คือความท้อพระทัยในพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่จะสอนโลก แต่เวลารู้ธรรมประเภทนี้เหมือนกับว่าไม่มีใครที่จะรู้ได้เลย ท้าวมหาพรหมมาอาราธนา เป็นคติตัวอย่างอันหนึ่งที่ท้าวมหาพรหมมาอาราธนา สำหรับพระองค์เองครอบไว้หมด จะท้อพระทัยก็ทรงท้อ ที่จะสอนสัตว์โลกก็พระองค์เองจะสอน พระองค์ครอบไว้หมดแต่ยกท้าวมหาพรหมลงมาพอเป็นสักขีพยาน ว่าพระองค์ทรงท้อพระทัย เพราะการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกมันหนาขนาดนั้นละเกินกว่าที่จะยกขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ปรารถนาเป็นศาสดามาแล้ว พอเป็นศาสดาจริงๆ แล้วกับสัตว์โลกเป็นภาระที่จะให้แบกให้หาม มันเข้ากันไม่ได้ ลักษณะเป็นอย่างงั้น จึงท้อพระทัย
ทีนี้ย่นเข้ามา ก็เราเป็นจะให้เราว่าอย่างไร เราไม่เคยคาดเคยคิดที่มันเป็นขึ้นมา อย่างพระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นศาสดาสอนสัตว์โลกนี้ พระองค์ก็ไม่ได้คาดว่าถึงท้อพระทัยอย่างนั้นไม่มี แต่เวลาเจอธรรมที่ประเสริฐเลิศเลอเกินโลกเกินสงสารไปแล้ว กลับมาดูสัตว์โลกนี้มันจะเข้ากันได้ไหม ประหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้ นั่นละท้อพระทัย เหมือนหนึ่งว่าจะไม่สอนสัตว์โลก เราตัวเท่าหนูมันก็เป็นจะให้ว่าอย่างไร เวลามันจ้าขึ้นมานี่ โถ มันไม่คาดไม่คิดนะธรรมประเภทนั้น ธรรมประเภทนี้ไม่มีคำว่าคาดว่าคิด เป็นขึ้นในปัจจุบัน เมื่อเหตุผลพร้อมแล้วแสดงขึ้นเต็มเหนี่ยวเลย
เวลามันจ้าขึ้นมานี่ โธ่ ดูอะไรก็ไม่เหมือนธรรมชาตินี้สักอย่าง เล็งไปดูประชาชนทั้งหลายที่เราถือเป็นธรรมดาๆ แต่ก่อน นี้หนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกมันจะสอนไม่ได้ ท้อใจ แล้วจะสอนได้อย่างไร ความรู้นี่มันเลิศเลอถึงขนาดนี้ กับจะไปสอนประชาชนที่เขากำลังหนักหน่วงถ่วงด้วยกิเลส ความสกปรกโสมมอย่างมากมาย ถึงขนาดยกตัวไม่ขึ้น เราจะไปช่วยยกได้อย่างไร ท้อใจ นี่พูดตามความจริงนะท้อ ท้อจริงๆ โถ จะไปสอนโลกได้อย่างไรลงถึงขนาดนี้แล้ว สอนใครใครก็เห็นว่าบ้าๆ ตัวเขานั่นละเป็นบ้า คือเขาไม่ยอมรับพูดง่ายๆ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งเท่านั้น พอถึงเวลาแล้วไปเสียเท่านั้น ดีกว่าที่จะมาสอนโลกให้เขาโจมตีว่าเป็นบ้าๆ
นี่ขึ้นทีแรกมันเป็นด้วยความคิด ธรรมประเภทนี้เหมือนหนึ่งว่าจะไม่ควรแก่โลกทั้งหลายเลย จากนั้นพระธรรมท่านแสดงขึ้นมาอย่างรุนแรงเหมือนกันนะ เราก็ไม่ลืม พระธรรมกระตุกอย่างแรงนะ พอเห็นว่าเราท้อใจที่จะสั่งสอนโลกต่อไป เพียงเท่านั้นละพระธรรมขึ้นมา เมื่อไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เห็นได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหนเราทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ ว่าเขาไม่มีความสามารถ มีความสามารถแต่เราคนเดียว เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาเป็นมนุษย์ทำไมเขาจะรู้ไม่ได้ ไล่เข้าหาต้นเหตุ เพราะเหตุไร คือเรารู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด สายทางมา
พอรู้ได้วิ่งถึงสายทางตั้งแต่ปัจจุบัน จนกระทั่งถึงที่เราสร้างคุณงามความดี มีมากมีน้อยสร้างเพิ่มเข้ามาๆ จนมาถึงจุดนี้มันมีสายทางมา คือสายบารมี ความดีงามของเราที่สร้างมาเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งเข้ามาถึงจุดนี้ปั๊บ พอว่าทำไมเราจึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด ดูตัวเรากับสายทางของเรามายอมรับ อ๋อ รู้ได้ ไม่มากก็ได้ ขึ้นเลย ยอมรับนะ นั่นละจึงมีแก่ใจที่จะสั่งสอนท่านทั้งหลาย ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ ความคิดอันนี้ไม่ได้คิดขึ้นแต่ก่อน เป็นขึ้นมาในขณะที่ฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วมันขึ้นของมันเอง ท้อใจ ไม่ทราบจะสอนไปหาอะไร
นั่นละพอว่าให้เจ้าของถ้าว่าโลกทั้งหลายรู้ไม่ได้ เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนเราถึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นี่ละคำว่าเพราะเหตุใด มันสายทางมา สายบารมีพูดง่ายๆ บุญกุศลต่างคนต่างสร้างมามากน้อยๆ มีมาด้วยกัน ผู้ยังใกล้ยังไกลเข้าไปมี ว่าเพราะเหตุไรยอมรับ อ๋อ ได้ ไม่มากก็ได้ ยอมรับเลย ไม่ปฏิเสธ นี่ละเรื่องมันเป็นทีแรกมันขนาดนั้นละ จะไม่เอาใครเลย ตัวเท่าหนูมันเป็นก็บอกว่าเป็นละซิ พระพุทธเจ้าก็มีแล้วในตำราว่าทรงท้อพระทัยทั้งๆ ที่พระองค์เป็นศาสดาสอนสัตว์โลกอยู่อย่างเต็มพระทัย แต่พอตรัสรู้ผางขึ้นมาธรรมชาตินั้นกับโลกเป็นอย่างไรเข้ากันได้ไหม ประหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้
จึงทรงท้อพระทัย ถึงกับท้าวมหาพรหมมาอาราธนา เราตัวเท่าหนูเวลามันจ้าขึ้นมานี้เป็นเหมือนกันนะธรรมชาตินี้ มองไปที่ไหนมันเข้ากันไม่ได้ๆ ทีแรกเป็นอย่างนั้น โอ๊ย จะสอนไปอย่างไร พูดไปที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าๆ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอถึงวันแล้วไปเสียเท่านั้น คำว่าอยู่ไปวันหนึ่งนี่จะเข้าอยู่ในป่า อาศัยชาวบ้านเขากินไปวันหนึ่ง จากนั้นดีดไปเลย ไม่ต้องสั่งสอนใคร เขาจะหาว่าบ้ากันทั้งโลก เพราะธรรมนี้ประหนึ่งว่าสุดวิสัยของโลก ถึงขนาดนั้นนะ
ครั้นแล้วมันก็รู้ มันก็ยอมรับ เราเป็นเทวดามาจากไหนเราถึงรู้ได้เห็นได้ เมื่อว่ามนุษย์เขารู้ไม่ได้ เราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมเรารู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด คำว่าเหตุใดก็คือสายทางบารมีต่างคนต่างสร้างมา ดังพี่น้องทั้งหลายมาวัดมาวา นี่มาสร้างบุญสร้างบารมี มันก็ต่างคนต่างได้ ต่างคนต่างมี เพิ่มเข้าวันนี้ เพิ่มเข้าวันหน้า เพิ่มไปเพิ่มมาถึงที่สุดได้ พอเล็งไปว่ารู้ได้เพราะเหตุใด สายบารมีมันหยั่งถึงกันเลย อ๋อ ได้ ไม่ปฏิเสธ ได้ ไม่มากก็ได้ ยอมรับ
เพราะฉะนั้นจึงอย่าพากันประมาทนะ สร้างคุณความดีงาม สร้างไปๆ เพิ่มขึ้นๆ สร้างความชั่วก็แบบเดียวกัน อย่าพากันไปสร้างความชั่วเพิ่มได้ๆ สร้างความดีก็เพิ่มได้ เพิ่มจนหลุดพ้นจากทุกข์ได้ พากันจำเอานะ เอาละเท่านี้พอ พูดไปพูดมาก็ไปใหญ่เลย
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|